วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กอ.รมน.ภาค 4 สน. แจง ผู้ก่อเหตุรุนแรงบิดเบือนศาสนา

รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. ชี้แจงผู้ก่อเหตุรุนแรงบิดเบือนศาสนา และขอเชิญชวนผู้นำศาสนาประณามการกระทำของขบวนการก่อเหตุรุนแรง ขณะที่ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งไล่ล่าคนร้ายที่ก่อเหตุยิงทหารที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี... เมื่อวันที่ 28 ก.ค.  พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ หน.ศปชส.กอ.รมน.ภาค 4 สน./รอง โฆษก กอ.รมน.ภาค สน.กล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี ว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยอันประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และจังหวัดสงขลา โดยกลุ่มขบวนการที่มีความต้องการแบ่งแยกดินแดนที่ ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ภายนอกประเทศไทย และสั่งการดำเนินการทางลับโดยใช้กำลังปฏิบัติการที่ใช้ชื่อว่า RKK ก่อเหตุทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เจ้าหน้าที่รัฐ ทำลายระบบสาธารณูปโภค และระบบเศรษฐกิจ เพื่อต่อรองกับรัฐบาลไทย โดยมีเป้าประสงค์ในการแบ่งแยกการปกครอง และใช้ศาสนาอิสลาม เป็นข้ออ้างในการขับเคลื่อนปลุกระดม และเรียกร้องต่อองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ จากการเคลื่อนไหวโดยใช้ข้ออ้างทางศาสนาอิสลาม ของกลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอแถลงชี้แจงรายละเอียดเพื่อความเข้าใจโดยทั่วกันดังนี้ ประการแรก ฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรงยังคงยึดแนวทางการต่อสู้กับรัฐบาลไทยด้วยการชักชวน เยาวชนอายุระหว่าง 14 - 29 ปี จากสถานศึกษา เช่น โรงเรียนสอนศาสนาแบบเดิม (ปอเนาะ) และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา รวมถึงเยาวชนที่อยู่นอกสถานศึกษาแต่เคร่งครัดในหลักปฏิบัติศาสนา โดยขบวนการจะปลูกฝัง คำสอน ความเชื่อ นำหลักการศาสนาอิสลามบางข้อมาดัดแปลงสอนเยาวชนให้เชื่อว่าการทำร้ายคนนอก ศาสนา การก่อเหตุทำลายบุคคลผู้นับถือศาสนาอื่นจะได้ขึ้นสวรรค์ได้พบองค์อัลลอฮ์ โดยเฉพาะการสังหารบุคคลที่นับถือศาสนาอื่นในห้วงเดือนรอมฎอน ที่บัญญัติไว้ในหลักปฏิบัติของศาสนาอิสามจะเกิดผลบุญสูงสุดซึ่งเป็นการบิดเบือนหลักของศาสนาอิสลามอย่างร้ายแรง และมุสลิมที่เคร่งครัดปฏิบัติในทั่วโลกไม่ได้ให้การยอมรับ เพราะศาสนาอิสลามแท้จริงแล้วคือ หนทางของสันติ ประการที่ 2 “เดือนรอนฎอน เป็นเดือนแรกที่อัลกุรอานได้ประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ รวมถึงเป็นหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใด ในหมู่พวกเจ้าเข้าอยู่เดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้นเถิด” (บาเกาะเราะฮฺ 185) โดยข้อบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอานบทที่ 27 บัญญัติให้ชายหญิงทุกคนถือศีลอดในเดือนรอมฎอน 30 วัน ด้วยอันเป็นวาญิบ หรือ กะเกณฑ์แห่งอัลลอฮ์ ซึ่งผู้ที่เคารพภักดี (อิบาดะฮฺ) ต่ออัลลอฮ์ และศึกษาอัลกุรอานจะฝึกตนให้ละทิ้งความชั่ว มีความเมตตาหยุดกระทำ ความไม่ดี ออกห่างจากสิ่งยั่วยุ และผู้ที่จะชักพามุสลิมสู่การฝ่าฝืน ไม่ว่าจะด้วยมือ คือ ไม่ทำร้ายผู้อื่น ด้วยเท้าไม่เดินไปสู่สถานที่ต้องห้าม ด้วยตาไม่ดูสิ่งต้องห้ามลามก ด้วยหูไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดีให้ร้ายผู้อื่นด้วยปากไม่พูดจาว่าร้ายผู้อื่น ซึ่งมุสลิมทุกคนต้องกระทำความดีตามที่กำหนด

ดังที่มีกำหนดว่า “การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้า เหมือนกับที่ได้ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเจ้า” (อัลบาเกาะเราะฮฺ 183) ประการที่ 3 จากเหตุการณ์ระเบิด อ.สุไหงโก-ลก วันที่ 20 ก.ค.55 และการก่อเหตุการณ์ในห้วงเดือนรอมฎอน นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เคยกล่าวไว้ว่าเดือนรอมฎอนเป็นเดือนแห่งความเมตตาเป็นเดือนที่มุสลิมทุกคน แข่งขันกันทำความดี งดเว้นแม้แต่ความคิดที่จะกระทำบาป และถึงแม้ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามที่ดีต้องไม่ฆ่าผู้อื่น และผู้ก่อเหตุย่อมไม่ใช่ผู้ได้ศึกษาในอิสลาม” ซึ่งสอดคล้องกับคำแถลงของนายซาเยค คาสเซม เอลมาสรี ที่ปรึกษา และผู้แทนพิเศษ OIC ครั้งเดินทางมาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมาได้ประณามการก่อเหตุรุนแรง ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนของกลุ่มขบวนการ และไม่ใช่เรื่องศาสนา และประการสุดท้าย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงมุ่งเน้นมาตรการรักษา ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินควบคู่ไปกับการกดดันติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมาย รวมทั้งการจัดการกับปัญหาภัยแทรกซ้อนทั้งยาเสพติด และน้ำมันเถื่อน โดยล่าสุดเมื่อ 27 ก.ค. 55 ได้ประกาศยึดทรัพย์ร้านทองภู่สุวรรณ และร้านประเสริฐอาภรณ์ อ.สุไหงโก-ลก จำนวนกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดและการฟอกเงินในพื้นที่ จ.นราธิวาส และเมื่อ 28 ก.ค.55 หน่วย ฉก.นราธิวาส 30 ได้สนธิกำลัง เข้าไปปิดล้อมพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งได้รับแจ้งว่าบุคคลต้องสงสัย จำนวน 5 คน เข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ ม.1 ต.เรียง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ทำให้สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหามือประกอบระเบิด ซึ่งมีหมายจับ ป.วิอาญา 1 คน คือ นายลุกมาน เจะปอ และผู้ต้องสงสัย 1 คน อีก 3 คนหลบหนีไปได้ ขณะกำลังประชุมการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ดังกล่าว

พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวถึงกรณีคนร้ายลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ ในพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานีว่า ขณะนี้ทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าตรวจสอบและเข้าปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ หมู่บ้านใกล้เคียงที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะบ้านดูว่า ต.ถนน อ.มายอ เพราะก่อนเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายได้เข้าไปพบปะและพูดคุยกับชาวบ้านเพื่อทำงานด้านมวลชนไปด้วย นอกจากนี้ก็จะเข้าตรวจค้นในพื้นที่ระยะ 35 กิโลเมตร เพราะเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะเป็นบุคคลในพื้นที่ใกล้เคียง ดังนั้น จึงต้องขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนได้ช่วยกันดูแลและหากพบเห็นก็ขอให้กรุณาแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย.

www.thairath.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม