วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

'บิ๊กหนุ่ม'บุกโมนาโกเสนอแผนจัด F1 ปลายพ.ค.นี้

"บิ๊กหนุ่ม" นายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เตรียมเดินทางไปโมนาโก ในช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้ เพื่อเสนอแผนงานจัดการแข่งขันศึกฟอร์มูล่าวันแก่ "เบอร์นี เอคเคิลสโตน" ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของการแข่งขัน พร้อมยืนยัน เอฟวันอนุมัติหลักการในการจัด "เรซ ออฟ แชมเปียนส์" เรียบร้อยแล้ว...

ความคืบหน้าการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถแข่งสูตร 1 หรือฟอร์มูล่าวัน ของไทย ซึ่งมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยนายชุมพล ศิลปอาชา เจ้ากระทรวง เป็นหัวเรือใหญ่ โดยฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือยืนยันไปถึง "เอฟวัน" แสดงเจตจำนงไปเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ต้องการจัดแข่งให้เร็วที่สุด อาจเป็นช่วงปลายปี 2556 หรือต้นปี 2557 นั้น  

ล่าสุดในเรื่องนี้ "บิ๊กหนุ่ม" นายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.) ในฐานะคณะทำงานเสนอตัวจัดเอฟวันของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า นายเฉลิม อยู่วิทยา ประธานบริษัท เรดบูล คอมปานี ลิมิเต็ด กรุงลอนดอน ได้นัดหมายกับ เบอร์นี เอคเคิลสโตน ประธานเอฟวัน ชาวอังกฤษ เพื่อนำข้อมูลที่ไทยจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเอฟวัน มาพูดคุยกันในรายละเอียด ในระหว่างการแข่งขันรายการกรังด์ปรีซ์ เดอ โมนาโก ที่โมนาโก ในช่วงปลายเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งตนได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีชุมพล ให้เป็นตัวแทนของส่วนราชการ ไปยืนยันถึงความมุ่งมั่นใจการเป็นเจ้าภาพต่อเอฟวัน รวมถึงไปแสดงแผนงานทั้งหมดด้วย

ผู้ว่าการ กกท. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้หลังจากที่เสนอข้อมูลกับเอฟวันไปแล้วเมื่อต้นปี ทางเอฟวันก็ได้อนุมัติหลักการในการจัด "เรซ ออฟ แชมเปียนส์" ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของการแข่งขันเอฟวัน ที่จะเชิญนักแข่งชื่อดังของโลกมาร่วมประชาสัมพันธ์ และแข่งโชว์ด้วย ซึ่งเบื้องต้นจะมีเซบาสเตียน เวทเทล นักบิดสังกัดเรดบูลล์ เรซซิง, มิชาเอล ชูมัคเกอร์ แชมป์โลก 7 สมัยชาวเยอรมันมาร่วมงานด้วย โดยงานดังกล่าวจะจัดในเมืองไทย ซึ่งเวลาที่แน่นอน จะมีการกำหนดต่อไป

www.thairath.co.th

ทีม ซี เลเวล ชนะเลิศแข่งหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย อาร์ดีซี 2012-รับสิทธิ์สู้ศึกต่อที่ญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากลานศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ชั้น 1 ว่า ผลการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5 ประจำปี 2012 หรือ อาร์ดีซี 2012 รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งมีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 20 ทีม ว่าทีมผู้ชนะคือทีม ซี เลเวล (SEA LEVEL) ประกอบด้วยนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ คือ น.ส.สาธิมา ประเสริฐเจริญสุข ชั้นปีที่ 2 จากมหาวิทยาลัยมหิดล, นายอุหมาด หีมโป๊ะหมอ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาลัยรัตภูมิ, นายกานต์ไกร จิตรหมั่น ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, นายอภิวิชญ์ พวงศรีเจริญ ชั้นปีที่ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นายบรรณวิชญ์ ติยะบวรวงศ์ ชั้นปีที่ 1 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

น.ส.สาธิมา ตัวแทนทีมชนะเลิศกล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ทีมสามารถคว้าชัยชนะมาได้ คิดว่าจุดเด่นของทีมที่ทำให้ชนะได้มาจากการช่วยกันวางแผนที่ดี สามารถควบคุมหุ่นได้แม่นยำและมั่นคง และมีการช่วยกันคิดถึงวิธีการแก้เกมของทีมคู่ต่อสู้ว่า ถ้ามาอย่างนี้เราจะตอบโต้อย่างไร ส่วนการเตรียมตัวเพื่อเป็นตัวแทนเยาวชนของประเทศไปแข่งขันในระดับนานาชาติในเดือนสิงหาคมนี้จะเน้นเรื่องภาษาเป็นหลัก เพราะต้องไปทำงานร่วมกับเพื่อนๆ จากประเทศอื่นๆ พร้อมเชิญชวนให้เยาวชนที่สนใจเรื่องการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์มาสมัครเข้าร่วมแข่งขันในปีหน้า เพราะนอกจากจะได้รับความรู้ด้านการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แล้ว ยังได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ อีกมากมาย

การแข่งขันอาร์ดีซี 2012 จัดโดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ 4 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อเฟ้นหาเยาวชนตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ IDC RoboCon 2012 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 2555 นี้ โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ(เอ็มเทค) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ทีมชนะเลิศและปิดการแข่งขัน

เป้าหมายในการสนับสนุน เราต้องตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างบุคลากรภาคการศึกษาทางด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติอย่างเป็นระบบเพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบันหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติได้เข้ามามีบทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม และมีความสำคัญในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์Ž รศ.ดร.วีระศักดิ์กล่าว

สำหรับทีมชนะเลิศจากการแข่งขันอาร์ดีซี 2012 จะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ หรือ IDC Robocon 2012 ณ มหาวิทยาลัยโตเกียว เดนกิ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 2555 นี้


www.khaosod.co.th

สมาคมทหารผ่านศึกเกาหลี จับมือกับ สมาคมชาวเกาหลีในประเทศไทย จัดกอล์ฟการกุศลฯ...

สมาคมทหารผ่านศึกเกาหลี จับมือกับ สมาคมชาวเกาหลีในประเทศไทย จัดกอล์ฟการกุศลฯ เชื่อมความสัมพันธ์ทหารผ่านศึก ไทย-เกาหลี เพื่อหารายได้เป็นทุนการศึกษาบุตร-หลาน ดวลวงสวิง 12 มิ.ย.นี้ ปิดสนาม ทบ.(1) ช็อตกันฯ เที่ยงตรง ชิงถ้วยเกียรติยศของสมาคมฯ

พล.อ.อ.ปราโมทย์ วีรุตมเสน คณะกรรมการฝ่ายจัดการแข่งขันกอล์ฟการกุศลฯ ของสมาคมทหารผ่านศึกเกาหลี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เผยว่า ในวันอังคารที่ 12 มิ.ย.นี้ ทางสมาคมทหารผ่านศึกเกาหลี โดยมี พล.อ.เชวง ยังเจริญ นายกสมาคมทหารผ่านศึกเกาหลี ซึ่งเป็นนายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน อายุ 93 ปี (คนที่ 6) ได้ร่วมมือกับ สมาคมชาวเกาหลีในประเทศไทย จัดกอล์ฟการกุศลฯ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทหารผ่านศึกของ 2 ประเทศ ไทย-เกาหลี และหารายได้เป็นทุนการศึกษาแก่ บุตร-หลาน ของสมาคมทหารผ่านศึกเกาหลี ในพระบรมราชูปถัมภ์ จะทำการปิดสนามกอล์ฟศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก บางเขน (ทบ.1) ช็อตกันสตาร์ท เวลา 12.00 น.เป็นต้นไป

สำหรับรูปแบบการแข่งขันครั้งนี้ มีประเภททีม 4 คน ทีมชนะเลิศ และรองชนะเลิศ จะได้ครองถ้วยเกียรติยศจาก สมาคมทหารผ่านศึกเกาหลีฯ 2 รางวัล นอกจากนี้ถ้วยรางวัลชนะเลิศ โอเวอร์ออลโลว์กรอส จะได้ครองถ้วยเกียรติยศของ H.E. LIM JAE HONG นายกสมาคมชาวเกาหลีในประเทศไทย ถ้วยรางวัลชนะเลิศ โอเวอร์ออลโลว์เนต จะได้ครองถ้วยเกียรติยศของ พล.อ.เชวง ยังเจริญ นายกสมาคมทหารผ่านศึกเกาหลีฯ และยังมีรางวัลประเภทบุคคลอีกจำนวน 3 ไฟลท์ มีดังนี้

ไฟลท์เอ, ไฟลท์บี และไฟลท์ซี มีถ้วยรางวัลเกียรติยศฯ มอบให้อีกไฟลท์ละ 3 รางวัล นอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษ "โฮลอินวัน" 2 หลุม จะได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-เกาหลี จากสายการบิน เกาหลี แอร์ไลน์ จะกำหนดหลุมให้นักกอล์ฟทราบอีกครั้ง และรางวัลจับสลากอีกมากมาย

ส่วนกติกาและกฎการแข่งขันแข่งแบบสโตรคเพลย์ จำนวน 18 หลุม โดยคิดแบบสเตเบิลฟอร์ด และใช้แต้มต่อตามระบบ 36 ซิสเต็มมาแบ่งไฟลท์ รับสมัครแค่ 40 ทีมเท่านั้น

ค่าสมัครในการแข่งขันกอล์ฟการกุศลฯ ครั้งนี้ ทีมกิตติมศักดิ์ (วีไอพี) 4 ท่าน ทีมละ 50,000 บาท และทีมทั่วไป 4 ท่าน ทีมละ 20,000 บาท นักกอล์ฟทั่วไปสามารถสอบถามรายละเอียดการแข่งขันได้ที่ พ.อ.ทองรัตน์ อยู่ภูมิ โทร.08-3307-8460 หรือที่ พล.อ.อ.ปราโมทย์ วีรุตมเสน 08-1701-5197



www.banmuang.co.th

แพงทั้งแผ่นดิน...จะจริงเท็จ หรือแค่ตีกิน ดิสเครดิตรัฐบาลแต่คนเดินดินกินข้าวแกงทั่วไทย...

แพงทั้งแผ่นดิน...จะจริงเท็จ หรือแค่ตีกิน ดิสเครดิตรัฐบาล

แต่คนเดินดินกินข้าวแกงทั่วไทย บ่นในทำนองเดียวกัน...ทุกวันนี้ รัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ กำลังทำอะไรที่จะช่วยชาวบ้านได้บ้าง

"ร้านค้าถูกใจ สินค้าราคาธงฟ้า กำหนดราคาข้าวแกง เดินสำรวจราคาสินค้าในตลาด ล้วนแต่เป็นเรื่องไร้สาระ ทำเพียงเพื่อสร้างภาพหาเสียงเท่านั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาของแพงให้กับประชาชนได้เลย เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาต้นตอตัวการที่ทำให้ข้าวของแพงได้เลย"

ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เจ้าของงานวิจัยเรื่อง "การปฏิรูปเพื่อลดการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันในเศรษฐกิจไทย" ในโครงการสำรวจองค์ความรู้เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย สำนักงานปฏิรูปเพื่อสังคมไทยที่เป็นธรรม ให้ความเห็นทางวิชาการที่สอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกแพงของคนทั่วไป

ในทางวิชาการ ดร.เดือนเด่น ชี้ว่า ของแพงมาจาก 2 สาเหตุเท่านั้น

1. ต้นทุนการผลิตแพงขึ้น...ข้าวของย่อมต้องแพงขึ้นเป็นธรรมดาของกลไกตลาด ซื้อมาแพงย่อมต้องขายแพง

2. ค้าขายผูกขาดเอากำไรมากเกินไป...พ่อค้าโลภเห็นแก่ได้ รับซื้อสินค้ามาถูกแล้วโก่งราคาขายแพง

ณ วันนี้ ประเทศไทยมีอะไรที่เป็นเช่นดังว่านี้มากน้อยแค่ไหน...

หรือมีครบถ้วนทั้งสองประการ

สินค้ามีราคาแพง เพราะต้นทุนแพงขึ้นจริงตามธรรมชาติของกลไกตลาดหรือเปล่า...จะอ้างว่าน้ำมันแพง สินค้าก็ต้องแพง

แต่น้ำมันไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เป็นต้นทุนผลิตสินค้า

ชาวนาปลูกข้าว ต้นทุนการผลิตพันธุ์ข้าว ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงแพง แต่ผลผลิตที่ได้กลับขายไม่ได้ราคา...ในขณะที่ราคาขายปลีกข้าวสารถุงแพงต่างกันลิบลับ

กำไรส่วนต่างมหาศาลไปตกอยู่ที่ใคร

สินค้าเกษตรที่คนไทยต้องซื้อมากินกันทั่วไทยเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะหมู กุ้ง ไก่ ปลา...คนเลี้ยงเหนื่อยสายตัวแทบขาด ถึงเวลาขายกลับไม่ได้ราคา ต้องออกมาปิดถนนประท้วง

กำไรที่น่าจะได้ทุกอย่างหายไปกับต้นทุนการเลี้ยงหมด ในขณะที่พ่อค้าขายปัจจัยการผลิต รับซื้อสินค้าเกษตรเอาไปขายฟันกำไรมหาศาลอยู่ฝ่ายเดียว

"ตัวอย่างที่เห็นชัด ไข่ที่บ่นกันว่าแพงทุกปี คนเลี้ยงไก่บ่นว่าไข่ถูก ขายไม่ได้ราคา แต่คนกินกลับบ่นว่าไข่แพง ปัญหาเกิดจากตรงไหน

อยู่ที่การผูกขาด คนเลี้ยงบ่นว่าขาดทุนก็เพราะทุกอย่างต้องซื้อของเขาหมด ตั้งแต่พันธุ์ไก่ ยาไก่ อาหารไก่ ถ้าไม่ซื้ออาหารของบริษัทผูกขาด เขาก็จะไม่ขายแม่พันธุ์ให้ อยากจะได้แม่พันธุ์ไก่ไข่ไปเลี้ยงสร้างอาชีพก็ต้องซื้ออาหารไก่ด้วย แบบเดียวกับขายเหล้าพ่วงเบียร์นั้นแหละ

เลี้ยงจนออกไข่ จะขายไข่ก็ต้องขายให้กับบริษัทผูกขาดอีก แถมบริษัทยังทำธุรกิจขายไข่แข่งเองมีร้านมีตลาดของตัวเองอีกต่างหาก ทุกอย่างอยู่ในมือพ่อค้าผูกขาดครบวงจร มีอำนาจกำหนดราคา กดราคารับซื้อจากเกษตรกรผู้เลี้ยง แล้วไปโก่งขายขูดรีดราคาเอากับผู้บริโภค แบบที่เรียกว่าค้าขายผูกขาดเอากำไรเกินไป"

บ้านเราต้นทุนการผลิตอาหารที่ต้องซื้อมาทำกับข้าวกินกันทุกวัน ผูกขาดขนาดไหน

ปุ๋ยต้นทุนการปลูกพืชผัก...ค้าขายผูกขาด นับดูได้บริษัทต้นน้ำนำเข้าปุ๋ยรายใหญ่มีถึง 4 รายไหม

อาหารสัตว์ต้นทุนเลี้ยงหมู กุ้ง ไก่ ปลา...สินค้าต้นน้ำการค้าขายอยู่ในมือผู้ผลิตกี่เจ้า ผูกขาดไหม

ตรงนี้ต่างหากที่ ดร.เดือนเด่น มองว่า เป็นภาระหน้าที่หลักของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่ควรทำเพื่อแก้ปัญหาต้นตอของแพง...

ไม่ใช่ไปนั่งจับผิดแม่ค้าขายข้าวแกงอาหารตามสั่ง สินค้าปลายน้ำที่ต้องรับกรรมเหมือนคนทั่วไป ด้วยต้องซื้อสินค้าผูกขาดราคาแพง มาปรุงอาหารขาย...ซื้อมาแพงย่อมต้องการแพง ตามกลไกตลาด

เดือนเด่น


"ข้าวแกงเป็นตลาดที่มีการแข่งขันเสรีสมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขา แต่ที่การค้ามีการผูกขาดสมบูรณ์ แข่งขันไม่เสรี ซึ่งเป็นหน้าที่หลัก กระทรวงพาณิชย์กลับไม่เข้าไปดูแลตามกฎหมายในหน้าที่ของตัวเอง"

กฎหมายที่ว่า...พระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542

เป็นกฎหมายจัดการปัญหาการค้าผูกขาดฉบับใหม่ มีความทันสมัยกว่าฉบับเก่า (พ.ร.บ.กำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด พ.ศ. 2522) ที่ไม่สามารถจัดการกับธุรกิจผูกขาดสมัยใหม่ ที่มาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการใช้อำนาจเหนือตลาดกีดกันคู่แข่ง ควบรวมกิจการคู่แข่ง ตั้งบริษัทขึ้นมาให้ดูหลากหลายแต่ทำธุรกิจรวมหัวฮั้วการผูกขาดรังแกคู่แข่ง

ถึงจะเป็นกฎหมายที่ทันสมัย แต่ผลงาน 13 ปีที่ผ่านมา กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไม่สามารถจัดการกับพ่อค้าผูกขาดเกลื่อนประเทศได้แม้แต่กรณีเดียว

นอกจากไม่เคยดำเนินคดีใดๆ กับพ่อค้าผูกขาดได้แล้ว...งานง่ายๆ แค่ทำตามกฎหมาย ออกกฎระเบียบ กำหนดกฎเกณฑ์เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด ตามมาตรา 8 ที่กำหนดไว้ให้ ทำแค่เพียง 5 ข้อ

นับแต่กฎหมายออกมาบังคับใช้ สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า มีความรู้ความสามารถ ออกประกาศ กฎระเบียบได้แค่ 2 ข้อ...13 ปี ทำได้แค่เนี้ย

หวังว่าการจัดการปัญหาผูกขาดตามกฎหมายใหม่ คงจะไม่เหมือนกับที่เคยทำมา เมื่อครั้งยังใช้กฎหมาย พ.ร.บ.กำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด พ.ศ. 2522

กฎหมายฉบับนั้นใช้มา 20 ปี กระทรวงพาณิชย์ มีความสามารถกำหนดให้ ธุรกิจขายส่งน้ำแข็ง เป็นธุรกิจเดียวในประเทศไทยที่ต้องถูกควบคุม เพื่อป้องกันการผูกขาด

นี่แหละความสามารถของข้าราชการไทย...หน้าที่มีแต่ไม่ทำ ขยันจะทำอะไรที่ใช้งบ

ไหนๆ นายกฯก็กระหนาบกระทรวงมหาดไทยไปแล้ว ขยันเหลือเกินประกาศภัยหนาว ภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม เพื่อจะได้ใช้สิทธิเอางบประมาณไปถลุงกัน

ข้าวของที่แพงๆ ไม่แก้ที่ต้นตอลดผูกขาดให้ขายแพง เพื่อจะได้อ้างเบิกงบมาทำโครงการธงฟ้าถลุงกัน อีหรอบเดียวกันนั่นแหละ.

www.thairath.co.th

นายกฯ ลั่นต่อสู้คดีเขาพระวิหาร รักษาอธิปไตยของไทยเต็มที่

เชียงใหม่ 12 พ.ค. - น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมต่อสู้คดีประสาทพระวิหารต่อศาลโลก ว่า ก่อนหน้านี้ ได้เชิญที่ปรึกษากฎหมายจากต่างประเทศ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว มาหารือ และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เพื่อที่รัฐบาลจะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้ทันถ่วงที ที่สำคัญเราต้องทำงานตามที่ที่ปรึกษากฎหมายให้คำแนะนำ

“ที่ปรึกษาชุดนี้จะทำงานร่วมกับคณะกรรมการ ที่ได้มีการแต่งตั้งไว้เดิมทั้งหมด ส่วนดิฉันและรัฐบาลก็มาสานต่อ ยืนยันว่า เราต้องทำหน้าที่ทุกวิถีทาง ในการต่อสู้ตามข้อกฎหมาย ที่จะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบมากที่สุด” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ต่อข้อถามว่า รัฐบาลมีจุดยืนในการรักษาอธิปไตยต่อพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.ม. และตัวปราสาทพระวิหารอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราต้องทำทุกอย่าง เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไทยอย่างเต็มที่ ส่วนรายละเอียดไม่ขอพูดถึง เพราะเป็นประเด็นข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ทุกการเคลื่อนไหวและการติดต่อจะทำงานร่วมกับที่ปรึกษากฎหมายอย่างใกล้ชิด และเราต้องรวมสรรพกำลังของผู้ที่มีความรู้ เพื่อที่จะมาช่วยกันต่อสู้ข้อกฎหมายให้กับประเทศ และรักษาอธิปไตยของประเทศอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินพบปะประชาชน ที่ ตลาดสดสันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เพื่อช่วย นายเกษม นิมมลรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคเพื่อไทย หาเสียง.- สำนักข่าวไทย


www.mcot.net

เปิดแผนเชิงรุก นายกฯดีเดย์ ปราบคอรัปชัน

"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ดีเดย์ ประกาศแผนเชิกรุกปราบทุจริต เปิดวอร์รูมต้านคอรัปชัน จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ 18 พ.ค.นี้ เชิญทุกหน่วยเข้าร่วม หลังดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอรัปชันของไทยอยู่ในช่วง 3.3-3.5 จากคะแนนเต็ม 10...

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวว่า ปัญหาการทุจริตคอรัปชันในประเทศไทยเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม การบริหารราชการแผ่นดิน การปกครอง และอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการพัฒนาประเทศในที่สุด โดยแนวโน้มของดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอรัปชันของประเทศไทยในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล ได้แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์การทุจริตคอรัปชันของประเทศไทยที่ยังคงไม่ดีขึ้น โดยในปี พ.ศ.2550-2555 ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอรัปชันของไทยอยู่ในช่วง 3.3-3.5 จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งต่ำกว่าประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซียที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน และมีแนวโน้มที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชันในภาครัฐ และกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อเป็นการประกาศยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอรัปชันและแผนงานเชิงรุกของรัฐบาล นายกฯได้มีบัญชาให้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอรัปชัน ในวันที่ 18 พ.ค.นี้ ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 2 3 และ 4 ชั้น 4 ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดยเชิญคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการเปลี่ยนแปลงระดับกรมและจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนภาคสื่อมวลชน คณะผู้แทนทางการทูตในประเทศไทย ผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ และผู้แทนหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เข้าร่วมประชุม

เลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวอีกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะประกาศยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอรัปชัน (Quick Win Program ) และมอบนโยบายในการพัฒนาองค์การเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (Clean Initiative Program) นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด จะร่วมลงนามในสัตยาบัน และติดเครื่องหมายสัญลักษณ์เพื่อแสดงเจตนารมณ์การไม่ทุจริตคอรัปชัน และร่วมเปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอรัปชัน (War Room) จากนั้นจะจัดการเสวนาเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาคอรัปชันในประเทศไทย การเสวนากรณีตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาคอรัปชันในระดับนานาชาติ โดนนำเสนอตัวอย่างของประเทศสิงคโปร์ที่เป็นเลิศในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชัน และการชี้แจงหลักการ เงื่อนไขและแนวทางการจัดทำข้อเสนอเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ.

 

 

 

 



www.thairath.co.th

วันนี้ (12 พ.ค.)กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04

วันนี้ (12 พ.ค.)กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. ระบุว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลงอยู่ในเกณฑ์เป็นแห่งๆในระยะ 3-4 วันนี้ และจะมีฝนเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในวันที่ 15 พ.ค. นี้

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.
ภาคเหนือ มีเมฆบางส่วนกับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่พะเยา น่าน ตาก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆบางส่วนกับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัด บึงกาฬ หนองคาย ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีเมฆบางส่วนกับมีฝนฟ้าคะนองเป็นบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆบางส่วนกับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ชุมพร สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆเป็นส่วนมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วนกับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.



www.dailynews.co.th

ยูเอ็นชี้'ประชานิยม'ดันราคาอาหารในไทยพุ่ง 5%

สหประชาชาติ เตืิอนราคาอาหารที่แพงขึ้นในไทยและเอเชียแปซิฟิก กำลังส่งผลกระทบเป็นปัญหาสังคมในวงกว้าง คาดราคาอาหารในไทยจะพุ่งถึง 5% ในปีนี้ จากผลพวงนโยบายประชานิยมเพิ่มรายได้ และจากภัยธรรมชาติ...

สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หรือ ยูเนสแค็ป (UNESCAP) เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร ที่ปรากฏให้เห็นในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กำลังส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนที่อ่อนแอ และอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมที่รุนแรงในระยะยาว

จากการประเมินของยูเนสแค็ป พบว่า การพุ่งขึ้นของราคาอาหารที่มาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ทำให้ประชากรกว่า 19 ล้าน 4 แสนคนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องเผชิญกับภาวะอดอยาก สำหรับในประเทศไทย มีการคาดการณ์กันล่วงหน้าว่า ราคาอาหารในประเทศจะเพิ่มขึ้นราว 5% ในปีนี้ อันเป็นผลมาจากนโยบายประชานิยมในการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้

ทั้งนี้ ได้แนะนำการรับมือกับการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารในระยะยาว โดยประเทศไทยควรเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ด้วยการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและการปฏิวัติเกษตรกรรมสิ่งแวดล้อมด้วย องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ทันสมัยและหลากหลาย ภายใต้การอุดหนุนเงินทุนเรื่องปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกร

www.thairath.co.th

"ไอ้หนุ่มรถไถ"กำแพงเพชร แชมป์แข่งทางเลนชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1

การแข่งขันรถไถทางเลนชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1 ณ สนามแข่งภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน เพื่อหาทีมชนะเลิศทั้งประเภทสแตนดาร์ด และโอเพ่น รวมทั้งประเภทตกแต่งสวยงาม ชิงเงินรางวัลกว่า 4 แสนบาท โดยมีนายจามรวุฒิ ตำนานจิตร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด, นายวีรชัยวิภาควิทย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไปสายงานการขายและการตลาด บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด, นายวีรศักดิ์ นิลกลัด ที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดการแข่งขัน และนายไพรัช เงินมีศรี ประธานชมรมกรรมการกีฬายานยนต์ไทย ร่วมมอบรางวัล
สำหรับการแข่งขันรายการนี้เป็นการแข่งขันครั้งแรก จัดโดยสยามคูโบต้า ระหว่างวันที่ 4-5 พ.ค. 2555 โดยมีนักกีฬาเกษตรกรพันธุ์แท้จาก 6 จังหวัดภาคเหนือตอนล่างเข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ กำแพงเพชร, พิจิตร, ตาก, สุโขทัย, พิษณุโลกและนครสวรรค์ โดยมีทีมต่างๆ ได้แก่ ดงกระทิง, สหายลูกทุ่ง, บึงสามัคคี, พ่อบุญรอด จาก จ.กำแพงเพชร, ไกรทอง, เพชรพิจิตร, น้องมิว, ช่างหมาน จาก จ.พิจิตร, ช.เจริญยนต์ จ.ตาก, ช่างบ่วง จาก จ.สุโขทัย, ลั่นทุ่ง จาก จ.พิษณุโลก, ช่างโรจน์ จาก จ.นครสวรรค์ พร้อมทั้งการประกวดแต่งรถไถรุ่นสวยงามอีกด้วย
ในวันสุดท้ายแข่งขันรอบ 16 คันสุดท้าย เพื่อหาทีมเข้าไปแข่งขันในรอบต่อๆ ไป โดยในรุ่นโอเพ่น สหายลูกทุ่ง จาก อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร ที่ขับโดยฉัตรชัย แสนหาญ คว้าแชมป์ไปครองด้วยการเอาชนะดงกระทิง อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร ที่มีเสกศักดิ์ จีนประเพช เป็นผู้ขับ คว้าแชมป์พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท รวมทั้งเครื่องยนต์อาร์ที 140 ดีไอ พลัส และรถไถเดินตาม เอ็นซี พลัส ส่วนรองแชมป์รับเงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมเครื่องยนต์อาร์ที 125 ดีไอ พลัส รวมมูลค่าร่วม 100,000 บาท
ส่วนผลคู่ชิงอันดับ 3 บึงสามัคคี ชนะ สหายลูกทุ่ง ทีม 2 รับเงินรางวัล 8,000 บาท พร้อมรถไถเดินตาม เอ็นซี พลัส และอันดับ 4 รับเงินรางวัล 5,000 บาท
รุ่นสแตนดาร์ด ลั่นทุ่ง อ.เมืองฯ จ.พิษณุโลก ที่ขับโดยสามารถ อินสุวรรณ ชนะบึงสามัคคี อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร ที่ขับโดยอนันต์ อนุพันธ์ คว้าแชมป์ไปครอง คว้าเงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมเครื่องยนต์ อาร์ที 125 ดีไอ พลัส ส่วนทีมอันดับ 2 รับเงินรางวัล 10,000 บาท อันดับ 3 ช่างโรจน์ อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ รับเงินรางวัล 8,000 บาท อันดับ 4 ดงกระทิง รับเงินรางวัล 5,000 บาท
ส่วนผลการประกวด ประเภทสวยงามที่ได้รับการโหวตจากผู้ชม และคณะกรรมการได้แก่ บึงสามัคคี รับเงินรางวัล 15,000 บาท อีกทั้งยังมีรางวัลพิเศษ ทีมแข่งยอดเยี่ยม "สยามคูโบต้า แฟร์เพลย์" ได้แก่ ดงกระทิง จาก จ.กำแพงเพชร รับเงินรางวัล 10,000 บาท
สำหรับการจัดแข่งขันรถไถทางเลนชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งที่ 1 ณ จังหวัดพิษณุโลกนี้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมในการฉลองยอดขายเครื่องยนต์ดีเซลคูโบต้าครบ 2.5 ล้านเครื่องในปี 2555 ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 4 แสนบาทเพื่อสร้างความสามัคคี สร้างชื่อเสียงให้กับท้องถิ่นและทีมที่เข้าร่วมแข่งขัน และมีส่วนในการสร้างรูปแบบ กติกา และมาตรฐานใหม่ ช่วยยกระดับการแข่งขันรถไถทางเลนให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เพื่อพัฒนาให้กลายเป็นประเพณีการแข่งขันในระดับประเทศต่อไป.

www.thaipost.net

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Tablet ในมือเด็ก เศษเหล็ก หรือ ตำรา ? (ชมคลิป)

ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดงานเสวนา " Tablet ในมือเด็ก เศษเหล็ก หรือ ตำรา" วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2555 เวลา 13.00 น. – 15.00 น. ณ ห้องอิศรา อมันตกุล ชั้น 3 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย วิทยากร ประกอบด้วย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คุณวสันต์ ลิ่วลมไพศาล ผู้ร่วมก่อตั้ง http://Blognone.com คุณนันท์นภัส ศรีประเทศ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนราชวินิต กรุงเทพฯ คุณศรีดา ตันทะอธิพานิช ประธานเครือข่ายผู้ปกครองออนไลน์ พท.นพ.ยุทธพงษ์ อิ่มสุวรรณ เลขาธิการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย

เปิดฉากด้วยความกังวลของผู้ปกครอง "ศรีดา ตันทะอธิพานิช" ประธานเครือข่ายผู้ปกครองออนไลน์ ซึ่งสะท้อนปัญหาในหลายประเด็น โดยตั้งคำถามว่า "จะเอาอะไรมายัดใส่มือลูกเรา"

ชมคลิป (1)

ด้าน "นันท์นภัส ศรีประเทศ" ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนราชวินิต กรุงเทพฯ ผู้มีประสบการณ์การใช้แทปเล็ตเป็นสื่อการเรียนการสอน บอกกล่าวผลตอบรับจากเด็กๆ รวมถึงเนื้อหาที่ถูกบรรจุลงไปในแทปเล็ต

ชมคลิป (2)

ขณะที่ด้านเทคนิค "วสันต์ ลิ่วลมไพศาล" ผู้ร่วมก่อตั้ง http://Blognone.com นอกจากจะมาการันตีเรื่องประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ที่ผู้ปกครองหลายคนกังวล ยังเปิดเผยถึงผลการวิจัยของเด็กต่างประเทศที่มีโอกาสใช้แทปเล็ต พร้อมสะท้อนปัญหาที่อาจจะเกิดในเชิงเทคนิคให้ฟัง

ชมคลิป (3)

ส่วนใครที่ต้องการฟังคำตอบจาก "รัฐมนตรี" ว่าทำไมต้องเริ่มใช้แทปเล็ตกับเด็ก ป.1 ติดตามคำตอบได้จากคลิปต่อไปนี้

ชมคลิป (4)

สุดท้ายเป็นแง่มุมที่น่าสนใจจาก "พท.นพ.ยุทธพงษ์ อิ่มสุวรรณ" เลขาธิการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ถึงผลกระทบด้านสายตาที่อาจจะเกิดขึ้นหลังใช้แทปเล็ต

ชมคลิป (5)



www.matichon.co.th

ค่ายธรณีวิทยาเชฟรอนปี 7 ปลุกเยาวชนหัวใจวิทย์ฯ ติวเข้มให้ความรู้เรื่องดินหินแร่

บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ได้ร่วมมือกับภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดค่ายธรณีวิทยาปีที่ 7 เพื่อให้ความรู้เรื่อง หิน ดิน แร่ แผนที่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกี่ยวข้องกับธรณีวิทยา เช่น การเกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ตลอดจนความสำคัญของวิชาธรณีวิทยากับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาทั่วประเทศ โดยในปีนี้มีนักเรียนมัธยมศึกษาเข้าร่วม 32 คน จากโรงเรียนชั้นนำทั่วประเทศ

นางจิตติมา รุจิรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเชฟรอนได้เห็นถึงความสำคัญของบุคลากรที่ทำงานด้านธรณีวิทยาซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการสำรวจแหล่งพลังงานของประเทศ โดยสภาพการณ์ปัจจุบันบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับธรณีวิทยาและมีความเชี่ยวชาญด้านธรณีศาสตร์ปิโตรเลียมยังมีน้อยและไม่เพียงพอกับความต้องการของประเทศ เชฟรอนจึงมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่หันมาสนใจศึกษาต่อทางด้านธรณีวิทยา เพื่อเพิ่มบุคลากรในสาขานี้ให้มากขึ้น โดยในปีนี้ถือเป็นปีที่ 7 ที่เชฟรอนจัดค่ายธรณีวิทยาขึ้น ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการให้ความรู้ และออกแบบเนื้อหา เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับนักเรียนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม

สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดค่ายในครั้งนี้ นางจิตติมาให้ข้อมูลว่า เพื่อพัฒนาและส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการศึกษา ตลอดจนความสำคัญของวิชาธรณีวิทยาในประเทศไทย รวมถึงยังต้องการผลักดันให้วิชาธรณีวิทยากลายเป็นอีกวิชาชีพหนึ่งที่นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสนใจเลือกเรียน เนื่องจากบทบาทของนักธรณีวิทยาในปัจจุบันไม่ได้มีความรู้แค่เรื่องหินดินทรายแร่ธาตุเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งในปีนี้มีนักเรียนที่สมัครเข้าร่วมโครงการค่ายธรณีวิทยาทั่วประเทศทั้งสิ้น 200 คน ซึ่งทางบริษัทเชฟรอนได้ทำการทดสอบด้านความรู้และคุณสมบัติของนักเรียนที่จะมาเข้าค่ายที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยในปีนี้มีนักเรียนที่สามารถผ่านการคัดเลือกมีจำนวน 32 คน จาก โรงเรียนชั้นนำ 23 แห่งจากทั่วทุกภาค ในวงการบ้านเราการเรียนในภาควิชาธรณีวิทยาอาจจะไม่กว้างขวางมากนัก แต่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล กล่าวถึงความร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถึงการจัดค่ายธรณีว่า ทางเชฟรอนเองได้สนับสนุนโครงการนี้มา 7 ปี แล้ว และจะเดินหน้าต่อไป เพื่อจุดประกายให้นักเรียนเยาวชนรุ่นต่อไปเกิดความสนใจในการเรียนต่อด้านธรณีวิทยา ซึ่งทำแล้วมีประโยชน์ต่อประเทศชาติก็ต้องทำต่อไป และในปีนี้เชฟรอนดำเนินธุรกิจครบ 50 ปีในการพัฒนาพลังงานและพัฒนาประเทศไทย ก็อยากจะสร้างนักธรณีวิทยาให้เข้ามาพัฒนาประเทศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ด้าน รศ.ดร.พิษณุ วงศ์พรชัย อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ กล่าวว่า “สำหรับหลักสูตรและเนื้อหาของการเข้าค่ายในครั้งนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ก็คือ ส่วนแรกเป็นเรื่องการให้ความรู้และข้อมูลในการศึกษาเกี่ยวกับแร่และหิน ส่วนที่สองก็คือการศึกษาเกี่ยวกับแผนที่ภูมิประเทศ แผนที่ทางธรณีวิทยา ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม การสำรวจธรณีวิทยา และการสำรวจธรณีฟิสิกส์ รวมถึงการลงมือปฏิบัติในภาคสนามเพื่อเก็บตัวอย่างหิน กำหนดตำแหน่งจุดเก็บตัวอย่างลงในแผนที่ ซึ่งเนื้อหาและหลักสูตรทั้งหมดนี้จะสามารถตอบโจทย์ให้กับนักเรียนได้ เพราะบางทีคนที่ชอบวิชานี้อยู่แล้วก็อาจจะมีความชอบและสนใจเพิ่มมากขึ้น จะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจเลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้”

เชฟรอนดำเนินธุรกิจด้วยหลักการปฏิบัติงานด้วยความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินนโยบายด้านสังคมซึ่งเน้นเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สังคมได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง โดย เชฟรอนเชื่อมั่นและให้ความสำคัญในศักยภาพของ “คน” ในการสร้างสรรค์ และลงมือทำ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นกับสังคม โดยเริ่มจากภายในสู่ภายนอก คือ สร้างพลังใจ โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนัก ปลูกจิตสำนึก ค่านิยมที่ต้องการทำความดี และสร้างประโยชน์ให้สังคมให้เกิดขึ้นก่อน จากนั้นก็สนับสนุน “พลังคน” เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย โดยการสนับสนุนทั้งในรูปแบบของการให้องค์ความรู้ และงบประมาณ รวมไปถึงความร่วมมือในลักษณะของการเป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง



www.newswit.com

ธนาคารโลกเผยประเทศไทยมีความยากจนลดลง คนไทยรายได้สูงขึ้น เพราะเหตุใด?


นางแอนเน็ต ดิกสัน ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงานการบริหารการเงินการคลังสาธารณะของประเทศไทยว่า ธนาคารโลกสำรวจพบว่า ประเทศไทยมีความยากจนทางรายได้ลดลงจากเดิมค่อนข้างมาก ประชากรมีรายได้สูงขึ้น แต่ความเหลื่อมล้ำยังอยู่ในระดับสูง แทบจะไม่มีการปรับตัวดีขึ้นเลยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ จากความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นมาจากการกระจุกตัวของการกระจายรายได้ ที่ยังอยู่ในเขตเมืองหลวงมากกว่าต่างจังหวัด โดยมีอยู่ 3 ปัจจัย ที่นำมาสู่ความไม่เสมอภาคประกอบด้วย

1.การกระจุกตัวของงบประมาณและการให้บริการสาธารณะ

2.โครงสร้างการปกครองท้องถิ่นของไทยมีความซ้ำซ้อนในหน้าที่รับผิดชอบมากเกินไป และ

3.การติดตามและประเมินผลงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยังไม่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ธนาคารโลกเสนอแนะว่า ควรลดความซ้ำซ้อนของอปท. จากปัจจุบัน เนื่องจากอปท. ที่มีประชาชนในความดูแลน้อยกว่า 5,000 คน มีจำนวนมากถึง 3,000 แห่ง ซึ่งการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพต้องมีประชาชนมากกว่า 10,000 คน ขณะเดียวกัน หากควบรวมอปท.ไม่ให้ซ้ำซ้อนมากเกินไปได้ ก็จะทำให้การจัดการด้านงบประมาณจะทำได้ดีขึ้น ทั้งเรื่องการจัดการทางภาษีท้องถิ่นที่จะเพิ่มงบประมาณต่อหน่วยงานได้มากขึ้น แต่รัฐบาลต้องปรับปรุงให้การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น จนถึงหน่วยงานท้องถิ่นไม่มีรอยตะเข็บ เพื่อให้เงินงบประมาณลงสู่ท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด



www.matichon.co.th

นายสตีเฟ่น กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บริษัท แอคเซลเล้นซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า...

นายสตีเฟ่น กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บริษัท แอคเซลเล้นซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ โดยทางบริษัท เอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านไอทีที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านการให้คำปรึกษา การบูรณาการระบบ และการสรรหาทรัพยากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อันดับ 6 ของโลก มีพนักงานกว่า 57,000 คน ดำเนินงานใน 34 ประเทศทั่วโลก เข้ามาถือหุ้นและเป็นพันธมิตรทางธุรกิจไปพร้อมๆ กัน ในสัดส่วน 53% โดยตนถือหุ้นประมาณ 40% ที่เหลือเป็นทีมผู้บริหารคนไทยอีก 7% และได้ทำการเพิ่มทุนจาก 250 ล้านบาทเป็น 500 ล้านบาท

การถือหุ้นในครั้งนี้ถือเป็นการรวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน โดยเอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ป มีความโดดเด่นในด้านโซลูชันและความรู้ความชำนาญในธุรกิจการใช้บัตรและการชำระเงินบนระบบต่างๆ อาทิ ระบบข้อมูลเครดิตและการเงิน หรือซีเอเอฟไอเอส รวมไปถึงโซลูชันต่างๆ ที่เอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ป มีในแต่ละประเทศ ขณะที่ทางแอคเซลเล้นซ์มีจุดแข็งในเรื่องฐานลูกค้าและระบบดำเนินการบัตรเครดิตสำหรับสถาบันการเงินที่ครอบคลุมธุรกิจในหลากหลายสาขา นอกจากจุดแข็งด้านระบบบัตรเครดิตและการชำระเงินแล้ว แอคเซลเล้นซ์ยังดำเนินธุรกิจด้านบริการให้คำปรึกษา ระบบการวิเคราะห์และตัดสินใจทางธุรกิจ หรือบีไอ ระบบคลังข้อมูล

"ต้องยอมรับว่าการเข้ามาถือหุ้นในครั้งนี้ของเอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ป ไม่มีความซ้ำซ้อนการทำตลาดของบริษัท เอ็นทีที ดาต้า ประเทศไทย แต่ประการใด ตรงกันข้ามกลับเสริมกันมากกว่า กลุ่มลูกค้าหลักของแอคเซลเล้นซ์เป็นตลาดทางการเงินประมาณ 90% ขณะที่ตลาดหลักของเอ็นทีที ดาต้าในประเทศไทยเป็นกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นทางด้านโรงงานอุตสาหกรรม"

นายเรียวจิ ฟูกาย่า กรรมการบริหาร และประธานเอ็นทีที ดาต้า เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า ทางเอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ปได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัทคล้ายๆ กับร่วมทุนในประเทศไทยกับบริษัท แอคเซลเล้นซ์ หากรวมประเทศไทยด้วยก็จะมีการลงทุน 7 ประเทศในภูมิภาคนี้ ประกอบไปด้วย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เวียดนาม และไทย ซึ่งการลงทุนในแต่ละประเทศจะลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่แตกต่างกันไป ซึ่งทำให้สามารถนำโมเดลที่ประสบความสำเร็จในแต่ละประเทศมาใช้ในอีกประเทศหนึ่ง หรือนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะกับประเทศนั้นๆ ได้ทันที หรือร่วมมือกันในการทำตลาดในประเทศนั้น ซึ่งนั่นจะทำให้แอคเซลเล้นซ์ก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทอินเตอร์เนชันแนลในที่สุด

เวลานี้รายได้ของเอ็นทีที ดาต้า ประเทศไทย ประมาณ 80% เป็นรายได้จากตลาดโรงงานอุตสาหกรรม เป็นรายได้จากตลาดภาครัฐและตลาดการเงินอย่างละ 10%

"เหตุผลที่ลงทุนในบริษัทแอคเซลเล้นซ์ ก็เพราะมีความเชื่อมั่นในบุคลากรคนไทยว่ามีความสามารถทางด้านระบบไอทีไม่แพ้ประเทศอื่น"

นายสตีเฟ่นกล่าวอีกว่า เวลานี้รายได้หลักๆ ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการวางระบบไอทีถึง 85% ที่เหลือเป็นรายได้จากตลาดเอาต์ซอร์สซิ่ง 15% แต่หลังจากที่เอ็นทีที ดาต้าเข้ามาถือหุ้น ก็จะทำให้บริษัทมีความพร้อมทางด้านการเงินเพียงพอที่จะขยายงานในส่วนของตลาดเอาต์ซอร์สซิ่งในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้จากตลาดเอาต์ซอร์สซิ่งไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจการเงิน ประกันภัย อุตสาหกรรม รวมถึงตลาดภาครัฐน่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทถึง 40% โดยจะเป็นทั้งงานในส่วนที่เป็นเอาต์ซอร์สซิ่งให้กับหน่วยงานโดยตรง กับโมเดลเอาต์ซอร์สซิ่งที่เป็นแบบทรานเซกชันเบส ในลักษณะคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนการใช้งานซึ่งจะเป็นส่วนที่จะสร้างรายได้ในระยะยาวให้บริษัทในอนาคต

"คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจจะเห็นโมเดลทรานเซกชันเบสที่เป็นลักษณะของเน็ตเวิร์กกลาง ที่ทุกรายเข้าแชร์เน็ตเวิร์กร่วมกัน"

ด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด จะมีเพียงแต่ผู้บริหารจากเอ็นทีที ดาต้าเข้ามานั่งในตำแหน่งคณะกรรมการบริหารของบริษัทจำนวน 4 คนเท่านั้น ทำให้ไม่มีแผนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อระดมทุนแต่ประการใด เพราะเอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ปมีความมั่นคงทางด้านการเงินอยู่แล้ว

Company Relate Link :
Accellence
NTT Data Group

manager.co.th

มาร์คประเมิน9เดือนรัฐไม่ตอบโจทย์ประเทศไทย

"อภิสิทธิ์" ประเมินผลงาน 9 เดือนรัฐบาลไม่ตอบโจทย์ประเทศไทย จี้ปรับปรุงแก้ไข

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นถึงการบริหารประเทศในช่วง 9 เดือนของรัฐบาลว่า รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้กับประชาชน แถมส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจหลายส่วนทั้งการส่งออกและเงินเฟ้อ ส่วนด้านการเมืองยังทำให้เกิดความวิตกในประเด็นที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ขณะที่จุดยืนการปรองดองไม่ชัดเจน ทั้งหมดถือว่าตอบโจทย์ประเทศไทยไม่ได้

"9 เดือนที่ผ่านมาไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับประเทศเหมือนที่ทางพรรคเพื่อไทยเคยให้ความหวังไว้ แล้วก็หลายเรื่องนั้นสวนทางจากเดิมที่บอกว่ายกเลิกกองทุนน้ำมัน ตอนนี้ไล่เก็บเงินประชาชนเข้ากองทุนน้ำมันอย่างเดียว แล้วก็ความพยายามในการขึ้นค่าก๊าซ ค่าไฟ ก็ยังมีต่อเนื่อง แม้ว่าในขณะนี้จะมีการพยายามมาบอกว่าช่วงเดือนพฤษภาฯ จะพยายามตรึงอยู่ก็ตาม 9 เดือนนะครับ ผมคิดว่ามันก็ถ้าบอกว่าอายุรัฐบาล 4 ปีนั้น ก็ยังไม่ถึง 1 ใน 4 ผมว่าก็เป็นโอกาสดี รัฐบาลก็ไปทบทวนตนเองปรับปรุงแก้ไขเสีย"นายอภิสิทธิ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากรัฐบาลดำเนินการตามนโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ เงินในกระเป๋าของประชาชนคงจะไม่ลดลง เพราะพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะเพิ่มรายได้และจะลดรายจ่ายให้ ทั้งเรื่องค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท

แต่ขณะเดียวกัน มาตรการที่มารองรับผลกระทบอีกด้านจากนโยบายดังกล่าวที่มีต่อผู้ประกอบการก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีคำตอบให้เขา จึงเป็นที่มาของเสียงของการสะท้อนจากนักเศรษฐศาสตร์และทางหอการค้าความล้มเหลวจุดนี้ก็ยังส่งผลกระทบมให้เกิดการทรุดลงของการส่งออก

"ในแง่ของเศรษฐกิจจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจ นายกรัฐมนตรียอมรับว่าเงินในกระเป๋าลดลง นักเศรษฐศาสตร์ต่าง ๆ ก็มองด้วยความกังวลว่าเศรษฐกิจขณะนี้เจอทั้งภาวะเงินเฟ้อ แล้วก็ดูเหมือนกับว่าจะเจอลักษณะความฝืดเคืองพร้อม ๆ กันไปด้วย ท่ามกลางความไม่ชัดเจนในเรื่องของการที่จะรักษาวินัยทางการเงินการคลัง ตั้งแต่เรื่องการแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทยมาจนถึงเรื่องของการกู้เงิน แล้วก็นโยบายประชานิยมที่ไม่มีคำตอบในเรื่องของรายได้เลย ด้านเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายน่าจะเห็นพ้องต้องกัน"นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในด้านการเมืองนั้นขณะนี้ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกในสังคมเป็นว่าความขัดแย้งกำลังลดลงหรือเราจะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีแต่ความวิตกกังวลกันว่า วิธีการที่พยายามผลักดันในสิ่งเหล่านี้กำลังนำไปสู่ปมความขัดแย้งใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคม

เช่นเดียวกับงานด้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเสริมสร้างบรรยากาศการปรองดอง การส่งเสริมรณรงค์ให้ประชาชนรักเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์นั้ ซึ่งรัฐบาลมีจุดยืนที่ไม่ชัดเจน คนในรัฐบาลออกมาแสดงทิศทางอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับมีคนในแวดวงเดียวกันออกมาเดินไปในอีกทิศทาง

"มีปัญหาพื้นฐานในขณะนี้ว่ารัฐบาลมีจุดยืนอย่างไรแน่ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการจุดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง อย่างเช่นเรื่องมาตรา 112 ก็ดี หรือเรื่องการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก็ดี จะเห็นได้ว่าในทางสาธารณะก็จะต้องมีคนในรัฐบาลมาแสดงออกในทิศทางที่มันควรจะเป็น แต่ในทางปฏิบัติก็ปล่อยปละให้กับคนที่อยู่ในแวดวง หรือคุ้นเคยกับตนเองเดินไปอีกคนละแนวเลย"นายอภิสิทธิ์ กล่าว



www.posttoday.com

“น้ำตกภูซาง” น้ำตกน้ำอุ่น แห่งเดียวในไทย

ถ้าพูดถึงน้ำตกทุกคนคงคิดถึงความเย็นสบายชุมฉ่ำ แต่วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาทุกคนไปรู้จักอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของประเทศไทย น้ำตกภูซาง น้ำตกน้ำอุ่นแห่งเดียวในประเทศไทยที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติภูซาง จ.พะเยา

น้ำตกภูซาง ตั้งอยู่บนเทือกเขา ดอยผาหม่น เกิดจากสายน้ำอุ่นที่ไหลมาจากผาหินปูน มีความสูงประมาณ 25 เมตร มีน้ำไหลสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ความน่าอัศจรรย์ชองน้ำตกแห่งนี้คืออุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ประมาณ 35 องศาเซลเซียส เป็นกระแสน้ำอุ่นแตกต่างจากน้ำตกทั่วไป อีกทั้งน้ำยังใสไม่มีกลิ่นกำมะถัน สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายตัว ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ชาวบ้านรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างถิ่นจะเดินทางมาพักผ่อนเป็นจำนวนมาก ยิ่งในฤดูหนาวจะมีไอหมอกปกคลุมจนเกือบไม่เห็นพื้นน้ำ เป็นภาพที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ

บริเวณเหนือน้ำตกภูซาง มีเส้นทางชมป่าต้นน้ำ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูซางประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำซับอุ่นตามธรรมชาติอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำตกภูซางอยู่ในบริเวณใกล้เคียง สภาพป่าโดยรอบเป็นป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์ ด้วยความที่เป็นจุดที่มีธารน้ำอุ่นผุดขึ้นจากใต้พื้นดิน ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยพรรณไม้แปลกตาและหาชมได้ยาก ภายในอุทยานแห่งชาติภูซาง ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น ดอยผาดำ ถ้ำน้ำ ถ้ำน้ำลอด ถ้ำผาแดง น้ำตกห้วยโป่งผา เป็นต้น

อุทยานแห่งชาติภูซาง อยู่ที่ ต.ภูซาง อ.ภูซาง จ.พะเยา เปิดบริการตั้งแต่ 08.30 – 18.00 น. มีสถานที่กางเต็นท์และบ้านพักรับรองไว้คอยบริการสำหรับนักท่องเที่ยว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0 5440 1099

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์



www.dailynews.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ยูเอ็นเอดส์ ชมแผนสู้โรคเอดส์ของไทย ชี้สอดรับกับสหประชาชาติ

"วิทยา" โว ยูเอ็นเอดส์ ชมยุทธศาสตร์ชาติต่อสู้โรคเอดส์ไทย 2555-2559 ป่วย-ตายเป็นศูนย์ ย้ำ ทำงานสอดรับกับองค์การสหประชาชาติ

วันนี้ (10 พ.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการหารือกับ พญ.นาฟิส ซาดิค (Dr.Nafis Sadik) ที่ปรึกษาพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติและผู้แทนพิเศษด้านเอชไอวีเอดส์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยูเอ็นเอดส์) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านนโยบายการแก้ไขปัญหาเอดส์ ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า พญ.นาฟิส ได้ ชื่นชมผลงานการป้องกันแก้ไขปัญหาเอดส์ตลอดช่วง 28 ปีของประเทศไทย ที่ประสบผลสำเร็จยอดเยี่ยม และไทยยังเป็นประเทศต้นๆ ในโลก ที่ประกาศใช้แผนยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติฉบับ พ.ศ.2555-2559 เป็นแผนที่ดีเยี่ยม มีวิสัยทัศน์สู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์ 3 ประการ สอดรับกับนโยบายขององค์การสหประชาชาติ ได้แก่ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีการตายเนื่องจากเอดส์ และไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติ โดยใช้งบประมาณทั้งหมด 43,790 ล้านบาท ภายในปี 2559 ไทยตั้งเป้าลดผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือไม่เกิน 4,900 ราย

นายวิทยา กล่าวต่อว่า สถานการณ์โรคเอดส์ของไทย จากการคาดประมาณตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ใน พ.ศ.2554 คาดว่า มียอดสะสม 1,148,117 คน ยังมีชีวิต 481,770 คน และคาดว่า จะมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ 10,097 คน พบมากในกลุ่มฉีดยาเสพติดเข้าเส้น ร้อยละ 30-40 กลุ่มชายรักชาย ร้อยละ 10 พนักงานบริการชาย ร้อยละ 16 พนักงานบริการหญิง ร้อยละ 3 ในปี 2552 ไทยมีค่าใช้จ่ายในการดูแลป้องกันและรักษาโรคเอดส์ทั้งสิ้นจำนวน 7,208 ล้านบาท โดยร้อยละ 76 เป็นงบด้านการรักษาพยาบาลและเวชภัณฑ์ 5,483 ล้านบาท ที่เหลืออีกร้อยละ 14 เป็นงบการป้องกันโรค 987 ล้านบาท

นายวิทยา กล่าวต่อไปว่า แพทย์หญิง นาฟิส ได้ขอให้ไทยเพิ่มมาตรการในการลดปัญหาการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มฉีดยาเสพติดเข้าเส้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อสูงสุดในปี 2554 ซึ่งตามแผนยุทธศาสตร์เอดส์ชาติฯ ของไทยในช่วง 5 ปีจากนี้ไป จะเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ 1.การแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยาสะอาด (Drop in center) เพื่อป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ ขณะนี้เริ่มดำเนินการแล้ว 19 จังหวัด เช่น กทม. เชียงใหม่ สงขลา ปทุมธานี 2.การรักษาด้วยเมทธาโดนให้เลิกเสพยา 3.การส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย และ 4.การลดการตีตราผู้ติดยา ทั้ง 4 เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดพื้นที่นำร่องโครงการบำบัดยาเสพติดแบบองค์รวมดำเนินการทั้ง 4 เรื่องนี้ ใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และสงขลา

นอกจากนี้

manager.co.th

Fitch Ratingsยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของไทย พร้อมคาดศก.ไทยปีนี้โต 5.5%

 

นายจักรกฤศฏิ์  พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Ratings (Fitch)  เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 ว่า

Fitch ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทของรัฐบาล (Foreign and Local Currency Long-Term Issuer Default Rating: IDR) ที่ระดับ BBB และ A- ตามลำดับ ด้วยแนวโน้มที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) พร้อมทั้งยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินตราต่างประเทศของรัฐบาล (Foreign Currency Short-Term Issuer Default Rating) ที่ระดับ F3 และเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling) ที่ระดับ BBB+

 

โดย Fitch เห็นว่า การยืนยันอันดับและแนวโน้มความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในครั้งนี้สะท้อนถึงสถานะการเงินต่างประเทศที่เข้มแข็งและสัญญาณของเสถียรภาพทางการเมืองหลังจากการเลือกตั้งอย่างสันติในปี พ.ศ. 2554 อย่างไรก็ดี Fitch ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเสื่อมสลายของความโปร่งใสทางการคลังและการบริหารจัดการนโยบายของรัฐ ในขณะเดียวกันภาคธนาคารพาณิชย์ก็ยังถูกจับตามองจากอัตราการปล่อยสินเชื่อที่ขยายตัวขึ้นมาก

การเลือกตั้งในปี 2554 ได้เป็นไปอย่างสงบและดำเนินการอย่างเป็นอิสระและยุติธรรม และนำไปสู่การเปลี่ยนโอนอำนาจอย่างมีระเบียบ อย่างไรก็ดี Fitch เห็นว่า ยังเป็นการเร็วเกินไปหากจะสรุปว่าปัญหาการแบ่งแยกทางการเมืองที่หยั่งลึกของประเทศไทยได้รับการแก้ไขแล้ว โดยยังคงเชื่อว่าประเทศไทยยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์การเมืองขึ้นได้ ทั้งนี้ Fitch ไม่เห็นว่า ความตึงเครียดทางการเมืองจะเป็นข้อจำกัดต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย

Fitch คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 5.5 ในปี 2555 หลังจากที่ไม่มีการขยายตัวในปี 2554 จากการที่ประเทศได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วม โดยเห็นว่า เหตุการณ์น้ำท่วมส่งผลกระทบเพียงชั่วคราวต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยในช่วง 5 ปีหลังของไทยที่ไม่รวมผลกระทบจากน้ำท่วมในช่วงปี 2550 – 2554 ที่ร้อยละ 3.3 ยังคงไม่เข้มแข็งกว่าประเทศในกลุ่ม BBB   ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่  ร้อยละ 2.9 อย่างชัดเจน โดยประเทศไทยมีความอ่อนแอด้านโครงสร้างในภาพรวมซึ่งรวมถึงรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่ต่ำ (เท่ากับ 5,000 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ค่ากลางของประเทศกลุ่ม BBB เท่ากับ 8,800 เหรียญสหรัฐ) และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
 
นอกจากนี้ การตอบสนองต่อเหตุการณ์น้ำท่วมและนโยบายการค้ำประกันภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดปัจจุบันจะทำให้สัดส่วนหนี้ของรัฐบาลสูงขึ้นและเข้าใกล้ระดับของค่ากลางของประเทศในกลุ่ม BBB อย่างไรก็ดี Fitch เห็นว่ารัฐบาลมีความยืดหยุ่นสูงในการจัดหาเงินทุน และเชื่อว่าประเทศไทยยังมีความสามารถในการก่อหนี้ได้เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบัน โดย Fitch ไม่เห็นว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการระดมทุนของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ปรับปรุงและป้องกันน้ำท่วมเป็นผลลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ Fitch มีความกังวลมากกว่าถึงแนวโน้มในการหันไปพึ่งพาช่องทางการใช้เงินนอกงบประมาณเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของรัฐบาล ตัวอย่างเช่น การมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้เงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนต่อผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งเพิ่มความกังวลต่อ ความโปร่งใสทางการคลัง 
  
Fitch ยังแสดงความกังวลถึงความไม่เห็นพ้องต้องกันในระดับหนึ่งระหว่าง ธปท. กับรัฐบาลในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยในมุมมองของ Fitch ความไม่ลงรอยกันระหว่างสถาบันหลักเป็นสัญญาณไม่ดีต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและอาจรวมถึงการขาดความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายของ ธปท. ในท้ายที่สุด ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในขณะนี้ แต่ Fitch จะจับตามองอย่างใกล้ชิด

  อัตราการเติบโตของสินเชื่อได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2554 ที่ร้อยละ 14.9 พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของธนาคารในการพึ่งพาการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศและเงินทุนที่ไม่ใช่เงินฝาก ประเทศไทยมีระบบการธนาคารที่ใหญ่โดยเริ่มจากสินเชื่อที่ให้ภาคเอกชนเท่ากับร้อยละ 132 ของ GDP ณ สิ้นปี 2554 ซึ่งเป็น 2 เท่าของค่ากลางประเทศในกลุ่ม BBB ซึ่งหากการเติบโตของสินเชื่อยังคงเป็นไปอย่างรวดเร็วก็อาจทำให้เกิดข้อกังวลได้ อย่างไรก็ดี Fitch เห็นว่า การจัดการในด้านการกำกับดูแลภาคการเงินของประเทศไทยยังมีความแข็งแกร่งในขณะที่ตัวชี้วัดทางมหภาคที่สำคัญยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เช่น สัดส่วนหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่  ร้อยละ 2.7 ณ สิ้นปี 2554 และสัดส่วนความพอเพียงของทุนของระบบธนาคาร (CAR) อยู่ที่ร้อยละ 15.1 ในปี 2554

  ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเกิดจากภาคการเงินต่างประเทศที่เข้มแข็ง สถานะการเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศสุทธิ (Net external creditor position) เท่ากับร้อยละ 41.5 ของ GDP และรายรับต่างประเทศเดินสะพัด (Current external receipt: CXR) เท่ากับร้อยละ 50 ในปี 2554 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าประเทศในกลุ่ม BBB มาก นอกจากนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศดีกว่าประเทศในกลุ่มอย่างมากเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากภาระ การชำระหนี้ต่างประเทศที่เท่ากับร้อยละ 2.5 ในปี 2554 และภาระการชำระดอกเบี้ยของหนี้ต่างประเทศต่อ CXR   ที่ร้อยละ 0.5 ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางของประเทศในกลุ่ม BBB ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.4 และ 4.8 ตามลำดับ สถานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่งได้ช่วยในการป้องกันเศรษฐกิจจากผลกระทบที่ไม่คาดฝันจากต่างประเทศได้

  Fitch เห็นว่า การเพิ่มความเชื่อมั่นให้มากขึ้นเพื่อสร้างความชัดเจนในการบริหารจัดการการคลังและการกำหนดกรอบนโยบายในการพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนจะส่งผลดีต่ออันดับความน่าเชื่อถือ การปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเพิ่มการเจริญเติบโต การลดการขาดดุลการคลัง และเสถียรภาพของระดับหนี้รัฐบาลจะส่งผลอย่างมากในการสร้างแรงกดดันเชิงบวกต่ออันดับความน่าเชื่อถือ ในทางกลับกัน การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของสัดส่วนหนี้รัฐบาลจนสูงกว่าประเทศในกลุ่ม BBB จะส่งผลลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Fitch มิได้คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิด นอกจากนี้ หากมีเหตุการณ์ที่แสดงถึงความมีเสถียรภาพทางการเมืองเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลในเชิงบวกต่อความน่าเชื่อถือของประเทศเช่นกัน

  อย่างไรก็ดี สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เห็นว่า ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของ Fitch ในครั้งนี้ยังไม่สะท้อนถึงสถานะที่แท้จริงของประเทศไทยและอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่จัดทำโดยบริษัทรายอื่น ทั้งนี้ สบน. อยู่ระหว่างการจัดทำแนวทางในการปรับปรุงปัจจัย  ที่มีผลเชิงลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทย และจะหารือกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ เพื่อปรับปรุงอันดับความน่าเชื่อถือให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสะท้อนถึงสถานะที่แท้จริงของประเทศไทยต่อไป
     
 



www.thannews.th.com

โครงการนม ช่วยลดปัญหาฟันผุในเด็กไทยกว่า 700,000 คน

สธ.10 พ.ค.- นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงการดำเนินงานโครงการ นม ป้องกันฟันผุในประเทศไทย ว่า โครงการนม ป้องกันฟันผุในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการของกรมอนามัยที่ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา โดยความร่วมมือระหว่างกรมอนามัย โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การสนับสนุนด้านวิชาการจากองค์การอนามัยโลก รวมทั้งการสนับสนุนงบประมาณบางส่วน จากมูลนิธิ The Borrow Foundation ประเทศอังกฤษ ในรูปแบบของการเสริม ผ่านทางนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนเพื่อป้องกันฟันผุ จากการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติล่าสุดในปี 2550 พบว่า เด็กอายุ 6 ปี ฟันน้ำนมผุร้อยละ 87.4 สำหรับเด็กอายุ 12 ปี ฟันแท้ผุร้อยละ 57.3 ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 12 ปี ในการดำเนินงานโครงการนม ป้องกันฟันผุในประเทศไทย มีเด็กกว่า 700,000 คน ได้ดื่มนม ที่ผลิตโดยโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา และร่วมกับโรงนมอื่น ๆ ที่ได้รับอนุญาตการผลิตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อีกรวมเป็น 19 แห่งทั่วประเทศ และในปีการศึกษา 2555 นี้ เด็กในจังหวัดกระบี่จะได้เริ่มดื่มนม.-สำนักข่าวไทย

www.mcot.net

"นะเคามวย" เปิดแถลงข่าวเป็นการเป็นงานในที่มั่นฝั่งพม่าอีกครั้ง อ้างไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด...

"นะเคามวย" เปิดแถลงข่าวเป็นการเป็นงานในที่มั่นฝั่งพม่าอีกครั้ง อ้างไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ยินดีให้ ป.ป.ส.พม่ากับ ป.ป.ส.ไทยเข้าพิสูจน์ในพื้นที่ พร้อมเหน็บกลับให้ไปจับ "ทักษิณ" มาดำเนินคดีก่อน...

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 10 พฤษภาคม 2555 ที่กองบัญชาการทหารกะเหรี่ยง โกะทูบลอ ตรงข้ามบ้านวาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก พล.ต.นะเคามวย ผู้บัญชาการกองทัพกะเหรี่ยงโกะทูบลอ พร้อมนายทหารคู่ใจจำนวนหนึ่งได้เปิดแถลงข่าวโต้หมายจับของ ป.ป.ส.ไทย ที่กล่าวหาพัวพันยาเสพติด มีค่าหัว 1 ล้านบาท โดยการแถลงข่าวครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง โดยมีผู้สื่อข่าวทุกแขนงจากประเทศไทย รวมทั้งสื่อสำนักข่าวต่างๆ ของพม่าอีกกว่า 50 คน ได้เข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด มีทหารประจำจุดต่างๆ ทั่วบริเวณและทางเข้า โดย พล.ต.นะเคามวย ในชุดทหารเต็มยศ ได้กล่าวทักทายผู้สื่อข่าวก่อนการแถลงข่าว โดยระบุว่า

"วันนี้ได้เชิญนักข่าวมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ที่มีชื่อผมไปพัวพันกับยาเสพติดและมีหมายจับ การแถลงในครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง เนื่องจากครั้งแรกมีสื่อมาไม่ครบ เรื่องนี้นานเกินไปไม่ดี เพราะผมมีภารกิจมาก ต้องพัฒนาพื้นที่เพื่อความสุขของประชาชนกะเหรี่ยง ผมจะแก้ไขและแสดงความบริสุทธิ์ใจ ผมเป็นประชาชนของพม่า ผมจะไปต่อสู้คดีที่ประเทศไทยไม่ได้เพราะผมไม่ได้ทำความผิด ประเทศไทยมี ป.ป.ส.พม่ามี ป.ป.ส.เรื่องนี้ต้องให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันตรวจสอบและมาพิสูจน์ในพื้นที่ได้ตลอดเวลา เพื่อทุกฝ่ายจะได้ให้ความยุติธรรมกับผมและประชาชนกะเหรี่ยง อดีตนายกทักษิณมีความผิด ศาลตัดสินว่ามีความผิดเต็มๆ แต่เขาหนีไปต่างประเทศ ทำไมเฉลิมไม่ไปจับตัวมาลงโทษในประเทศไทย กฎหมายไทยไม่มีความหมายเลยใช่ไหม ผมพลตรีนะเคามวย ผมไม่ได้ค้ายาเสพติด ประชาชนไม่ได้ค้ายาเสพติด ทหารไม่ได้ค้ายาเสพติด ทำไม่ผมต้องไปมอบตัวในประเทศไทย ผมทำผิดอะไร ทำไมโยนความผิดให้ผม ไปจับอดีตนายกฯ ทักษิณก่อนดีไหม เพราะเขาทำผิดต่อประเทศไทยจริงๆ ไม่ใช่ผม ผมพยายามต่อสู้เพื่อสันติภาพของชาวกะเหรี่ยงเพื่ออิสรภาพในการดำรงชีวิต เรายินดีสร้างความปรองดองกับรัฐบาลพม่าเพื่อพัฒนาบ้านเมือง

นอกจากนี้ พลตรีนะเคามวยยังกล่าวอีกว่า หลายฝ่ายคงสงสัยเรื่องผมเอาเงินที่ไหนมาบำรุงกองทัพถ้าไม่ค้ายาเสพติด ในพื้นที่ของผมมีการทำเหมืองแร่ต่างๆ มากมาย การทำไม้ รวมทั้งการทำการเกษตร มีรายได้มากมาย รวมทั้งทางรัฐบาลพม่าได้จัดงบมาให้ส่วนหนึ่ง ผมจึงสามารถเลี้ยงดูกองทัพได้" พลตรีนะเคามวย กล่าวในที่สุด

 



www.thairath.co.th

สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย และโรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เอ็กซ์ ซีเนม่า

สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ร่วมกับ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เอ็กซ์ ซีเนม่า จัดงานแถลงข่าวงานเทศกาลภาพยนตร์สวีเดน(Swedish Film Festival 2012) ครั้งแรกของประเทศไทย โดยร่วมคัดสรร 7 ภาพยนตร์คุณภาพหลากหลายอรรถรส ทั้งดราม่า, คอมเมดี้ และโรแมนติก ที่การันตีด้วยรางวัลกูลบาร์กเก่ต์ รางวัลภาพยนตร์สูงสุดของสวีเดน พร้อมจัดฉายให้คอหนังได้ชมฟรี!! ทุกเรื่อง ทุกรอบ ระว่างวันที่ 16 – 20 พฤษภาคม 2555 ที่โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เอ็กซ์ ซีเนม่า ชั้น 6 ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ที่เดียวเท่านั้น

เรื่องย่อ : จอร์จพ่อม่ายผู้มีปัญหาทางสายตา ได้รับรู้ถึงแผนการของลูกๆที่ต้องการจะแย่งชิงทรัพย์สมบัติไปจากเขาก่อนที่เขาจะตาย ทำให้จอร์จต้องเผชิญกับทางเลือกที่สำคัญของชีวิตของเขา ซึ่งหลังจากที่จอร์จจับได้ว่ามาเรียแม่บ้านของเขาทำการขโมยของ จอร์จจึงได้บังคับให้มาเรียช่วยเหลือในแผนการที่จะตอบโต้กับลูกๆ การต่อสู้ภายในครอบครัวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อลูกๆของจอร์จก็ได้ค้นพบความลับว่า จอร์จแอบมีภรรยาลับอยู่ที่ฝรั่งเศส

เรื่องย่อ : สร้างจากนวนิยายที่ขายดีที่สุดของ Christina Herrstroms ซึ่งเป็นเรื่องราวของสภาพสังคมที่เหมือนกันของโรงเรียนทุกๆแห่งที่เด็กที่เด่นดังจะเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจและจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในการชี้นำเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในขณะที่เด็กเรียนและเด็กที่เงียบๆจะถูกมองเสมือนเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสำคัญSigne เป็นเด็กสาวอายุ15 ที่ฉลาดแต่ด้วยความที่เธอเป็นคนขี้อายและชอบเก็บตัวทำให้เธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกมองจากคนรอบข้างว่าเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญสภาพสังคมในโรงเรียนยังคงดำเนินไปตามแบบเดิมๆ จนกระทั่งการก้าวเข้ามาของเด็กนักเรียนสาวคนใหม่ ผู้ซึ่งนำพาความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในทุกๆ สิ่ง Signe ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ และเริ่มค้นพบว่าความขี้อายในตัวเธอกำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ และเธอก็รู้สึกว่าตัวเธอเองเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก

เรื่องย่อ : นางสาว Kicki เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรักที่ซับซ้อนของแม่คนหนึ่ง Kicki และลูกชายวัยรุ่นของเธอวิคเตอร์พยายามที่จะเชื่อมต่อกับลูกชายของเธอที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานโดยไปเที่ยวที่ไต้หวัน แต่ลูกชายไม่ทราบว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของแม่ของเขาในการเดินทางไปไต้หวันครังนี้ก็คือไปพบกับผู้ชายที่เธอเจอในโลกออนไลน์

เรื่องย่อ : Sebbe เด็กหนุ่มวัย 15 ปีที่อาศัยในอพาร์ทเม้นเล็กๆกับแม่ของเขา Sebbe รักแม่ของเขามาก ซึ่งเขาพยายามทำตัวให้เป็นเด็กดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่เคยที่จะโต้เถียงกับแม่แม้แต่ครั้งเดียว โลกของ Sebbe มีเพียงลานเก็บขยะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆที่ถูกทิ้งให้มีชีวิตชีวาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เขามีพลังในการสร้างสรรค์ เขาเป็นอิสระแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกโดดเดี่ยว และความรักสันโดษของเขานี่เองที่ทำให้โลกของเขาดูเหมือนจะแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง Sebbe รู้สึกเหมือนโลกนี้ทั้งใบมีเพียงเขากับแม่เท่านั้น และเมื่อแม่ของเขาทำให้เขาผิดหวัง ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิต และโลกของเขาจึงเสมือนถูกทำให้พังทลายลงไปจนหมดสิ้น

เรื่องย่อ : ไซมอนเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างเล็กผมสีดำสนุกสนานกับวัยเด็กในชนบทที่งดงามในสวีเดนที่เป็นเงาของสงครามโลกครั้งี่สองมาทั่วยุโรป ถึงแม้ว่าการเลี้ยงดูด้วยความรักและกฏระเบียบของพ่อแม่เขายังรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างกับคนอื่นที่โรงเรียน เมื่อเขาได้รู้ว่าเขาเป็นลูกบุญธรรมเขาเริ่มค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขา หนังเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับหนังสือที่ขายดีที่สุดจากผู้เขียนที่มีชื่อเสียงนามว่า Marianne Fredriksson’s

เรื่องย่อ :ไซมอนชายหนุ่มอายุ18 ปีซึ่งมีโรคส่วนตัวที่เรียกว่า Aspergers Syndrome ทำให้เขาชอบเรื่องอวกาศและวิทยาศาสตร์ แต่ไม่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกได้ ชีวิตไซมอนวุ่นวายเมื่อแซมพี่ชายของเขาได้ทูกแฟนของเขาทิ้ง ไซมอนเลยคิดว่าขึ้นอยู่กับเขาที่จะต้องหาแฟนใหม่ให้แซมพี่ชายเขา ไซม่อนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความรักเลย แต่เขามีแผนสุดยอด แบบแนวทางวิทยาศาสตร์

เรื่องย่อ : แก๊งมือกลองจอมประหลาดทำการโจมตีเมืองด้วยการเล่นดนตรีในแบบที่ไม่ธรรมดา เจ้าหน้าที่ Warnebring จึงได้ถูกมอบหมายให้รับผิดชอบกับคดีอันแปลกพิสดารนี้ ซึ่งในไม่ช้า การไล่ล่าผู้ก่อการร้ายทางดนตรีกลุ่มนี้ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ได้กลับกลายเป็นการไล่ล่าด้วยความอาฆาตส่วนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ



www.newswit.com

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานตัวเลขหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบสถาบันการเงิน สิ้นไตรมาสแรกของปี 2555 พบว่าตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลของระบบสถาบันการเงินได้กลับมาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย หลังจากที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา โดยสิ้นไตรมาสแรกปีนี้ระบบสถาบันการเงินมีหนี้เอ็นพีแอล (Gross NPL) ทั้งสิ้น 273,622 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.68% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นสุทธิ 4,797 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีหนี้เอ็นพีแอล 268,825 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.74% ของสินเชื่อรวม

โดยเมื่อพิจารณาหนี้เอ็นพีแอลเฉพาะของระบบธนาคารพาณิชย์ พบว่าหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์ไทยสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 260,762 ล้านบาท หรือ 2.89% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 4,035 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้าที่มียอดหนี้เสียทั้งสิ้น 256,727 ล้านบาท หรือ 2.94% ของสินเชื่อรวม ทั้งนี้ สายเสถียรภาพสถาบันการเงินระบุว่า ตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นนี้ยังไม่น่าห่วงมากนัก เนื่องจากหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นเพราะมีการขยายตัวของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยไตรมาสที่ 1ของปีนี้สินเชื่อขยายตัวประมาณ 13.3% จะเห็นว่าแม้ตัวมูลหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นแต่สัดส่วนต่อสินเชื่อรวมที่เป็นเปอร์เซ็นต์ลดลง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงซึ่งเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากน้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมา รวมทั้งค่าครองชีพของประชาชนปรับเพิ่มขึ้นจากราคาอาหาร และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อีกในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ ธปท.จับตาตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลของระบบสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง.

www.thairath.co.th

กรุงเทพฯ 10 พ.ค.-ธนาคารโลก เปิดเผยรายงานการบริหารการเงินการคลังสาธารณะของประเทศไทย...

กรุงเทพฯ 10 พ.ค.-ธนาคารโลก เปิดเผยรายงานการบริหารการเงินการคลังสาธารณะของประเทศไทย เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะของไทย โดยระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของไทยส่งผลให้ความยากจนลดลงมาก แต่การเติบโตและการบริการภาครัฐยังกระจุกตัวในกรุงเทพมหานคร (กทม.)โดยมีความเหลื่อมล้ำสูงเมื่อเทียบกับท้องถิ่น

ทั้งนี้ งบประมาณที่ใช้ด้านบริการสาธารณะร้อยละ 72 อยู่ใน กทม. ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ความท้าทายจึงอยู่ที่การพัฒนาบริการสาธารณะในระดับท้องถิ่นให้ทัดเทียมกับ กทม. และพบว่า มีความซ้ำซ้อนในการใช้งบประมาณและการทำงาน เพราะมีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. จำนวนมาก และมี อปท. กว่า 3,000 แห่ง มีประชากรไม่ถึง 5,000 คน จากตัวเลขที่เหมาะสมที่ 10,000 คน จึงควรควบรวม อปท. เหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อลดต้นทุนในการบริหารจัดการ และสามารถนำงบประมาณส่วนนี้มาจัดทำการบริการสาธารณะ ซึ่งในส่วนของไทยมีทั้งความซ้ำซ้อนในส่วนของระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น แต่ยอมรับว่า การดำเนินการควบรวมทำได้ลำบาก และถือเป็นความท้าทายด้านการเมือง รัฐบาลกลางจึงอาจออกมาตรการจูงใจให้เกิดการควบรวมโดยสมัครใจ โดยอาจเพิ่มงบประมาณกับ อปท. ที่ควบรวมกัน ซึ่งแม้แต่ในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ทำได้ลำบากเช่นกัน

ธนาคารโลก เสนอรูปแบบองค์กรระดับจังหวัดที่เหมาะสม โดยจัดตั้งสภาจังหวัดที่มี อปท. เป็นสมาชิก เพื่อเชื่อมโยงการบริหารร่วมกับรัฐบาลกลาง โดยสภานี้จะมีอำนาจทั้งด้านการบริหาร และนิติบัญญัติ ซึ่งการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด แม้จะดำเนินการโดยส่วนกลาง แต่ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาจังหวัดด้วย ซึ่งการจัดตั้งองค์กรรูปแบบนี้ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ขณะเดียวกันก็จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกันของ อปท. ด้วย-สำนักข่าวไทย


www.mcot.net

เชฟโรเลต แจ้งผลประกอบการเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทย...

เชฟโรเลต แจ้งผลประกอบการเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเติบโตเกินกว่าเท่าตัวในช่วงสี่เดือนแรกของปีนี้

บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยยอดจำหน่ายเดือนเมษายน อยู่ที่ 5,435 คัน เติบโตมากกว่าเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว 79% และมีอัตราขยายตัวตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เมษายนอยู่ที่ 111% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

รถกระบะ โคโลราโด ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ขณะที่ แคปติวา ก็ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่องด้วยตัวเลขยอดขาย 946 คัน

บริษัทฯ เริ่มต้นไตรมาสที่ 2 ปีนี้ ด้วยสัญญาณที่ดีเยี่ยม รถทุกรุ่นขายได้ด้วยคุณภาพสูงสุด และเชื่อว่าเชฟโรเลตเป็นผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งทั้งในตลาดประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทฯ ยังมีแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในไทยและภูมิภาคนี้อีกด้วย

นายอันโตนิโอ ซาร่า รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นอกเหนือจากยอดขายที่ดีแล้ว บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นด้านการบริการหลังการขาย และการดูแลลูกค้า โดยเพิ่มเปิดแคมเปญรับรองการซ่อมบำรุง หรือ Cost of Maintenance Guarantee สำหรับเชฟโรเลต โคโลราโด ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้คำรับรองลูกค้าว่า ค่าบำรุงรักษาโคโลราโดในช่วง 3 ปีแรก หรือ 100,000 กม.นั้น ไม่เกิน 19,900 บาท

นอกจากประเทศไทยแล้ว เชฟโรเลต ยังมีผลประกอบการที่ดีทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย มียอดขาย 150 คันในเดือนเมษายน เติบโตมากกว่าปีที่แล้ว 38% และนับตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เมษายนเติบโต 43% ในอินโดนีเซีย เชฟโรเลต มียอดขายเดือนเมษายน 436 คัน เติบโต 59% และเดือนมกราคม ถึง เมษายนโตที่ 9% ขณะที่ในฟิลิปปินส์ ยอดขายเดือนเมษายนอยู่ที่ 205 คัน เติบโต 42% และ 4 เดือนแรกของปีนี้เติบโต 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

นอกเหนือจากตลาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งในภูมิภาคนี้แล้ว ในสิงคโปร์ก็มียอดจำหน่ายที่แข็งแกร่งเช่นกัน ด้วยตัวเลข 225 คัน อัตราเติบโตเดือนเมษายน 63% และ 4 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 92%



www.banmuang.co.th

Digital Agenda Thailand กับสัมมนาครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “มองมุมใหม่...

'อะไร คือ ความเท่าเทียมกันทางสังคมในยุคดิจิตอล อะไร คือ ผลประโยชน์ของประชาชน อะไร คือ โอกาสของประเทศไทย' พบคำตอบได้ที่งานสัมมนา “มองมุมใหม่... ทีวีดาวเทียมและโมบายล์ทีวี” ในวันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 08.30–15.30 น. ณ ห้องบอลรูม ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

รศ.สุธรรม อยู่ในธรรม คณบดี คณะนิติศาสตร์ และ ประธานสถาบันวิชาการนโยบายสาธารณกับธุรกิจ และการกำกับดูแล (APaR) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า Digital Agenda Thailand เป็นโครงการหรือ Mission ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สถาบันนโยบายสังคมและเศรษฐกิจ (ISEP) และ เอ๊ซ (ACE) ในฐานะผู้จัดงาน ได้ริเริ่มจัดขึ้นโดยมีเป้าประสงค์ในการเป็นตัวกลางที่รวบรวม ค้นหา และส่งผ่านความรู้ ประสบการณ์ และผลกระทบในทุกแง่มุมที่เกี่ยวกับด้าน Digital จากทั่วโลกมาสู่คนไทย โดยถ่ายทอดผ่านกิจกรรมหลักคือการจัดสัมมนาให้ความรู้เชิงวิชาการและข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเทคโนโยลีดิจิทัลที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทต่อประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการสื่อสารและโทรคมนาคมของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการพลิกโฉมประเทศไทยให้เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการศึกษา เช่นเดียวกับที่หลายๆ ประเทศทั่วโลกได้นำเรื่องของเทคโนโลยีระบบดิจิทัลมาเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศมาแล้ว อาทิ ญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรปและอีกหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย

นอกจากนี้ ผลสืบเนื่องมาจาก พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบและมีการแต่งตั้งสำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งอำนาจหน้าที่มิได้มีเพียงการจัดสรรคลื่นความถี่ การออกใบอนุญาตประกอบกิจการหรือการประมูลคลื่นความถี่ 3G เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ทั้งระบบอีกด้วย โดยเฉพาะหน่วยงานรัฐบาลที่เป็นผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่จะต้องคืนคลื่นความถี่และสัญญาสัมปทานแล้วมาร่วมประมูลกันใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการตลอดจนประชาชนทั่วไปควรรับทราบและศึกษาให้ถี่ถ้วน

ที่ผ่านมา ผู้ริเริ่มโครงการ Digital Agenda Thailand ได้จัดการสัมมนาผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ “ทิศทางและโอกาสของธุรกิจวิทยุและโทรทัศน์ยุคใหม่” เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555 และครั้งที่สอง เรื่อง “มาตรฐานโทรทัศน์ระบบดิจิทัลสำหรับประเทศไทย” เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยได้รับการตอบรับจากสื่อมวลชนหลายแขนง ภาครัฐบาล นักธุรกิจ หน่วยงานจากต่างประเทศ รวมถึงประชาชานทั่วไปเป็นอย่างดี

อนึ่งทางคณะจัดงานได้เล็งเห็นถึง Satellite TV และ Mobile TV จะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญมากและถึงขั้นจะเป็นเครื่องมือหลักในวงการการสื่อสาร เพราะภายในห้าปีต่อจากนี้ เทคโนโลยีระบบดิจิทัลจะต้องเข้ามามีบทบาทต่อประเทศไทย ทำให้การส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร และสามารถรับสัญญาณวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ระบบดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก นอกจากนี้การเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเสรีของเทคโนโลยียังเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยมีโอกาสเรียนรู้ ต่อยอดความรู้ทางเทคโนโลยี รวมถึงยังเป็นส่วนผลักดันให้เกิดการส่งเสริม สนับสนุน และการวิจัยและพัฒนาถึงความเป็นเลิศของเทคโนโลยี กลไกตลาดที่จะเปลี่ยนไป ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมของประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย จึงได้ร่วมกันจัดสัมมนาครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “มองมุมใหม่... ทีวีดาวเทียมและโมบายล์ทีวี” ขึ้น โดยมี International Telecommunication Union (ITU) ร่วมเป็นวิทยากรหลักด้วยอีกครั้ง

ในงานสัมมนาครั้งนี้ ท่านจะได้รับทราบถึงความรู้เชิงวิชาการและข้อเท็จจริงอันจะเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบของเทคโนโลยีระบบดิจิทัลที่จะเข้ามามีบทบาทต่อประเทศไทย และเหตุผลที่ทำไม Satellite TV และ Mobile TV อาจจะมีเบทบาทเป็นตัวกลางในการสื่อสารและการเข้าถึงของข้อมูลมากที่สุดก็ว่าได้ ทั้งนี้ทาง ITU ก็จะมาเล่าถึงกรณีศึกษาต่างๆ ที่เกระทบกับความเท่าเทียมกันทางสังคมในยุค TV Digital ในหลายๆ ประเทศ ซึ่ง กสทช. ก็จะมาให้ความกระจ่างในเรื่องของบทบาทขององค์กรกำกับดูแลในมิติทางสังคม การจัดสรรคลื่นความถี่ใบอนุญาตและการส่งเสริม และยังรวมไปถึงวิทยากรชั้นนำที่เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ และผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการ Satellite TV และ Mobile TV ยังมาร่วมถกถึงการมองมุมใหม่ หนทางในอนาคน กลยุทธ์ รูปแบบธุรกิจ และรูปแบบของการสื่อสารแนวใหม่ บนเวทีเดียวกัน ในวันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 08.30–16.00 น. ณ ห้องบอลรูม ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เอ๊ช(ACE) โทร. 02-254-8282-3 โทรสาร 02-254-8284 หรือ อีเมล์ info.acethailand@gmail.com



www.newswit.com

แก้กฎหมายฟอกเงินเรื่องด่วนที่ถูกลืม

โดย...ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์ ชลลดา อิงศรีสว่าง

เรื่องเล็กที่รัฐบาลมองข้าม แต่กำลังจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในเร็วๆ นี้ คือ เรื่องที่ประเทศไทยขึ้นแบล็กลิสต์ จัดอยู่กลุ่มประเทศ “สีเทา” ที่ The Financial Action Task Force (FATF) องค์กรต่อต้านการฟอกเงินโลก ได้เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่กฎหมายฟอกเงินยังไม่ดีพอ เพราะยังไม่ต่อต้านตัดทางการฟอกเงินจากการก่อการร้าย

เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ก.พ. 2555 แต่ไม่มีคนในรัฐบาลใส่ใจจะแก้ไข คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จึงไม่มีการติดตามแก้ไขในเรื่องนี้

ผ่านมา 3 เดือน เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศไปแล้ว เมื่อคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ทั้งสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย ออกมาบอกว่า ขณะนี้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายฟอกเงินที่นานาชาติไม่ยอมรับแล้ว

ผลกระทบที่ไทยสอบตกมาตรฐานการจัดการฟอกเงิน และการต่อต้านการก่อการร้าย เพราะขาดเครื่องมือด้านกฎหมายที่เป็นมาตรฐานระดับสากลเข้ามาที่จะจัดการ ทำให้เกิดการตอบโต้จากนานาชาติที่จะเข้มงวดการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน และรุนแรงถึงขั้นปฏิเสธการทำธุรกรรมด้านการเงิน

ธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีสถาบันการเงินในต่างประเทศบางแห่งสั่งระงับการทำธุรกรรมกับประเทศไทยแล้ว

อีกทั้งมีสถาบันการเงินในต่างประเทศบางแห่งเริ่มขอข้อมูลรายละเอียดในการทำธุรกรรมทางการเงินจากสถาบันการเงินไทยมากขึ้น และการติดต่อการทำค้าขายระหว่างประเทศผู้ค้าในต่างประเทศเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะส่งเงินเข้ามาชำระค่าสินค้าหรือไม่

ความพยายามเฮือกสุดท้าย “ไทย” ต้องแสดงความชัดเจนว่าให้ความสำคัญกับปัญหาการฟอกเงินและการต่อต้านการก่อการร้ายให้ชัดเจน ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 1 ปี ไทยต้องดิ้นให้หลุดจากการถูกขึ้นบัญชีสีเทา ภายในเดือน ก.พ. 2556 ที่คณะพิจารณา International Coope ration Review Group (IRCG) ซึ่งเป็นคณะทำงานย่อยของ FATF จะพิจารณาทบทวนฐานะประเทศไทยอีกครั้ง

หากรัฐสภาไม่ผ่านร่างกฎหมายฟอกเงินและต่อต้านการก่อการร้ายให้ทันเวลา นับว่าสัญญาณอันตรายที่ไทยเตรียมตัวได้ที่จะต้องก้าวสู่จากบัญชีสีเทาเป็นบัญชีสีดำ หรือแบล็กลิสต์ ขึ้นแท่นประเทศเสี่ยงฟอกเงินอย่างเต็มขั้น

นั่นหมายความว่านานาประเทศจะเพิ่มความเข้มงวดเป็นเท่าทวีคูณในการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน ทั้งด้านการค้า และการลงทุน ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล

ผลที่จะกระทบตามมาในอนาคตจะมีทั้งต่อการค้าระหว่างประเทศ ที่การทำมาค้าขายอาจจะไม่คล่องตัว ไม่สะดวกเหมือนก่อน โดยเฉพาะผู้ส่งออกและนำเข้าจะเจอปัญหาก่อน

และตามมาด้วยผลกระทบภาคประชาชน ที่จะทำให้คนไทยไม่สามารถใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศได้ เพราะสถาบันการเงินในต่างประเทศไม่รับทำธุรกรรมกับไทย ซึ่งมีความเสี่ยงกับการฟอกเงิน

ที่ผ่านมาภาคเอกชนรวมตัวในนาม กกร. ออกมาตอกย้ำให้รัฐบาลเห็นความสำคัญการออกกฎหมาย 2 ฉบับนี้

ในขณะที่รัฐบาลยังมองไม่เห็นภาพความสำคัญ แม้กระทั่งตัวนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กกร.ได้ยื่นหนังสือมาแล้วครั้งหนึ่งเรื่องก็ยังเงียบหาย และในเร็วๆ นี้ภาคเอกชนจะยื่นหนังสือให้ “ยิ่งลักษณ์” เพื่อกระทุ้งอีกครั้ง ให้ช่วยเร่งผลักดันและเห็นความสำคัญของกฎหมายสองฉบับนี้

ส่วนความคืบหน้าของกฎหมายฟอกเงินและต่อต้านการก่อการร้าย ตอนนี้ถือว่าได้ผ่านยังไม่ถึงครึ่งทาง อยู่ที่ 4 ขั้นจาก 9 ขั้นแล้ว โดยเป็นร่างที่เป็นที่ยอมรับทั้งของสากล ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หรือเอฟเอทีเอฟ ซึ่งคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีให้เห็นชอบได้ภายในเดือน มิ.ย. 2555 นี้ ก่อนเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรออกเป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเท่าใดแต่หวังว่ากฎหมายจะมีความคืบหน้าและใช้ได้ทันในเดือน ม.ค.2556 เพราะคณะทำงานอินเตอร์เนชั่นแนล โคโอเปอเรชั่น รีวิว กรุ๊ป (ไออาร์ซีจี) ซึ่งเป็นคณะทำงานย่อยของเอฟเอทีเอฟในการพิจารณาประเทศที่อยู่ในกลุ่มบัญชีสีเทาจะพิจารณาอีกครั้งในเดือน ก.พ.2556 นี้

ปัจจุบันในภาคของธนาคารไทยเองมีความพร้อมอยู่แล้วในการที่จะอายัด ระงับธุรกรรมการเงินของผู้ต้องสงสัยว่าก่อการร้าย แต่ที่ผ่านมา ไม่สามารถจะทำได้เพราะไม่มีกฎหมายรองรับตรงนี้ ทาง FATF เองก็ต้องการให้ทุกอย่างดำเนินไปได้เร็ว แต่ไทยทำไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ

ทั้งนี้ ประเทศที่ถูกขึ้นบัญชี 5 ประเทศ ได้แก่ ปากีสถาน อินโดนีเซีย กานา และแทนซาเนีย และไทย ในรายชื่อประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการสกัดการฟอกเงิน

สำหรับผลกระทบจากการถูกกำหนดรายชื่อให้เป็นประเทศที่มีข้อบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย จะทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศจะต้องมีขั้นตอน และมีการตรวจสอบเอกสารมากขึ้น ซึ่งส่งผลถึงระยะเวลาในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นในภาพรวมจะเป็นการลดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และอาจรวมถึงความยากลำบากของคนไทยในการทำธุรกรรมกับต่างประเทศ

และไม่สามารถมีกฎหมายออกมาได้ทันเดือน ก.พ. 2556 และไทยถูกประกาศขึ้น “บัญชีดำ” แล้วต้องถูกตัดขาดการทำธุรกรรมการเงินและการค้ากับนานาประเทศ ยิ่งสร้างความเสียหายมหาศาลทั้งธุรกิจเศรษฐกิจรวมทั้งภาพลักษณ์ของประเทศ

เรื่องนี้ยังมีเวลาให้รัฐบาลกลับตัวให้ทัน และรีบหยิบยกกฎหมายนี้ขึ้นมาพิจารณา อย่ามัวแต่ผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งช้ามากเท่าไหร่ความเสียหายต่อประเทศจะทวีมูลค่ามากขึ้นเท่านั้น

ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก คิดเป็น 60% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แค่เงินบาทอ่อนค่ารัฐบาลก็ไปกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลแก้ไขด่วน แต่เรื่องสำคัญมากขนาดนี้รัฐบาลกลับให้ความสนใจน้อยเกินไป





www.posttoday.com

เทควันโดเพิ่มอีก2แดง เหรียญรวมอยู่ลำดับที่5จอมเตะเยาวชนไทยทำเพิ่มได้อีก 2 เหรียญทองแดง จากณัฐภัทร...

เทควันโดเพิ่มอีก2แดง เหรียญรวมอยู่ลำดับที่5

จอมเตะเยาวชนไทยทำเพิ่มได้อีก 2 เหรียญทองแดง จากณัฐภัทร ตันตรามาตย์ และณัฐธนนท์ ทับเจริญ ทำให้ได้ไปรวม 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 8 เหรียญทองแดง คว้าอันดับ 5 ในเทควันโดชิงแชมป์ เอเชีย 2012 ประเภทต่อสู้ เยาวชน อายุไม่เกิน 17 ปี ที่เวียดนาม ขณะที่โค้ชเช ยอง ซอก ของไทย ได้รางวัล ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำรายการนี้ โดยทีมไทยยังได้ลุ้นจากประเภทประชาชนต่อ

การแข่งขันเทควันโดชิงแชมป์เอเชีย 2012 ประเภทเคียวรูกิ (ต่อสู้) เยาวชนชาย-หญิง อายุไม่เกิน 17 ปี ครั้งที่ 6 ที่เวียดนาม หลังนักเทควันโดพุมเซ่ (ท่ารำ) จากไทย คว้า 3 เหรียญเงิน 3 เหรียญทองแดง ส่วนประเภทต่อสู้ ได้มาแล้ว 1 เหรียญทอง 1เหรียญเงิน 6 เหรียญทองแดง ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พ.ค.จอมเตะไทยทำเพิ่มได้อีก 2 เหรียญทองแดง จากรุ่นเฮฟวีเวทชาย "เจ้าร็อก" ณัฐภัทร ตันตรามาตย์ ดาวรุ่งไฟแรง ดีกรีเหรียญเงิน "เทรลเลบอร์ก โอเพ่น" ที่สวีเดน รอบแรกชนะ กั๊วะ เชียง หยู จากจีน 6-2 รอบรองชนะเลิศแพ้ ลี ซอง กิว จากเกาหลีใต้ 6-7 เช่นเดียวกับรุ่นไลต์เฮฟวีเวทชาย "เจ้าปาล์ม" ณัฐธนนท์ ทับเจริญ รอบแรกชนะ หลุย เหว่ย ติง จากไต้หวัน 2-0 รอบ 2 ชนะ ซาฟารอฟ รูสราน จากคาซัคสถาน 7-5 รอบ 3 หรือรอบรองชนะเลิศ แพ้ พอลเลียอัลฟาเนียนเดนเซอร์วาส จากอิหร่าน 1-13

สรุปผลงานนักเทควันโดเยาวชนทีมชาติไทย คว้ารวม 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 8 เหรียญทองแดง คว้าอันดับ 5 ของเอเชีย เป็นรองเกาหลีใต้, จอร์แดน, อิหร่าน และจีน แต่เป็นเบอร์ 1 ในอาเซียน นอกจากนี้ ดร.แด ซุน ลี ประธานสหพันธ์เทควันโดแห่งเอเชีย ยังได้มอบรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมให้เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยอีกด้วย หลังพานักกีฬาไทยประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

หลังเกม วิกร ศรีวิกรม์ ผู้จัดการทีมชาติไทย เปิดเผยว่า ส่วนตัวพอใจกับภาพรวมที่ออกมา แม้ว่าจะมีอีกหลายรุ่นที่เราน่าทำผลงานได้ดีกว่านี้ แต่ก็เข้าใจดีว่าเด็กทุกคนได้พยายามตั้งใจเต็มที่แล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นนักกีฬาชุดนี้เป็นเด็กใหม่เกือบทั้งหมด จากนี้ไปทุกคนยังมีภารกิจสำคัญคือ ศึกยูธโอลิมปิกเกมส์ที่จีน ซึ่งนักกีฬาชุดนี้หลายคนมีความสามารถที่ดี สมาคมจะเก็บตัวฝึกซ้อมต่อในระยะยาวต่อไป

ขณะที่ ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากนี้ไปเรายังมีความหวังลุ้นเหรียญรางวัลได้อีกจากประเภทประชาชน ที่มีตัวความหวังหลักสำคัญมากมาย เช่น เป็นเอก การะเกตุ อดีตแชมป์เก่าครั้งที่ 19 ที่คาซัคสถาน, ชัชวาลขาวละออ เจ้าของแชมป์โลกคนล่าสุดปี 2011 ที่เกาหลีใต้, สริตา ผ่องศรี เหรียญทองเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่จีน, ชนาธิป ซ้อนขำ เหรียญทองคัด อลป.ที่ไทยและนาชา ปั้นทอง อดีตเหรียญเงินชิงแชมป์เอเชียที่จีน ซึ่งทุกคนเคยผ่านประสบการณ์เวทีระดับนี้มาอย่างโชกโชน

m.thairath.co.th

เมื่อมีเสียงบ่นจากประชาชน เรื่องราคาข้าวปลาอาหารแพง ค่าครองชีพสูง รัฐบาลไทยมักจะใช้วิธีการปฏิเสธ...

เมื่อมีเสียงบ่นจากประชาชน เรื่องราคาข้าวปลาอาหารแพง ค่าครองชีพสูง รัฐบาลไทยมักจะใช้วิธีการปฏิเสธ ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าไม่แพง บางอย่างถูกกว่าในรัฐบาลก่อนด้วยซ้ำ แต่ที่เชื่อว่าราคาของแพงเป็นเพียงความรู้สึก หรือเป็นอุปาทานหมู่ ส่วนรัฐมนตรีที่ยอมรับว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแพงจริง อ้างว่าเป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลก

ข้ออ้างที่ว่าราคาน้ำมันแพง มีผลกระทบต่อราคาสินค้าและค่าบริการภายในประเทศมีส่วนของความเป็นจริงแต่ไม่ทั้งหมด ส่วนเศรษฐกิจโลกที่พูดถึง น่าจะได้แก่วิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะวิกฤติหนี้ในยุโรป ไม่ทราบว่าจะกระทบถึงราคาสินค้าในประเทศไทยหรือไม่? แต่วิกฤติหนี้ได้ล้มรัฐบาลในหลายประเทศ รวมทั้งอิตาลี กรีซ และฝรั่งเศส

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ ที่นายฟรองซัวส์ ออลแลงด์ จากพรรคสังคมนิยม (ฝ่ายซ้าย) โค่นประธานาธิบดีนิโกลาส์  ซาร์โกซีย์  แห่งพรรคยูเอ็มพี (ฝ่ายขวา) ถึงจะไม่ใช่ด้วยคะแนนท่วมท้น แต่มีผลทำให้ฝรั่งเศสเปลี่ยนแนวนโยบายเศรษฐกิจใหม่ เปลี่ยนจากรัดเข็มขัดเข้มงวดการใช้จ่าย มาเป็นเร่งใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์และการเมืองบางคน ฟันธงว่าผลการเลือกตั้งในฝรั่งเศส เป็นการก่อกบฏของประชาชน เพื่อลงโทษและโค่นล้มรัฐบาลที่บริหารผิดพลาด ทำให้ผู้คนว่างงานในอัตราสูง เพราะนโยบายรัดเข็มขัด เช่นเดียวกับประเทศกรีซ ซึ่งมีการเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ เมื่อวันอาทิตย์เช่นเดียวกัน ชาวกรีกก็ได้ลงโทษด้วยการล้มรัฐบาลที่ยึดแนวทางรัดเข้มขัด

วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดจากหนี้สาธารณะล้นพ้น อาจกระทบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในอีก 6 เดือนข้างหน้า เพราะอัตราการว่างงานของคนอเมริกัน ยังสูงกว่าร้อย 8 ส่วนที่ประเทศอังกฤษ รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งพรรคอนุรักษนิยม ก็แพ้เลือกตั้งระดับท้องถิ่นเสียไปแล้วถึง 405 ที่นั่ง เพราะนโยบายรัดเข็มขัด

ถ้าวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปจะกระทบถึงไทยน่า จะกระทบการส่งออกของไทยมากกว่าที่จะทำให้ราคาสินค้าในไทยแพง แต่ผลการเลือกตั้งในไทยเหมือนกับอังกฤษ พรรคเพื่อไทยแกนนำของรัฐบาลแพ้เลือกตั้งในหลายจังหวัด ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เช่น แพ้เลือกตั้งซ่อม ส.ส. และนายก อบจ.ที่ปทุมธานี และนายกเทศมนตรีเชียงราย

ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยก็แพ้เลือกตั้งนายก อบจ.ที่บุรีรัมย์ แต่ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็น "ขาลง" ของพรรครัฐบาล บางคนเชื่อว่าเป็นคะแนน ส่วนตัวของผู้สมัคร ไม่เกี่ยวกับพรรค บ้างก็ว่าแพ้เพราะเสื้อแดงให้บทเรียนพรรคเพื่อไทยจึงต้องตามพิสูจน์กันต่อไป ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในหลายจังหวัดและระดับชาติที่เชียงใหม่.

www.thairath.co.th

สบส.เล็งตั้งสมาคมสปาไทยในต่างแดน ควบคุมมาตรฐานสปาไทยในต่างแดน หนุนนโยบายเมดิคัลฮับ นพ.สมชัย...

สบส.เล็งตั้งสมาคมสปาไทยในต่างแดน ควบคุมมาตรฐานสปาไทยในต่างแดน หนุนนโยบายเมดิคัลฮับ

นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธุรกิจบริการสุขภาพ นั้น ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนที่จะเสนอไปยังสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมกิจการสปา นวดแผนไทยให้มีมาตรฐาน ป้องกันการขายบริการทางเพศแอบแฝง ขณะเดียวกัน ยังเป็นการดำเนินการตามนโยบายเมดิคัล ฮับ (Medical Hub) หรือ นโยบายการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ซึ่งขณะนี้ก้าวเข้าสู่ระยะที่ 2 แล้วมีระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่ปี 2553-2557 และสปาถือว่าอยู่ในกลุ่มบริการส่งเสริมสุขภาพที่จัดเป็น 1 ใน 4 ผลผลิตหลักของนโยบายเมดิคัลฮับ ทั้งนี้ สำหรับ 4 ผลผลิตหลักของนโยบายเมดิคัลฮับในระยะที่ 2 ประกอบด้วย 1.บริการรักษาพยาบาล 2.บริการส่งเสริมสุขภาพ 3.บริการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 4.ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทย

อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวต่อไปว่า การกำหนดมาตรฐานของสปาไทยนั้น จะต้องทำทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีมาตรฐานเดียวกัน โดยขณะนี้มีแนวคิดในการจัดตั้งสมาคมสปาไทยในต่างแดน เพื่อทำหน้าที่ในการประสานงานกันระหว่างสปาไทยในต่างแดนกับ สบส.พร้อมทั้งจะต้องหาแนวทางในการทำให้เกิดเป็นสปาไทยแท้ๆ ไม่ใช่ให้ชาวต่างชาติมาเปิดบริการสปาแบบไทย แต่พนักงานภายในร้านกลับไม่มีคนไทย โดยอย่างน้อยหากมีการเปิดกิจการสปาไทยในต่างประเทศแล้ว จะต้องมีผู้จัดการเป็นคนไทย ซึ่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่า สปาไทยไปสร้างชื่อในต่างประเทศหลายแห่ง ทำให้อาจจะมีบางประเทศที่มีการเปิดร้านสปาไทย แต่พนักงานในร้านกลับไม่มีคนไทย เหมือนกับร้านอาหารไทยในหลายๆ ประเทศที่ตั้งชื่อเป็นร้านอาหารไทย ขายอาหารไทย แต่พนักงานในร้าน เจ้าของร้านกลับไม่ใช่คนไทย ดังนั้น ต่อไปในการจัดตั้งสปาไทยในต่างประเทศอาจจะต้องมีการออกเกณฑ์ในการจัดตั้งสปาไทยว่าจะต้องมีผู้จัดการเป็นคนไทย เพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์ของสปาไทยไว้

manager.co.th

ดีเอชแอล ผู้นำธุรกิจลอจิสติกส์ระดับโลก ได้รับรางวัล “ซุปเปอร์แบรนด์ประจำปี 2011” จากซุปเปอร์แบรนด์...

ดีเอชแอล ผู้นำธุรกิจลอจิสติกส์ระดับโลก ได้รับรางวัล “ซุปเปอร์แบรนด์ประจำปี 2011” จากซุปเปอร์แบรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในพิธีมอบรางวัล “ซุปเปอร์แบรนด์ ทริบิว” ที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ ดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ถือเป็นบริษัทลอจิสติกส์เพียงรายเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็นซุปเปอร์แบรนด์แห่งประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 3

ในปีนี้ มีทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติรวมทั้งสิ้น 1,350 รายจากอุตสาหกรรมแขนงต่างๆ 135 ประเภทเข้าร่วม

การประกวดครั้งนี้ โดยมีคณะกรรมการคัดเลือกแบรนด์ (Brand Council) ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่คร่ำหวอด อยู่ในแวดวงธุรกิจด้านต่างๆ และมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยเป็น ผู้พิจารณาคัดเลือกภายใต้เกณฑ์การตัดสินที่ละเอียดและเข้มงวด นอกจากนี้ การคัดเลือกยังพิจารณาจาก ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกว่า 4,800 รายในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ โดยแบรนด์ที่ได้รับรางวัลมีความโดดเด่นทั้งทางด้านคุณภาพ ความชื่นชอบพึงพอใจ และอัตลักษณ์ของแบรนด์

ชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย และภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “การได้รับรางวัลอันทรงเกียรติครั้งนี้เป็นผลจากความร่วมมือร่วมใจอย่างดียิ่งของพนักงานดีเอชแอล ทุกคนที่ได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อขับเคลื่อนดีเอชแอลให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและครองความเป็นผู้นำในตลาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง การที่ดีเอชแอลได้รับเลือกให้เป็นซุปเปอร์แบรนด์ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 3 นอกจาก จะตอกย้ำถึงความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนานแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่า ดีเอชแอลเป็นสุดยอดแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและสาธารณชนมาโดยตลอด ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ ดีเอชแอลยังคงพร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง การทำให้ลูกค้ามีความภักดีและพึงพอใจเพิ่มขึ้น คือ ภารกิจหลักที่พวกเราชาวดีเอชแอลทุกคนยึดถือและปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง ดิฉันรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ พนักงานดีเอชแอล ทุกคนที่มุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทั้งยังมีความเชื่อว่า ‘เราทำได้’ ที่ทำให้ดีเอชแอลมีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน”

ยาสมิน อลาดาด คาน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้กล่าวว่า “แบรนด์ดีเอชแอล คือ ปัจจัยชี้วัดความสำเร็จของเราในวันนี้ ทั้งยังเป็นแรงขับเคลื่อนให้บริษัทรักษาความสำเร็จดังกล่าวไว้ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ แบรนด์ดีแอชแอลยังเป็นหนึ่งในความโดดเด่นทางธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ ที่ดีเอชแอลได้จัดทำขึ้นในประเทศไทยที่บริษัทได้เข้ามาดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน การได้รับรางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าวจึงตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำอันแข็งแกร่งของดีเอชแอลในตลาดลอจิสติกส์ไทยที่มีเครือข่ายการขนส่งด่วนระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง ทั้งยังมีความเป็นเลิศทางด้านบริการ ดีเอชแอล พร้อมสานต่อการดำเนินการตามพันธสัญญาของแบรนด์เพื่อมอบความคุ้มค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้าในไทยต่อไป”



www.newswit.com

เปิดฉากงาน Horti ASIA 2012 ครั้งแรกในประเทศไทย ใหญ่สุดในเอเชีย

Horti ASIA 2012 งานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพืชพรรณ ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และกล้วยไม้แห่งภูมิภาคเอเชีย จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ตั้งเป้าช่วยเกษตรกร เตรียมความพร้อมรองรับ AEC พร้อมผลักดันไทย เป็น ฮับ ของอาเซียน

นายธรรมรัตน์ หวั่งหลี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีการส่งออกพืช ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และกล้วยไม้ ไปยังประเทศต่างๆ ในระดับต้นๆของโลก การจัดงานในลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นอีกก้าวของการพัฒนาที่จะช่วยผลักดันให้ตลาด พืช ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และกล้วยไม้ ของประเทศไทย เป็นที่รู้จักและเติบโตมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างโอกาสในการขยายตลาดใหม่ๆ ออกไปสู่อาเซียน สู่เอเชีย และสู่ตลาดโลก ในลำดับต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรชาวไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำมาจากทั่วโลก เพื่อแสดงในงานนี้ ยังเป็นการช่วยให้เกษตรกร และผู้ประกอบการชาวไทย ได้ความรู้ใหม่ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงกิจการ ขยายกำลังการผลิต เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้

นายศุภชัย บานพับทอง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ในการผลักดันสินค้าเกษตรของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก รวมถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในอุตสาหกรรมการเกษตรในภูมิภาคอาเซียน จึงได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการโครงการส่งเสริมสินค้าเกษตรในงาน Horti ASIA 2012 ขึ้นมา จำนวน 3 ชุด เพื่อผลักดันการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการร่วมการจัดนิทรรศการ ไทย พาวิลเลียน รับผิดชอบโดย กรมส่งเสริมการเกษตร ทำหน้าที่จัดนิทรรศการนำเสนอความรู้ใหม่ๆ ให้กับผู้เข้าชมงาน 2. คณะอนุกรรมการด้านการจัดทัศนศึกษาดูงาน โครงการส่งเสริมสินค้าพืชสวน รับผิดชอบโดย กรมส่งเสริมการเกษตร ทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไทยและชาวต่างชาติได้มีโอกาสรับองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้วยการจัดทัศนศึกษาเข้าชมงาน Horti ASIA 2012 จำนวน 2,000 คน และนำชาวต่างชาติที่สนใจการเกษตรพืชสวนของไทยเข้าเยี่ยมชมสวนตัวอย่างในพื้นที่ต่างจังหวัด จำนวน 120 คน โดยแบ่งเป็น 3 เส้นทาง คือ เส้นทางการเกษตรด้าน ผัก ผลไม้ ดอกไม้และใบไม้ และ 3. คณะอนุกรรมการด้านการจัดสัมมนา รับผิดชอบโดย กรมวิชาการเกษตร ทำหน้าที่กำหนดแนวทางและหัวข้อการสัมมนา ภายใต้แนวคิด “ นวัตกรรมเพื่อยกระดับพืชสวนสู่สากล ” และจัดหาผู้เชี่ยวชาญมาเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสินค้าเกษตรแก่ผู้เข้าชมงานในครั้งนี้

ด้าน คุณลัดดา มงคลชัยวิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด หรือ (VNUEAP) เปิดเผยว่า ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดงานแสดงสินค้าระดับโลก ได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องถึง 12 หน่วยงาน ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงตลาด เริ่มตั้งแต่ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ไปจนถึงผู้บริโภค และผู้ที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในระบบนี้ทั้งหมด โดยเฉพาะใน 10 ประเทศแถบอาเซียน ที่ในแต่ละปีมีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกระหว่างกันเป็นจำนวนมหาศาล และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี งาน Horti ASIA 2012 ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการจัดสัมมนาเชิงวิชาการ เชิงเทคนิค และเชิงปฏิบัติการ เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี เพื่อรองรับกับมาตราการที่แต่ละประเทศกำลังกำหนดออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในเรื่องของ AEC หากเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออก สามารถเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่เป็นมาตรฐานระดับโลกได้ ก็เชื่อว่าในอนาคตธุรกิจจะสามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ โดยงาน Horti ASIA 2012 ในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการให้ความสนใจ ร่วมออกบูธกว่า 140 บริษัท จากทั่วโลก นอกจากบูธแสดงสินค้าแล้วยังมีในส่วนของพาวิลเลี่ยนระดับประเทศอีก 6 พาวิลเลี่ยน ประกอบด้วย จีน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทย และมีกลุ่มผู้ชมงานจากประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ด้วยพื้นที่จัดงานทั้งหมดกว่า 5,000 ตารางเมตร



www.newswit.com

ครูดนตรีนาฏศิลป์อาเซียน คมชัดลึก : สังคมศิลปะวัฒนธรรม

ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 7-12 พฤษภาคม 2555 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นเจ้าภาพเปิดเวทีให้ครูดนตรีในประเทศสมาชิกอาเซียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำความเข้าใจ เรื่อง ดนตรีและนาฏศิลป์ของเพื่อนสมาชิก และให้ตระหนักถึงความสำคัญของการสอนดนตรี นาฏศิลป์อาเซียน สร้างความร่วมมือระหว่างครูดนตรี-นาฏศิลป์ ในกลุ่มประชาคมอาเซียน หวังให้ครูเป็นสื่อกลางถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจในดนตรีและนาฏศิลป์แก่นักเรียน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างประชาชนในกลุ่มประเทศอาเซียน

งานนี้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้รับร่วมมือเป็นอย่างดีจากศูนย์ภูมิภาคโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ภายใต้องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO SPAFA) และสมาคมครูดนตรี (ประเทศไทย) นอกจากการประชุมแล้วยังมีกิจกรรมการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์ของประเทศไทย การขับร้องประสานเสียง โดยวงขับร้องประสานเสียงสวนพลู การบรรยายให้ความรู้เรื่อง ดนตรีและนาฏศิลป์ของประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีและนาฏศิลป์ของแต่ละประเทศ

อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย Dr.Endo Suanda, Dr.Eko Supriyanto ประเทศลาว Mr.Duangchamp, Ms.Noot Phouthavongsa ประเทศมาเลเซีย Dr.Ramona Tahir, Dr. Joseph Victor Gonzales ประเทศพม่า Ms.Pyone Mya Mya Kyi, Ms.Aye Sandar Aung ประเทศเวียดนาม Dr.Troung Ngoc Thag และในวันสุดท้ายของการประชุมจะมีการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์อาเซียน ซึ่งเป็นการรวมศิลปะการแสดงของประเทศสมาชิกไว้ด้วยกันเพื่อสร้างสัมพันธภาพอันดี

นายมานัส ทารัตน์ใจ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรม ประธานในพิธีเปิดงาน กล่าวในตอนหนึ่งของพิธีเปิดว่า "การพัฒนารวมทั้งความร่วมมือด้านต่างๆ ในกลุ่มประชาคมอาเซียน ที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ในลำดับแรกประเทศที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว พม่า บรูไน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และกัมพูชา ทั้ง 10 ประเทศนี้ จะต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ถึงความแตกต่างในด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ ตลอดจนวิถีชีวิตของคนในแต่ละประเทศก่อน ความร่วมมือด้านต่างๆ ก็จะตามมา และนำไปสู่ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา การพัฒนาด้านต่างๆ อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน"

............................
(หัวใจไทย : ครูดนตรี-นาฏศิลป์อาเซียน)



www.komchadluek.net

บทความที่ได้รับความนิยม