วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สื่อต้องเข้าใจเนื้อหากฏหมายก่อนนำเสนอ

ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี วันนี้ (22 มิ.ย.) นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวช่วงหนึ่งในการจัดสัมมนาศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ก็มีการจัดขึ้นทุกปี เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาลและสื่อ โดยช่วงการจัดสัมมนาบรรยากาศก็ราบรื่นดี แต่พอจบการสัมมนากลับไปก็มีการโจมตีศาลฯ เหมือนเดิม แต่เราก็ต้องอดทน เพราะเราอยู่ตรงนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้นานเท่าไร ความอดทนของเราก็มีขีดจำกัด และสิ่งที่นายเสรี พูดนั้น ตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่มันเป็นอุดมการณ์นำมาปฏิบัติยาก ที่สื่อจะต้องทำความเข้าใจในเหตุการณ์ที่ถูกต้อง และต้องอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน ทำยาก เพราะบางครั้งสื่อก็ไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร ก็คงลำบากที่สื่อจะพยายามเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ สื่อก็ต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ สื่อจะเสนอข่าวในทางกฎหมายหรือคดีก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎหมายด้วย

“ ทุกวันนี้คนไทยไม่เคารพกติกา มารยาท ซึ่งผมเองก็เคยประสบและการทำงานที่ผ่านมาก็เคยพบเห็นคนที่วิ่งเต้น ซึ่งก็ไม่มีประโยชน์เพราะวิ่งเต้นอย่างไร เราก็ต้องตัดสินไปตามหลักฐานที่มีอยู่ ถ้ามีการวิ่งเต้นเราต้องรู้ให้ทันแต่ต้องนิ่งอยู่ในหลักเกณฑ์ไม่วอกแวก ผมก็ทำอาชีพด้านกฎหมายนี้มา 44 ปี แล้ว แต่ก็นึกขำและตลกอยู่เหมือนกัน ที่คนที่ไม่รู้กฎหมายมาสอนกฎหมายรัฐธรรมนูญทางโทรทัศน์ ซึ่งโทรทัศน์หลายช่องเชิญนักวิชาการมารุมถล่มศาลรัฐธรรมนูญสถานเดียว ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไร แต่ขำและแปลกใจเท่านั้น เมื่อพิธีกรถามนักวิชาการในเรื่องของเนื้อหากลับงง และตอบหน้าตาเฉยว่ายังไม่เห็นคำร้อง แต่ด่าได้เป็นฉากๆ นี่คือข้อที่สื่อไม่พยายามที่จะเสนอความเห็นหลายๆ ด้าน เพียงแต่เสนอเพียงด้านเดียวให้ประชาชนรับข้อมูลด้านเดียว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ เรื่องนี้ยาก แต่ผมก็พยายามทำความเข้าใจกับสื่อให้ง่ายที่สุดแต่ก็ยังไม่เข้าใจกัน ”นายวสันต์ กล่าว

นายวสันต์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้น เขาร้องว่ามีการอ้างว่ามีการกระทำที่อาจเป็นการล้มล้างและเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ บังเอิญการกระทำนั้นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลำดับความของการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้คืออ้างกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ เราก็ไปดูในตัวร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เตรียมจะโหวตในวาระ 3 ซึ่งดูแล้วเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะรัฐสภาชุดนี้ขายขาดไม่รับคืน โยนกลองไปให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการแก้วิธีการแก้หรือเปลี่ยนวิธีการแก้ แทนที่จะแก้ไขเป็นรายมาตรา ซึ่งความจริงก็ไม่เป็นไร แต่กลับโยนภาระให้กับส.ส.ร. เพื่อที่ท่านจะตอบว่าไม่รู้ ขึ้นอยู่กับส.ส.ร.8 ซึ่งท่านจะบังคับส.ส.ร.ไม่ได้ พอได้ส.ส.ร. แล้ว ส.ส.ร.ก็ไปยกร่างโดยมีกรอบว่าต้องไม่แตะต้องหมวด1 เกี่ยวกับรูปแบบการปกครอง และหมวด 2 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าส.ส.ร.ร่างมาแล้วเกิดไปแตะในมาตราดังกล่าวนั้นเขาก็คงให้เหตุผลว่าไม่เป็นไรเพราะมีประธานรัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัย ซึ่งถ้าประธานรัฐสภาเห็นว่าแตะก็จะนำเข้าสู่สภาฯเพื่อวินิจฉัย แต่ถ้าประธานรัฐสภา เห็นว่าไม่ได้แตะและผ่านเลยไปลงประชามติ ดังนั้นผลที่ตามาจะเป็นอย่างไร และมีผลหรือไม่ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ หรือมีการเปลี่ยนแปลงหมวด 1 หมวด 2 ที่มีการห้ามไว้ ประธานรัฐสภาเป็นบุคคลที่ทรงเกียรติถ้าเชื่อถือบุคคลเป็นที่สูงสุดก็ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมาย ถ้าทุกคนมีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ไม่ต้องมีกฎหมายในบ้านเมืองเราก็อยู่กันได้

“ประธานรัฐสภา กำของร้อนไว้ แต่ถ้าท่านฮั้วกับส.ส.ร. ท่านก็จะบอกว่าอันนี้ไม่ได้แตะและก็ผ่านไปลงประชามติเลย ท่านคิดว่าคนที่ลงประชามติมีความเข้าใจสักกี่คน และท่านก็เคยบอกว่าลงประชามติปี 50 ประชาชนไม่เข้าใจเลย ผ่านมา 5-6 ปี รู้ทุกตัวอักษรแล้วหรือ คุณภาพเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือ ก็ไม่ว่ากัน แล้วตกลงที่บอกว่าล้มล้างการปกครองก็ยังไม่เห็นมีใครออกมาปฏิเสธว่ามีความคิดแนวนี้หรือไม่ ไม่เห็นมีใครปฏิเสธสักคำ เป็นคู่ความประสาอะไรมิทราบ โจทย์ฟ้องจำเลยแทนที่จำเลยจะไปสู้คดีกับโจทย์แต่กลับมาสู้กับศาลฯ ไม่รู้ว่าสภาทนายความสอนแบบนี้หรือ แล้วจะชนะความได้อย่างไร และการที่รับคำร้องเพราะรับไว้เพื่อพิจารณาว่ามีหลักฐานอะไรที่จะพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ ก็ยังไม่ได้บอกว่าใครจะแพ้จะชนะ ก็ดันจินตนาการ ฝันเฟื่อง ว่าอำมาตย์สั่งให้ยุบพรรครอบสองรอบสาม ตัวอย่างที่ผ่านมาก็มีเรื่องคดียุบพรรคไทยรักไทยก็มีให้เห็นอยู่แล้ว ก็มัวแต่รบกับศาลฯ จนกระทั่งเนื้อหาไม่ได้ต่อสู้กับอัยการ ต่อสู้ไม่เต็มที่เต็มหน่วย ผลที่ออกมาก็เป็นอย่างนั้น ยากที่จะเข้าใจและสื่อก็มาถล่มเอา นานๆ จะนำเสนอออกมาเป็นกลางสักที ก็ตามใจ แต่ผมก็พยายามจำ ผมเป็นคนไม่อาฆาตใคร แต่ค่อนข้างที่จะลืมยาก ”ประธานศาลรธน. กล่าว

นายวสันต์ กล่าวว่า กฎหมายที่ออกมาได้ไม่ใช่กฎหมายที่ดี แต่เป็นกฎหมายที่ลงตัวกันของคนออกกฎหมาย ความเห็นลงตัวของส.ส.เมื่อความเห็นลงตัว กฎหมายที่ดีหลายฉบับออกมาไม่ได้ เพราะความเห็นของผู้ออกกฎหมายไม่สอดคล้องกัน ผลประโยชน์ไม่ลงตัว ส่วนเรื่องสองมาตรฐาน คำนี้ได้ยินมาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งได้ยินจากคนที่วิจารณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดที่ผ่านมา คือ เรื่องการแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จต่อป.ป.ช. เป็นการแจ้งหลังจากพ้นจากตำแหน่ง มีตุลาการจำนวนหนึ่ง ตอนเช้ากรณีดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญปี 40 มาตรา 295 แต่ตอนบ่ายตุลาการชุดนั้นกลับวินิจฉัยว่าไม่เข้าข่ายหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ ปี 40 มาตรา 295 กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเหมือนกันแต่กลับตัดสินต่างกัน ถึงเรียกว่าสองมาตรฐาน

นายวสันต์ กล่าวต่อว่า การยึดโยงกับประชาชนที่นายพงษ์ศักดิ์ ระบุว่า ฝ่ายตุลาการต้องเป็นอิสระ ซึ่งก็ถูกตำหนิว่าขาดการยึดโยงกับประชาชน จะเอาเลือกตั้งผู้พิพากษาดีหรือไม่ ถ้าให้เลือกตั้งผู้พิพากษาแล้วใครทะเลาะกับหัวคะแนนก็แพ้หมด หรือให้สภาฯแต่งตั้งผู้พิพากษา ใครเป็นคู่ความกับนักการเมืองก็แพ้หมด เราก็อยากจะยึดโยง เพราะตนกับนายสุพจน์ ก็ผ่านการสรรหาและได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา เพราะวุฒิสภามีทั้งสรรหาและเลือกตั้ง พวกตนทั้ง 4 คนที่ผ่านการสรรหา ต่อให้ตัดเสียงจากส.ว.สรรหา จำนวนเต็ม 74 เสียง พวกตนยังผ่านความเห็นชอบอยู่ และเห็นว่าจะมีการเปลี่ยนระบบมาเป็นการใช้ลูกขุน ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะผู้พิพากษาทำงานง่าย เหมือนกับการกำกับกฎ กติกา เท่านั้น เนื่องจากลูกขุนจะเป็นผู้ตัดสินว่าจะทำหรือไม่ทำในคดีนั้นๆ แล้วถ้าทำแล้วใครจะแพ้จะชนะ ผู้พิพากษาจะเป็นผู้ตัดสิน ถ้าหากสภาฯเลิกด่าด้วยคำไม่สุภาพ หรือเลิกแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ลักษณะเช่นนี้จึงสมควรที่จะสามารถสรรหาตุลาการฯได้ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องยึดโยงเราก็จะยึดโยง เพียงแต่บ้านเราใจร้อน คุณภาพนักการเมืองไม่ถูกใจ ทหารทนไม่ได้ก็ออกมาทุกที แต่ถ้าเราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มันอาจจะดีกว่านี้ โดยปีนี้ก็ครบ 80 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ แต่ประเทศเรายังไม่ไปไหน ซึ่งตนก็ได้ไปประชุมศาลรัฐธรรมนูญที่ต่างประเทศ ตุลาการฯต่างประเทศก็จะบอกว่า น่าจะจัดประชาธิปไตยในประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่ ซึ่งอยู่ในบางประเทศของทวีปแอฟริกา ตนจึงได้ออกความเห็นกับพรรคพวกว่า ประเทศไทย น่าจะไปสมัครบ้าง เพราะมีสภาพเหมือนประชาธิปไตยเพิ่งเกิดใหม่.

www.dailynews.co.th

หนุ่มฟลอริดา บ้าคลั่ง กัดแขนแฟนจนเนื้อหลุด

เกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้นอีกครั้งในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ เมื่อหนุ่มรายหนึ่งได้เกิดอาการคลั่ง ทำลายข้าวของในบ้าน และกัดแขนญาติของแฟนสาวตัวเองจนเนื้อหลุด

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายชาร์ลส์ เบคเกอร์ วัย 26 ปี จากเมืองพาลเมตโต รัฐฟลอริดา ได้เดินทางไปบ้านแฟนสาวของตัวเอง เพื่อไปเยี่ยมลูกๆ ในคืนวันนั้น แต่เมื่อเขาไปถึงบ้าน กลับเกิดอาการคลั่งไม่ทราบสาเหตุ เขาทำลายข้าวของอย่างบ้าคลั่งและถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่า

ขณะนั้นเองที่นายเจฟฟรีย์ เบลค ญาติของแฟนสาวที่อาศัยอยู่ในบ้านเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี จึงเข้าห้ามนายเบคเกอร์หวังให้เขาหยุดอาละวาดได้ แต่แล้วเหตุการณ์กลับไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อนายเบคเกอร์ได้หันควับกลับมาคว้าแขนของนายเบลคไปกัดจนเนื้อหลุด

ระหว่างนั้นเองเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายก็เดินทางมาถึงบ้านพอดี และขู่จะใช้ปืนช็อตไฟฟ้าช็อตเขา แต่เขาก็ไม่ฟัง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องช็อตไฟฟ้าไป 1 ครั้ง ก่อนจะพบว่าเขาไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านใดๆ เลย จึงช็อตไฟฟ้าอีก 4 - 5 ครั้ง จึงมีท่าทีอ่อนลงได้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายคนที่ตามมาจะช่วยกันเข้าคุมตัวเขาไปยังโรงพยาบาล และส่งไปขังไว้ในเรือนจำในเวลาต่อมา

สำหรับคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูคล้ายกับคดีหนุ่มไมอามี่เปลือยกายคลั่งกัดหน้าชายเร่ร่อนที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนมาก ทำให้ตำรวจสันนิษฐานเบื้องต้นว่า นายเบคเกอร์อาจเสพยาบาธซอลต์ ซึ่งเป็นยาเพิ่มพละกำลังที่ถูกพูดถึงทั่วสหรัฐฯ ในขณะนี้

news.impaqmsn.com

การุณ จิตใจยังแกร่ง ลั่นสู้ในชั้นศาล

นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยถึงกรณีถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ใบแดงว่า ไม่ต้องบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร ที่ตนโดน จากนี้ ถ้าหาเสียงก็ไม่ต้องใช้ปากหาเสียงกันแล้ว ใช้กระดาษหาเสียงกันแทน ถ้าเป็นอย่างนี้ขอบอกว่า ส.ส.ครั้งหน้า 100 คน ก็ต้องโดนใบแดง ทั้งนี้ ภายหลังที่ กกต.ได้ให้ใบแดง ได้มี ส.ส.พรรค พท.ให้กำลังใจ ก็บอกว่าไม่เป็นไร เรื่องนี้เรื่องเล็ก การุณไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวกับการตัดสินของ กกต. เพราะเรายังมีโอกาสในการต่อสู้ในชั้นศาล ในวันนี้เรื่องของตนเรื่องเล็ก แต่เราต้องคอยดูในวันที่ 6 กรกฎาคม ซึ่งจะมีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ


"ผมไม่ขอความปรานีจากใคร แต่ขอให้เสียงเรียกร้องของประชาธิปไตยเดินหน้าต่อไป ผมติดภาพเรื่องจีบคนโน้นคนนี้ตลอด แต่ไม่เคยมีภาพว่าผมจีบออกไปจริง ผมขอให้คนที่ว่าผมถีบไปสาบานที่วัดพระแก้ว แต่ก็ไม่มีใครไปกับผมสักคน แต่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กลับจารึกสิ่งเลวๆ ไว้ในสภา ที่ ปชป.บอกว่าจงรักภักดี แต่กลับไปเขวี้ยงหนังสือใส่ประธานสภา โดยมีพระบรมฉายาลักษณ์อยู่ด้านบน อย่างนี้เรียกว่าจงรักภักดีหรือ อะไรที่เกิดขึ้นกับการุณวันนี้ ผมชื่อการุณนะ จิตใจยังแข็งแกร่ง อยากจะบอกว่าชีวิตที่เหลือเพื่อคนดอนเมือง" นายการุณกล่าว

www.matichon.co.th

รมว.คมนาคม เร่งสอบสวนเหตุเรดาห์มีปัญหา ทำสุวรรณภูมิป่วน

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 22 มิ.ย. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่ห้องประชุมบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม พร้อมด้วย น.ต.ประจักษ์ สัจจโสภณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด นายสมชัย สวัสดีผล ผอ.การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ร่วมชี้แจงถึงเหตุระบบไฟฟ้าขัดข้อง ส่งผลให้เรดาห์ดับจนกระทบต่อการให้บริการควบคุมจราจรทางอากาศ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อช่วงค่ำวานนี้

 

น.ต.ประจักษ์ สัจจโสภณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า จากเหตุขัดข้องดังกล่าว พบสาเหตุมาจากระบบจ่ายไฟฟ้าต่อเนื่องอัตโนมัติ หรือ UPS เกิดขัดข้อง เพราะระบบเก็บประจุไฟฟ้าภายในเกิดการช๊อต ทั้งที่ยังไม่หมดอายุการใช้งาน ทำให้ไฟฟ้ากำลังที่จ่ายให้ระบบการให้บริการเดินอากาศขาดหายไป ประมาณ 30 นาที ประกอบกับระบบเรดาห์สำรองที่เตรียมไว้ ก็ใช้ระบบจ่ายไฟ UPS เดียวกันจึงทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ ทาง บ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จึงเร่งดำเนินการตามแผนฉุกเฉินที่เคยซ้อมไว้ทันที โดยใช้วิธี non-radar และใช้วิทยุสื่อสารในการควบคุมจราจรทางอากาศแทนแต่ทำให้ขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินลดลง มีผลกระทบทำให้เครื่องบินล่าช้า จำนวนทั้งสิ้น 50 ลำ แบ่งเป็น เครื่องบินที่ต้องเปลี่ยนไปลงสนามสนามบินสำรองอื่นๆจำนวน 13 ลำโดยต้องบินไปลงสนามบินอู่ตะเภา 6 ลำ สนามบินเชียงใหม่ 2 ลำ สนามบินภูเก็ต 2 ลำ สนามบินกัวลาลัมเปอร์ 2 ลำ และสนามบินเสียมเรียบ 1 ลำ

 

นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินที่ต้องรอ บนภาคพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 21 ลำ โดยลำที่รอนานที่สุด 105 นาที คือเที่ยวบิน TG 140 สุวรรณภูมิ-เชียงราย ส่วนเครื่องบินที่รออยู่ในอากาศอีกจำนวน 15 ลำ โดยใช้เวลาบินวนรอนานที่สุดบนอากาศ 71 นาที คือสายการบิน กาตาร์แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 617 โฮจิมินทร์-กรุงเทพมหานคร ซึ่งหลังจากเกิดปัญหาดังกล่าวทาง บ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้เร่งดำเนินการหาสาเหตุและสามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลา ครึ่งชั่วโมง

 

ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำอีกว่า ทาง บ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้มีแผนดำเนินการแยกระบบจ่ายไฟฟ้าต่อเนื่องอัตโนมัติ หรือ UPS และระบบการให้บริการเดินอากาศ หรือเรดาห์ ระหว่างชุดที่ใช้งานจริงซึ่งอยู่ที่ชั้น 4 ของตึกวิทยุการบินแห่งประเทศไทย กับชั้น 6 นั้นแยกออกจากกัน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยแผนการดำเนินการดังกล่าวนั้นจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2555 ส่วนอุปกรณ์ที่มีปัญหาขณะนั้นได้ทำการเปลี่ยนใหม่หมดทั้งระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ทางด้านนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นพบว่าความปลอดภัยของการจราจรทางอากาศยังคงมีสูง แต่เพียงเกิดความไม่สะดวกแก่ผู้โดยสารที่ใช้บริการ ทางกระทรวงคมนาคม จึงต้องขออภัยมายังประชาชนและผู้โดยสารที่ใช้บริการ เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัย แต่จากนี้เพื่อความมั่นใจและความโปร่งใสในการทำงาน ตนได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงกรณีดังกล่าวขึ้นโดยมีปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นหัวหน้าคณะชุด เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงของเหตุขัดข้องว่าเป็นในเรื่องของอุปกรณ์หรือบุคคล โดยให้เวลาในการตรวจสอบ 15 วัน และขอทางวิทยุการบินแห่งประเทศไทย รวมถึงการท่าอากาศยานสุวรรณจัดทำคู่มือถึงการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อใช้เป็นแนวทางในการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินต่อไปในอนาคต

www.khaosod.co.th

ชาวโรฮิงยาวอน หยุดรุนแรงในพม่า

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 มิ.ย. ที่หน้าสถานทูตพม่า ถ.สาทร กทม. สมาคมชาวโรฮิงยาพม่าในประเทศไทย สมาพันธ์โรฮิงยาสิทธิมนุษยชน และกลุ่มมุสลิมในไทย ประมาณ 200 คน พร้อมนำป้ายข้อความ หยุดฆ่าŽ ที่เขียนตัวอักษรเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาพม่า รวมทั้งรูปภาพเด็ก สตรี ที่ถูกทำร้าย และถูกฆ่าตายอย่างทารุนออกมาประณาม โดยยื่นหนังสือเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวโรฮิงยา จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ประเทศพม่า ต่อเอกอัครราชทูตพม่า แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ของสถานทูตคนใดออกมารับหนังสือดังกล่าว


กระทั่งผ่านไป 5 นาที แกนนำกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติจึงได้อ่านแถลงการณ์ เรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาวโรฮิงยา โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า องค์กรมุสลิมในประเทศไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าต้องดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในการยุติความรุนแรงในพม่า ปกป้องชาวโรฮิงยาจากการถูกสังหารและขับไล่จากพื้นที่ โดยเปิดพื้นที่ให้องค์กรบรรเทาทุกข์เข้าไปช่วยเหลือ ส่วนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย รวมทั้งประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด ต้องช่วยกันกดดันเพื่อให้เกิดการปกป้องรักษาชีวิต และสอบสวนให้ความเป็นธรรมกับชาวโรฮิงยา สำหรับสื่อมวลชนทุกแขนงควรนำเสนอข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงหรือมีการนำเสนอข้อมูลจากทุกฝ่าย เพื่อให้ความเป็นธรรมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ด้วย


ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า เมื่อแกนนำอ่านแถลงการณ์จบได้นำรูปภาพประธานาธิบดีพม่าที่มีเลือดติดที่ปาก เหมือนคนกระหายเลือดมาเผาบริเวณด้านข้างสถานทูต จากนั้นแกนนำได้ให้ผู้ชุมนุมกอดคอกัน เพื่อส่งกำลังใจไปให้กับชาวโรฮิงยาที่อยู่ในประเทศพม่า กระทั่งเวลา 12.00 น. ต่างสลายตัวแยกย้ายกันกลับ



www.khaosod.co.th

ตะลึง เรื่องประหลาดหนุ่ม ร่างกายผิดปกติมี “หัวใจ” อยู่นอก “ซี่โครง” มาตั้งแต่กำเนิด

ยังไม่ตาย เรื่องประหลาดของหนุ่มวัยเบญจเพส 25 ปี ร่างกายผิดปกติมี “หัวใจ” อยู่นอก “ซี่โครง” มาตั้งแต่กำเนิด หมอรามาฯ ระบุ 1 เดียวในประเทศไทย ที่ยังไม่ตาย มีโอกาสเกิดขึ้น 7 ใน 1 ล้านคนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะมีอายุไม่เกิน 15 ปี แต่ปัจจุบันกลับมีอายุเกินมาถึง 10 ปี ถือเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรื่องราวความประหลาดของร่างกายมนุษย์ที่ผิดธรรมชาติ รายนี้ถูกเปิดเผยขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2545 ในรายการ “มันแปลกดีนะ” ผลิตโดย “จีเอ็มเอ็ม ทีวี” ได้พบและถ่ายทำความแปลกประหลาดทางธรรมชาติของ “นายเอกพงษ์ ฝีปากเพราะ” หรือ “เดย์” คนหัวใจนอกซี่โครง

และเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ทางรายการ “เมดอินไทยแลนด์ ยกระดับกระชับสยาม” ผลิตโดย “จีเอ็มเอ็ม ทีวี” ซึ่งออกอากาศ 25 มิถุนายน 2555 เวลา 12.45 น. ทางททบ.5 ได้ติดตามความคืบหน้า “นายเอกพงษ์” ก็ได้รับการยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดน่าทึ่งที่สุด โดยทางญาติได้พามาตรวจสุขภาพที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี ทีมงานรายการ “เมดอินไทยแลนด์ ยกระดับกระชับสยาม” จึงได้เดินทางไปพบและถ่ายทำ จากปาก หนุ่มแกร่ง และแพทย์เจ้าของไข้

“รศ.นพ.สุขเกษม อัตนวานิช” หน่วยศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี แพทย์เจ้าของไข้ที่ดูแลมากว่า 10 ปี เปิดเผยว่า “สำหรับ “นายเอกพงษ์” มีหัวใจอยู่ในช่องท้อง และอยู่นอกทรวงอก เป็นชนิดที่พบได้น้อยมาก ในรายที่รุนแรง ไม่มีอะไรปกปิดหัวใจอยู่เลย ส่วนใหญ่เสียชีวิต หมอเคยเจอกับคนไข้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรียกว่าหัวใจพิการมาตั้งแต่กำเนิด ถ้าดูผลการตรวจเมื่อ 10 ปีที่แล้ว กับผลการตรวจตอนนี้พบว่ามีความซับซ้อนค่อนข้างมาก คือหัวใจมีการดึงเส้นเลือดลงมาอยู่ข้างล่างด้วย คนไข้มีหัวใจเพียง 2 ห้อง หัวใจห้องบนรวมเป็นห้องเดียว ส่วนหัวใจห้องล่างที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั๊มสูบฉีดโลหิต ในส่วนของเส้นเลือดต้องมี 4 เส้นจากปอด 2 ข้างที่เข้ามาในหัวใจ แต่ของคนไข้รวมเป็นเส้นเดียว เป็นความผิดปกติที่สำคัญของหัวใจ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของอาการเขียว เพราะเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยนั่นเอง แต่อีกทางหนึ่งธรรมชาติมีความมหัศจรรย์ปรับสมดุล คนไข้จึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะธรรมชาติช่วยคุมปริมาณเลือดได้อย่างเพียงพอ ซึ่งในทางการแพทย์จะพยายามช่วย เมื่อเห็นว่าไปไม่ไหวแล้ว วิธีการรักษาทางการแพทย์ คือเพิ่มปริมาณเลือด โดยนำเส้นเลือกแดงต่อไปยังที่ปอด ทำให้ปริมาณเลือดได้รับการฟอกมากขึ้น โดยจะทำต่อเมื่อคนไข้มีความรู้สึกว่าเหนื่อยมากๆ เพราะการผ่าตัดแต่และครั้งก็มีความเสี่ยง ยิ่งในโรคหัวใจที่ซับซ้อนมากๆ ไม่สามารถจะผ่าตัดแก้ไขให้เป็นปกติได้ เพียงแต่ทำให้ระบบการทำงานดีขึ้นเท่านั้น”

“นายเอกพงษ์ ฝีปากเพราะ” หรือ “เดย์” เปิดเผยว่า “ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดปกติแต่อย่างใด ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ออกรายการ “มันแปลกดีนะ” ก็ใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพียงแค่ไม่ได้มีโอกาสเล่นกีฬาออกกำลังกาย เหมือนเพื่อนๆ เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไร พยายามรักษาดูแลสุขภาพ และทำกิจกรรมทุกอย่างให้เป็นปกติ ถึงตอนนี้คิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดแล้ว เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีคนเคยบอกว่าโรคนี้มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ตนเองยังมีลมหายใจอยู่ และจะขอมีศรัทธาที่จะยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปครับ”

www.newswit.com

อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ เตรียมขยายโรงผลิตไฟฟ้ารายย่อย

อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ บริษัทในกลุ่ม บี.กริม เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าในโครงการ SPP (Small Power Producer) รายแรกๆ และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย บริษัทวางแผนขยายโรงไฟฟ้าเป็น 16 โรง ขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตโรงละ 90 เมกะวัตต์ และขายให้โรงงานกว่า 800 ราย ใน 6 นิคมอุตสาหกรรม

 

 

กลุ่ม อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ แจ้งแผนการดำเนินการขยายกิจการโรงผลิตไฟฟ้า ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อย หรือ Small Power Producer (SPP) เพิ่มขึ้นเป็น 16 โรงจากเดิมในปัจจุบัน อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการอยู่ทั้งสิ้นจำนวน 3 โรง แบ่งเป็นจำนวน 2 โรงตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี และอีก 1 โรงตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้เบียนโฮ ประเทศเวียดนาม ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 363 เมกะวัตต์ สำหรับจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากกว่า 200 ราย

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President) กล่าวว่า “เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างมาก ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในภาพรวมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม โดยในปี 2555 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน” ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปีเดียวกันนี้ ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 26,355เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้น 7.27 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2554 ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 24,568เมกะวัตต์ และคาดการณ์ว่าในปี 2556 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 27,443 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 4.13 เปอร์เซ็นต์จากปัจจุบัน

ดังนั้น อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จึงวางแผนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นดังกล่าว โดยปัจจุบันบริษัทกำลังก่อสร้างโรงไฟฟ้าอยู่อีก 3 โรง และตั้งเป้าว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 10 โรง รวมกับโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการอยู่จะเป็นจำนวนทั้งสิ้น 16 โรงใน 6 นิคมอุตสาหกรรมให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 16 โรง จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกันประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำนวนมากกว่า 800 ราย นอกเหนือจากที่ส่งให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต

“ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเรียลเซ็คเตอร์ ที่ต้องการไฟฟ้าเพื่อไปผลิตสินค้าส่งออก ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก และครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์, ไอที จนถึงระบบการคมนาคมขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นางปรียนาถกล่าวปิดท้าย

สำหรับกระบวนการผลิตไฟฟ้าของอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิต นั้นระบบ Co-Generation Combined Cycle จะช่วยในเรื่องของการใช้ก๊าซธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีการใช้เชื้อเพลิงในปริมาณที่น้อยลง ทำให้ลดต้นทุนของประเทศในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งยังได้ผลผลิตไอน้ำที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆต่อไปได้ ทำให้เกิดการใช้พลังงานที่คุ้มค่า นอกจากนี้บริษัทยังคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและชุมชนเป็นหลัก ตามแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม บี.กริม ที่ยึดหลัก “การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี” ดังนั้น อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จึงส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมและเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยได้ริเริ่มและดำเนินโครงการส่งเสริมความสัมพันธ์ร่วมกับชุมชนมากมายอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย โครงการปลูกป่าชายเลน และโครงการการเรียนการสอนร่วมกับกรมอาชีวศึกษา เป็นต้น”

www.newswit.com

เอชดีเอส ได้รับรางวัลเกียรติยศ 2012 Computerworld Honors Laureate

บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชัน หรือเอชดีเอส เปิดเผยว่า ลูกค้าของบริษัทฯ ได้แก่ ซีแอตเทิล ชิลเดรนส์ (Seattle Children’s) และบริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด จากประเทศไทย ได้รับรางวัลเกียรติยศ 2012 Computerworld Honors Laureate จาก IDG Computerworld Honors Program โดย ซีแอตเทิล ชิลเดรนส์ได้รับรางวัลในประเภทการดูแลสุขภาพ และบริษัท กัลฟ์ เจพี ได้รับรางวัลในประเภทการพัฒนาเศรษฐกิจ สำหรับการประกาศผลและมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้มีขึ้นในงานพิธีมอบรางวัลประจำปีพร้อมงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ณ หอประชุมแอนดรูว์ ดับเบิลยู เมลลอน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งการมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นการยกย่องผู้ที่ปรับใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการศึกษาอย่างชัดเจน

 

 

นายอาซิม ซาเฮียร์ รองประธานระดับสูงฝ่ายการตลาดทั่วโลก บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ กล่าวว่า "เราขอแสดงความยินดีกับซีแอตเทิล ชิลเดรนส์ และบริษัท กัลฟ์ เจพี ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจากคอมพิวเตอร์เวิลด์ในครั้งนี้ สำหรับผลงานของพวกเขามีความสำคัญและน่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำงานร่วมกับลูกค้าในการนำเสนอโซลูชั่นและบริการใหม่ๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันมีผลต่อมนุษยชาติ และเราพร้อมเดินหน้าเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถปรับปรุงชุมชนของตนให้ดียิ่งขึ้นด้วยการเปลี่ยนเทคโนโลยีให้กลายเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน"

นายจอห์น เอมาโต รองประธาน/ผู้จัดพิมพ์ของคอมพิวเตอร์เวิลด์ กล่าวว่า "ไม่มีข้อกังขาเลยว่า ทำไมเทคโนโลยีจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า เนื่องจากเทคโนโลยีช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน การสร้างสรรค์นวัตกรรม การติดต่อสื่อสาร และช่วยให้ประสบความสำเร็จ โดยสิ่งที่ Computerworld Honors Laureates พยายามสะท้อนให้เห็นคือบทบาทของเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า ซึ่งคอมพิวเตอร์เวิลด์ให้การยอมรับและยกย่องบุคคลหรือองค์กรที่มีผลงานที่เด่นชัดว่าประสบผลสำเร็จจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเรา และนั่นถือเป็นการสร้างอนาคต คอมพิวเตอร์เวิลด์รู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนรางวัลอันทรงเกียรติ 2012 class of Laureates และได้ยกย่องแนวทางปฏิบัติของผู้ที่ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมผ่านการปรับใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์"

เป็นเวลากว่า 100 ปีที่ซีแอตเทิล ชิลเดรนส์ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยรุ่นเยาว์ทั้งในด้านกายภาพ อารมณ์ และพัฒนาการของแต่ละบุคคล ครอบคลุมตั้งแต่วัยทารกจนถึงวัยหนุ่มสาว โดยซีแอตเทิล ชิลเดรนส์ ถือเป็นองค์กรด้านการดูแลสุขภาพที่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ด้วยการนำเสนอบริการและการตรวจวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งยังมีระบบที่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็ว

จะเห็นได้ว่าเวชระเบียนผู้ป่วย ข้อมูลวิจัยที่ทันสมัย และการทำธุรกรรมด้านบัญชีสามารถใช้งานได้จาก ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานขององค์กรสุขภาพแห่งนี้ที่กำลังขยายตัวและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างสมบูรณ์

แผนกไอทีของซีแอตเทิล ชิลเดรนส์ ได้เริ่มดำเนินกลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบเดสก์ท็อปเสมือนจริง (VDI) ให้ครอบคลุมทั้งองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อรวมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์เครือข่ายชั้นเยี่ยมทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อให้ไม่เกิดข้อบกพร่องใดๆ ขึ้นในการดำเนินงาน โดยซีแอตเทิล ชิลเดรนส์ ได้ติดตั้ง Hitachi Virtual Storage Platform (VSP) และ Hitachi NAS Platform ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก BlueArc® ภายในศูนย์ข้อมูลหลักของตนเพื่อทำหน้าที่เป็นโซลูชั่นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนกลาง และนับตั้งแต่มีการปรับใช้โซลูชั่นดังกล่าว ฝ่ายไอทีของซีแอตเทิล ชิลเดรนส์ สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวันได้โดยที่ไม่เกิดปัญหาระบบหยุดทำงานซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยได้

บริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายใหญ่ของประเทศไทย ที่ให้บริการทั้งในภาคสาธารณะและผู้ใช้ในเขตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ แม้ว่าอุตสาหกรรมพลังงานจะเป็นหนึ่งในกำลังหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตขึ้น แต่การเพิ่มจำนวนโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับต่อความต้องการด้านพลังงานในประเทศก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และเพื่อให้ลูกค้าของบริษัท กัลฟ์ เจพี สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง บริษัท จึงจำเป็นต้องใช้โซลูชั่นสำรองข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพสูง

ดังนั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบไอทีจะสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและระบบสำรองจะสามารถสนับสนุนการสร้างกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน บริษัท กัลฟ์ เจพี จึงเลือกโซลูชั่นระดับกลางของบริษัท ฮิตาชิ และซอฟต์แวร์การจำลองแบบของบริษัท ฮิตาชิ ซึ่งนับตั้งแต่มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระบบไอทีด้วยการปรับใช้โซลูชั่นจากบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ (เอชดีเอส) โดยบริษัท กัลฟ์ เจพี ได้จ้างพนักงานกว่า 400 คน และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 1,000 คนในปี 2558 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ นอกจากนี้ บริษัท กัลฟ์ เจพี ยังมั่นใจอีกด้วยว่ากำลังการผลิตในระดับสูงสุดของบริษัทจะไม่กระทบต่อชุมชนท้องถิ่น เนื่องจากบริษัทได้ดำเนินงานภายใต้จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่สำคัญสูงสุดคือโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นของบริษัท กัลฟ์ เจพี ช่วยให้มั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

Computerworld Honors Program จัดขึ้นโดยบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า กรุ๊ป (ไอดีจี) ในปี 2531 และอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิรางวัลเทคโนโลยีสารสนเทศของคอมพิวเตอร์เวิลด์ (Computerworld Information Technology Awards Foundation) ที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดย Computerworld Honors เป็นรางวัลระดับโลกที่มีการดำเนินงานมาอย่างยาวนาน เพื่อยกย่องบุคคลและองค์กรที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และการศึกษา

www.newswit.com

โจรใจบาป ฉกเอาถังผ้าป่า ไม่หวั่นโรงพัก ใกล้ 500 เมตร

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อช่วงเช้าเวลา 08.00 น. วันที่ 22 มิถุนายน ที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวของนางนายวินัย อายุ 59 ปี และนางอัมพร แก้วลอย อายุ 52 ปี สองสามีภรรยาตั้งอยู่ริมถนนนครหลวง-ภาชี ตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอนครหลวงและ สภ.นครหลวงเพียง 500 เมตร ถือเป็นชุมชนเมืองของอำเภอนครหลวง โดยคนร้ายเป็นชาย 1 คนได้เข้ามาฉกเอาถังผ้าป่าที่ตั้งอยู่หน้าร้าน ไปพร้อมกับเงินผ้าป่าจำนวนกว่า 6,000 บาท ขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีมุ่งหน้าไปทางโรงพักนครหลวง ด้วยความตกใจคนในร้านได้ตะโกนให้คนช่วยไล่จับ แต่คนร้ายหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล


หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.ฐาณภิตร์ พิมพา พนักงานสอบสวน สภ.นครหลวง ได้เข้ามาทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ และพบว่าคนร้ายได้ยกถังผ้าป่าไปทั้งถังกับเงินสดที่ติดไว้กับถังผ้าป่าจำนวน 6,000 กว่าบาท ทิ้งไว้แต่เพียงผ้าจีวรและยาสามัญประจำบ้านที่ติดองค์ผ้าป่าไว้ให้ตำรวจได้ดูต่างหน้า บนโต๊ะก๋วยเตี๋ยวพบหมวกกันน๊อคสีน้ำตาลแบบเต็มใบของคนร้าย 1 ใบ ตกอยู่หน้าร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน และยังคงสั่งการให้รถสายตรวจวิทยุสกัดจับคาดว่าคนร้ายจะหนีไปได้ไม่ไกลและอุ้มถังผ้าป่าติดมือเป็นที่สังเกตได้ง่าย


นางอัมพร แม่ค้าก๋วยเตี๋ยว ที่ยังอยู่ในอาการตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ขณะเกิดเหตุตนเองอยู่ระหว่างเตรียมร้านขายก๋วยเตี๋ยว ได้มีคนร้ายเป็นชายรูปร่างสัดทัด ใส่หมวกกันน๊อคเต็มใบ ใส่เสื้อแจ๊คเก็ตสีดำ คลิบแขนสีส้ม สวมทับเสื้อซาฟารีสีดำ ใส่กางเกงวอมสีดำคลิบสีส้มเหมือนกับเสื้อได้จอดรถจักรยานยนต์ พร้อมกับถอดหมวกกันน๊อคเดินเข้ามาในร้าน ทำทีสั่งก๋วยเตี๋ยวใส่ถุงจำนวน 3 ถุง จึงไม่ได้เอะใจไม่คิดว่าเป็นคนร้ายเนื่องจากเดินถอดหมวกเข้ามาสั่งก๋วยเตี๋ยว ระหว่างรอทำก๋วยเตี๋ยวใส่ถุง คนร้ายยังทำเหมือนไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอก๋วยเตี๋ยวปกติเหมือนลูกค้าทั่วไป โดยในระหว่างที่ตนเองกำลังลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ถุงที่ 3 ลูกค้าใจดีได้กลายเป็นโจรใจบาปในพริบตา วิ่งเข้าไปกระชากผ้าจีวรในถังผ้าป่าทิ้ง แล้วอุ้มถังผ้าป่าและเงินสด ขึ้นรถจักรยานยนต์ขับหนีมุ่งหน้าไปทางอำเภอท่าเรือ ผ่านหน้าโรงพักนครหลวงอย่างไม่เกรงกลัวจะถูกตำรวจไล่ตามจับกุมแต่อย่างไร


นายวิชัย กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุตนเองกำลังถอยรถยนต์ที่ข้างร้าน ซึ่งคนร้ายทำเนียนมากทั้งที่ตนเองคอยระมัดระวังตัวอยู่แล้วยังถูกคนร้ายเข้ามาก่อเหตุจนได้ ส่วนถังผ้าป่าที่คนร้ายใจบาปฉกไปตนเองและญาติ ร่วมกันตั้งบอกบุญไว้ที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วครบ 100 วัน เริ่มนำมาตั้งได้ 3 วันก็มีบรรดาญาติพี่น้องลูกค้าก๋วยเตี๋ยว นำเงินมาร่วมทำบุญติดผ้าป่าเป็นจำนวนมากเตรียมที่จะนำไปทอดที่วัดเทพพระจันทร์ลอย แต่มาถูกโจรใจบาปฉกไปเสียก่อน รู้สึกเสียใจ หดหู่ใจมาก ที่โจรชุกชุมอาละวาดก่อเหตุอย่างไม่เกรงกลัวบาปบุญ ทั้งที่ร้านของตัวเองอยู่ในชุมชน ขณะก่อเหตุก็มีชาวบ้านเดินไปมา และอยู่ใกล้โรงพักคนร้ายยังกล้าลงมือก่อเหตุอย่างลุกอาจกลางวันแสกๆ ต่อหน้าต่อตาด้วย ต้องฝากเตือนประชาชนให้ระมัดระวังเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นบ่อยในช่วงนี้ที่มีการแข่งขันฟุตบอลยูโรกันอยู่

www.matichon.co.th

เรดาร์ขัดข้อง โยนวิทยุการบิน เป็นผู้รับผิดชอบ

"ผอ.สุวรรณภูมิ" โยนวิทยุการบินฯ รับผิดชอบจากเหตุระบบไฟฟ้าเรดาร์ขัดข้อง รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่กระทบต่อการบริการในสนามบิน จี้จัดเตรียมระบบไฟสำรองและอะไหล่ให้พร้อมไม่ให้ขัดข้องซ้ำ...

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2555 นายสมชัย สวัสดีผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวถึง กรณีระบบไฟฟ้าเรดาร์ขัดข้องจนเกิดความล่าช้าต่อเที่ยวบินในการขึ้นลงเมื่อคืนวานนี้ว่า ได้ส่งผลกระทบต่อการบริการทำให้เที่ยวบินขึ้นลงล่าช้าประมาณ 40 นาที จำนวน 9 ลำ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยต้องรับผิดชอบ ในฐานะทำหน้าที่บริหารจัดการการจราจรทางอากาศ ซึ่งจะต้องเตรียมเรื่องระบบไฟสำรอง อะไหล่ต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อม ไม่ให้เกิดเหตุขัดข้องซ้ำในอนาคตกระทบต่อการบริการในท่าอากาศยาน รวมถึงต้องจัดทำมาตรการความปลอดภัยให้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามในเวลา 11.00 น.วันนี้ ทางวิทยุการบินฯ จะแถลงข่าวถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งหากมีความเสียหายหรือข้อร้องเรียนใดเกิดขึ้นในการให้บริการในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทางวิทยุการบินฯ ต้องรับผิดชอบ รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งจะต้องมีการหารือกันภายหลัง

นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริการของท่าอากาศยานฯ ในอนาคต จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือ ไม่ใช่เฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบเท่านั้น แต่จะเรียกศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และกรมอุตุนิยมวิทยาเข้าหารือเพื่อเตรียมความพร้อม

ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า กรณีไฟฟ้าเรดาร์ขัดข้องเกิดจากกระแสไฟฟ้าขัดข้องกะทันหัน จนไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่เรดาร์รับส่งสัญญาณให้เครื่องบินขึ้นหรือลงจอดได้ เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สั่งจ่ายไฟไปยังเรดาร์ระเบิด ระบบไฟฟ้าจะตัดไฟกะทันหัน ทำให้ต้องรีบูตเครื่องใหม่ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่มีผลต่อความปลอดภัย แต่มีผลต่อความสะดวกของผู้โดยสาร ทำให้เครื่องบินดีเลย์ประมาณ 40 นาที

อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด และมีการสอบถามในเชิงลึกถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมกับเตรียมเแนวทางป้องกันปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ส่วนสาเหตุกระทบไปถึงเครื่องบินที่ไม่สามารถไปลงจอดสนามบินดอนเมืองได้นั้น เนื่องจากระบบการจราจรทางอากาศของสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิเป็นระบบเดียวกัน

m.thairath.co.th

สลด! โจรภูเก็ต แทง 2 ฝรั่ง เอเย่นต์ทัวร์

2 คนร้ายก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์แหม่มสาวใหญ่ เจ้าของบริษัททัวร์ชาวออสเตรเลีย ดักลงมือ ขณะเหยื่อออกไปกินข้าวที่ร้านอาหาร เดินทางกลับโรงแรมที่พักมากับเพื่อนอีกคน ขี่รถ จยย.เข้าไปกระชากกระเป๋าสะพาย เหยื่อฮึดสู้โดนแทงด้วยมีดสปาร์ตาเข้าอกซ้ายทะลุ ล้มทรุด ส่วนเพิื่อนโดนฟันต้นแขนซมซานไปขอความช่วยเหลือจากพนักงานโรงแรมช่วยหามส่งโรงพยาบาลแต่เหยื่อคมมีดรายแรกขาดใจตายไปก่อน ตำรวจเจ้าของพื้นที่และตำรวจท่องเที่ยวประสานระดมกำลัง ติดตามไล่ล่าคนร้ายสุดเหวี่ยง

โจรอาละวาดก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์แหม่มสาวใหญ่เจ้าของบริษัททัวร์ใช้มีดสปาร์ตาแทงอกซ้ายตัดขั้วหัวใจสุดอำมหิตรายนี้เปิดเผยเมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 20 มิ.ย. พ.ต.ท.บุญเลิศ อ่อนกลาง สารวัตรเวร สภ.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ได้รับแจ้งมีนักท่องเที่ยวถูกแทงเสียชีวิตและบาดเจ็บบริเวณถนนกะตะน้อย ต.กะรน จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิริศักดิ์ วาสะศิริ ผกก.สภ.ฉลอง พ.ต.อ.วันชัย ปาละวัน ผกก.สส.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.ณรงค์ ลักษณะวิมล รอง ผกก.ป. ร.ต.อ.อุรัมพร ขุนเดชสัมฤทธิ์ สว.ส.ทท.2 กก.5 จ.ภูเก็ต นำกำลังพร้อมแพทย์เวรโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และเจ้าหน้าที่มูลนิธิภูเก็ตร่วมใจกู้ภัย รุดไปตรวจสอบ

จุดเกิดเหตุเป็นถนนทางลงเขาใกล้กับโรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท พบนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตรวจสอบพบเพียงกองเลือด ส่วนคนถูกแทงมี 2 ราย กระเสือกกระสนไปขอความช่วยเหลือจากพนักงานโรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ให้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลและขาดใจตายไปก่อน 1 ราย ทราบชื่อ น.ส.สมิธ มิเชล อลิชซาเบท อายุ 59 ปี ชาวออสเตรเลีย มีบาดแผลถูกแทงด้วยมีดสปาร์ตาเข้าอกซ้ายตัดขั้วหัวใจทะลุปอด 1 แผล นำศพส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เพื่อให้แพทย์ตรวจพิสูจน์อีกครั้ง ส่วนผู้บาดเจ็บอีกคนถูกนำส่งโรงพยาบาลศิริโรจน์ภูเก็ต ทราบชื่อ น.ส.ลินนี่ แทมมี่ ลี อายุ 45 ปี ถูกฟันด้วยมีดสปาร์ตาเข้าต้นแขนซ้ายเป็นแผลฉกรรจ์

จากการสอบสวนทราบว่า น.ส.สมิธ ผู้ตายและ น.ส.ลินนี่ คนเจ็บ ประกอบอาชีพเปิดบริษัททัวร์ที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย นำเพื่อนๆประมาณ 10 คนเดินทางมาดูสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อเปิดตลาดนำนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่ จ.ภูเก็ต เข้าพักที่โรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา กำหนดเดินทางกลับในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ ก่อนเกิดเหตุผู้ตายและเพื่อนๆชวนกันออกไปกินอาหารมื้อค่ำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่นอกโรงแรม เสร็จแล้วเพื่อนๆแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน ส่วน น.ส.สมิธ และ น.ส.ลินนี่พากันเดินกลับโรงแรมที่พัก

ขณะเดินมาถึงที่เกิดเหตุใกล้จะถึงโรงแรมที่พักก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จู่ๆมีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน อายุประมาณ 20-25 ปีขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน คนขี่สวมเสื้อแขนสั้นสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ส่วนคนซ้อนท้ายสวมเสื้อคอกลมแขนสั้น กางเกงยีนส์  ผมยาวประบ่า ไม่สวมหมวกกันน็อก ทำทีขี่รถเลยไปก่อนเลี้ยววกรถกลับมาตรงเข้ากระชากกระเป๋าสะพายของ น.ส.สมิธ ทันที ระหว่างนั้น น.ส.สมิธขัดขืนต่อสู้และร้องตะโกนเรียกให้คนช่วย คนร้ายเลยโมโหใช้มีดสปาร์ตาที่พกมาแทงเข้าหน้าอก น.ส.สมิธจนล้มทรุดกองกับพื้น แล้วคนร้ายยังใช้มีดฟันแขน น.ส.ลินนี่บาดเจ็บไปอีกคนแล้วบึ่งรถหนีมุ่งหน้าไปทางหาดกะรนอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ทรัพย์สินของเหยื่อติดมือไป

หลังจากคนร้ายทั้งสองพากันหลบหนีไปแล้ว น.ส.ลินนี่ที่ถูกคนร้ายฟันแขนบาดเจ็บช่วยประคองร่างอันโชกเลือดของ น.ส.สมิธ ที่ถูกแทงเข้าหน้าอกซ้ายอาการร่อแร่ไปขอความช่วยเหลือจากพนักงานโรงแรมกะตะธานีใกล้ที่เกิดเหตุ เพื่อให้ช่วยพาส่งโรงพยาบาล แต่ น.ส.สมิธทนความเจ็บบาดแผลฉกรรจ์ไม่ไหวขาดใจตายไปก่อน ส่วน น.ส.ลินนี่คนเจ็บ ทางพนักงานโรงแรมช่วยนำส่งโรงพยาบาลศิริโรจน์ภูเก็ต แพทย์ได้เย็บบาดแผลถึง 24 เข็ม

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าคนร้ายคงจะเห็นเหยื่อสะพายกระเป๋ามีทรัพย์สินติดตัวเยอะจึงลงมือก่อเหตุเพียงต้องการแค่ชิงทรัพย์สินเท่านั้น แต่เหยื่อเกิดเสียดายทรัพย์สินและฮึดสู้เลยถูกคนร้ายใช้มีดแทงเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนพยาน และตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงเพื่อหาเบาะแสคนร้าย ปรากฏว่ากล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพของคนร้ายขณะขี่รถหลบหนีหลังก่อเหตุไว้ได้ จะเร่งสืบสวนติดตามจับกุมมาดำเนินคดีโดยเร็ว เพราะลงมืออย่างอุกอาจเย้ยกฎหมายและเป็นคดีสะเทือนขวัญประชาชน

ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน พ.ต.อ.ชำนาญ แป้นนาบอน รอง ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต และ พ.ต.อ.ศิริศักดิ์ วาสะศิริ ผกก.สภ.ฉลอง แถลงข่าวที่โรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ถึงความคืบหน้าการติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ น.ส.สมิธว่าจัดกำลัง 3 ชุดออกติดตามไล่ล่าคนร้าย ขณะนี้ยังจับกุมไม่ได้ พ.ต.อ.ศิริศักดิ์กล่าวด้วยน้ำตาตลอเบ้าเสียงสั่นเครือว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นคดีสะเทือนขวัญและส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต ขอแสดงความเสียใจ ต่อชาวออสเตรเลียทุกคนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ตายและผู้บาดเจ็บได้ ขณะนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ได้สั่งการลงมาโดยกำชับให้เร่งติดตามคนร้ายให้ได้โดยเร็วและสั่งการให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ลงมาดูแลสำนวนคดี

ด้านนายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหารโรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ที่ผู้ตายเดินทางมาเข้าพักที่โรงแรม  กล่าวว่า  ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต รวมทั้งกลุ่มเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ที่สำคัญกลุ่มผู้ตายและคนเจ็บเป็นเอเย่นต์บริษัททัวร์ของประเทศออสเตรเลีย มาสำรวจตลาดการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์และดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาใน จ.ภูเก็ต ขณะนี้กลุ่มเพื่อนของผู้ตายทั้งหมดพากันเช็กเอาต์ออกจากโรงแรมเดินทางกลับประเทศก่อนกำหนด เพราะตกใจกับเหตุการณ์ หลังจากนี้จะต้องติดตามความคืบหน้าของกรุ๊ปทัวร์กลุ่มนี้ หากมีอะไรให้ช่วยเหลือก็จะให้การช่วยเหลือให้ถึงที่สุด นอกจากนี้ ทางกงสุลออสเตรเลียพอใจกับการประสานงานของโรงแรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำงานฉับไว และย้ำว่าหากจับคนร้ายได้ จะให้ผู้เสียหายเดินทางกลับมาชี้ตัว และทางโรงแรมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะเกิดเหตุบริเวณถนนนอกโรงแรมก็ตาม เพราะถือว่าเป็นลูกค้าของโรงแรม

m.thairath.co.th

ตามล่า 2 คนร้าย ฆ่าสาวออสเตรเลีย ตั้งชุดเฉพาะกิจ 3 ชุด

ผบ.ตร.กำชับคดีคนร้ายฆ่าชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย-ฟันเพื่อนสาวเจ็บ ที่ภูเก็ต เป็นคดีพิเศษ ลั่นจับให้ได้โดยเร็ว หวั่นกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว ตั้งชุดเฉพาะกิจ 3 ชุดไล่ล่า

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 มิ.ย.นี้. ห้องประชุมสิมิลัน โรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.ชำนาญ แป้นนาบอน รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิริศักดิ์ วาสะศิริ ผกก.สภ.ฉลอง นายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหารโรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีที่คนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน ใช้อาวุธมีดแทง นางสาวสมิทธ มิเชล อลิชซาเบท อายุ 59 ปี สัญชาติออสเตรเลีย เสียชีวิต และใช้อาวุธมีดฟัน นางสาวลินนี่ แทมมี่ ลี อายุ 45 ปี สัญชาติออสเตรเลีย เพื่อนผู้ได้ตายได้รับบาดเจ็บเย็บ 24 เข็ม หลังผู้ตายขัดขืน ไม่ส่งกระเป๋าสะพายให้ ก่อนขี่ จยย.หลบหนีไป ตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้

พ.ต.อ.ศิริศักดิ์ วาสะศิริ ผกก.สภ.ฉลอง กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญอย่างยิ่ง เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต อย่างมาก และขอแสดงความเสียใจต่อชาวออสเตรเลียทุกคนที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ขณะนี้ทาง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ได้สั่งการกำชับคดีมาเป็นพิเศษ และสั่งการให้จับคนร้ายให้ได้โดยด่วน และสั่งการให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. เข้ามาดูแลสำนวนในคดีดังกล่าวนี้ นอกจากนั้น ให้ พล.ต.ต.พิสัณห์ จุลดิลก รองผบช.ภาค 8 ให้เข้ามาดูแลควบคุมคดีอีกด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีชุดสืบสวน ภ.จว.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจ นปพ. และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ฉลอง ได้แบ่งงานทำจำนวน 3 ชุด คือ ชุดแกะเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะหลบหนี ชุดที่ 2 ชุดการสืบประวัติหากลุ่มบุคคล หรือกลุ่มต้องสงสัยที่เคยก่อคดีในลักษณะดังกล่าวจากแฟ้มประวัติคนร้าย ชุดที่ 3 ชุดติดตามคนร้ายจากภาพและรถจักรยานยนต์ที่ได้จากกล้องวงจรปิด ซึ่งขณะนี่เราทราบเพียงว่าคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นชายวัยรุ่น 2 คน อายุไม่เกิน 25 ปี และทราบรถจักรยานยนต์ที่ก่อเหตุแล้ว เป็นยี่ห้อฮ้อนด้า รุ่นดรีม ส่วนป้ายทะเบียน ขณะนี้กำลังให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคแกะตัวเลขจากป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวอยู่ ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถออกหมายจับ หรือออกภาพสเก็ตช์คนร้ายได้ แต่เชื่อว่าน่าจะสามารถจับกุมคนร้ายในคดีนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายได้อย่างแน่นอน

ด้านนายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหารโรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท กล่าวว่า ตนต้องแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต เพื่อนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยกัน และนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียทุกคน พร้อมทั้งชี้แจงว่า ทางโรงแรมมีมาตรการในการป้องกันภัยอย่างดีเยี่ยม โดยภายในโรงแรมมีกล้อง CCTV ทั้งหมด 110 จุด ด้านหน้าโรงแรมจากจุดลงเขา จนถึงบริเวณถนนด้านนอกโรงแรมมีทั้งหมด 8 ตัว แต่ละตัวห่างกัน 800 เมตร มีพนักงานรักษาความปลอดภัยจำนวน 23 คน ซึ่งดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง นอจากนั้น ยังได้ประสานไปยังเทศบาลตำบลกระรนเพื่อเพิ่มความสว่างตลอดเส้นทางดังกล่าว ซึ่งโรงแรมให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในเรื่องชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง และเชื่อว่าคดีนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้แน่ ซึ่งหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน ที่สำคัญกลุ่มผู้ตายและผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นเอเย่นต์ทัวร์ของประเทศออสเตรเลีย มาสำรวจตลาดการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตเพื่อนำไปประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดภูเก็ต และขณะนี้กลุ่มเพื่อนของผู้ตายทั้งหมด ก็ได้เช็กเอ้าท์ออกจากโรงแรม เพื่อเดินทางกลับประเทศก่อนกำหนด เพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ตนจะต้องติดตามความคืบหน้าของกรุ๊ปทัวร์กรุ๊ปนี้ตลอดเวลา หากมีอะไรที่ให้การช่วยเหลือจะให้การช่วยเหลือให้ถึงที่สุด นอกจากนั้น ในเรื่องของคดี ทางกงสุลออสเตรเลียพอใจกับการประสานงานของโรงแรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และย้ำว่าหากจับผู้ร้ายได้ ผู้เสียหายจะต้องกลับมาชี้ตัว ทางโรงแรมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะเกิดเหตุบริเวณถนนนอกโรงแรม แต่เขาก็คือลูกค้าของโรงแรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ทางโรงแรมให้ความสำคัญ เพราะอาจจะทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และหลังจากนี้ตนต้องหามาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้นกว่าเดิม.

 www.thairath.co.th

 

Holiday Inn Express เปิดโรงแรมแห่งใหม่ในกรุงเทพ

ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส (Holiday Inn Express) หนึ่งในแบรนด์โรงแรมที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เปิดตัว “ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สยาม” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย การเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวของฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ในการบุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจำนวนโรงแรมในเครืออีก 12 แห่งที่อยู่ในระหว่างดำเนินการเตรียมพร้อมเปิดในอีกสองปีข้างหน้า

 

 

ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สยาม ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ มีห้องพักไว้บริการ 300 ห้อง ซึ่งตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเหล่านักเดินทางรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจ หรือนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความสะดวกสบายและความคุ้มค่าจากการเข้าพักในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯ ด้วยรูปแบบการบริหารจัดการที่มีความคล่องตัวสูง ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สยาม ให้ความสำคัญกับการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นอย่างครบครันแก่ผู้เข้าพัก เช่น ห้องพักระดับคุณภาพที่ได้รับการตกแต่งอย่างดี บริการ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (ไว-ไฟ) และบริการอาหารเช้า ที่รวมอยู่ในราคาห้องที่คุ้มค่า

ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส เป็นหนึ่งในเก้าแบรนด์โรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (ไอเอชจี) ก่อตั้งขึ้นในปี 2534 และมีการขยายเครือข่ายไปกว่า 2,000 โรงแรมทั่วโลก ซึ่งนับว่าเป็นแบรนด์ที่มีจำนวนโรงแรมมากที่สุดในเครือไอเอชจี

มร. ยาน สมิตส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประจำทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ของไอเอชจี กล่าวว่า \"เราได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของแบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส มาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา จนกระทั่งกลายมาเป็นแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติอย่างในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแบรนด์โรงแรมนี้ อยู่ในความต้องการของทั้งแขกผู้เข้าพักและนักลงทุน

“เรามั่นใจว่า ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส จะประสบความเร็จอย่างสูงในภูมิภาคนี้ โดยจะเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่มาติดต่อธุรกิจ เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในกรุงเทพฯ”

รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่คล่องตัวของ ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ถูกออกแบบมาให้เอื้อต่อการควบคุมต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความต้องการในการแข่งขันที่สูงขึ้นของตลาด ในแง่ความสะดวกสบายและความคุ้มค่า

เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุดไปพร้อมกับการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ งานบริการหลายส่วนที่ไม่ได้ติดต่อกับผู้เข้าพักโดยตรง เช่น แผนกซักรีด แผนกดูแลทำความสะอาด และไอที จะใช้วิธีจ้างเหมาบริการภายนอก (outsourcing) จากพันธมิตรที่เชื่อถือได้และมีความถนัดในสายงานนั้นๆ ส่วนพนักงานของฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส จะต้องผ่านการฝึกอบรมข้ามแผนกและฝึกทักษะในส่วนทั่วไปทั้งหมด เพื่อให้ใช้พนักงานในจำนวนน้อยลง แต่ไม่กระทบต่อการบริการผู้เข้าพัก

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของไอเอชจี นักลงทุนที่ร่วมเป็นหุ้นส่วนกับฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากความเชี่ยวชาญของหนึ่งในเครือบริหารโรงแรมระดับนานาชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก

เนื่องจากไม่จำเป็นต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญมาประจำที่โรงแรมเพื่อให้บริการในหลายๆ ด้าน เจ้าของโรงแรมจึงสามารถใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากบริการสนับสนุนด้านทรัพยากรของ ไอเอชจีที่ครอบคลุมเกือบทุกด้านของการดำเนินธุรกิจโรงแรม ตั้งแต่ด้านการขายและการตลาด การเงิน ระบบจัดการธุรกิจและไอที

นอกจากนี้ ระบบการสำรองห้องพักที่ทันสมัยของโรงแรมยังเชื่อมโยงโดยตรงกับระบบจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก (Global Distribution Systems) ซึ่งเชื่อมกับคอลเซ็นเตอร์ของไอเอชจี ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ช่วยให้ตัวแทนสำรองห้องพักสามารถเข้าถึงระบบการสำรองห้องพักของทางโรงแรมได้อย่างรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง

"เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ร่วมงานกับไอเอชจี ในการเปิดตัวโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ขึ้นเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงแรมแบรนด์นี้มีรูปแบบการบริหารธุรกิจในรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้เรามั่นใจว่าโรงแรมจะสามารถทำผลกำไรที่คุ้มค่าได้” มร. อัสวานี บาจาชจ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัมบูรายา โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด เจ้าของธุรกิจรายแรกในในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้เข้าร่วมแบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ด้วยโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สยาม กล่าว

มร. บาจาชจ์ กล่าวอีกว่า \"รูปแบบการดำเนินงานที่ \'ชาญฉลาด\' เช่นนี้ นอกจากช่วยให้เรามีเวลาทุ่มเทให้กับการตอบสนองความต้องการของนักเดินทางยุคใหม่ได้เต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะประทับใจและจดจำการบริการที่ดีของเรา พร้อมกับสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน เราก็ยังมีเวลาเข้ามาดูแลการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นให้กับโรงแรมของเรา\"

ด้วยจำนวนโรงแรมในเครือทั้งหมด 2,133 แห่งทั่วโลก ปัจจุบัน ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส เป็นแบรนด์โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีโรงแรมภายใต้แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส อยู่ 40 แห่ง และยังมีแผนที่จะเปิดตัวอีกถึง 54 แห่ง

แผนการขยายธุรกิจของแบรนด์นี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครอบคลุมการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ ทั้งในประเทศไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ในอีกสองปีข้างหน้า

นอกจากนี้ ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ยังมีแผนขยายธุรกิจไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กลุ่มประเทศจีน อินเดียและออสเตรเลีย

มร. ยาน สมิตส์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประจำทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา อินเตอร์ คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (ไอเอชจี) และ มร. อัสวานี บาจาชจ์ (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัมบูรายา โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ร่วมฉลองการเปิดตัวฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สยาม โรงแรมแบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

www.newswit.com

เชิญร่วมอบรม รากฐานวิชาชีพการบริหารอาคารชุดและบ้านจัดสรร รุ่นที่ 3 15-16 ส.ค. 55

ด้วยสมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรวิชาชีพการบริหารทรัพย์สิน จะดำเนินการจัดอบรมหลักสูตร “ รากฐานวิชาชีพการบริหารอาคารชุดและบ้านจัดสรร รุ่นที่ 3 ” ในวันที่ 15-16 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 08.30 – 16.30 น. (หลักสูตร 2 วัน) ณ ห้องประชุมชมัยมรุเชฐ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ค่าใช้จ่ายท่านละ 2,700.-บาท (สองพันเจ็ดร้อยบาทถ้วน) โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดอบรมดังต่อไปนี้

 

 

1) วางพื้นฐานความรู้เบื้องต้น การบริหารทรัพย์สินให้กับผู้สนใจทั่วไป ที่จะประกอบวิชาชีพผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด และนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร

2) ส่งเสริมให้ผู้จัดการนิติบุคคลฯ มีความรู้-ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และหลักการบริหารจัดการ

3) นำความรู้มาพัฒนาปรับปรุงเทคนิคในการปฏิบัติงานและการบริหารจัดการอาคารชุดและหมู่บ้าน จัดสรร

4) วางพื้นฐานความรู้ ก่อนเข้ารับการอบรมหลักสูตร มาตรฐานวิชาชีพผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดและผู้จัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร (TU-PMC) ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทั้งนี้ ผู้เข้าอบรมจะได้รับความรู้จากวิทยากรที่มากด้วยความสามารถ อาทิ ผู้แทนกรมที่ดิน และคณะกรรมการบริหารของสมาคมฯ ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการในด้านการบริหารจัดการทรัพย์สิน เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานและนำไปประกอบวิชาชีพอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานต่อไป

www.newswit.com

"You donate, We grow" เพิ่มพื้นที่สีเขียว ตอกย้ำความรับผิดสังคม

โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ ฟีนิกซ์ เพลินจิต เปิดตัวโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม "You donate, We grow" ซึ่งนับเป็นโครงการที่ 3 ของทางโรงแรมฯ เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แก่ประเทศไทย ภายใต้นโยบายการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมให้เป็นแนวทางที่สามารถพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ของโครงการ Planet 21 ซึ่งคิดริเริ่มและดำเนินงานโดยเครือแอคคอร์

 

 

ทางโรงแรมฯ จึงขอเชิญชวนผู้มีใจรักสิ่งแวดล้อม ร่วมอุดหนุนต้นกล้ากล้วยไม้ในขวดแก้วที่มีให้เลือกถึง 5 สายพันธุ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เหมาะสำหรับเป็นของขวัญและของฝากให้แก่เพื่อนและครอบครัวที่คุณรัก ในราคาขวดละ 120 บาท โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะนำไปจัดกิจกรรมปลูกป่าโกงกาง ณ กองทัพเรือ ป้อมพระจุลฯ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ

กิจกรรมการปลูกป่าโกงกางในครั้งนี้ จะนำทีมโดยพนักงานจิตอาสาของทางโรงแรมฯ เพื่อปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของโรงแรมในเครือแอคคอร์ทั่วภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กับโครงการ Planet 21 ในการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน ร่วมสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและชุมชนรอบตัวอีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของทางโรงแรมฯ กรุณาติดต่อ 02 305 6000

www.newswit.com

พาณิชย์ เปิดโครงการ Thai Select หวังกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมอาหาร

22 มิ.ย.- นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เชื่อมั่นว่า แม้อุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยายนต์ และชิ้นส่วน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักในการส่งออก จะประสบปัญหาน้ำท่วม และเพิ่งเริ่มกลับมาผลิต ทำให้ในช่วง 3 - 4 เดือนที่ผ่านมา ยอดการส่งออกไม่ดีนัก ดังนั้น ก.พาณิชย์ จึงปรับกลยุทธผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารของไทย เพื่อขยายตลาดทั้งในตลาดหลัก และตลาดใหม่ เพราะอุตสาหรรมอาหารของไทย เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก และเป็นอุตสาหรรมอันดับ 2 ที่ทำรายได้เข้าประเทศ โดยปีนี้มองว่าการส่งออกในกลุ่มอาหารยังขยายตัวได้ดี และจะผลักดันให้มีมูลค่าส่งออกไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาและในปี 2556 ตั้งเป้า เพิ่มการส่งออกอาหาร ให้ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมอาหาร ก.พาณิชย์ ได้ของบประมาณปี 56 จำนวน 300 ล้านบาท เพื่อมาผลักดันโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก และนำโครงการ Thai Select สานต่อ ซึ่งปีนี้ เป็นปีแรกที่มีขยายขอบเขตการมอบเครื่องหมาย Thai Select ให้กับร้านอาหารไทย ในประเทศ ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านการปรุงอาหาร ความสะอาด รสชาติ การตกแต่งร้านการให้บริการที่มีความเป็นไทย ใช้วัตถุดิบของไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารไทยที่ส่งออก เพื่อให้เครื่องหมาย Thai Select เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ในกลุ่มผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย เมื่อกลับไปยังประเทศของตนจะได้เป็นที่สังเกตและจดจำเครื่องหมาย Thai Select รวมทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้อุตสาหกรรมด้านอาหารและบริการของไทยเป็นที่รู้จัก และขยายการส่งออกไปยังต่างประเทศ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารและบริการด้านอาหารของโลก ซึ่งในปี ตั้งเป้าหมายว่า จะขยายการมอบใบรับรองร้านอาหารไทยในต่างประเทศให้พิ่มขึ้นอีก 1,000 ราย

โดยที่ผ่านมา ได้มีโครงการส่งเสริมร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ด้วยการมอบเครื่องหมาย “ไทย ซีเล็คท์” (Thai Select) ให้แก่ร้านอาหารไทยในต่างประเทศแล้วกว่า 1,400 ร้าน แต่ในปัจจุบันต้องมีการทบทวนใหม่ทุก 3 ปี ตามหลักเกณฑ์ ทำให้คงเหลือร้านไทย ซีเล็คท์ อยู่ 816 ร้าน ใน 24 ประเทศทั่วโลก

พร้อมกันนี้ ก.พาณิชย์เตรียมแนวทางและหัวข้อที่จะเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชน ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาส รับฟังปัญหา และปรับแนวทางร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ตัวเลขการส่งออกที่กระทรวงคาดไว้ในปีนี้จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 15% นอกจากนี้ จะมอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกติดตามสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนและอีกหลายปัญหา เพื่อปรับแนวทางการการเจาะตลาดส่งออกต่อไป. -สำนักข่าวไทย

www.mcot.net

สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค จัดโปรแกรม ไอ แคน ฟลาย เพื่อสานฝันนักบิน

การทำงานบนฟ้าดูจะเป็นอาชีพยอดนิยมที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากทำมากเป็นอันดับต้นๆ ด้วยความท้าทายที่เกิดขึ้นอยู่เสมอและเพื่อสนับสนุนให้มีเยาวชนเข้ามาทำงานในสายงานนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค จึงได้จัดโปรแกรม ไอ แคน ฟลาย กิจกรรมเพื่อการศึกษาซึ่งเปิดโอกาสให้กลุ่มเยาวชนที่ได้รับคัดเลือก ได้เรียนรู้กระบวนการทำงานจริงอย่างรอบด้านของธุรกิจการบิน ภายในหน่วยงานต่างๆ ของสายการบิน โดยล่าสุดได้นำเยาวชน 3 คน ที่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายเข้าเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของคาเธ่ย์ แปซิฟิค และศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบินชั้นนำฮ่องกง แอร์คราฟท์ เอนจิเนียริ่ง คอมพานี (HAECO) ในฮ่องกงอีกด้วย

กัลป์ ศรีอรุณ จากโรงเรียนจิตรลดา กล่าวถึงประสบการณ์ที่ได้รับว่า ได้รับความรู้เกี่ยวกับการฝึกนักบินซึ่งถือว่าเป็นอาชีพในฝันของตัวเองตั้งแต่เด็กๆ โดยได้เข้าไปเยี่ยมชมห้องจำลองปฏิบัติการสำหรับนักบินที่จะจำลองสถานการณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินซึ่งน้อยมากที่จะมีสายการบินไหนให้โอกาสกับเด็กที่มีความฝันอย่างตัวเองและคนอื่นๆ ได้เดินตามความฝัน โดยตั้งเป้าว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะสมัครเป็นนักบินไทยคนแรกของคาเธ่ย์ แปซิฟิค ให้ได้

ทางด้าน กฤษฎา ปิยปริญญากิจ จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผู้มีความใฝ่ฝันในการเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน กล่าวว่า การได้เห็นเบื้องหน้าและเบื้องหลังในการทำงาน รวมถึงการฝึกอบรมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเป็นสิ่งที่ประทับใจมาก ทำให้ได้ทราบถึงการทำงานของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินตั้งแต่การต้อนรับผู้โดยสารจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง

"นอกจากนี้ผมยังได้ทราบว่าหน้าที่ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินไม่ใช่เพียงแค่การดูแลเรื่องอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบินเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้โดยสารหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเกิดขึ้นด้วย ผมได้เห็นพี่ๆ ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งไฟลท์เลยครับ ไม่ว่าผู้โดยสารจะเรียกสักกี่ครั้งก็ยังบริการด้วยรอยยิ้มเสมอ เรียกได้ว่าความประทับใจของผู้โดยสารขึ้นอยู่กับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินนี่เองครับ" กฤษฎา กล่าว

ปิดท้ายที่ นักเรียนหนุ่มจากโรงเรียนแสงทองวิทยา หาดใหญ่ อย่าง วัชพล การะเกด ที่บอกว่ากิจกรรมนี้ทำให้ตัวเองได้ขึ้นเครี่องบินครั้งแรก และการไปดูงานที่ศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบินก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจมากเนื่องจากอยากเป็นวิศวกรการบินอยู่แล้ว โดยได้รู้รายละเอียดการทำงานของวิศวกรเครื่องบินและช่างซ่อมเครื่องบินทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่พ่นสีเครื่องบิน การซ่อมแซมเครื่องยนต์ การถอดปีกมาซ่อม เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เลย

 

 

www.komchadluek.net

วัดที่เล็กที่สุดในไทย ประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง มีชื่อว่า วัดน้อย

สถานที่อันเป็นที่สุดในไทยที่วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาไปทำความรู้จัก เป็นโบราณสถานที่ซ่อนตัวอยู่ในจังหวัดน่าน ความวิจิตรงดงามและประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งหนึ่งเดียวในประเทศไทย ณ เมืองเล็กๆท่ามกลางขุนเขาของภาคเหนือ โบราณสถานวัดน้อย หรือ วัดน้อย จ.น่าน

วัดน้อย จ.น่าน ตั้งอยู่บริเวณ ศาลากลางจังหวัดน่านหลังเดิม ซึ่งปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองน่าน จากเรื่องเล่าสืบทอดมายาวนานเขื่อกันว่า วัดแห่งนี้ถูกสร้างโดย พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 63 ซึ่งมีเรื่องเล่าถึงสาเหตุในการสร้างว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและกราบบังคมทูลถึงจำนวนวัดทั้งหมดในเมืองน่าน ต่อหน้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แต่ในครั้งนั้นพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯได้นับจำนวนวัดเกินไปหนึ่งวัด ทำให้การกราบบังคมทูลคราวนั้นผิดพลาด หลังจากนั้น พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ จึงได้หาทางทำการสร้างวัดน้อยแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อให้ครบตามจำนวนที่กราบบังคมทูลไปซึ่งการเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 5

ด้านรูปทรงของวัดน้อย เป็นลักษณะวิหารสีขาวก่ออิฐถือปูน มีความกว้าง1.98 เมตร ยาว2.34 เมตร สูง3.35 เมตร นับเป็น วัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย จากรูปทรงแล้วสามารถรู้ได้ว่าสร้างด้วยศิลปะแบบล้านนาสกุลช่างน่าน ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กและแผงพระพิมพ์ไม้ที่มีเอกลักษณ์อยู่ สำหรับใครที่อยากทราบประวัติความเป็นมาของวัดน้อย สามารถอ่านได้จากป้ายที่เขียนบอกข้อมูลเอาไว้ให้ศึกษาบริเวณใกล้ๆกับวัด ถือเป็นอีกหน่งสถานที่ที่ควรไปสักการะขอพรเมื่อมีโอาสไปเยือนเมืองน่าน

 

www.dailynews.co.th

ททท. เชิญร่วมชิงรางวัลกับ “น้องสุขใจ” ทุกสัปดาห์

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เชิญร่วมกิจกรรมกับ “น้องสุขใจ” ในโครงการกิจกรรมออนไลน์ “Amazing Thailand Grand Sale 2012” ชิงรางวัลกว่า 350,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Sale 2012” เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเมืองไทย ตลอดจนเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ถึง 15 สิงหาคม 2555

นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมีสิทธิ์ในการชิงรางวัลมากมายรวมมูลค่ากว่า 350,000 บาท โดยการ ร่วมกิจกรรมกับ “น้องสุขใจ” ทุกสัปดาห์ ซึ่งปีนี้ได้จัดกิจกรรมหลากหลายเกี่ยวกับประสบการณ์ท่องเที่ยวเมืองไทย รวมถึงโปรโมตผู้ประกอบ โดยเข้าไปร่วมสนุกได้ที่เว็บไซต์ http://thailandgrandsale.tourismthailand.org/ ผู้ร่วมกิจกรรมจะมีสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลทุกสัปดาห์ โดยเงื่อนไขของการรับของรางวัลขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นของแต่ละกิจกรรมในแต่ละสัปดาห์

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ ทาง ททท. ได้จัดเตรียมของรางวัลมากมาย อาทิ เช่น ตั๋วเครื่องบินไปกลับภายในประเทศ และต่างประเทศ,แพ็กเกจที่พักจากโรงแรมและรีสอร์ทชื่อดัง บัตรผ่านเข้าชมการแสดง ของที่ระลึก และรางวัลอื่นๆ อีกมากมายรวมมูลค่ากว่า 350,000 บาท โดยผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมกับ “น้องสุขใจ” ทุกสัปดาห์ บนหน้าเว็บไซต์ของ Amazing Thailand Grand Sale 2012 ได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ถึง 15 สิงหาคม 2555 และจะมีการประกาศผลผู้โชคดีภายหลังแต่ละกิจกรรมในทุกสัปดาห์

การร่วมกิจกรรมกับ “น้องสุขใจ” ของนักท่องเที่ยวในครั้งนี้ ททท. จะประชาสัมพันธ์และประกาศผลผู้โชคดี บนเว็บไซต์ของ ททท. http://www.tourismthailand.org/ และเว็บไซต์โครงการ http://thailandgrandsale.tourismthailand.org/ ตลอดจนเว็บไซต์ของพันธมิตรและเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์ค อาทิ www.facebook.com, www.twitter.com, เพื่อส่งเสริมแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Sale 2012” ผ่านกลุ่มเว็บไซต์และเครือข่ายสังคมออนไลน์ และเพื่อสร้างภาพลักษณ์และความเข้าใจอันดีต่อประเทศไทย ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจในการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก



www.newswit.com

วิทยุการบิน ขัดแข้ง ส่งผลให้เที่ยวบินล่าช้า

เมื่อเวลา 22.30 น.วันที่ 21 มิ.ย. หลังจากที่ระบบเรดาห์ของ บ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย เกิดขัดข้องจนทำให้เกิดความล่าช้าต่อเที่ยวบินในการขึ้น-ลง นายสมชัย สวัสดีผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า หลังได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว ได้ประสานงานกับทางบ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว จึงทราบว่าได้เกิดเหตุระบบไฟฟ้าเรดาห์ขัดข้อง จนส่งผลให้การนำเครื่องบินขึ้น-ลงเกิดความล่าช้า โดยเหตุเกิดขึ้นประมาณเวลา 18.05-19.45 น. จากนั้นจึงได้มีการประสานไปยังท่าอากาศยานใกล้เคียงเช่นอู่ตะเภา และ ท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อให้เครื่องบินที่รอกำหนดลงไปรอการแก้ไขก่อน ซึ่งทางบ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวได้และกลับมาใช้งานได้ตามปกติ โดยทางหอวิทยุการบินได้มีการประสานไปยังนักบินของสายการบินต่างๆเพื่อจะนำเครื่องกลับมาลงที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามเดิม แต่อาจจะมีความล่าช้าบ้างเพราะมีปริมาณของเครื่องบินที่จะต้องนำขึ้น-ลง ประกอบกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ทำการปิดซ่อมรันเวย์ฝั่งตะวันออก จึงอาจจะมีการล่าช้าบ้าง สำหรับสาเหตุของการเกิดความขัดข้องในครั้งนี้ คงต้องรอการตรวจสอบอีกครั้ง
นอกจากนี้ในช่วงเวลาที่เกิดความล่าช้าของเครื่องบินนั้น ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้คอยให้ข้อมูลกับผู้โดยสารและญาติที่มารอรับ ตามเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของการท่าฯ และได้จัดเตรียมสถานที่ไว้รองรับผู้โดยสารหากมีผู้โดยสารตกค้างจากเหตุดังกล่าว
ทั้งนี้หลังเกิดเหตุขัดข้องดังกล่าวทางพล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ผบก.ทท.ได้สั่งการณ์ พ.ต.ท.วิวัฒน์ บุญชัยศรี สารวัตรเวรอำนวยการ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ท่องเที่ยว สายตรวจชุด 3 และเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ที่ปฎิบัติหน้าที่ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คอยอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้โดยสารชาวต่างชาติที่อาจจะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ดังกล่าว รวมทั้งตรวจดูความเรียบร้อยและความปลอดภัยเพื่อป้องกันคนร้ายอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวก่อเหตุลักทรัพย์หรืออาชญากรรมอื่นๆได้
เบื้องต้นจากการตรวจสอบที่บริเวณเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบว่ามีเครื่องบินที่ล่าช้าลงไม่ได้ในช่วงเวลา 18.05-19.45 น.ประมาณ 8 เที่ยวบิน ประกอบด้วย เที่ยวบินที่ประสานไปลงจอดยังสนามบินอู่ตะเภาคือ เที่ยวบิน FD 3508 / FD 3546 /TG 115 และ TG 408 ส่วนที่ท่าอากาศยานภูเก็ตคือเที่ยวบิน MH 780 นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบิน VN 603 และ QZ 7716 ซึ่งเที่ยวบินเหล่านี้ได้ทำการลงจอดยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนเที่ยวบินSQ 978 สามารถลงได้ตามกำหนดเวลาโดยไม่ได้ล่าช้าแต่อย่างใด ทั้งนี้มี ประชาชนที่เดินทางมารอรับญาติเป็นจำนวนมากได้มาสอบถามที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ถึงความล่าช้าที่เกิดขึ้น
ด้านนางญาดา กล้าเหมาะ อายุ 49 ปี กล่าวว่า ได้เดินทางมาที่อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 17.00น. เพื่อมารอรับลูกสาวที่เดินทางไปเยี่ยมพี่สาวที่ประเทศออสเตเรีย โดยนั่งมากับสายการบินเจ๊ดด้า เครื่องบินกำหนดลงตั้งแต่เวลา 20.40 น. ทราบว่าเครื่องบินรีเลย์ แต่ไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้ เนื่องจาก เวลา23.00 น.แล้วยังไม่พบหน้าลูกสายเลย และยังไม่หน่วงงานใดแจ้งว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น ปกติแล้วได้เดินทางมารับลูกสาวเป็นประจำ ก็เจอเครื่องบินรีเลย์บ้าง แต่ก็ไม่นานเท่ากับครั้งนี้
นายศิริ พลบถึง อายุ 64 ปี กล่าวว่า ได้เดินทางมารับลูกสาวที่เดินทางกลับมาช่วงปิดเทอม จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศฮ่องกง และเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 21.30 น.แต่ก็มารอเป็นเวลานานก็ยังไม่ได้พบหน้าลูกสาว ไม่ทราบว่าเครื่องรีเลย์เพราะเหตุใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะ จุดรอผู้โดยสารขาเข้าชั้น 2 มีคนมายืนรอรับญาติเป็นจำนวนมาก หลายคนยืนดูหน้าจอตารางการบินด้วยความหงุดหงิด บางคนจับกลุ่มยืนวิภาควิจารณ์ ถึงความล่าช้าของเที่ยวบินที่เกิดขึ้น

breakingnews.nationchannel.com

สนามม้านางเลิ้ง แหล่งบันเทิงของคนไทยทุกยุคทุกสมัย

“สนามม้านางเลิ้ง” หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย” แหล่งบันเทิงยอดฮิตติดอันดับของคนสมัยรุ่นคุณทวด ที่มีจุดกำเนิดจากการที่รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จกลับจากประพาสยุโรปเมื่อปี 2440 “สโมสรน้ำเค็มศึกษา” ซึ่งมีสมาชิกเป็นข้าราชการหรือนักเรียนที่เคยผ่านยุโรป ได้ร่วมกันจัดการแข่งขันม้าที่ท้องสนามหลวง น้อมเกล้าถวายฯ แสดงความจงรักภักดี การแข่งขันนั้นทำโดยใช้ม้าเทียมรถของเจ้าของคอกม้าต่างๆ มาแข่งกัน อันเป็นที่มาของ “การแข่งม้าแบบฝรั่งครั้งแรกในประเทศไทย”

ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 6 พระยาประดิพัทธภูบาล และพระยาอรรถการประสิทธิ์ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายที่ดินของกรมอัศวราชมี ขอตั้งสโมสรสนามม้าแข่งเพื่อบำรุงพันธุ์ม้า ทรงมีพระบรมราชานุญาตพร้อมกับพระราชทานนามว่า “ราชตฤณมัยสมาคม” และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำรายได้มาบำรุงพันธุ์ม้า แต่ต่อมาได้มีกีฬาประเภทอื่นๆ เพิ่มอยู่ในสนามม้าแห่งนี้ เช่น สนามเทนนิส ฟุตบอล โต๊ะบิลเลียด และกอล์ฟ

ภายในสนามม้านางเลิ้ง นอกจากจะมีการแข่งม้าและได้ชมสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่หายากแล้ว ที่นี่ยังมีตำนานเรื่องความอร่อยของอาหาร ซึ่งหลายคนที่ยังไม่เคยไปสนามม้านางเลิ้ง อาจจะมองข้าม “ห้องอาหารราชตฤณมัย” ที่นักชิมระดับตำนานเจ้าของป้ายความอร่อยชื่อดังหลายท่านยังอดชมไม่ได้ เช่นเมนู เมี่ยงคะน้า, แกงเลียง, ต้มยำปลาแซลมอน, ข้าวตังหน้าตั้ง, ไส้กรอกวูมิค, ลูกชิดถั่วแดง, เป็ดย่าง, สเต็กปลาแซลมอน, หมู, เนื้อ, ไก่, เนื้อสันในย่าง, บุฟเฟ่ต์กลางวัน แต่จริงๆ แล้วก็อร่อยทุกอย่าง เพราะผ่านกาลเวลามาจนเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ที่มายังสนามม้าแห่งนี้รุ่นแล้วรุ่นเล่า บอกกันปากต่อปากเรื่อยมาหลายยุคหลายสมัย สร้างตำนานเล่าขานถึงห้องอาหารแห่งนี้มาตลอด แต่ที่สำคัญยังมีร้านกาแฟชื่อ “HORSE COFFEE” ซึ่งกาแฟทุกแก้วผ่านการพิสูจน์จากหนึ่งในกูรูด้านความอร่อยโดย “อาจารย์จริยา เดชกุญชร” ไม่ว่าจะเป็น เอสเปรซโซ่, คาปูชิโน่, มอคค่า, อเมริกาโน่ และเครื่องดื่มหลากหลายชนิด พร้อมเสิร์ฟด้วยของหวาน เน้นรสชาติความเป็นไทยอย่าง วุ้นใบเตย, วุ้นมะตูม, เค้กมะตูม, ฟรุ๊ตเค้ก ฯลฯ หรือแซนวิชนานาชนิด และขนมปังหน้าต่างๆ ที่ใหม่สดทุกวัน ด้วยสนนราคาที่ไม่แพง บรรยากาศภายในร้านปลอดโปร่งโล่งสบายตา

ดังนั้นสนามม้านางเลิ้ง จึงไม่ใช่แค่สถานที่ของคนที่ชอบเล่นม้าเพียงอย่างเดียว แต่ที่นี่ยังมีดีที่เป็นแหล่งความอร่อย รวมไปถึงการได้มาศึกษาสถานที่อันเป็นประวัติศาสตร์ยาวนานของประเทศไทยอีกด้วย

หากย้อนอดีตไปดูเรื่องราวการแข่งขันกีฬาแบบฉบับชาวตะวันตกในครั้งสมัย “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ 6 แล้วละก็…? บนถนนพิษณุโลก จะเห็นผู้คนเนืองแน่นเพื่อไปรอชมการแข่งขันกีฬา “ม้าแข่ง” ที่ใครๆ ก็รู้จักกันดีนั่นก็คือ “สนามม้านางเลิ้ง” แหล่งบันเทิงยอดฮิตติดอันดับของคนสมัยก่อนโน้น

ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย หรือ สนามม้านางเลิ้ง มีจุดกำเนิดจากการที่รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จกลับจากเสด็จประพาสยุโรปเมื่อปี 2440 “สโมสรน้ำเค็มศึกษา” ซึ่งมีสมาชิกเป็นข้าราชการหรือนักเรียนที่เคยผ่านยุโรป ได้ร่วมกันจัดการแข่งขันม้าที่ท้องสนามหลวง น้อมเกล้าถวายฯ แสดงความจงรักภักดี การแข่งขันนั้นทำโดยใช้ม้าเทียมรถของเจ้าของคอกม้าต่างๆ มาแข่งกัน อันเป็นที่มาของ “การแข่งม้าแบบฝรั่งครั้งแรกในประเทศไทย”

เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 6 พระยาประดิพัทธภูบาลและพระยาอรรถการประสิทธิ์ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายที่ดินของกรมอัศวราชมีขอตั้งสโมสรสนามม้าแข่งเพื่อบำรุงพันธุ์ม้าทรงมีพระบรมราชานุญาตพร้อมกับพระราชทานนามว่า “ราชตฤณมัยสมาคม” และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำรายได้มาบำรุงพันธุ์ม้า ซึ่งในระยะแรกได้มีการสั่งพันธุ์ม้ามาจากประเทศออสเตรเลียและประเทศอังกฤษ เข้ามาผสมกันได้ลูกพันธุ์ม้าที่ดีมากขึ้น กิจการของราชตฤณมัยสมาคมนี้ ต่อมา ได้มีที่เล่นกีฬาประเภทอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น สนามเทนนิสฟุตบอล โต๊ะบิลเลียด กอล์ฟ

ปัจจุบันสมาคมฯ ทำหน้าที่ในการดำเนินกิจการแข่งม้า จัดทำทะเบียนประวัติม้า เจ้าของและผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้แทนคอก ผู้ฝึกซ้อม ฯลฯ เป็นศูนย์ฝึกอบรมม้าแข่งและทดสอบม้า ส่วนการแข่งขันจะจัดในวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์สลับกับสนามราชกรีฑาโมสร ซึ่งรวมการจัดแข่งม้าเที่ยวชิงถ้วยตามประเพณี 4 ถ้วยคือ ถ้วยพระราชทาน “ดาร์บี้” ถ้วยพระยาประดิพัทธภูบาล ถ้วยรามราฆพและถ้วยสภานายก

จะว่าไปแล้ว “สนามม้านางเลิ้ง” ถือเป็นสถาบันที่เป็นหนึ่งในมรดกของ รัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์นักปฏิรูปสังคม ผู้ก่อตั้งและสถาปนา รัฐชาติสมัยใหม่ ให้กับสยามประเทศ พระองค์ทรงริเริ่มสร้าง สนามแข่งม้า ขึ้นเป็นครั้งแรกในสยามประเทศหลังเสด็จพระราชดำเนินกลับจาก ประพาสยุโรปปฐมเหตุมาจากราชการพร้อมใจกันจัดงานเฉลิมฉลองถวายการต้อนรับ นอกจากจะมีงานเลี้ยงและการแสดงการละเล่นต่างๆ แล้ว สโมสรน้ำเค็มศึกษา แหล่งรวมข้าราชการที่เป็นนักเรียนเก่ายุโรป ภายใต้การนำของท่านประธาน กรมขุนพิทยลาภพฤติธาดา ตกลงร่วมกันจัดให้มีการแข่งม้าถวาย โดยใช้ “สนามหลวง” เป็น สนามแข่งม้าชั่วคราว การแข่งม้าครั้งแรกในสยามประเทศครั้งนั้นยังไม่มี ม้าแข่งพันธุ์ดีราคาแพงจากต่างประเทศคงใช้ม้าเทียมรถ ส่วนจ๊อกกี้ก็ยังคงมาจากสารถีรถม้า อันเป็นที่มาของสนามแข่งม้าและสโมสรกีฬาแบบตะวันตกแห่งแรกในสยามประเทศ ภายใต้นาม ราชกรีฑาสโมสร หรือ สปอร์ตคลับ แหล่งประทับตราความเป็นชนชั้นนำของสยามประเทศ จวบจนทุกวันนี้

อย่างไรก็ตามปัจจุบันราชตฤณมัยสมาคม แม้จะเป็นสนามแข่งม้าและสโมสรกีฬาแบบตะวันตก ที่อีกความหมายหนึ่งเป็นตราประทับความเป็นชนชั้นนำเหมือนกันก็จริงแต่ที่ต่างกัน ก็คือแห่งแรกบริหารแบบฝรั่ง แห่งหลังบริหารแบบฝรั่งประยุกต์ ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปโดยเฉพาะในช่วง 40 ปีหลัง ผลแห่งความแตกต่างก็เกิดขึ้นกับ สนามฝรั่ง และ สนามไทย พร้อมๆ กับ การเปลี่ยนแปลงยกระดับชนชั้นตามการเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจไทย เห็นได้ชัดว่าที่ สนามฝรั่ง ป้อมปราการของผู้ดีเก่า ยังคงเหนียวแน่นไม่เปิดให้ ผู้ดีใหม่, เศรษฐีใหม่ เดินเข้ามาง่ายๆ แตกต่างกับ สนามไทย ที่ระยะหลัง กลุ่มอำนาจในชนชั้นปกครอง, ผู้ดีใหม่ เริ่มเข้ามาผสมผสานกับผู้ดีเก่ามากขึ้นๆ จนกลายเป็นแกนนำในที่สุด….และท้ายที่สุดจาก “สโมสรกีฬา” วัตถุประสงค์เดิมเพื่อการสมาคมสังสรรค์, ออกกำลังกาย, กีฬา และ เริงรมย์ เริ่มเพิ่มเป็นแหล่งการพนัน ทำให้ ผลประโยชน์หมุนเวียนมหาศาล ทั้งในระบบ และนอกระบบ กลายเป็นกึ่งเปิด-กึ่งปิด, กึ่งถูก-กึ่งผิด แน่นอนว่ากลายเป็นหนึ่งในแหล่งทุนทางการเมืองระดับใดระดับหนึ่ง….? อนิจจาของดี กทม.ที่ถูกกลืน

www.banmuang.co.th

 

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มารค์ อวยพรนายกในวันคล้ายวันเกิด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อวยพรวันคล้ายวันเกิดนายกรัฐมนตรี ขอให้มีกำลังในการทำงานเพื่อประชาชน แนะ ปมสนามบินอู่ตะเภา ต้องชี้แจงสังคมให้ชัดเจนโปร่งใส

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีการนำเรื่องนี้ เข้าที่ประชุม ครม. ว่า โครงการลักษณะนี้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติม และทำให้เกิดความโปร่งใสกับทุกฝ่าย เพื่อลดปัญหาความหวาดระแวง จากข้อครหาทั้งหลาย เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่า ทุกอย่างได้ปฏิบัติตามขั้นตอนกระบวนการของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

ดังนั้น รัฐบาลต้องตระหนักให้มาก ซึ่งหากรัฐบาลเริ่มเข้าใจถึงความละเอียดอ่อน ของเรื่องแบบนี้ แล้วจะทำอะไรก็เดินหน้าทำให้เกิดความโปร่งใส ก็จะเป็นเรื่องที่ดี และโดยหลักการแล้วการจะอนุมัติ หรือการที่ไทยจะไปร่วมมือกับประเทศอื่น ควรต้องมองหรือไม่ว่า อีกประเทศเขาจะคิดอย่างไร เพราะเรามีประเด็นที่เป็นความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ทางด้านความมั่นคง การต่างประเทศ ก็ทำอย่างรอบคอบ รอบด้าน แล้วก็ให้เกิดความสมดุลดีที่สุด

สวน “ปลอด” เหตุใดไม่เผยรายละเอียด ท้าให้ ร้อง ปปช.

เมื่อถามว่า นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทย์ฯ ระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลนี้ กำลังทำต่อเนื่องจากรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งเคยให้ GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ) ลงนามกับ นาซา ของสหรัฐฯ เพื่อใช้พื้นที่ในประเทศไทยมาก่อน กล่าวว่า “ไม่ทราบว่า คุณปลอดประสพ กำลังพูดเรื่องอะไร แต่ว่าประเด็นที่สำคัญก็คือ ขณะนี้ เมื่อมันมีการขอที่จะใช้พื้นที่ตรงนี้ แล้วก็มาในสถานการณ์ ซึ่งมีการวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ในภูมิภาค “จึงไม่เข้าใจว่า แทนที่รัฐบาลจะให้รายละเอียดต่างๆ กลับกลายเป็นพยายามที่จะไปหยิบยกประเด็นอื่นขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมือง รัฐบาลไหน เรากำลังจะพูดถึงว่า อะไรที่จะเป็นการวางแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับประเทศในภาพรวม

ทำไมคุณปลอดประสพ ไม่ไปให้ความสำคัญกับตรงนั้น แต่ไปคิดว่า มีปัญหาและมีการละเมิดอะไรจริง ก็ควรจะไปร้องต่อ ป.ป.ช.ได้ เพราะเวลานี้ สังคมต้องการความชัดเจน สังคมต้องการความโปร่งใส ทำไมรัฐบาลให้ไม่ได้ในรายละเอียด และเรื่องนี้มันก็จะชัดเจนว่า จะต้องเข้าสภาตามมาตรา 190 ( 2) ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ว่าถ้าบอกว่า เรื่องไม่มีอะไร แต่ก็ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ก็เป็นเรื่องแปลก เพราะจะส่งผลกระทบในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ แล้วก็หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องไปทำตรงนี้” 

“มาร์ค” อวยพร “นายกฯ ปู” มีกำลังทำงานเพื่อประชาชน

เมื่อถามว่า รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับสหรัฐฯ ในการอนุญาตให้ใช้พื้นที่อู่ตะเภา ล่าช้า ในขณะที่ ผบ.ทบ.ของจีน จะมาพบกับรัฐบาลไทย หากเป็นเช่นนี้แล้ว ไทยจะตกอยู่ในสภาวะเช่นใด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ผมว่าทำไมรัฐบาล แทนที่จะทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยาก ก็ทำทุกอย่างให้มันตรงไปตรงมาว่า เรื่องจริงมันคืออะไร ก็ตอบคำถามตรงนี้ แล้วทุกอย่างมันก็จะคลี่คลายได้ว่ามันควรจะทำอะไรอย่างไร สังคม ทุกฝ่าย ก็ต้องการที่จะให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่เรามีอยู่แล้ว แต่จะทำอะไรนั้น ก็ต้องมีความชัดเจนแล้วก็มีความรอบคอบ มีความโปร่งใส”

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ที่ตรงกับวันที่ 21 มิย.นี้ว่า ว่า “ในโอกาสวันเกิด ก็ขอให้นายกรัฐมนตรีมีกำลังในการที่จะทำงานเพื่อประชาชน ทำสิ่งดี ๆ ให้กับประชาชนครับ”

แนะ ดีเอสไอ ให้ข้อมูล คอป.ด้วย

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ได้เข้าชี้แจงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของ นปช. ในปี 2553 ต่อสำนักงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงแห่งชาติ (คอป.) เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่า ตนจะส่งเอกสารเพิ่มเติมกลับไป และจะให้ข้อมูลให้มากที่สุด เพราะเคยไปให้ถ้อยคำมาแล้ว 4 ครั้ง

ทั้งนี้ ทาง คอป.ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่า ต้องการข้อมูลส่วนใดเพิ่มเติม แต่คิดว่าข้อมูลไหนที่จะเป็นประโยชน์ก็จะส่งไปให้ ความจริงตนได้แนะนำไปว่า หน่วยงานของรัฐอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ซึ่งเคยมีเอกสารมากมาย ก็ควรส่งเอกสารทั้งหมด ไปให้ทาง คอป.เพื่อประกอบการพิจารณาในการเขียนสรุปรายงานส่งให้รัฐบาลด้วย 

ย้ำไม่เคยรู้ รัฐคิดต่ออายุ คอป.หลัง 16 ก.ค.

เมื่อถามว่า อายุการทำงานของ คอป.จะสิ้นสุดในวันที่ 16 ก.ค. นี้ คิดว่าใครควรจะเข้ามาดำเนินการต่อ หรือต้องหมดไปโดยสภาพ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เข้าใจว่าเขาคงไม่มีแนวคิดที่จะต่ออายุ เพราะตัวกรรมการเอง ดูเหมือนจะยืนยันว่า ที่จะสรุปงานของเขา และไม่เคยได้ยินรัฐบาลมีแนวคิดที่จะต่ออายุให้ คงเป็นเรื่องที่จะต้องให้มีรายงานฉบับสุดท้าย ประมาณเดือน ก.ค.

ทั้งนี้จากการพูดคุยได้พูดแต่เรื่องของแนวคิด เกี่ยวกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งในอนาคต ไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องเวทีสานเสวนา และจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะเน้นในเรื่องประเด็นความยุติธรรม ว่า เป็นหัวใจของการแก้ปัญหาความขัดแย้ง

เมื่อถามอีกว่า แสดงว่า คอป.ยังยืนยัน ที่จะค้นหาความจริงต่อไป เพื่อนำไปสู่ข้อยุติ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทาง คอป.ระบุว่า มีการทำงาน 4 ด้าน คือ 1. ค้นหาความจริง 2. ข้อเสนอแนะเรื่อการเยียวยา 3. มีการวิจัยถึงรากเหง้าของปัญหาต่างๆ และ 4. แนวคิดที่จะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอีก.

www.thairath.co.th

ฟูจิตสึผนวกรวมเทคโนโลยี Nimsoft ไว้ในแพลตฟอร์มคลาวด์

ฟูจิตสึ ผู้นำด้านการจัดหาโซลูชั่นธุรกิจบนระบบไอที และนิมซอฟต์ (Nimsoft) ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจอิสระของซีเอ เทคโนโลยีส์ (CA Technologies) ร่วมกันเปิดตัวระบบจัดการไอทีในรูปแบบของบริการ (IT Management as a Service - ITMaaS) ในภูมิภาคอาเซียน โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือระดับโลก ทั้งนี้ ฟูจิตสึได้ผนวกรวมโซลูชั่นการตรวจสอบและการบริการของ นิมซอฟต์ไว้บนแพลตฟอร์มโกลบอลคลาวด์ของฟูจิตสึ (Fujitsu Global Cloud Platform - FGCP)

ฟูจิตสึได้รวมเอา Nimsoft Monitor และ Nimsoft Service Desk ไว้ในโซลูชั่นที่นำเสนอจากแพลตฟอร์มคลาวด์ FGCP เพื่อเสริมสร้างรายการแอพพลิเคชั่น SaaS ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงความเชี่ยวชาญของฟูจิตสึในการจัดการบริการไอที ลูกค้าของฟูจิตสึจะสามารถเข้าใช้ความสามารถ ITMaaS ประกอบด้วยฟังก์ชั่นมากมายและปรับใช้ได้อย่างง่ายดาย โดยสามารถใช้งานร่วมกับสภาพแวดล้อมคลาวด์แบบไพรเวท, พับบลิค และไฮบริด รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบเก่า

ด้วยการเพิ่มเติมโซลูชั่นนิมซอฟต์ ทำให้แพลตฟอร์มคลาวด์ FGCP สามารถมอบคุณประโยชน์ที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้าของฟูจิตสึในกลุ่มผู้ผลิตซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) ซึ่งใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวในการนำเสนอซอฟต์แวร์ในรูปแบบของบริการ (SaaS)

“ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรราคาประหยัดที่ติดตั้งได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยเทคโนโลยีของนิมซอฟต์ ฟูจิตสึช่วยให้ลูกค้าตอบสนองความต้องการหลักๆ ในการตรวจสอบและลงบันทึกงานบริการ พร้อมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและลดความยุ่งยากซับซ้อน” มร.ซูมาล คารูนานายาเค รองประธานฝ่ายตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นของซีเอ เทคโนโลยีส์ กล่าว “บริษัทยังคงนำเสนอโซลูชั่นเพื่อช่วยให้พันธมิตรทั่วโลกตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับบริการแบบครบวงจรบนระบบคลาวด์ที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความคล่องตัวทางด้านไอที ควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่าย”

ด้วยโซลูชั่น Nimsoft ITMaaS ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ยืดหยุ่น และกำหนดค่าได้อย่างง่ายดาย ฟูจิตสึจึงสามารถนำเสนอบริการคลาวด์ที่แตกต่าง โดดเด่น และช่วยสร้างรายได้ให้แก่องค์กรหลากหลายกลุ่ม รวมถึงองค์กรขนาดกลาง และผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ISV ทั่วโลก

“ฟูจิตสึมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรที่ดีที่สุดเพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดในการดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยอาศัยเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง” นายมาซายูกิ คูนิมารุ ประธาน บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “โซลูชั่น ITMaaS ของฟูจิตสึช่วยให้ลูกค้าได้รับความสามารถที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาสภาพแวดล้อมประสิทธิภาพสูง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”

แพลตฟอร์มโกลบอลคลาวด์ของฟูจิตสึนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบบริการ (Infrastructure-as-a-Service - IaaS) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีแบบเวอร์ช่วล เช่น เซิร์ฟเวอร์ และสตอเรจ ผ่านทางเครือข่ายที่เชื่อมต่อจากดาต้าเซ็นเตอร์ของฟูจิตสึ แพลตฟอร์ม FGCP เปิดให้บริการในญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์ โดยจะช่วยให้ลูกค้าองค์กรและ ISV สามารถเข้าใช้ทรัพยากรไอซีทีแบบ ออนดีมานด์ที่เปี่ยมด้วยเสถียรภาพและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

ฟูจิตสึ ผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) จากประเทศญี่ปุ่น ให้บริการไอทีโซลูชั่นที่ครบวงจร นับจากผลิตภัณฑ์ด้านไอที, ไอทีโซลูชั่นเพื่อธุรกิจ ไปจนถึงการบริการด้านไอทีต่างๆ ด้วยจำนวนพนักงานที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญกว่า 170,000 คน ที่ให้บริการลูกค้าในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ทำให้ฟูจิตสึพร้อมที่จะใช้ประสบการณ์และพลังของไอซีที มาร่วมสร้างอนาคตไปกับลูกค้า ปัจจุบันฟูจิตสึ รายงานรายรับประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 มีมูลค่าอยู่ที่ 4.5 ล้านล้านเยน (54,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.fujitsu.com

บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ โซลูชั่นและการให้บริการทางด้านเทคโนโลยีอย่างครบถ้วน รวมไปถึงโซลูชั่นคลาวด์ ซอฟต์แวร์อีอาร์พี การบริหารจัดการโครงสร้างทางด้านไอที การจัดวางระบบ ที่ปรึกษาทางด้านไอที คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์และสแกนเนอร์ บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2533 และประสบความสำเร็จด้วยอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ความรู้ความเข้าใจ และส่งเสริมให้เกิดการตัดสินใจ ด้วยความเชื่อมั่นและสัญญาในความสำนึกและรับผิดชอบต่อสังคม

บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด นำเสนอโซลูชั่นได้อย่างครบครันสำหรับธุรกิจองค์กรและกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป ด้วยความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรม พร้อมโซลูชั่นเครือข่ายไอทีคุณภาพสูงเพื่อมอบสิ่งที่มีค่าที่จะช่วยจัดการกับความเปลี่ยนแปลงและความซับซ้อนในการทำงาน นอกจากนี้ บริษัทมีศูนย์บริการ เซอร์วิส เซ็นเตอร์ ในกรุงเทพมหานคร และจุดบริการอีก 13 แห่งทั่วประเทศเพื่อการดูแลลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://th.fujitsu.com



www.newswit.com

KU Eco-Library ห้องสมุดต้นแบบแห่งการเรียนรู้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ในยุคของการสื่อสารไร้รอบเขต การค้นหาข้อมูลและความรู้ต่างๆ สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 1 ของประเทศ และอันดับที่ 44 ของโลก จากการจัดอันดับของ UI Green Metric University Ranking ปี 2011 ก็ได้มุ่งเน้นการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว หรือ KU Green Campus และได้จัดทำห้องสมุดแห่งแรกที่ได้พัฒนาให้เป็น Eco-Library สำหรับห้องสมุด Eco เป็นอย่างไรนั้น มาทำความรู้จักกับห้องสมุดต้นแบบแห่งการเรียนรู้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันก่อน

KU Eco-Library เป็นห้องสมุดที่นำผลงานสร้างสรรค์จากการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักหอสมุดและศูนย์ปฏิบัติการออกแบบจากวัสดุเหลือใช้ หรือ ที่รู้จักกันว่า Scrap Lab คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำโดย ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ที่ใครๆ ก็ทราบกันดีว่าเป็นผู้มีแนวคิดในการออกแบบที่เฉียบแหลม โดยออกแบบเนรมิตให้เป็นห้องสมุดต้นแบบแห่งการเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการสัมผัสจริงจากงานออกแบบสร้างสรรค์บนเส้นทางสีเขียว โดยผ่านสื่อความรู้ การสัมผัสจริง นอกจากสื่อสิ่งพิมพ์ และทรัพยากรสารสนเทศที่รวบรวมไว้ให้บริการจากห้องสมุดทั่วๆ ไป แต่ KU Eco-Library เน้นให้ผู้ใช้บริการได้เรียนรู้การออกแบบตกแต่งห้องสมุดด้วยวัสดุเหลือใช้ ไม่ว่าจะเป็นการนำดัชนีตู้บัตรรายการหนังสือที่ไม่ใช้แล้ว เนื่องจากปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อสะดวกและรวดเร็วต่อการค้นหาข้อมูล มาดัดแปลงเพื่อใช้ออกแบบให้ดูสวยงามและเป็นประโยชน์ การออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากโต๊ะและเก้าอี้ที่เสื่อมสภาพของห้องสมุด การนำชุดยูนิฟอร์มที่ไม่ใช้แล้วมาออกแบบเป็นชุดเก้าอี้รับแขก การใช้เศษผ้าจากโรงงานมาผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์เพื่อใช้ในงานห้องสมุด และการนำกล่องกระดาษใส่แฟ้มมาประดับตกแต่งเป็นช่องใส่หนังสือด้วยการออกแบบที่ดูสวยงาม ไม่เปลืองพื้นที่ใช้สอย เป็นต้น

KU Eco-Library ห้องสมุดเพื่อความยั่งยืนแห่งนี้ ได้ออกแบบที่เน้นการใช้ครุภัณฑ์เก่าและวัสดุเหลือใช้ต่างๆ โดยนำความรู้จาก Scrap Lab มาใช้ในการคัดเลือกวัสดุศึกษาและออกแบบพื้นที่การใช้งานของ Eco-Library ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักคือ

Common reading space หรือ Eco-space ให้บริการหนังสือทั่วไป เช่น วรรณกรรมเยาวชน เรื่องสั้น เรื่องแปล หนังสือธรรมะ และหนังสือด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน

Kid Playspace เพื่อใช้งานที่หลากหลายสำหรับเด็ก เช่น หนังสือนิทาน หนังสือการ์ตูน หนังสือส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆ

Alumni space เป็นพื้นที่ให้บริการแก่นิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำหรับศึกษาหาความรู้เพื่อการประกอบอาชีพ การศึกษาต่อ รวมทั้งจุดบริการข่าวสารเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างนิสิตเก่ากับมหาวิทยาลัยฯ

ทั้ง 3 ส่วนได้ถูกออกแบบโดยไม่มีประตูปิดกั้น เปิดให้ทุกคนที่ใฝ่รู้เข้ามาใช้งาน ส่วนสีสันที่เลือกใช้เป็นสีขาวด้าน เห็นลายไม้ให้ความรู้สึกสงบอบอุ่นเหมือนห้องสมุดในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นผลิตมาจากวัสดุเหลือใช้ที่พัฒนาร่วมกับผู้ประกอบหลายภาคส่วน

จุดเด่นของ Eco-space คือ Trees of Knowledge ซึ่งเป็นชั้นวางหนังสือทรงกลมขนาดใหญ่ทำจากแผ่น MDF คละสี ซึ่งเหลือจากโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมองแล้วเหมือนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยความรู้และมีพื้นที่ภายในที่สงบเป็นจุดรวมสายตาของห้อง รอบๆ ห้องประกอบด้วย Waterfall of Intelligence ซึ่งเป็นม่านที่มีวารสารต่างๆ สอดอยู่มากมาย ช่วยลดเสียงสะท้อน และเพิ่มความอบอุ่นกับผู้ใช้ แถบสีต่างๆ มาจากการคัดเลือกและตัดเย็บจากผ้าคงคลังของโรงงาน ส่วนบริเวณใต้หน้าต่างอีกด้านของ Eco-space คือ Canyon of Discovery ที่ออกแบบให้มีจังหวะและจัดวางชั้นหนังสือคล้ายซอกหินผา จะเป็นบริเวณอ่านหนังสือที่มีแสงธรรมชาติ และ stations สำหรับ check-out หนังสือด้วยตนเอง

ส่วนการให้บริการใน KU Eco-Libray มุ่งเน้นให้บริการแบบประหยัดพลังงานและทรัพยากร ผู้ใช้บริการสามารถมีส่วนร่วมด้วยการบริการตนเองและช่วยบริการผู้อื่น โดยสืบค้นหนังสือด้วยตนเองผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จัดไว้ให้บริการ ยืมหนังสือด้วยตนเองผ่านเครื่องยืมอัตโนมัติ ช่วยกันจัดเก็บหนังสือที่ใช้แล้วให้เป็นระเบียบ และช่วยกันดูแล Eco-Library ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงาน Kasetsart University Eco-Library ห้องสมุดเพื่อความยั่งยืนแห่งแรกของประเทศไทย จะเป็นห้องสมุดต้นแบบเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงาน ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียน นิสิต บุคลากร ชุมชน และประชาชนทั่วไป อ่านได้ทุกวัน อ่านได้ทั้งครอบครัว เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม พร้อมพึ่งพาตนเองโดยใช้ระบบห้องสมุดเปิดเผยรหัส “จินดามณี” ที่พัฒนาขึ้นร่วมกับการใช้โปรแกรม Open Source อื่นๆ เพื่อการใช้บริการ บริการจัดการแบบประหยัดทรัพยากร สร้างความมีส่วนร่วม มีสัจจะ และมีจิตสาธารณะ สนใจจะมาศึกษาดูต้นแบบของ KU Eco-Library ได้ที่ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

www.banmuang.co.th

ตร.ภูเก็ต เร่งสืบหา 2 คนร้าย ทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย

ภูเก็ต 21 มิ.ย. - ตำรวจภูเก็ตเร่งติดตามจับกุม 2 คนร้ายชิงทรัพย์และทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย มาดำเนินคดี เผยการตรวจสอบกล้องวงจรปิดทราบเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของคนร้ายและเส้นทางหลบหนี ด้านกงสุลออสเตรเลียพอใจการทำงานของตำรวจไทย

พ.ต.อ.ชำนาญ แป้นนาบอน รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิริศักดิ์ วาสะศิริ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรฉลองนายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหารโรงแรมกะตะธานี และเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวกรณีคนร้ายใช้อาวุธมีดจี้ชิงทรัพย์และแทงนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ 1 ราย เมื่อคืนที่ผ่านมา ที่บริเวณถนนกะตะน้อย ก่อนถึงโรงแรมที่พัก

พ.ต.อ.ศิริศักดิ์ กล่าวถึงความความคืบหน้าของคดีว่า ขณะนี้รู้เส้นทางที่คนร้ายหลบหนีแล้วว่าไปยังจุดไหน รวมถึงเห็นแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้าดรีม สีน้ำเงิน ที่คนร้ายใช้ในการหลบหนีหลังก่อเหตุ จากภาพของกล้องวงจรปิด แต่ยังไม่ชัดเจนในรายละเอียดมากนัก จะต้องให้ช่างเทคนิคมาสแกนอีกครั้ง เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจน ซึ่งทางตำรวจจะต้องพยามจับกุมคนร้ายรายนี้ให้ได้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายต่อประเทศไทยอย่างร้ายแรง พร้อมกล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ราย ส่วนด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต สนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ให้ สภ.ฉลอง มาดูแลเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว

ด้านนายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหารโรงแรมกะตะธานี กล่าวว่า นักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุการณ์ดังกล่าว ที่เสียชีวิต คือ น.ส.Michelle Elizabeth Smith อายุ 59 ปี และที่ได้รับบาดเจ็บคือ น.ส.Lynin Tammee อายุ 42 ปี ทั้งสองเป็นเอเย่นต์ทัวร์ เดินทางมาภูเก็ตเมื่อวานนี้ (20 มิ.ย.) เพื่อมาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของภูเก็ตไปประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียทราบ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวทั้ง 2 คน นับว่าเป็นโชคไม่ค่อยดีกับภูเก็ต และขณะนี้นักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บยังช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้เปลี่ยนการเดินทางกลับประเทศจากวันพรุ่งนี้ (22 มิ.ย.) เป็นวันนี้แทน

นายสมบัติ กล่าวอีกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ทางกงสุลออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้เดินทางมาตรวจสอบจุดเกิดเหตุ กล้องวงจรปิด และวางแผนร่วมกับตำรวจเพื่อติดตามจับกุมคนร้าย ซึ่งทางกงสุลก็พอใจการทำงานของทางตำรวจ และโรงแรม กระทำอย่างทันท่วงที พยายามช่วยเหลือกับผู้เสียหาย ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โรงแรมจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ทั้งเพิ่มกำลังคน จุดตรวจ ป้อมยาม วิทยุสื่อสาร และกล้องวงจรปิด หรือซีซีทีวี ซึ่งปัจจุบันมีการติดกล้องที่โรงแรม 110 ตัว และบนถนนกะตะน้อยซึ่งมีความยาวประมาณ 800 เมตร อีก 8 ตัว.- สำนักข่าวไทย
www.mcot.net

ปลัด พม. เผยการจัดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ พร้อมแก้ไขปัญหานี้

กรุงเทพฯ 21 มิ.ย.- ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยอมรับประเทศไทย อยู่ในจุดล่อแหลมเรื่องค้ามนุษย์ และจะนำการจัดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ของ สหรัฐฯ มาเป็นกำลังใจในการทำงานต่อไปของผู้เกี่ยวข้อง

นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยกับสำนักข่าวไทย หลังจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยรายงานการจัดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี 2555 พบว่า ประเทศไทย ยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง หรือ ระดับ Tier2 Watch List เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดย ปลัด พม. กล่าวว่า แม้ตามกฎหมายประเทศที่อยู่ในอันดับ Tier2 Watch List เป็นเวลา 2 ปี ติดต่อกัน ปีต่อไปอาจจะตกไปอยู่ระดับ Tier3 ซึ่งเป็นลำดับที่แย่กว่า แต่การที่ผลการรายงานออกมาเช่นนี้ ถือว่าประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่ถูกเลื่อนลำดับให้แย่ลงไป ส่วนตัวมองว่าสหรัฐฯ อาจเห็นว่าไทยมุ่งมั่นพยายาม ทำงานปัญหาการค้ามนุษย์พอสมควร เช่น การมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ อีกทั้งมีการรณรงค์ มีคณะทำงานด้านนี้ โดยเฉพาะ มี รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นประธาน ถือว่าผลการรายงานครั้งนี้เป็นกำลังใจให้กับประเทศไทยพอสมควร ทำให้เห็นแนวทางว่าเดินมาถูกทางแล้ว ต้องเข้มแข็งต่อไป ปีต่อไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงแรงงาน จะทำให้ดีขึ้น

ปลัด พม. เปิดเผยอีกว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ แต่สภาพของประเทศไทยนับเป็นปัญหาที่รุนแรง เช่น การเคลื่อนย้ายแรงงาน เนื่องจากเป็นประเทศเปิด แรงงานจาก พม่า ลาว กัมพูชา จะย้ายเข้ามาจำนวนมาก ขณะที่ไทยมีความต้องการแรงงานสูง ทำให้คนเหล่านี้อพยพเข้ามา ทำให้ไทยมีสถานภาพเป็นประเทศที่มี่ความล่อแหลมกับปัญหาค้ามนุษย์มาก ทั้งกลุ่มแรงงาน เด็ก สตรี แต่ก็พยายามดำเนินการอยู่ กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้แสดงจุดยืน และไม่พอใจกับการจัดอันดับดังกล่าว ซึ่งกระทรวง พม.เอง เป็นผู้ดูแลกฎหมายนี้ จึงถือเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้ด้วย.


www.mcot.net

มึนกันทุกคน ไฟใหม้ตราดหลายสาเหตุ หาข้อสรุปกันไม่ได้

ตราด - เพลิงไหม้บ้านเรือนที่ตราด เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ เพราะเจ้าของบ้านที่เสียหายแจ้งหม้อแปลงระเบิด ส่วน ผจก.ไฟฟ้าตราดโต้ไม่ใช่จากหม้อแปลง ด้านตำรวจอ้างบ้านต้นเพลิงทำให้เสียทรัพย์

วันนี้ (21 มิ.ย.) ที่บริเวณบ้านปลายคลอง ที่เป็นจุดเกิดไฟไหม้เมื่อคืนที่ผ่านมา นายวิโรจน์ สำราญถิ่น ผู้จัดการไฟฟ้าตราด ได้นำเจ้าหน้าที่ไฟฟ้ามาทำการซ่อมแซมหม้อแปลงไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ ท่ามกลางประชาชนจำนวนหนึ่งที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ ได้เข้ามายืนดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด และบอกว่า ให้ย้ายที่ติดตั้งหม้อแปลงออกไป เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอีก

นางธมนวรรณ หวลถนอม ปลัด อบต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด ได้เดินทางมาตรวจสอบและติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ อบต.วังกระแจะ ที่มาสำรวจความเสียหายกับเจ้าของบ้าน 3 หลัง ประกอบด้วย โรงเก็บของเก่าของนายอำนวย วงษ์ทอง อายุ 70 ปี เจ้าของโรงเก็บของเก่าไม่มีเลขที่ นายรุ่งโรจน์ วิจิตรจรรยา อายุ 49 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 226 หมู่ 3 ต.วังกระแจะ และนายสมชาย ปัญญา เจ้าของบ้านเลขที่ 125-126 หมู่ 3 ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด ที่เป็นร้านเกมส์ โดยทั้งหมดบอกว่า บ้านเรือนเสียหายคิดเป็นมูลค่า 1.00-1.50 ล้าน รวม 2-3 ล้านบาท ยกเว้นร้านเกมส์ที่เสียหายในส่วนผนังปูนและทรัพย์สิน คาดว่ามีมูลค่ารวมกว่า 2.5-3.5 ล้านบาท ซึ่ง อบต.วังกระแจะ จะได้ทำเรื่องเพื่อขอความช่วยเหลือต่อไป

ต่อมา พ.ต.ท.อนุวัฒน์ บัวสรวง นักวิทยาศาสตร์ (สบ 3) จากสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน จ.จันทบุรี และคณะเดินทางมาเก็บข้อมูลความเสียหาย และตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อพิจารณาถึงต้นเหตุ สาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ โดยเรียกผู้เสียหายทั้ง 3 คนมาให้การพบว่า ทั้ง 3 คนระบุตรงกันว่า เกิดจากการระเบิดของหม้อแปลงไฟฟ้า จนเกิดประกายไฟตกลงไปในโรงเก็บของเก่า ที่มีกล่องกระดาษกว่า 4,000 ตัน อยู่ในโรงงาน จึงทำให้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้เกิดลุกไหม้ และลุกลามไปยังบ้านเรือนข้างเคียงจนได้รับความเสียหายดังกล่าว

นายอำนาจ กล่าวว่าโรงเก็บของเก่ามีทรัพย์สินที่รับซื้อจากประชาชน เช่น กระดาษเก่า 4,000 กิโลกรัม ขวด 300 กล่อง พลาสติก เหล็ก และไม้เก่า มีมูลค่าความเสียหายกว่า 1 ล้านบาท โดยสาเหตุเกิดจากหม้อแปลงระเบิดแล้วเกิดสะเก็ดไฟตกลงในโรงงานแล้วเกิดไฟไหม้ ดังกล่าว

ขณะที่นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า บ้านของตนเองอยู่ติดกับโรงงานของเก่า ตอนเกิดเหตุก็อยู่ในบ้าน เห็นแสงไฟ และได้ยินเสียงดังปัง คิดว่าเป็นเสียงปืน ได้ยินอีกครั้งจึงออกมาดูเห็นเพลิงไหม้ จึงเรียกให้ชาวบ้านช่วย ซึ่งสาเหตุมาจากฟิวส์หม้อแปลงระเบิด และไม่ได้เกิดมา 1-2 ครั้ง แต่เกิดเหตุบ่อยครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่การไฟฟ้า จ.ตราดก็บอกว่าไม่ใช่สาเหตุของเพลิงไหม้ ซึ่งชาวบ้านหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุ ทนายความคงเดช ก็เห็น แต่การไฟฟ้ากลับไปแจ้งความว่า โรงงานเก็บของเก่าเป็นต้นเหตุเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย

นายวิโรจน์ กล่าวว่า หม้อแปลงไม่ได้เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ และได้แจ้งความไว้แล้วว่าทรัพย์สินได้รับความเสียหาย ส่วนเรื่องที่ชาวบ้านจะให้การต่อตำรวจพิสูจน์หลักฐานว่าเกิดจากหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นต้นเหตุก็เป็นสิทธิของเขา แต่ก็ต้องต่อสู้กันต่อไป

และในวันนี้ นายธนะ พรหมดวง ปภ.ตราด และเหล่ากาชาดจังหวัดตราดจะนำสิ่งของไปช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายในเบื้องต้น และเก็บข้อมูลเพื่อช่วยเหลือในระดับสูงต่อไป

manager.co.th

บทความที่ได้รับความนิยม