วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปี แอมเวย์ไทย เปิดโอกาศการศึกษา

น้องๆ ในโรงเรียนที่ขาดแคลน 77 จังหวัดของประเทศไทยจะเข้าถึงการอ่าน มีโอกาสศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้มากยิ่งขึ้น หากมีแหล่งความรู้ที่เหมาะสมแก่พวกเขา ซึ่งห้องสมุดเป็นอีกคลังความรู้สำคัญส่งเสริมพฤติกรรมรักการอ่านของเด็ก จนเป็นที่มาของการให้ของบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินโครงการ "ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปี แอมเวย์ไทย" สร้างสรรค์ห้องสมุดเคลื่อนที่จากวัสดุไม้ที่ทนทานและสวยงาม รวบรวมหนังสือ 100 เล่ม พร้อมอุปกรณ์การเรียนรู้ติดตั้งพร้อมใช้ ได้แก่ โต๊ะสำหรับนั่งอ่านหนังสือ เก้าอี้ และชุดกระดานไวต์บอร์ดที่สามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ของโรงเรียนได้สะดวก เพื่อให้เด็กๆ ได้อ่านหนังสือเสริมทักษะ ได้จินตนาการ ตลอดจนครูผู้สอนใช้ประโยชน์จากห้องสมุดเคลื่อนที่ให้มากที่สุด ที่สำคัญต้องเป็นโรงเรียนที่ขาดแคลน เพราะเจ้าของโครงการมีความตั้งใจขยายโอกาสทางการศึกษา และพัฒนาสติปัญญาเด็กไทย

กิจธวัช ฤทธีวารี กรรมการผู้จัดการบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) เผยถึงการริเริ่มโครงการนี้ว่า ก่อนหน้านี้เคยทำห้องสมุดแอมเวย์เพื่อโรงเรียนที่ห่างไกลเพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษา จำนวน 31 ห้องสมุด แล้วยังมีทุนการศึกษาให้เด็กเรียนดี 171 ทุน ต่อเนื่องจนจบปริญญาตรีได้เป็นบัณฑิต สำหรับปีนี้เพื่อสานต่อการให้โอกาสการศึกษา และฉลองครบรอบการดำเนินธุรกิจ 25 ปีในไทย จึงทำโครงการ "ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปี แอมเวย์ไทย" เป็นต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่ โดยรวบรวมหนังสือสารานุกรมเล่มที่ 13-35 จำนวน 23 เล่ม และหนังสือเสริมทักษะที่เป็นหนังสือดีเด่นได้รับรางวัลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 77 เล่ม รวม 100 เล่ม พร้อมอุปกรณ์การเรียนรู้จำนวน 77 ชุด จะมอบให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ ภายใต้คำปรึกษาจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) "ไอเดียห้องสมุดเคลื่อนที่นี้ได้มาจากแนวคิดห้องสมุด 3 ดี คือ หนังสือดี บรรยากาศดี บรรณารักษ์ดีของกระทรวงศึกษาธิการ จะนำความรู้เคลื่อนที่ไปสู่โรงเรียนที่ขาดแคลน เริ่มต้นที่ 77 ชุด มอบให้โรงเรียนฟรี แล้วแอมเวย์ชวนให้ทุกคนร่วมเป็นเจ้าภาพทำห้องสมุดเคลื่อนที่เพิ่มเติมในราคาชุดละ 40,000 บาท เราจะผลิตและจารึกชื่อไว้บนห้องสมุดให้ด้วย" กิจธวัชเล่าถึงความตั้งใจทำกิจกรรมตอบแทนบุญคุณสังคมไทย สำหรับโรงเรียนที่ต้องการได้รับห้องสมุดเคลื่อนที่ สามารถส่งใบสมัครแสดงความจำนงขอรับห้องสมุดได้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม-30 กันยายน 2555 โดยเข้าไปโหลดใบสมัครที่ www.amwayshopping.com หรือที่แอมเวย์ช็อปทุกแห่ง และในที่สุดบริษัทกับ สพฐ.จะคัดเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม และประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับบริจาคในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้

สนิท แย้มเกษร ผู้อำนวยการสำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียน สพฐ. กล่าวว่า ปัจจุบัน สพฐ.มีโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 183 เขต รวม 30,000 โรง มีจำนวนนักเรียน 8 ล้านคน การที่ภาคเอกชนเข้ามาช่วยสังคมด้านการศึกษาเป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์ เดิมห้องสมุดเคลื่อนที่จะเป็นกระเป๋าขนาดใหญ่บรรจุหนังสือไว้ โดยมอบให้โรงเรียนที่ใดที่หนึ่ง และให้ครูต่างโรงเรียนมายืมไปใช้ในโรงเรียนของตน เพราะหลายโรงเรียนที่ขาดแคลนไม่มีห้องสมุด "เราจะคัดเลือกโรงเรียนขาดแคลน โรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ที่มีความสามารถในการนำห้องสมุดเคลื่อนที่ไปใช้ มีแผนจัดกิจกรรมจากห้องสมุดนี้ รวมถึงสามารถดูแลรักษาได้อีกด้วย ห้องสมุดนี้จะช่วยเด็กๆ ที่ด้อยโอกาสให้ได้เข้าถึงความรู้สะดวกขึ้น เพื่อให้เด็กๆ เติบโตพร้อมนิสัยรักการอ่าน" ผอ.สำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียนกล่าว ตามประสานคนอยากแบ่งปัน บริษัทแอมเวย์ไทยที่ทำโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่ ตั้งใจว่าอยากมอบห้องสมุดให้น้องๆ ตามจังหวัดต่างๆ มากกว่านี้ เพราะโรงเรียนหลายแห่งขาดแคลนคลังความรู้ โดยชวนทุกคนมาร่วมทำบุญง่ายๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เลือกดีเจที่อยากร่วมทำบุญ ได้แก่ ดีเจอ้อย-นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ดีเจเจ๊แหม่ม-วินัย สุขแสวง ดีเจนุ้ย-ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร ดีเจต้นหอม-ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ และดีเจบุ๊คโกะ บูรณาชีวาวิไล ด้วยการทำบุญออนไลน์ผ่าน www.facebook.com/amwaythailand ระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม-24 กันยายน เพียงแค่คลิกไลค์ (Like) แบ่งปัน 10,000 น้ำใจ จะเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ 1 ชุดไปไว้ในโรงเรียนที่ขาดแคลนกัน "อยากร่วมแบ่งปันความรู้มอบห้องสมุดให้เด็ก ได้อ่านหนังสือ ได้ต่อยอดพัฒนาสมอง เพียงแค่กดไลค์ดีเจที่ชื่นชอบ ก็ได้หยิบยื่นโอกาสให้น้องๆ ที่ขาดโอกาสในโรงเรียนห่างไกล" ดีเจบุ๊คโกะ ฝากชวนกด Like ให้มากๆ.

www.thaipost.net

ไฟ้ใหม้ รางรถไฟลุกไปยังโรงเก็บซากรถจักรและโบกี้รถไฟ

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 28 ก.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ร.ต.อ.วิโรจน์ สะเรียม ร้อยเวร สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รับแจ้งว่า เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นที่บริเวณรางรถไฟที่จะไปยังโรงเก็บซากรถจักรและโบกี้รถไฟ เก่าของสถานีรถไฟหาดใหญ่ ห่างจากตัวสถานีรถไฟหาดใหญ่ประมาณ3 กิโลเมตร จึงรถไปตรวจสอบพบว่าไฟได้ลุกไหม้เผาไม้หมอนของรางรถไฟเป็นระยะทางเกือบ2 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนครหาดใหญ่ได้นำรถดับเพลิงจำนวน 1 คัน มาฉีดน้ำควบคุมไฟโดยใช้เวลากว่า1 ชั่วโมง จึงควบควบเพลิงไว้ได้ซึ่งสภาพไฟไหม้ไม่ได้มีเปลวไฟลุกโชนแต่เป็นเพียงการ ไหม้หญ้าและลามมาติดไม้หมอนทำให้มีเฉพาะกลุ่มควันเป็นส่วนใหญ่

หลังเกิดเหตุทางสถานีรถไฟหาดใหญ่เตรียมเข้าตรวจสอบความเสียหายของรางรถไฟและ ไม้หมอนที่ถูกไฟไหม้เพื่อดำเนินการซ่อมแซม เบื้องต้นคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากอุบัติเหตุจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาและทิ้ง ก้นบุหรี่ลงริมรางรถไฟประกอบกับสภาพหญ้าที่แห้งและอากาศร้อนทำให้เกิดไฟ ลุกลามอย่างรวดเร็ว มากกว่าการลอบวางเพลิงหรือจงใจเผาเพื่อเชื่อมโยงกับเหตุความไม่สงบในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่วิทยาการจะเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

ขณะที่เหตุการณ์ไฟไหม้รางรถไฟที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเดินรถไฟทั้งขาขึ้นและขาล่อง3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมทั้งขบวนรถขนส่งสินค้าไปยังปาดังเบซาร์ แต่อย่างใดเนื่องจากอยู่คนจะเส้นทางกัน



www.khaosod.co.th

มานพ ปานสาคร ให้การเป็นเท็จ จริงหรึอ

เป็นที่ฮือฮาในวงการฟุตบอลหลังจากที่มีการนำเอาตัวผู้ตัดสิน นายมานพ ปานสาคร ผู้ตัดสินนัดอื้อฉาวที่ “นกใหญ่พิฆาต” ชัยนาท เอฟซี เปิดสนามเขาพลอง สเตเดียม เอาชนะ “มังกรไฟ” บีอีซี เทโรศาสน ไปได้ 2-1 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ไปเข้าเครื่องจับเท็จเป็นครั้งแรก และผลการตัดสินออกมาว่าผู้ตัดสินให้การเป็นเท็จ ซึ่งกรณีนี้หากเป็นผู้ต้องหาที่กระทำผิดและเข้าเครื่อตรวจจับเท็จ และผลออกมาว่าเป็นเท็จ หมายความว่าผู้ต้องหาคนนั้นกระทำผิดจริง แต่กรณีนี้ผู้ตัดสิน นายมานพถูกนำไปเข้าเครื่องจับเท็จ โดยคณะกรรมการฝ่ายป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอล (คปบ.) ซึ่งเชื่อว่าส่อแววไปในทางทุจริต อาจมีการรับสินบนล็อกผลการแข่งขัน ซึ่งการพิจารณามี พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ประธานกรรมการฯ เป็นประธาน, และนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร เป็นคณะกรรมการอีกหลายท่านร่วมพิจารณา

ภาพจากวิดีโอจังหวะปัญหาในการตัดสินของนายมานพ มีอยู่ 3 จังหวะหลักๆ ด้วยกันคือ 1. จังหวะที่ลูกเตะมุมของกรกช วิริยะอุดมศิริ เข้าประตูไปแล้ว แต่บอลเด้งออกมา ผู้ตัดสินปฏิเสธการให้ประตู 2.จังหวะที่สุรเชษฐ์ งามทิพย์ สไลด์เปิดปุ่มเข้าใส่คาเล็ด คารูบี ของบีอีซีฯ ซึ่งผู้ตัดสินให้เพียงใบเหลือง และ 3.จังหวะที่ณภัทร ทับเกตุแก้ว เตะอัดใส่กรกช วิริยะอุดมศิริ ของบีอีซี เทโรศาสน แล้วไม่โดนคาดโทษอะไรเลย ปัญหาเหล่านี้ในวงการฟุตบอลต้องให้คณะกรรมผู้ตัดสินพิจารณา ซึ่งหากมีความผิดก็จะมีโทษหนักเบาว่ากันไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดพิจารณา และตัดสินได้เลยว่านายมานพ ปานสาคร ผิดแน่นอน ผิดในการทำหน้าที่ แต่จะว่าผิดแบบไหน เจตนา หรือไม่เจตนา จังหวะที่ 1 การเตะมุมและลูกเข้าประตูไปแล้ว แต่เด้งออกมาเพราะตาข่ายประตูขาดนั้น

จังหวะนี้เป็นไปได้ที่นายมานพอยู่ในตำแหน่งที่ผิดจึงมองไม่เห็น และจังหวะนั้นถือว่าเร็วมาก เชื่อว่าหากนั่งดูทางหน้าจอโทรทัศน์และไม่มีภาพช้าให้ดูผู้ชมอาจจะมองไม่ทันก็ได้ แต่ผู้ตัดสิน นายมานพ จะปฏิเสธความผิดนี้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าเจตนาหรือไม่เท่านั้น ที่สำคัญ ทำไมไม่มองไปเรื่องของตาข่ายขาดด้วย จังหวะนี้มองอีกมุมหนึ่ง หากตาข่ายไม่ขาดก็คงไม่เกิดเรื่องแน่นอน ขณะที่จังหวะที่ 2 และ 3 ตัวนายมานพผิดเต็มๆ เพราะทั้ง 2 เหตุการณ์ถือว่านักเตะมีการกระทำผิดอย่างรุนแรงโทษคือ "ใบแดง" แต่หากมองภาพรวมในบ้านเรา ฟุตบอลอาชีพที่เราเรียกกันว่าเป็นอาชีพนั้น ทุกคนเป็นอาชีพเต็มตัวหรือยัง ที่สำคัญความปลอดภัยของผู้ตัดสินเวลาลงทำหน้าที่มีมากน้อยแค่ไหน ตัวนายมานพอาจจะกลัวว่าหากให้ใบแดงไปแล้วหลังจบเกมขณะเดินทางกลับบ้านจะไม่ปลอดภัยกับชีวิตของตัวเอง ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาครอบครัวจะเดือดร้อนจึงพยายามจะเอาตัวรอด ซึ่งประเด็นนี้ไม่ควรมองข้าม สำหรับการเข้าเครื่องจับเท็จที่ผ่านมามีการตั้งคำถามแบบตรงๆ ว่า “ท่านรับเงินค่าจ้างให้ทำหน้าที่ตัดสินช่วยเหลือให้ทีมชัยนาท เอฟซี ชนะจริงหรือไม่? ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นายมานพ ปานสาคร ผู้ตัดสินตอบว่า “ไม่จริง” ส่วนนายวราฤทธิ์ สุวรรณจิระ ผช.ผู้ตัดสินที่ 2 ถามด้วยคำถามเดียวกับ และตอบด้วยคำตอบเดียวกัน เบื้องต้นได้พิจารณาว่าอาจจะมีการประพฤติมิชอบ จึงได้เชิญตัวนายมานพ ปานสาคร เข้าเครื่องจับเท็จเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 18 มิ.ย. ถามด้วยคำถามเดียวกัน ผลจากการตรวจจากเครื่องจับเท็จปรากฏว่า นายมานพ ปานสาคร ให้การ “เป็นเท็จ” ส่วนนายวราฤทธิ์ สุวรรณจิระ ผลการตรวจจากเครื่องจับเท็จให้การ “เป็นจริง” ทาง พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ประธาน คปบ. ได้ชี้แจงว่า “โดยส่วนตัวเชื่อมั่นในเครื่องจับเท็จว่าค่อนข้างที่จะไว้ใจได้เกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าเราไม่มีหลักฐานทางด้านการเงินที่จะเอามามัดตัวเขาได้เท่านั้นเอง อีกทั้งกฎหมายล้มบอลเราก็ไม่มีรองรับ แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจถือว่าสิ้นสุดลงไปแล้ว ลำดับต่อมาก็คงจะให้ทางสมาคมฟุตบอลฯ พิจารณาลงโทษทางวินัย”

ด้านนายมานพ ปานสาคร ที่โดนกล่าวหาว่ารับสินบนเป็นคนแรกของวงการผู้ตัดสินฟุตบอล พร้อมจะแสดงความบริสุทธิ์ด้วยการท้าสาบานในความโปร่งใสต่อหน้าวัดพระแก้ว และยังพร้อมให้ความร่วมมือกับ คปบ.หากเรียกสอบ ซึ่งนายมานพกล่าวว่า บทลงโทษที่ออกมาดูจะรุนแรงและหนักเกินไป ซึ่งตนเองไม่มีโอกาสได้ชี้แจงแม้จะยอมรับว่าการทำหน้าที่ของตนเองมีความผิดพลาดก็ตาม ตนยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการล็อกผลการแข่งขันแน่นอน และขอท้าสาบานต่อหน้าวัดพระแก้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทย "ผมทำหน้าที่มาหลายนัด แต่กลับลงโทษแบนผมทั้งฤดูกาลเพียงเพราะความผิดพลาดแค่นัดเดียว ซึ่งผมไม่มีโอกาสได้ชี้แจงเลย โดยเกมดังกล่าวผมยอมรับว่าจังหวะที่บอลเข้าประตูและทะลักออกมาผมมองไม่เห็น แต่ก่อนลงสนามผมได้คุยกับผู้ช่วยผู้ตัดสินที่ 2 แล้วว่า หากเห็นลูกเข้าประตูให้ส่งสัญญาณ แต่หลังจากผมดูผู้ช่วยผู้ตัดสินเขาไม่ได้ส่งสัญญาณ ก็เลยเข้าใจว่าลูกยังไม่เข้าประตู ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการพนัน และพาผมไปสาบานต่อหน้าวัดพระแก้วก็ได้ ส่วนการจะเอาผมไปเข้าสืบสวนกับคณะกรรมการฝ่ายป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอล หรือ คปบ. ผมก็ยินดีให้ความร่วมมือ เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง" "ถามว่าท้อหรือไม่ บอกตามตรงเลยว่ารู้สึกท้อกับบทลงโทษที่ออกมา แต่ยังยืนยันว่าไม่คิดที่จะเลิกทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ซึ่งจะขอยื่นอุทธรณ์และจะขอกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่คณะกรรมการผู้ตัดสินจะพิจารณาต่อไป".

www.thaipost.net

ซีวอน ส่งกำลังใจ ให้ นิชคุณ ให้เวลาทบทวน - กลับมาเป็นคนใหม่

หนุ่ม "ซีวอน" แห่งซุปเปอร์จูเนียร์ ได้ทวีตข้อความให้กำลังใจ "นิชคุณ"​ เพื่อนร่วมอาชีพถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ระบุ "เราต้องปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาทบทวนตัวเอง แล้วกลับมาเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น"

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นักร้อง และนักแสดงชื่อดัง ซีวอน แห่งซุปเปอร์จูเนียร์ ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นถึงกรณีอุบัติเหตุของนักร้องร่วมอาชีพ นิชคุณ แห่งทูพีเอ็มบนทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยซีวอนได้สะท้อนความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่ามันเป็นสิ่งที่กระทบต่อนิชคุณ และขอให้ผู้ที่สนับสนุนเขามองมันด้านบวกในอนาคตจากนี้

ทั้งนี้ ข้อความที่นักร้องดัง ซีวอนได้ทวีตถึงเพื่อนนักร้องนิชคุณ ความว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไอดอลดังนิชคุณ แห่งทูพีเอ็ม ได้มีส่วนร่วมในอุบัติเหตุจราจรขณะที่ดื่มสุราแล้วขับรถยนต์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน จากเหตุการณ์ดังกล่าวนิชคุณได้แสดงความเสียใจ และหลีกเลี่ยงพยามไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก ผมเชื่อว่าจากนี้นิชคุณจะทบทวนตัวเองถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างมาก เพราะนิชคุณเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความฝันของคนไทย ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพทั้งในเกาหลี และประเทศไทยของเขาเอง  ดังนั้นเราต้องปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาทบทวนตัวเอง แล้วกลับมาเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น ขอบคุณ.



www.thairath.co.th

นายกฯ ขานรับไทยเข้าสู่อาเซียน

วันที่ 28 ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กล่าวถึงผลการมาเยือนประเทศไทยของพล.อ.เต็งเส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ว่า ได้ผลเป็นอย่างดี และมีการเซ็นเอ็มโอยูร่วมกันพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย เพื่อประโยชน์เศรษฐกิจการค้าแบบไร้ขีดจำกัด และจะเป็นการพัฒนาร่วมกันไปสู่การเปิดประชาชมอาเซียน

นอกจากนี้ยังได้มีร่วมกันพัฒนาด่าน 3 ด่านเพื่อเป็นด่านถาวร ประกอบด้วย ด่านกิ่วผาวอก จ.เชียงใหม่ ด่านบ้านห้วยต้นนุ่น จ.แม่ฮ่องสอน และด่านบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรีและจะมีการพัฒนาร่วมกัน เพื่อทำให้การค้าระหว่างประเทศดี

ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่า รัฐบาลเริ่มประชุมเวิอร์ช็อปมาแล้ว และเห็นว่าทุกหน่วยงานมีการเตรียมความพร้อมไปบ้างแล้ว เพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า ดังนั้น จึงต้องมีการวางแผนแม่บท เพื่อร่วมมือกันพัฒนาให้แข็งแรง โดยเฉพาะด้านการค้าหรือเรียกว่าการเปิดเสรีด้านการค้า และการเปิดเสรีทางด้านแรงงาน ขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปเกิดการผันผวน นักลงทุนหันมามองหาการลงทุนในประเทศของกลุ่มอาเซียนมากขึ้น ดังนั้น จะต้องดูว่าเราจะต้องทำอย่างไรให้คนของเรา ทั้งภาคเอกชน และประชาชนเข้าใจ ว่าในอนาคตเราจะทำงานกับประเทศเพื่อนบ้านและเราต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง.



www.dailynews.co.th

โครงการ “อาร์ต อิน พาราไดซ์ คอนเทสต์ 2012” วาดภาพตามโจทย์

ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ร่วมกับ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ บริษัท เพนเทล (ประเทศไทย) จำกัด จัดโครงการ “อาร์ต อิน พาราไดซ์ คอนเทสต์ 2012” (Art in Paradise Contest 2012) เปิดโลกสีสันและจินตนาการ เปิดโอกาสให้น้องๆ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ได้มีเวทีสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวม 2 แสนบาท โดยจัดให้มีการประกวดรอบชิงชนะเลิศไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ณ รอยัล พาร์ค พลาซ่า ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค

กิจกรรมในรอบแรกนี้ได้รับความสนใจจากน้องๆ เยาวชนทั่วประเทศส่งผลงานเข้าร่วมประกวดกว่า 235 คน เป็นระดับมัธยมต้น 170 คน ระดับมัธยมปลายจำนวน 65 คน จากนั้นคณะกรรมการได้ทำการคัดเลือกจนเหลือผู้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเพียง 59 คน โดยทุกคนต้องโชว์ฝีมือการวาดภาพสร้างสรรค์ผลงาน ในเวลาที่จำกัดเพียง 3 ชั่วโมง ภายใต้โจทย์ที่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมอบให้สดๆ ในวันงานในหัวข้อ “พาราไดซ์ พาร์ค เปิดโลกแห่งสีสัน เปิดโลกแห่งจินตนาการ” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกกับการประกวดด้วยวิธีการเช่นนี้ น้องๆ ทุกคนต่างขมักเขม้นในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะเป็นโจทย์ที่ได้รับสดๆ ทำให้น้องๆ ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน แต่ทุกคนก็สามารถสรรค์สร้างผลงานได้อย่างดี สร้างความหนักใจให้กับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย รศ.กมล เผ่าสวัสดิ์ อาจารย์ประจำสาขาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อ.สุมาลี เอกชนนิยม อาจารย์ประจำคณะศิลปะวิจิตร สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม, อ.ศุภศิษย์ นามโภชน์ อาจารย์ประจำกลุ่มสาระศิลปะโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยวิโรฒประสานมิตร, นายปรียวิศว์ นิลจุลกะ ศิลปินอิสระและนักร้องนำวง Instinct และ นายภัทรวิศว์ วิศิษฎ์ทองสริต ผจก.ฝ่ายศิลป์และตกแต่ง บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เป็นอย่างยิ่ง

โดยผลงานที่ชนะใจคณะกรรมการจนคว้ารางวัลชนะเลิศในระดับมัธยมต้น ได้แก่ ด.ช.ฐานุกรณ์ ชูประพันธ์ นักเรียนชั้น ม.1 ร.ร.ลาดทิพรสพิทยาคม จ.นครสวรรค์, รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ด.ญ.วรรณนิดา บุณเย็น นักเรียนชั้น ม.3 ร.ร.สตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพฯ รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ด.ญ.ขวัญจิรา นิตยาธารีกุล นักเรียนชั้น ม.2 ร.ร.เบญจมราชานุสรณ์ จ.นนทบุรี ส่วนรางวัลชนะเลิศระดับมัธยมปลาย ได้แก่ น.ส.ศิริกานต์ จิตรวานิชกุล นักเรียนชั้น ม.4 ร.ร.สตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพฯ รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ น.ส.ศิลารัตน์ เชยชื่น นักเรียนชั้น ม.6 ร.ร.สตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพฯ, รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายนิธิกร บุญอักษร นักเรียนชั้น ม.6 ร.ร.บุญวัฒนะ จ.นครราชสีมา

นอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษเทคนิคการใช้สีดีเด่นระดับมัธยมต้น-ปลาย รวม 7 รางวัล พร้อมรางวัลพิเศษ “The Jury Price” ได้แก่ นายวีรยุทธ วงศ์ศีดา นักเรียนชั้น ม.6 ร.ร.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว อีก 1 รางวัล ทั้งนี้ผู้ชนะเลิศทั้งสองประเภท จะได้รับสิทธิ์ในการส่งผลงานเข้าร่วมประกวดงาน “The 43rd International Children’s Drawing Contest” ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ด.ช.ฐานุกรณ์ ชูประพันธ์ เจ้าของรางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมต้น กล่าวความรู้สึกว่า “วันนี้รู้สึกกดดันด้วยเวลาที่จำกัด และต้องวาดภาพให้ตรงกับหัวข้อที่กำหนด โดยแนวคิดแรกเลยคือต้องจินตนาการให้แปลกแตกต่างไปจากที่เคยพบเห็น ที่สำคัญภาพต้องออกมาดูสวย มีสีสัน ตัวเองได้เน้นการใช้สีที่หลากหลาย และใช้เทคนิคการไล่สีด้วย เพราะมองแล้วนึกถึงโลกที่มีแต่ความสนุกสนาน จึงถ่ายทอดออกมาเป็นภาพ ดินแดนแห่งความสนุก ครับ”

ด้าน น.ส.ศิริกานต์ จิตรวานิชกุล เจ้าของรางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมปลาย กล่าวว่า “ดีใจที่ได้เข้าร่วมประกวดในครั้งนี้ เพราะหัวข้อเปิดกว้างมากจึงทำให้เราเกิดไอเดียสร้างสรรค์ได้ไม่จำกัด ตนเองคิดว่าควรนำเสนอภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดแบบอิสระ แต่ต้องตรงตามหัวข้อที่คณะกรรมการกำหนด ซึ่งให้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง เพราะปกติการวาดภาพทั่วไปต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ก็ตั้งใจทำให้ได้ดีที่สุด จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ผลงานชื่อ โลกแห่งความฝันพาราไดซ์ พาร์ค ค่ะ”

สำหรับ รศ.กมล เผ่าสวัสดิ์ อาจารย์ประจำสาขาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการ ให้ความเห็นเกี่ยวกับ โครงการ “อาร์ต อิน พาราไดซ์ คอนเทสต์ 2012” ว่า “เป็นโครงการที่น่าสนับสนุนให้มีอย่างต่อเนื่องเพราะเด็กๆ ได้มีพื้นที่แสดงออกและเปิดมุมมองใหม่ทางด้านศิลปะ สำหรับการตัดสินครั้งนี้ค่อนข้างยาก คณะกรรมการต้องดูความสมบูรณ์ของชิ้นงาน ความคิดสร้างสรรค์ อยากชื่นชมเด็กทุกคนว่ามีความสามารถมาก ด้วยเงื่อนไขของเวลาที่จำกัดเพียง 3 ชั่วโมง มีทั้งความกดดัน ทุกสิ่งทุกอย่าง เด็กโชว์ฝีมือได้ขนาดนี้ต้องขอบอกว่ายอดเยี่ยมมาก”

“อาร์ต อิน พาราไดซ์ คอนเทสต์ 2012” (Art in Paradise Contest 2012) จึงถือเป็นอีกหนึ่งเวทีที่สนับสนุนให้เยาวชนได้แสดงออกถึงความสามารถผลงานทางด้านศิลปะ เพราะศิลปะช่วยในการฝึกสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ พร้อมก้าวสู่โลกแห่งจิตนาการอย่างไม่สิ้นสุด



www.banmuang.co.th

ททท. ตั้งเป้าเที่ยวเมืองไทย

นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมกับบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด จัดงาน Amazing Thailand Grand Sale Fair 2012 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ ททท.ได้ขานรับนโยบายของรัฐบาลที่ประมาณการให้ในปี 2558 จะเกิดรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวน 2 ล้านล้านบาท สามารถนำเสนอความหลากหลายของสินค้า และบริการในราคาพิเศษที่สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ ได้จับจ่ายใช้สอยในช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค. ของทุกปี และเป็นการส่งเสริมเชิงธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทยในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว

ขณะเดียวกันยังเป็นการเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในช่วงกรีนซีซั่นของประเทศไทย โดยภายในงานได้รวบรวมผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าและบริการมากมายมาร่วมจำหน่ายสินค้าในราคาพิเศษ อาทิ เสื้อผ้าแฟชั่น สินค้าแบรนด์เนมชั้นนำ สินค้าหัตถกรรม รวมถึงอาหาร ของฝาก และแพ็กเกจท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก สายการบิน สำหรับกิจกรรมไฮไลท์ “มนต์เสน่ห์แห่งขนมไทยและผลไม้สร้างชื่อ” ที่รวบรวมขนมไทยโบราณหาทานได้ยาก และผลไม้ที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการจัดงาน Amazing Thailand Grand Sale Fair 2012 ครั้งนี้ จะมีเงินสะพัดภายในงานประมาณ 200 ล้านบาท และมีผู้เข้าชมงานไม่ต่ำกว่า 100,000 คน นอกจากนี้ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 10.4 ล้านคน ซึ่งถือว่าเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนช่วงครึ่งปีหลัง ททท.ได้มีความมั่นใจว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว



www.banmuang.co.th

เฮฮา ประสาททหาร

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านพบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์เก็บตกข่าวฮาประสาทหาร ตรงกับวันเสาร์ที่ 28 ก.ค.หลังจากเกิดเหตุการณ์ “คาร์บอมบ์” หน้าร้านโปรคอมพิวเตอร์ ด้านหลังโรงแรมเก็นติ้ง กลางเมืองสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.กอ.รมน.) พร้อมด้วย พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสนาธิการทหารบก ในฐานะ เลขาธิการ กอ.รมน. และ นายทหารระดับสูงของกองทัพบก ได้เดินทางลงพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อแก้ไขปัญหาและเยี่ยมผู้บาดเจ็บทันที .....ก่อนจะลงพื้นที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า “ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนรอมฎอนของทุกปี ที่ผ่านมาผู้ก่อเหตุได้ปลุกระดมให้สมาชิกสร้างเหตุการณ์ให้มีผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่และกระบวนการของรัฐให้มากที่สุด เพราะมีความเชื่อว่า ผู้กระทำความรุนแรงในช่วงพิธีบุญจะได้ขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นคำสอนที่ผิด ขณะนี้ผู้นำศาสนาอิสลามได้เข้ามาช่วยทำความเข้าใจแล้วว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาภาคใต้เราทราบดีว่า เกิดจากอะไร แต่บางครั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมด ความจริงต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และต้องช่วยกันอย่าไปโฆษณาให้เครดิตผู้ก่อเหตุ อย่างน้อยไม่ต้องชมเจ้าหน้าที่แต่อย่าตำหนิให้มากนัก ไม่เช่นนั้นคนจะท้อแท้กันหมด” ....ทั้งนี้ข่าวล่าสุดทางกองทัพบกได้ดำเนินการจัดซื้อเครื่องตรวจสารระเบิดไฟโด้ (Fido) เพิ่มเติมจำนวน 4 เครื่อง ในราคาเครื่องละ 2 ล้านบาท ซึ่งผ่านขั้นตอนการทดสอบตามแคตตาล็อกทุกประการ โดยได้รับการรับรองจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรมสรรพาวุธทหารบก ผู้ชำนาญการจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จากเดิมกองทัพบกมีเครื่องตรวจสารระเบิดไฟโด้ ใช้จำนวน 7 เครื่อง แต่เป็นรุ่นเก่า ใช้มานานตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้งานอยู่โดยเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดหรือ EOD และชุดเฉพาะกิจอโนทัย ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ....การที่จะทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ลดความรุนแรงลงนั้น รัฐบาลจะต้องยอมรับความเป็นจริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกคนพยายามคิดว่า เป็นเรื่องของการพยายามแบ่งแยกดินแดน ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่สามารถที่จะแบ่งแยกดินแดนได้ แต่เป็นเรื่องของการก่อการร้าย ดังนั้นทุกหน่วยงานของรัฐจะต้องปรับแผนในการดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลควรที่จะปรับเปลี่ยนหน่วยงานด้านความมั่นคงโดยเฉพาะกำลังคนให้ลดน้อยลง เหลือเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น แล้วให้คนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งมีทั้ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ.และภาคประชาชน ที่คนเหล่านี้จะเข้ามาช่วยกันดูแลจัดระเบียบสังคมกันเอง ...

.แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะปกครองในระบอบประชาธิปไตยและประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการเข้ามามีบทบาทต่อการบริหารจัดการการปกครองทุกระดับก็ตาม หน่วยงานของรัฐต้องเข้ามามีส่วนร่วมในบางส่วนตามทฤษฎีการปกครอง หรือ ตามหลักการการปกครองในบางส่วนเท่านั้น เพราะถ้ามากเกินไปจะทำให้เกิดความขัดแย้ง เกิดความไม่เป็นธรรม จนกลายเป็นเงื่อนไขของสถานการณ์ต่อไป.....ดังนั้นใครที่ไม่รู้ หรือ รู้ไม่จริงก็ถอยออกไป จะได้ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเสียที ....หลังจากที่มีข่าวปล่อย ข่าวลือกันมานานว่า การปรับ ครม. “ยิ่งลักษณ์ 3” โดยเฉพาะตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั้น กระแสข่าวจะหนาหูขึ้นทุกวันว่า ประเทศไทยจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (หญิง) คนแรก เสียแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่า คนที่ (จะเข้ามา) และ คนที่ (ให้เข้ามา) คิดอะไร...??? กับกองทัพกันแน่ เพราะหากมองกันในเรื่องของความรู้ ความสามารถทางทหารแล้วคนที่มาใหม่แทบจะไม่มี แต่ที่ แน่ ๆ อ้างว่า มาเพื่อสร้างความสมานฉันท์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพให้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อให้การทำงานราบรื่นไม่สะดุด เหตุเพราะไม่มีความรู้เรื่องทางทหาร จึงจำเป็นจะต้องเพิ่มตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมขึ้นมาเพื่อช่วยทำงานแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีชื่อของ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าชิงตำแหน่งนี้.....จะมี รมว.กลาโหม (หญิง) ก็คราวนี้....??? ....ใกล้จะถึงฤดูกาลโยกย้ายนายทหารปลายปีกันแล้ว อยู่ ๆ นายกรัฐมนตรี ได้เรียก “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล พร้อมด้วย พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้ช่วย ผช.ผบ.ทอ. เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยข่าวบอกว่า เป็นการหารือเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างของกองทัพ รวมทั้งติดตามผลงานการดำเนินงานต่าง ๆ ของกองทัพบกและกองทัพอากาศ เพื่อสอบถามผลการปฏิบัติงานในช่วงที่ผ่านมา และติดตามข้อมูลการบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า มีการพูดคุยเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปีนี้ด้วย....ช่างบังเอิญว่า ผู้ที่เข้าไปหารือกับนายกรัฐมนตรี คนหนึ่งเป็นแคนดิเดตว่าที่ปลัดกระทรวงกลาโหม ส่วนอีกคนเป็นแคนดิเดต ว่าที่ ผบ.ทอ. อะไรจะบังเอิญขนาดนี้....??? ....ในการประชุมสภากลาโหมที่ผ่านมา “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล ได้ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ สนับสนุนโครงการปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษา มหาราชินี เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 พร้อมทั้งน้อมนำแนวพระราชดำริมาใช้เป็นแนวทาง และต้องการเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วม มีความรัก และหวงแหนในผืนป่าของแผ่นดิน ....ปิดท้ายงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรี ประทวน กิตติรัต บิดาของ พลอากาศตรี อนิรุท กิตติรัต เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในวันอาทิตย์ที่ 29 ก.ค. 2555 เวลา 17.00 น. ณ เมรุ 1 ฌาปนสถานกองทัพอากาศ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ.

www.dailynews.co.th

วิธีทำไทยมีความสุข ดับความทุกข์

วันนี้เป็นวันมหามงคลของพสกนิกรชาวไทย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ข้าพระ-พุทธเจ้า นสพ.ไทยรัฐ ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยมงคล ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้าเวลา 07.00 น. นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 161 รูป ณ ท้องสนามหลวง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เวลา 23.30 น. มีพิธี เจริญพระพุทธมนต์ข้ามคืน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลนอกจากการถวายพระพรแล้ว ผมเห็นว่าสิ่งที่จะทำให้ สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสบายพระทัยที่สุดก็คือ การทำให้ประชาชนมีความสุข ประเทศมีความสุข คนไทยรักกัน ไม่ทะเลาะ เบาะแว้งฆ่าฟันกันวันเสาร์สบายๆ ในวันมหามงคลวันนี้ ผมจึงไปค้นหนังสือธรรมะเพื่อนำมาเล่าสู่กันฟัง ก็ไปพบหนังสือชื่อ พุทธทาสในทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดย คุณอรุณ เวชสุวรรณ หนังสือเล่มนี้ได้ลงปาฐกถาพิเศษของ คุณทักษิณ เรื่อง “พุทธทาสที่ข้าพเจ้ารู้จักในทางการเมือง” ซึ่งพูดไว้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2542 เป็นปาฐกถาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ผมจึงขอนำบางส่วนบางตอนมาเล่าสู่กันฟังครับคุณทักษิณบอกว่า “ผมอยากให้คนไทยทุกคน ชาวพุทธทุกคน ได้มีโอกาสเห็น พระพุทธเจ้า ดังที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสกับพระวักกลิว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” เพราะฉะนั้น การเห็นธรรมจึงถือเป็นหัวใจสำคัญมากของสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมใดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมไทยทุกวันนี้ เป็นสังคมที่วิกฤติในหลายด้าน เรากำลังต้องการธรรมะที่ถูกต้อง ไม่ต้องการธรรมะที่เป็นลักษณะบิดเบือนหรือชักจูงไปในทางที่ผิด เราต้องการธรรมะที่ทำให้คนไทยสามารถดับทุกข์ได้ โดยคนไทยปราศจากซึ่ง ตัวกูของกู คือการปราศจากกิเลสนั่นเอง...”“...ท่านพุทธทาสได้มองการเมืองว่า การเมืองคือธรรมะ ธรรมะคือการเมือง เพราะการเมืองเป็นหน้าที่ การเมืองคือการจัดให้คนในสังคมหมู่มากได้อยู่กันอย่างสันติ โดยไม่ต้องใช้อาชญา มันตรงกับทฤษฎี Social contract theory หรือทฤษฎีสัญญาประชาคมที่นักปราชญ์รุ่นเก่าอย่าง มองเตสกิเออร์,รุสโซ, จอห์น ล็อค ฯลฯ ได้พูดไว้...สิ่งที่ท่านมักเน้นโดยวกเข้าสู่การเมืองคือ ธรรมะเป็นความถูกต้อง ที่อยู่บนรากฐานของความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่เห็นแก่ตัว เป็นรากฐานที่สำคัญของประชาธิปไตย ถ้าผู้คนในระบอบประชาธิปไตยมีความเห็นแก่ตัว

ท่านบอกว่าจะเป็นประชาธิปไตยในแบบที่เรียกว่า ประชาธิปตายคนเราถ้าขาดคุณธรรมแล้วสังคมจะยุ่งเหยิง การเมืองที่มีธรรมะคือการเมืองของสัตบุรุษ ท่านยังบอกว่า สภานั้นคือที่ชุมนุมของสัตบุรุษ หรือที่ชุมนุมของนักการเมืองที่มีธรรมะ แต่ถ้าสภาใดมีการทะเลาะกัน ด่าทอกัน หรือทำลายล้างกัน มัวแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตนนั้น ไม่น่าจะเป็นการเมืองของสัตบุรุษ ที่นั้นจึงไม่น่าจะเรียกว่าสภา...”คุณทักษิณ ได้พูดถึงหนังสือ Danger of I หรือ อันตรายซึ่งตัวกู และบอกว่า เคยป่วยเป็นโรคทางวิญญาณ ช่วงที่เป็นรองนายกฯ โดยภรรยาเป็นคนบอกว่าป่วย “ป่วยตรงนั้นคือ ผมมีคำว่า Self ภาษาละตินเรียกว่า Ego ภาษากรีกเรียกว่า เซนทีกอน ที่แปลว่า Center คือคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คนที่มีความรู้สึกเป็นตัวกู ของกู” จึงได้ไปหาแพทย์ที่ชื่อ พระอิสระมุนี รักษาจนหาย และ “ตาสว่างเลยครับ”แล้ว คุณทักษิณ ก็สรุปในตอนท้ายของปาฐกถาอย่างน่าฟังว่า“เพราะฉะนั้น ถ้านักการเมืองทุกคนสามารถหยุด ตัวกูของกู ปราศจากตัวกูของกูได้ ประเทศชาติจะมีความสุขมาก ถ้าเราทำอะไรเพื่อคนอื่น เพื่อเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิด ร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตายได้นั้น ย่อมทำให้สังคมมีสุขและสันติสุขตลอดไป” สาธุ ขอฝากต่อไปยังนักการเมืองและคนไทยทุกคนครับ.

www.thairath.co.th

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นิชคุณ ซดน้ำเมาหนัก เหตุรถชน

สื่อเกาหลีใต้กัดไม่ปล่อย! ตามสืบความจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนของนักร้องดัง พบ "พยานใหม่" อ้าง "นิชคุณ" ซื้อเครื่องดื่มบางประเภทดื่มเพื่อลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดก่อนที่ ตร.จะมาถึงที่เกิดเหตุ...

กลายเป็นประเด็นฮอตตลอดทั้งสัปดาห์ จากกรณีที่นักร้องชื่อดังสัญชาติไทย นิชคุณ แห่งทูพีเอ็ม ประสบอุบัติเหตุขับรถยนต์โฟล์คสวาเกนชนรถจักรยานยนต์ จนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 24 ก.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) บริเวณสี่แยกถนนกังนัม ของเกาหลีใต้ หลังจากที่นักร้องดังร่วมงานเลี้ยงของบริษัทต้นสังกัด และได้ดื่มเบียร์ไป 2 แก้ว ส่งผลให้การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ 0.056% ทำให้เขาถูกระงับใบอนุญาตขับขี่นั้น

ประเด็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ กลายเป็นสิ่งที่สื่อเกาหลีใต้จับจ้อง และตามสืบสาวราวเรื่องอย่างหนัก แม้ว่าตัวนักร้องดังได้ออกมาทวีตข้อความขอโทษผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และแฟนคลับถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งทางต้นสังกัดเจวายพีฯ ก็ได้ดำเนินการพักงานทุกอย่างเพื่อให้นักร้องดังได้มีเวลาพัก และทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี ยังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนแดนกิมจิถึงอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างหนาหู และพยานบุคคลใหม่ก็ก่อบังเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยพยานบุคคลใหม่อ้างว่า เขาเห็นนิชคุณเดินเข้าร้านสะดวกซื้อภายหลังที่อุบัติเหตุเกิดขึ้น และได้ทำการซื้อเครื่องดื่มจำนวน 2 ขวด "ฉันคิดว่านักร้องดังน่าจะรู้ว่าเครื่องดื่มประเภทไหนที่จะช่วยลดเปอร์เซ็นต์ของแอลกอฮอล์ในเลือดลงได้หากเขาดื่มมันก่อนที่จะมีการตรวจวัด" อย่างไรก็ตาม พยานบุคคลใหม่ไม่สามารถบอกถึงประเภทของเครื่องดื่มที่นิชคุณเลือกซื้อมาบริโภค

ขณะที่สำนักข่าวทีวีเอ็น ช่วงอี-นิวส์ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบตามคำบอกเล่าของพยานใหม่ และนำเสนอออกอากาศเมื่อวันที่ 26 ก.ค. โดยพยานคนหนึ่งอ้างว่า ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น นิชคุณได้ก้าวออกมาจากรถในสภาพตกใจเข่าทรุด และคล้ายว่าที่ดวงตาของเขามีน้ำตาไหลออกมาประหนึ่งว่าเขากำลังอธิษฐาน ซึ่งนักร้องดังอยู่ในอาการตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด และมีอาการหวาดกลัวยืนกระสับกระส่าย

สำนักข่าวรายงานต่อว่า พยานดังกล่าวยังกล่าวถึงกรณีที่อ้างว่านิชคุณลงไปซื้อเครื่องดื่มบริโภคก่อนที่จะมีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ว่า "ฉันไม่แน่ใจว่าผู้จัดการของนิชคุณได้พูดอะไรกับเขา แต่นักร้องดังได้เดินเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อเครื่องดื่มบางอย่างก่อนที่ตำรวจจะมาถึงยังที่เกิดเหตุ และเข้าทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของเขา"

พยานกล่าวต่อว่า "ข้อกังขาที่ว่านักร้องดังได้เข้าไปซื้อเครื่องดื่มเพื่อลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดกระจ่างชัดขึ้น เมื่อมีการเปิดเผยว่านิชคุณได้ดื่มเบียร์ปริมาณหนึ่งก่อนที่อุบัติเหตุจะเกิดขึ้น และเหมือนว่าเมื่อคนขับขี่ จยย.ลุกขึ้นได้ นักร้องดังก็เดินทางกลับทันที หลังจากที่เห็นว่าเป็นนิชคุณ" ทั้งนี้ การสืบสาวราวเรื่องของสื่อเกาหลีใต้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เนื่องจากพวกเขากำลังมุ่งไปยังร้านอาหารที่บริษัทต้นสังกัดจัดงานเลี้ยง เพื่อสืบหาความจริงของอุบัติเหตุในครั้งนี้.
 


m.thairath.co.th

แอมเวย์ ครบ 25 ปี เปิดตัว ต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่

บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองครบรอบ 25 ปี จับมือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของไทย เปิดตัวโครงการ “ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย” ต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่ รวบรวมหนังสือสารานุกรมและเสริมทักษะความรู้รวม 100 เล่ม พร้อมอุปกรณ์การเรียนรู้ เพื่อส่งมอบไปทุกจังหวัดทั่วไทย หวังตอบแทนบุญคุณของสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง และขอเชิญชวนคนไทยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่เพื่อเพิ่มจำนวนแหล่งการเรียนรู้แก่เยาวชนให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนเปิดให้โรงเรียนที่สนใจได้รับห้องสมุดเคลื่อนที่ สามารถส่งใบสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

 

 

นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แอมเวย์ยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กรเพื่อตอบแทนบุญคุณของสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือเด็กไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นแล้วกว่า 270,000 คนทั่วประเทศ สำหรับปีนี้ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์การให้โอกาสทางการศึกษาและฉลองครบรอบการดำเนินธุรกิจ 25 ปีในประเทศไทย แอมเวย์จึงจัดกิจกรรมเพื่อสังคมกับโครงการ “ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย” แนวคิดต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่ ซึ่งรวบรวมหนังสือสารานุกรมและหนังสือเสริมทักษะรวม 100 เล่ม พร้อมอุปกรณ์การเรียนรู้ เพื่อส่งมอบให้โรงเรียนที่ขาดแคลนในทุกจังหวัดทั่วไทย โดยเบื้องต้นแอมเวย์จัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่จำนวน 77 ชุด เพื่อส่งมอบให้แก่โรงเรียนในแต่ละจังหวัด ภายใต้คำปรึกษาจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของไทย คาดหวังที่จะให้เยาวชนไทยได้มีสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและช่วยส่งเสริมพฤติกรรมรักการอ่านอันเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสติปัญญาต่อไป”

“ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย พัฒนาขึ้นมาจากแนวความคิดเรื่องนโยบายห้องสมุด 3 ดี คือ 1. หนังสือดี 2. บรรยากาศดี 3. บรรณารักษ์ดี ของกระทรวงศึกษาธิการ บนพื้นฐานที่จะนำคลังความรู้เคลื่อนที่ไปสู่โรงเรียนที่ขาดแคลน โดยห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทยจัดทำด้วยวัสดุไม้ที่มีความทนทานและสวยงาม ประกอบด้วยหนังสือสารานุกรมเล่มที่ 13-35 จำนวน 23 เล่ม และหนังสือเสริมทักษะ ที่เป็นหนังสือดีเด่นได้รับรางวัลจาก สพฐ. จำนวน 77 เล่ม รวมทั้งหมด 100 เล่ม และอุปกรณ์การเรียนรู้ติดตั้งพร้อมใช้ ได้แก่ โต๊ะสำหรับนั่งอ่านหนังสือ เก้าอี้ และชุดกระดานไวท์บอร์ด สามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ของโรงเรียนได้อย่างสะดวก ทำให้หนังสือไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องสมุดเสมอไป และนักเรียนยังสามารถเข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งแอมเวย์จะดำเนินการจัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่เพื่อมอบแก่โรงเรียนทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นจำนวนรวม 77 ชุด”

“แอมเวย์ยังขอเชิญชวนผู้มีกุศลจิตที่ต้องการขยายโอกาสการเรียนรู้แก่เยาวชนไทยให้มากขึ้น สามารถร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนการจัดทำของแอมเวย์ได้ในราคาชุดละ 40,000 บาท โดยแอมเวย์จะดำเนินการผลิตและจารึกชื่อของเจ้าภาพไว้บนห้องสมุดในฐานะผู้มอบคลังความรู้นี้ นอกจากนี้ สำหรับโรงเรียนที่ต้องการได้รับห้อง สมุดเคลื่อนที่ สามารถส่งใบสมัครแสดงความจำนงขอรับห้องสมุดได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2555 โดยเข้าไปโหลดใบสมัครที่ www.amwayshopping.com หรือที่แอมเวย์ ช็อป ทุกแห่ง บริษัทและตัวแทนจาก สพฐ. จะร่วมกันคัดเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม และจะประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับบริจาคในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 ผ่านทางเว็บไซต์ www.amwayshopping.com และหนังสือพิมพ์”

“ทั้งนี้ แอมเวย์ยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถมีส่วนร่วมในโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทยได้อย่างง่ายๆ ร่วมกับ 5 ดีเจชื่อดัง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ได้แก่ ดีเจอ้อย-นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ดีเจเจ๊แหม่ม-วินัย สุขแสวง ดีเจนุ้ย-ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร ดีเจต้นหอม-ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ และดีเจบุ๊คโกะ ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล ด้วยการกดโหวตดีเจที่ชื่นชอบผ่านเฟซบุ๊คแอพพลิเคชั่นใน www.facebook.com/amwaythailand ระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม - 24 กันยายน 2555 การกดไลค์ (Like) 10,000 ครั้งขึ้นไป/ 1 ดีเจ แอมเวย์จะจารึกชื่อของดีเจท่านนั้นร่วมกับแฟนเพจในฐานะผู้มอบห้องสมุดเคลื่อนที่ 1 แห่ง พิเศษสุด! สำหรับผู้ที่ร่วมสนุกกับโครงการนี้ แอมเวย์จะสุ่มเลือกผู้โชคดี 1 ท่าน เพื่อจารึกชื่อของท่านไว้บนห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทยอีก 1 แห่งในฐานะผู้มอบโอกาสทางการศึกษาแก่น้องๆ” นายกิจธวัชกล่าวในที่สุด

นายสนิท แย้มเกษร ผู้อำนวยการสำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า “สพฐ. มีหน้าที่ในการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยให้มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำด้านการศึกษาของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน สพฐ. มีโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 183 เขตทั่วประเทศ ครั้งนี้ สพฐ. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับแอมเวย์เพื่อขยายโอกาสทางการเรียนรู้แก่เด็กและเยาวชนไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดย สพฐ. จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้โรงเรียนในสังกัดได้รับข้อมูลของโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปี แอมเวย์ไทยอย่างทั่วถึง พร้อมให้คำปรึกษาในการจัดโครงการจนกระทั่งโครงการสำเร็จลุล่วงสมดังเจตนารมณ์ เพื่อที่เด็กไทยทั่วประเทศจะสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น”



www.newswit.com

พบ มิโด ออล ไดอัล ลิมิเต็ด เอดิชั่น”เพียง 30 เรือน ที่ สยามฯ

ยลโฉมนาฬิกา “มิโด ออล ไดอัล ลิมิเต็ด เอดิชั่น”เพียง 30 เรือน! ในประเทศไทยงานสยามพารากอน วอทช์ เอ็กซ์โป 2012

มิโด (Mido) นาฬิกาคุณภาพจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมงาน “สยามพารากอน วอทช์ เอ็กซ์โป 2012” พร้อมโชว์โฉมนาฬิกา “มิโด ออล ไดอัล ลิมิเต็ด เอดิชั่น” รุ่นพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 10 ปีของคอลเลคชั่นออล ไดอัล (All Dial) สำหรับนักสะสมและแฟนพันธุ์แท้มิโดในประเทศไทย มีเพียง 30 เรือนเท่านั้น จากจำนวนจำกัด 1,000 เรือนทั่วโลก ราคาเรือนละ 44,000.- บาท ในงานสยามพารากอนวอทช์ เอ็กซ์โป 2012 ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 19 สิงหาคมศกนี้ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน

นาฬิกา “มิโด ออล ไดอัล ลิมิเต็ด เอดิชั่น” ควรคู่กับสุภาพบุรุษที่หลงใหลในศาสตร์อันละเอียดอ่อน แห่งการประดิษฐ์นาฬิกาและชื่นชมขนบธรรมเนียมตลอดจนความเชี่ยวชาญของช่างชาวสวิส ตัวเรือนขนาด 42 มม. โอบล้อมหน้าปัดลวดลายเส้นสายคล้ายกับที่เหล่าสถาปนิกวาดฝันไว้ในการสร้างโคลีเซียม พื้นที่ตรงกลางหน้าปัดโชว์ลวดลายซันเรย์ซาตินสีแอนทราไซท์ ตัวเลขโรมันพิมพ์เป็นสีส้ม หลักชั่วโมงและเข็มเคลือบ Super-LumiNova® สีส้มตามสีธีมของ Mido กระจกแซฟไฟร์เคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งด้านในและด้านนอก เพื่อให้สามารถเห็นหน้าปัดได้เด่นชัดจากทุกมุมมอง แต่งเอกลักษณ์ให้ไม่เหมือนใคร ด้วยการแกะสลักฝาหลังลายโคลีเซียมอย่างงดงาม พร้อมหมายเลขประจำเรือน ราคาเพียง 44,000.- บาท

พิเศษสุด! รับฟรีทันที! ของกำนัลอิมพอร์ตโดยตรงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับลูกค้าที่ซื้อนาฬิกามิโดรุ่นใดๆ ในงาน รับหมวกมิโดเบสบอล 1 ใบ และผู้ช้อปนาฬิกามิโดครบ 55,000 บาท จะได้รับกระเป๋าล้อลากสีดำใบเท่ 1 ใบ



www.newswit.com

พม. จัดงานมหกรรม ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองไทย เฉลิมพระเกียรติ

วันนี้(26ก.ค.)นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)กล่าวถึงการจัดงานมหกรรม” ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย” ว่า งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มีพระชนมายุครบ 80 พรรษา และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีพระชนมายุครบ 60พรรษา โดยในงานจะมีการแสดงขบวนวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมือง จาก 37 ชาติพันธ์ กว่า 1,500 คนที่มาร่วมใจทำ “พิธีทูลพระขวัญ” ซึ่งเป็นโบราณพิธีอันศักสิทธิ์ ที่มีความเชื่อเรื่อง 32 ขวัญในเรือนกาย มีอิทธิพล ก่อให้เกิดพลังชีวิตที่สมบูรณ์ เพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่อใต้ร่มพระบารมีของทุกพระองค์ ในผืนแผ่นดินไทย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “รวมใจชาติพันธุ์ไทย ใต้ร่มธงไทย ”โดยมีการรวมศิลปินดนตรีชนเผ่าพื้นเมือง พร้อมเล่นดนตรีด้วยเครื่องดนตรีในแบบฉบับภูมิปัญญาชนเผ่า เช่น การเป่าใบไม้ การดีด สี ตี เป่า ที่จะนำมาร่วมร้องบรรเลงเพลง ใต้ร่มธงไทย ส่วนกิจกรรมอื่นๆนั้น ภายในงานยังจัดให้มีมุมเสวนาในหัวข้อต่างๆ และการจำหน่ายสินค้างานหัตถกรรม จักสาน และอาหารชนเผ่าและอาหารพื้นเมือง ทั้ง 4 ภาคของประเทศ ทั้งนี้งานดังกล่าวจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 2-4 สิงหาคม 2555 ที่ฮอลล์ 6 อิมแพ็คเมืองทองธานี.

www.dailynews.co.th

ไอโอซี ผลาดขึ้นธงชาติแต่ยันไม่เกี่ยวการเมือง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 26 ก.ค. "ฌักส์ ร็อกก์" ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล(ไอโอซี) เชื่อ ความผิดพลาดในการขึ้นธงชาติเกาหลีเหนือในศึกฟุตบอลหญิงโอลิมปิก 2012 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เป็นเพียงความผิดพลาดของคนไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ในศึกดวลแข้งแม่เนื้ออ่อนนัดแรกของกลุ่ม จี เมื่อวันพุธที่ผ่านมาซึ่งเป็นเกมที่ เกาหลีเหนือ พบกับ โคลอมเบีย หวิดจะไม่ได้แข่งเนื่องจากฝ่ายจัดการแข่งขันทำให้ผู้เล่นสาว"โสมแดง"ไม่พอใจด้วยการเอารูปธงชาติเกาหลีใต้ขึ้นจอในช่วงแนะนำนักเตะแทนที่จะธงของเกาหลีเหนือ แต่สุดท้ายก็ตกลงกันได้ และก็เป็นแข้งสาวโสมแดงที่เอาชนะไป 2-0หลังจากความผิดพลาดดังกล่าว ร็อกก์ ก็ได้รีบออกมาแถลงเคลียร์ข้อข้องใจในทันทีโดยกล่าวว่า" ผมสามารถรับประกันได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานคณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ทำการแก้ไขแล้วและจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก เป็นเรื่องที่โชคร้ายอย่างยิ่งสำหรับสิ่งที่เกิดมันเป็นเพียงความผิดพลาดของมนุษย์ ไม่มีนัยยะทางการเมืองแต่อย่างใด"ด้าน อุม ชาง คณะกรรมการไอโอซีของเกาหลีเหนือก็ได้กล่าวว่า"แน่นอนมันต้องมีบางคนไม่พอใจ คิดดูแล้วกันถ้านักกีฬาของคุณขึ้นรับเหรียญทองและธงที่ถูกเอาขึ้นเสาเป็นของประเทศอื่นละ".

www.thairath.co.th

ฝ้าเพดานพัง ในศูนย์การค้าอยุธยาพาร์ค คนหนีวุ่น

เวลา 11.00 น.วันที่ 27 ก.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" ได้รับแจ้งเกิดเหตุฝ้าเพดานภายในศูนย์การค้าอยุธยาพาร์ค ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ทรุดตัวลงมา จึงเดินทางไปตรวจสอบพบบรรดาพ่อค้าแม่ค้าและประชาชน จับกุมมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยอาการตกใจตรวจสอบภายในศูนย์การค้าชั้นที่ 1 บริเวณลานโปรโมชั่น ซึ่งเปิดให้เช่าพื้นที่เปิดร้านจำหน่ายสินค้าร้านค้า มีเศษฝ้าตกกระจายอยู่ ฝุ่นตะหลบไปทั่วบริเวณ พบว่าฝ้าได้ทรุดตัวลงมาประมาณ 200 ตารางเมตร เจ้าหน้าของศูนย์การค้าได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชานออกจากพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุ โดยพบว่ามีสินค้าประเภทอาหารที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากมีเศษของแผ่นฝ้าตกลงไปในอาหารที่วางจำหน่าย มีผู้บาดเจ็บ 1 รายเกิดความตกใจจนเป็นลมได้ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลปลอดภัยแล้ว
ต่อมานายณรงค์ ด่านชัยวิโรจน์ นายกเทศมนตรีเมืองอโยธยา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของเทศบาลเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ นายณรงค์ กล่าวว่าเบื้องต้นจาการตรวจสอบพบว่าสาเหตุที่ฝ้าทรุดตัวลงมาเป็นฝ้าแขวนกับตัวอาคาร เพราะมีท่อแอร์ได้พังลงมาจนฝ้ารับหน้าหนักไม่ไหวเกิดรอยปริเจ้าหน้าที่ของศูนย์การค้าได้รีบแจ้งให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าเคลื่อนย้ายออกและกันประชาชนออกจากบริเวณดังกล่าวได้ทันมีเพียงสินค้าของร้านค้าต่างๆที่ได้รับความเสียหายบางส่วน
นายศิริพงษ์ นิลพฤกษ์ อายุ 32 ปี ประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่าขณะเกิดเหตุตนเองได้ยินเสียงประชาชนร้องส่งเสียงฝ้าจะพังแล้วจึงหันมองพบว่าฝ้าได้ทรุดลงมามีเสียงดังสนั่นเหมือนโดมิ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างพากันวิ่งหลบหนีกันจ้าละหวั่น ช่วงเกิดเหตุทางศูนย์การค้าเพิ่งจะเปิดจึงยังไม่มีประชาชนเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้า โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ทางด้านนางปราณี ด่านชัยวิโรจน์ รองประธานกรรมการศูนย์การาค้าอยุธยาพาร์ค กล่าวว่า ทางศูนย์การค้าอยู่ระหว่างการก่อสร้างปรับปรุงท่อแอร์ขนาดใหญ่ ได้เกิดหลุดออกมาจากตัวโครงอาคาร กระแทกกับตัวฝ้าเพดานทำให้รับน้ำหนักไม่ไหวฝ้าเพดานทรุดตัวลงมา จะเร่งดำเนินการซ่อมแซมบริเวณจุดเกิดซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 200 ตารางเมตร ให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน ส่วนพื้นที่อื่นของศูนย์การค้าไม่ได้รับผลกระทบสามารถเปิดบริการได้ตามปกติ ส่วนความเสียหายของสินค้าและร้านค้าทางศูนย์การค้ายินดีที่จะรับใช้ให้ทั้งหมดซึ่งพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าที่จำหน่ายอาหารที่ได้รับความเสียหาย



www.khaosod.co.th

สอบสวน รร.ปอเนาะ ปิดข่าว นร. ตาย

เหตุนักเรียนโรงเรียนปอเนาะพากันหนีออกจากโรงเรียน หลังเกิดเหตุร้ายกับเพื่อน ตำรวจสอบปากคำเพื่อนคนตาย ให้การอ้างรายที่เสียชีวิตเป็นเพราะจมน้ำ ด้านเจ้าของโรงเรียนปอเนาะระบุ ที่ไม่แจ้งตำรวจกรณีมีผู้เสียชีวิตเป็นเพราะ ครอบครัวผู้ตายต้องการนำศพไปทำพิธีทางศาสนา จากกรณีกรณีนักเรียนโรงเรียนปอเนาะอันฮารู้ลฮูลูม หรือ ปอเนาะคลองกำ หมู่ที่ 3 ต.คลองประสงค์ อ.เมือง จ.กระบี่ ประท้วงและหนีออกจากโรงเรียน อ้างไม่พอใจครูพี่เลี้ยงที่รุมทำร้ายเพื่อนนักเรียนที่หลบหนีออกจากโรงเรียน 2 คน จนเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บสาหัส 1 คน เหตุเกิดเมื่อวานนี้ ( 26 ) ซึ่งหลังเกิดเหตุนักเรียนและเยาวชนประมาณ 200 คน ได้พากันทยอยออกจากโรงเรียน

พ.ต.ต.ชาติชาย นาคปักษี พนักงานสอบสวนสภ.เมือง จ. กระบี่ กล่าวว่า ได้เรียกตัวนายอับดุลฮาลัม หะ อายุ 20 ปี ภูมิลำเนา จ.ยะลา ซึ่ง เป็นผู้ได้รับได้รับบาดเจ็บขณะหลบหนีออกจากโรงเรียนเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่าน มาสอบปากคำที่ สภ.เมืองกระบี่ โดยนายอับดุลฮาลัม ให้การว่า วันเกิดเหตุ ตนได้หลบหนีออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับเพื่อน 4 คน แต่ระหว่างที่หลบหนีโดยว่ายน้ำในแม่น้ำกระบี่ ตนและผู้ตายคือนายนายมะหะ มานิตาแยะ อายุ 20 ปี ได้เกิดหมดแรงจากการว่ายน้ำ ขณะเดียวกันเรือหางยาวที่ผ่านมา ได้มาช่วยนำขึ้นฝั่ง ส่วนเพื่อนที่หนีมาอีก 2 คน ได้หลบหนีไปได้ ส่วนตนและนายมะหะ คนขับเรือได้นำมาส่งที่ฝั่ง ซึ่งมีครูพี่เลี้ยงรอรับอยู่ แต่นายมะหะ มีอาการหนักจากการจมน้ำ ทำให้เสียชีวิตจากนั้นได้นำศพส่งโรงพยาบาลและส่งกลับบ้าน ส่วนตนได้กลับมาที่โรงเรียนและถูกทำโทษ โดยการถูกครูทำร้ายร่างกายด้วยการเตะเข้าที่ร่างกาย 3 ครั้ง และจากนั้นก็เรียนหนังสือปกติ แต่ระหว่างที่เรียนได้เกิดทะเลาะกับเพื่อนในโรงเรียนทำให้เกิดบาดแผลที่ศีรษะ และตามร่างกาย ทางโรงเรียนจึงได้นำส่งโรงพยาบาล พ.ต.อ.บุญทวี โตรักษา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า กรณีที่ไม่ได้มีการแจ้งความหลังจากมีผู้เสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ ต้องรอการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นก่อน และเตรียมที่จะดำเนินแจ้งความกับผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ ในข้อหา ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ เนื่องจากจากผู้เป็นเจ้าของไม่ได้แจ้งความให้เจ้าหน้าที่ในท้องที่ได้รับทราบ ก่อนที่จะนำศพไปส่งญาติทำพิธีทางศาสนา นายอัสนาวี สุคุระ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ปอเนาะบ้านคลองกำ หมู่ที่ 3 ต.คลองประสงค์ อ.เมือง จ.กระบี่

เพื่อสอบถามเรื่องราว ที่เกิดขึ้น นายอัสนาวี ได้เข้าพบกับนายอนุรักษ์ กิ่งเล็ก เจ้าของโรงเรียนปอเนาะคลองกำ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหลังเกิดเหตุ ทราบว่าขณะนี้ทางโรงเรียนประกาศปิดเป็นการชั่วคราว พร้อมประกาศแจ้งให้ผู้ปกครองมารับนักเรียนหลับบ้าน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น นายอนุรักษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สืบเนื่องจากมีนักเรียนที่เข้ารับการบำบัดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่3 จังวัดภาคใต้ ได้รวมตัวกัน เพื่อต้องการที่จะขออนุญาต กลับบ้านในช่วงเดือนรอมฎอน แต่ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้กลับ และหากใครต้องการลาก็จะต้องแจ้งให้ผู้ปกครองมารับตัวไป ทำให้ทางกลุ่มนักเรียน ไม่พอใจ จึงได้ก่อเหตุหลบหนี และเกิดเสียชีวิต ทำให้นักเรียนบางส่วนพากันหวาดกลัวเกรงจะเกิดเหตุร้าย ส่วนกรณีที่มีคนเสียชีวิต ยอมรับว่ามีจริงแต่มีเพียงรายเดียว และกรณีไม่ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เนื่องจากว่าทางครอบครัวผู้เสียชีวิต ต้องการที่ จะให้นำศพกลับภูมิลำเนาโดยเร็ว เพื่อทำพิธีทางศาสนา ซึ่งระหว่างทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เสนอให้ทำการชันสูตรศพ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง แต่ทางญาติก็ไม่ต้องการให้ชันสูตร และไม่ติดใจเอาความ จึงทำให้ไม่ได้ไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และหลังจากนี้จะเข้าให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป

breakingnews.nationchannel.com

พี่ชาย นิชคุณ โดยด่ายับหลังโพสต์ทวิต ไม่ห่วงคนเจ็บ

จากเหตุการณ์อุบัติเหตุขับรถชนมอเตอร์ไซค์ ของนักร้องหนุ่มบอยแบนด์วง 2PM สัญชาตไทย "นิชคุณ หรเวชกุล" โดยที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายเกาหลีกำหนด ล่าสุด ครอบครัวหรเวชกุลร่วมแสดงพลังให้กำลังใจ

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม "ณาณ" หรือ ณิชฌาน หรเวชกุล พี่ชายของนิชคุณ ได้โพสต์ภาพลงในทวิตเตอร์ ซึ่งในภาพมีทั้ง "ญาณิน" หรือนิธิกานต์ หรเวชกุล และ "เฌอรีน" หรือณัฐจารี หรเวชกุล ทั้ง 3 พี่น้องร่วมส่งกำลังใจให้กับนิชคุณ ด้วยการติดข้อความเรียงเป็นคำว่า "นิชคุณ" , "เลิฟ ยู" และ ไฟท์ติ้ง" นอกจากนี้ ยังโพสต์ข้อความระบุว่า "สิ่งที่เราจะทำได้ตอนนี้คือให้กำลังใจน้องชาย"

อย่างไรก็ตาม หลังการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไปสู่สาธารณะ ปรากฏว่าเกิดปฏิกริยาด้านลบขึ้น โดยบางส่วนเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเซ็นซิทีฟ ควรจะรอให้ผู้ได้รับบาดเจ็บฟื้นหรือดีขึ้นก่อนหรือไม่ การกระทำลักษณะนี้อาจจะมองข้ามความรู้สึกของครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บได้

ทันทีที่เกิดการตอบสนองในด้านลบขึ้นทำให้ "ณิชฌาน" ได้ขึ้นข้อความทวีตใหม่ว่า "ผมขออภัยต่อผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวของเค้า รวมทั้งชาวเกาหลีทุกคนหลังจากที่ได้ทวีตข้อความล่าสุดออกไป ผมเพียงแต่ต้องการจะให้กำลังใจน้องชายของผมเท่านั้น เพราะว่าตอนนี้เค้ารู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังอย่างมาก ทำให้ไม่ได้ตระหนักในบางความคิดที่ออกไปสู่ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ ดังนั้นผมต้องขอโทษด้วยครับ"

นอกจากนี้ ยังมีผู้อ้างตัวว่าเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอ้างว่าเห็น "นิชคุณ" เข้าไปยังร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อเครื่องดื่มอีกด้วย

"ผมคิดว่าเค้าคงรู้มา ว่าการดื่มน้ำสามารถช่วยลดระดับเปอร์เซนต์แอลกอฮอลล์ในเลือดได้" ในขณะที่พยานอีกคนระบุว่าเห็นนิชคุณเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อจริง แต่ไม่ได้ซื้อเครื่องดื่มแต่อย่างใด

ด้านสื่อทีวี tvN ทำรายงานพิเศษเกี่ยวกับข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม โดยมีการเข้าไปสัมภาษณ์เจาะลึกผู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว โดยบุคคลหนึ่งอ้างว่า "ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ นิชคุณก็ออกมาจากรถ เค้าคุกเข่าลงและมีน้ำตาไหล และเค้าทำท่าเหมือนกับกำลังสวดภาวนาอยู่" ในขณะที่อีกคนระบุว่า นักร้องหนุ่มดูตื่นตระหนกและดูไม่มีเรี่ยวแรง

นอกจากนี้ รายการดังกล่าวยังจี้ถามถึงประเด็นที่ว่าเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเพื่อลดระดับประมาณแอลกอฮอลล์ในเลือดด้วยว่า "ผมไม่รู้ว่านิชคุณได้ยินมาจากผู้จัดการหรือเปล่า แต่เค้าเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแล้วก็ซื้อน้ำดื่มมาหลังจากที่ตำรวจมาถึง แต่ผมก็เห็นว่าตำรวจเองก็เดินตามเค้าเข้าไปในร้านเช่นกัน จากนั้นก็วัดระดับแอลกอฮอลล์ทันที"

พยานอีกรายระบุว่า "ตอนนี้สถานการณ์ทั้งหมดจะชี้ไปว่าเป็นความผิดของนิชคุณ หลังจากที่เราพบว่าเค้ามีปริมาณแอลกอฮอลล์ในเลือดมากกว่าที่กำหนด แต่ตอนที่เห็นเหตุการณ์นั้นดูเหมือนว่าคนขับมอเตอร์ไซค์จะลุกขึ้นมาได้ แต่ทันทีที่เค้าเห็นว่าเป็นนิชคุณเค้าก็กลับล้มลงอีก"

ก่อนหน้านี้ ซีอีโอ เจวายพี เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ "ปาร์ก จิน ยอง" เคยเปิดใจพูดถึง "นิชคุณ" ผ่านทางรายการ Happy Together 3 ของสถานี KBS 2TV ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยบอกว่า หลังจากที่เอเจนซี่ได้คัดตัว นิชคุณ เข้ามา ตนตั้งข้อสงสัยทันทีที่เห็นเค้าว่าเค้าจะกลายเป็นนักร้องได้หรือ

"เมื่อครั้งแรกที่ผมเห็นทักษะการร้องและการเต้นของนิชคุณ ผมสงสัยขึ้นมาทันทีว่าเค้าจะพัฒนาได้หรือไม่ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเค้าเป็นเหมือนคนทำเงินหลักให้กับบริษัทเลยล่ะ" พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ทุกๆ คนรวมไปถึงตัวนิชคุณเองก็ยังสงสัยว่าเค้าจะดีบิวต์ได้หรือไม่



www.matichon.co.th


5 อย่างสำหรับบัณฑิตจบใหม่ควรรู้

คนทุกคนเมือสำเร็จการศึกษาใหม่ก็มีความจำเป็นที่ต้องหางานที่เหมาะสมกับตัวเองแล้วก็ต้องพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า สิ่งที่พวกเค้าควรรู้นั้นก็คือ

งานที่ถูกประกาศตามเว็ปอาจจะเป็นงานที่ไม่ดี : การหางานที่ดีๆ นั้นคุณอาจจะไม่ได้มาจากการที่คุณหาตามเว็บ แต่เป็นการที่คุณได้รู้จักผ่านทางเพื่อนหรื่ออาจารย์มากกว่า คุณอาจจะบอกเล่าว่าคุณอยากทำงานเกี่ยวกับอะำร สนใจงานไหน ชอบสิ่่งไหนไม่ชอบสิ่งไหน ถ้าหากพวกเขาได้รู้สิ่งเหล่านี้ เขาอาจจะได้เจอโอกาศดีๆจากที่ทำงานแล้วพาคุณไปพบกัยความใฝ่ฝันได้เป็นอย่างดีเลยที่เดียว

มองสิ่งอื่นที่เพิ่มจากการทำงาน: จากการเริ่มต้นทำงานอาจทำให้คนมากมายกลัวการที่จะต้องไม่อยากทำงาน หรือต้องทำเป็นเพียงเพราะการเงินเท่ามั้น แต่หารู้ไม่การที่เราได้ทำงานกับคนที่ดีๆ จะช่วยทำให้เรามีความสูขในการทำงาน อีกทั้งการที่เราได้ทำงานให้องค๋การที่มีประวัติดีๆ เราอาจจะทำงานอยู่ที่นั้นได้มากถึง 4 -5  ปีเลยก็ได้ มากไปกว่านั้นคือความมั่นคงทางการงาน

เวลาเท่ากับเงิน: การที่คุณเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เรืองการตรงต่อนเวลานั้นก็ไม่น่าจะเป็นห่วงซักเท่าไร แต่ถ้าการที่คุณทำงานแล้วมาสายตลอดก็อาจจะทำให้เงินของคุณหดหาไปได้ ควรจะมีควาเคราพต่อเวลาของคนอื่นเพื่อที่จะให้คยอื่นเคราพเวาลของคุณด้วย

ประสบความสำเร็จอย่างมั่นคง : คนก็คงเป็นคนหนึ่งที่เมื่อทำงานแล้วก็อยากมีตำแหน่งงานที่มั่นคง แต่คนก็ไม่ควรจะรีบเกินไปและก็ไม่ควรช้าเกินไป ควรก้าวไปอยากมีสมดุลย์ อย่าใจร้อนเกินไปเพราะจะทำให้คนเคลียด

รับผิดชอบการตัดสินใจของตนเอง : การตัดสินใจของคุณทุกครั้งก็คือการที่คุณมั่นใจที่จะเดินทางไปทางที่คุณเลือกอยู่แล้ว จงมีความสูงกับการตัดสินใจของคุณในแต่ละครั้ง รู้จักบาลานซ์งานกับชีวิต มองหาสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพ ความสำเร็จ เงิน และสร้างสิ่งเหล่านั้นให้มีความสมดุลย์กัน ก็พอ

 

ต้นสังกัด เบรกงาน นิชคุณ เจ้าตัวขอพักทบทวนตัวเอง

"เจวายพี" ออกประกาศเปลี่ยนแปลงกิจกรรมของ "นิชคุณ" หลังประสบอุบัติเหตุรถชน ขณะที่นักร้องดังได้ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ส่วนตัว "ขอโทษ" ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงแฟนๆ และคนเจ็บ โดยระบุขอเวลาพักทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น...จากกรณีที่นักร้องชื่อดัง นิชคุณ แห่งทูพีเอ็ม ประสบอุบัติเหตุขับรถยนต์โฟล์คสวาเกนชนรถจักรยานยนต์ จนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 24 ก.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) บริเวณสี่แยกถนนกังนัม ของเกาหลีใต้ หลังจากที่นักร้องดังร่วมงานเลี้ยงของบริษัทต้นสังกัด และได้ดื่มเบียร์ไป 2 แก้ว ส่งผลให้การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ 0.056% ทำให้เขาถูกระงับใบอนุญาตขับขี่นั้นเมื่อวันที่ 26 ก.ค.

ภายหลังที่นักร้องดัง นิชคุณ ได้โพสต์ข้อความขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนทวิตเตอร์ส่วนตัว ทางบริษัทต้นสังกัด เจวายพี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ได้ออกประกาศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นไปยังบริษัทเอเจนซี่ต่างๆ ความว่า

 บริษัท เจวายพี เอ็นเตอร์เทนเมนท์, ตามที่นิชคุณได้กล่าวแสดงความเสียใจย่างสุดซึ้งจากการกระทำผิดของเขาต่อผู้ที่รักเขาตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากนี้นักร้องดังขอใช้เวลาอยู่กับตนเองเพื่อทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะกลับมาพบกับแฟนๆ ทุกคนอีกครั้งด้วยหัวใจดวงใหม่ และปรับเจตคติให้สดใสขึ้นทั้งนี้ พวกเราเจวายพี จะเคารพการตัดสินใจของนิชคุณ ซึ่งส่งผลให้นิชคุณไม่สามารถเข้าร่วมงานคอนเสิร์ตเจวายพี เนชั่นที่มีกำหนดจัดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ และญี่ปุ่นราวเดือนสิงหาคมนี้ รวมถึงงานเจวายพีแฟนเดย์ ที่มีกำหนดจะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ ในส่วนของงานอีเวนท์ต่างๆ ที่มีการเซ็นสัญญาไว้ทางบริษัทฯ จะแก้ไขตารางงาน และให้ความร่วมมือย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ท้ายสุดบริษัทฯ ต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับศิลปินในหน่วยงานและเราจะยังคงเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นซ้ำอีก

อย่างไรก็ดี วันเดียวกัน นักร้องดังนิชคุณ ได้โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ส่วนตัวเพื่อขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงแฟนๆ และผู้ที่ติดตามเขาว่า ผมอยากจะเขียนจดหมายขอโทษสำหรับการกระทำดังกล่าวที่ขาดความรับผิดชอบไปยังบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บ, ครอบครัวของเขา, ประชาชนคนเกาหลี, แฟนคลับ, ครอบครัวเจวายพี และพนักงาน, เพื่อนสมาชิกทูพีเอ็ม และประชาชนทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ ผมทำลายกลุ่มคนที่รักผมและสนับสนุนผมมาตลอด ซึ่งเป็นความรักและการสนับสนุนที่ผมไม่ควรได้รับหากมีพฤติกรรมเช่นนี้ ผมรู้สึกว่าต้องใช้เวลาในการคิดทบทวนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของผม เพื่อให้ดีกว่านี้ และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ผิดพลาดซ้ำสอง ผมละอายใจอย่างแท้จริง ผิดหวังมาก และเสียใจอย่างสุดซึ้ง.

www.thairath.co.th

นิชคุณ ถูกต้นสังกัดพักงาน ทวิตขอโทษแฟนคลับ

จากกรณีที่ซูเปอร์สตาร์เกาหลีชาวไทย นิชคุณ หรเวชกุล ประสบอุบัติเหตุขับรถยนต์โฟล์คสวาเก้นชนกับรถมอเตอร์ไซค์ ระหว่างกลับที่พักหลังใช้เวลาร่วมรับประทานอาหารกับเพื่อนๆ ในสังกัด ซึ่งภายหลังตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของเขา 0.056 % สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด 0.05 % ได้ทำให้ซุปตาร์หนุ่มชาวไทย ที่โด่งดังอยู่ในเกาหลีใต้ต้องถูกจับกุมในคดีเมาแล้วขับ ล่าสุดได้มีข้อมูลเพิ่มเติมจากพยานในที่เกิดเหตุ โดยได้เปิดเผยถึงสิ่งที่เขาเห็นเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 24 ก.ค. 55 ที่ผ่านมาว่า เหตุที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นความผิดของนักร้องหนุ่ม แต่เพียงฝ่ายเดียว ''นิชคุณ'' กับคนขับรถมอเตอร์ไซค์ขับรถมาถึงบริเวณ 4 แยกจากคนละทางกัน ฝ่ายมอเตอร์ไซค์เป็นฝ่ายขับลงเนิน ส่วนนิชคุณขับขึ้นเนิน จนเมื่อมอเตอร์ไซค์เลี้ยวขวาจึงไปชนกับรถของนิชคุณเข้า พยานวัย 39 ปี ยังเล่าว่า การชนกันของรถทั้งสองคัน ทำให้รถของฝ่ายนิชคุณเป็นรอยขึ้นมา แต่หลังจากนั้นร่างของคนขับมอเตอร์ไซค์ยังกระเด็นไปชนกับรถของนิชคุณอีกเป็นครั้งที่สอง โดยชนเข้าที่บริเวณล้อด้านขวา ซึ่งคราวนี้ไม่ได้ปรากฏรอยอะไรให้เห็น ''เท่าที่ผมเห็นก็คือ ทั้งสองฝ่ายขับรถกันได้แย่มาก อุบัติเหตุไม่ได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายของนิชคุณแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ทั้งคู่ขับรถมาด้วยความเร็ว ถ้าหากแตะเบรกได้ทัน ก็คงหลีกเลี่ยงการชนกันไม่ได้อยู่ดี ผมคิดว่าเรื่องนี้คงกระทบกับภาพของนิชคุณไม่น้อย หวังว่าเขาคงจะไม่เสียหายมากเกินไปจากเรื่องที่เกิดขึ้น'' หลังเกิดอุบัติเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจและรถพยาบาลก็เดินทางมาถึงทันที ซึ่งพยานเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า ''นิชคุณ'' ดูจะรู้สึกเสียใจและตกใจมาก หน้าของเขาขาวซีดไปหมด เขาตกใจมากที่เห็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์นอนอยู่บนพื้น ส่วนข่าวลือที่ว่าได้เกิดการโต้เถียงระหว่างนิชคุณกับคู่กรณีขึ้นมา พยานคนนี้โต้แย้งว่าไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่เห็นว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการโต้ตอบกันแต่อย่างใด'' พยานที่เป็นผู้พาคนบาดเจ็บไปโรงพยาบาลยังบอกอีกว่า ''มีเลือดไหลออกมามาก เขาร้องครวญคราง และบอกว่าเจ็บบริเวณไหล่'' ต่อมาจึงมีการเปิดเผยว่า คนขับรถมอเตอร์ไซค์รายนี้ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหู กระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อบางส่วนได้รับความเสียหาย จึงต้องมีการทำ CAT สแกนและเอกซเรย์ ขณะนี้เขายังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะมีอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง และกระดูกไหล่ก็ร้าวจนขยับตัวไม่ได้ พยานวัย 39 ปี กล่าวทิ้งท้าย

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับข้อมูลจากทางฝ่ายคนขับรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งหากได้รับทราบข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็จะมีการลงไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุต่อไป ขณะที่ทาง JYP Entertainment ต้นสังกัดของนักร้องหนุ่มยืนยันว่า บริษัทจะช่วยดูแลรับผิดชอบทุกอย่าง เพื่อให้ผู้บาดเจ็บสามารถรักษาตัวจนหายกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่นักร้องซูเปอร์สตาร์ นิชคุณ หรเวชกุล ประสบอุบัติเหตุจากกรณีเมาแล้วขับที่เกาหลีใต้ คุณพ่อธีรเกียรติ กับ คุณแม่เย็นจิต หรเวชกุล ก็ได้บินด่วนไปหาตั้งแต่คืนวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อดูแลและให้กำลังใจลูกชายสุดหล่อ โดยการมีพ่อแม่คอยช่วยคิดคอยให้คำปรึกษา เชื่อว่าแฟนคลับก็น่าจะหายห่วงได้ในระดับหนึ่ง น่าจะเคลียร์ได้ไม่ยากเย็น แต่พี่ชายและน้องสาวยังคงติดซ้อมหนักงานละครเวทีเรื่อง วัน ฝัน ตื่น Audition ที่กำลังจะโชว์ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ เลยไม่สามารถบินไปเกาหลีใต้พร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ได้ ส่วนกำหนดบินกลับมาเมืองไทยของพ่อ-แม่ ''นิชคุณ'' นั้น ยังไม่มีกำหนดที่แน่นอน จากนั้นผู้สื่อข่าวก็ได้รายงานต่อไปว่า หลังจากที่ยังไม่มีใครติดต่อนักร้องคนดัง ''นิชคุณ'' หลังจากเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวได้นั้น ล่าสุดก็ได้พบข้อความจากทวิตเตอร์ของ ''นิชคุณ'' ที่ได้โพสต์ข้อความขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น

โดยมีข้อความว่า ''ผมขอเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อเป็นการแสดงความขอโทษจากการกระทำที่สะเพร่าของผม ต่อผู้บาดเจ็บ, ครอบครัวของเขา, ประชาชนในเกาหลี, แฟนๆ ของผม, ครอบครัวเจวายพีและทีมงาน, สมาชิก 2PM และทุกๆ คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมทรยศคนที่มอบความรักและกำลังใจให้กับผม ความรักและกำลังใจที่ผมไม่สมควรได้รับจากพฤติกรรมแบบนี้ ผมต้องการเวลาสักพักเพื่อทบทวนตัวผมและการกระทำของผม และเพื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น และจะไม่ทำความผิดซ้ำแบบเดิมอีก ผมรู้สึกละอายจริงๆ ครับ ที่ทำให้หลายๆ คนผิดหวัง และผมขอโทษอย่างสุดซึ้งครับ'' เช่นเดียวกับทางต้นสังกัดอย่าง JYP Entertainment ก็ได้ออกแถลงการณ์เช่นกันแล้วว่า ''นิชคุณ'' จะถูกพักงาน และไม่ได้รับการเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกต่อไป แต่ไม่ได้ระบุระยะเวลาที่ ''นิชคุณ'' จะถูกพักงาน ''นิชคุณรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งจากความผิดของเขาที่กระทำต่อทุกคนที่รักเขาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และเขาคิดว่าเขาควรจะใช้เวลาในการทบทวนตนเองก่อนที่จะกลับมาเจอแฟนๆ ทุกคนและสื่อต่างๆ อีกครั้งด้วยใจดวงใหม่และทัศนคติใหม่ๆ พวกเราเจวายพีจะเคารพความตั้งใจของนิชคุณ ซึ่งหมายความว่า นิชคุณจะไม่เข้าร่วมในตารางงานต่างๆ ที่กำหนดไว้ ทั้งคอนเสิร์ต JYP Nation ในเกาหลีและญี่ปุ่น ที่จะเกิดขึ้นในเดือน ส.ค. เช่นเดียวกับงาน JYP Fan''s Day ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้เช่นกัน สำหรับงานต่างๆ ที่เซ็นสัญญาไปแล้ว พวกเราจะทำอย่างดีที่สุดตามตารางงานที่กำหนดไว้ และจะทำงานร่วมกันอย่างดีที่สุดที่จะไม่สร้างความเสียหายและก่อให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีก พวกเราเสียใจอย่างสุดซึ้งต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากศิลปินในสังกัดของเรา เราจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ และจะระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก'' ข้อความจากแถลงการณ์ของบริษัทเจวายพี นอกจากนี้ ''ปาร์ค ซุก วอน'' โปรดิวเซอร์ใหญ่ของรายการ Idol Star Olympics ของทางสถานี MBC ของเกาหลีใต้ ได้เปิดเผยถึงกรณีอุบัติเหตุรถชนของ ''นิชคุณ'' จนต้องตัดบางส่วนในรายการที่มี ''นิชคุณ'' ออกไปทั้งหมดนั้นว่า ''นิชคุณได้ถูกจัดให้อยู่ทีมเดียวกับจียอน จาก T-ara ที่พวกเขาต้องเข้าร่วมแข่งปิงปองคู่ผสม แต่เพราะว่ามันไม่ใช่เกมการแข่งแบบตัวต่อตัว เราจึงไม่สามารถตัดเขาออกไปได้ นอกจากจะตัดทิ้งทั้งแมตช์ แต่คำสัมภาษณ์ส่วนตัวของนิชคุณจะถูกตัดออกทั้งหมด'' ปาร์ค ซุก วอน กล่าวในที่สุด

www.siamsport.co.th

ซิกน่า ประกันภัย ใจดี สร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ 2 หลัง

ซิกน่า ประกันภัย ในเครือซิกน่า เดินหน้ากิจกรรมเพื่อสังคมในประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิที่อยู่อาศัย ประเทศไทย สร้างบ้านให้แก่ผู้ยากไร้ จ.ระยอง จำนวน 2 หลัง พร้อมส่งมอบบ้านอย่างเป็นทางการ

แกรี่ เด็นสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พันธกิจหลักของกลุ่มซิกน่า คือ การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพที่แข็งแรง และความมั่นคงที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าของเราทั่วโลก ดังนั้น กิจกรรมเพื่อสังคมของซิกน่าจึงมุ่งเน้นทางด้านการเติมเต็มความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์

"ซิกน่ามุ่งเน้น 3 ด้านหลัก คือ การจัดหาน้ำสะอาด การสร้างที่พักที่ปลอดภัย และการสร้างชุมชนที่ยั่งยืน เพราะเป็นรากฐานของการช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง โดยซิกน่าให้การสนับสนุนหน่วยธุรกิจซิกน่าในทุกประเทศที่เข้าไปทำธุรกิจ ทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม"

สำหรับปี 2555 ซิกม่า ประกันภัย ตั้งใจที่จะสร้างบ้าน และมอบบ้าน 2 หลัง ให้แก่ผู้ยากไร้ในประเทศไทย เพราะซิกน่าตระหนักดีว่าการที่ครอบครัวหนึ่งมีโอกาสอยู่อาศัยในบ้านที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย รวมถึงได้มีโอกาสมีบ้านเป็นของตนเอง จะส่งผลให้มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น และรู้สึกถึงความมั่นคงในชีวิตและครอบครัวมากยิ่งขึ้น

ซิกน่า ประกันภัย จึงร่วมกับ มูลนิธิที่อยู่อาศัย ประเทศไทย คัดเลือกครอบครัวที่จะได้รับบ้าน 2 หลัง ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของมูลนิธิ จนได้พื้นที่ชุมชนใน ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีคนย้ายถิ่นฐานมารับจ้างทำงานในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทจึงตอบสนองด้วยการสนับสนุนการจัดสร้างบ้าน 2 หลัง ให้แก่ 2 ครอบครัว ได้แก่ ครอบครัวนายคิม เท้าพยุง ผู้มีอาชีพรับจ้างก่อสร้าง และ ครอบครัวนายวิแต้ม สีหะวงษ์ ผู้มีอาชีพเป็นพนักงานเก็บขยะของเทศบาลอำเภอบ้านฉาง ให้ได้รับการสนับสนุนการจัดสร้างบ้าน และมอบบ้าน 2 หลังในปีนี้

สำหรับปีนี้ บริษัทได้รับความร่วมมือจากพนักงานซิกน่า ในการร่วมแรงร่วมใจทำกิจกรรมที่หลากหลายและสร้างสรรค์ เพื่อหาทุนบริจาค ร่วมกับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายสินค้ามือสอง จำหน่ายขนม เครื่องดื่ม ต้นไม้ ฯลฯ ในส่วนของบริษัท ได้จัดกิจกรรมวันออกกำลังกาย และแข่งกีฬาประจำปี "Sport Day" เพื่อสมทบทุนเพิ่มเติม ถือเป็นกิจกรรมสร้างเสริมทั้งสุขภาพ ความสนุกสนาน และความสามัคคี ให้แก่พนักงานในองค์กรเป็นอย่างดี โดยมี "บอย" ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ดาราชื่อดัง ร่วมกิจกรรมสร้างบ้านด้วย



www.komchadluek.net

หลักกิโลเมตรใหญ่ที่สุด ซ่อนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไทย

นักท่องเที่ยวหรือคนที่ชอบขับรถเดินทางไปจะต้องรู้จักและคุ้นเคยกับหลักกิโลเมตรเป็นอย่างดี วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ พาทุกคนไปรู้จักอีกหนึ่งความเป็นที่สุดใน หลักกิโลเมตรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าซ่อนตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ

หลักกิโลเมตรในประเทศไทย เริ่มมีเป็นครั้งแรกในสมัยที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมๆกับการสร้างถนนพหลโยธิน โดยสมัยนั้นใช้กำหนดค่าบำรุงรักษาเส้นทางของกรมทางหลวง และยังใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการออกโฉนดที่ดิน หรือการเวนคืนที่ดิน หลักกิโลเมตรในประเทศไทย มีลักษณะเป็นเสาปูนสี่เหลี่ยม ยอดสามเหลี่ยมหรือพีระมิด ทาสีขาว ด้านหน้าที่หันออกถนนจะมีตราสัญญาลักษณ์ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น ตราครุฑ เป็นการดูแลของกรมทางหลวง

คนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆอาจเคยเห็นหลักกิโลเมตรขนาดใหญ่มโหฬารตั้งตระหง่านนอยู่ตามข้างทาง หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดต่างๆ ซึ่งหลักกิโลเมตรขนาดยักษ์ที่เห็น ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นเองโดยหน่วยงานหรือภาคเอกชนของจังหวัดนั้นๆ เพื่อทำเป็นสัญลักษณ์ให้คนผ่านไปมาสะดุดตาและจดจำได้ แต่ เสาหลักกิโลเมตรที่เป็นของทางราชการกรมทางหลวงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

โดยหลักกิโลเมตรที่เป็นของทางราชการกรมทางหลวงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ทางหลวงหมายเลข 213 ถนนจาก จ.กาฬสินธุ์ ไป จ.สกลนคร ที่เสาบอกว่าเป็นหลักกิโลเมตรที่ 21+750 อยู่ห่างจาก จ.กาฬสินธุ์ 113 กิโลเมตร และห่างจาก จ.สกลนคร 15 กิโลเมตร ความสูงประมาณ 2.50 เมตร ถือเป็นอีกหนึ่งความอัศจรรย์ และจัดเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สุดในไทยที่คนไทยควรไปสัมผัสสักครั้ง



www.dailynews.co.th


วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ลุ่มน้ำโขงศูนย์รวมทางเศรษฐกิจพอเพียง

ปัจจุบัน กลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) นับเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคมวัฒนธรรมที่สำคัญและใกล้ชิดที่สุดของไทย โดยเฉพาะความเป็นภาคส่วนสำคัญของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 จะทำให้กลุ่มประเทศ GMS ที่ประกอบด้วยประเทศกัมพูชา เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม จีน และไทย กลายเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลกมากยิ่งขึ้น การพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้ย่อมส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล และอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้ใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ทั้งภูมิภาคมีพลังงานใช้อย่างพอเพียงและมั่นคง โดยส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของชุมชนน้อยที่สุด ตัวอย่างของวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมล่าสุดของโลกที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก คือ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างไร้รูปแบบเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง และหิมะที่ตกผิดฤดูกาล เฉพาะอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภัยแล้งในกลุ่มประเทศ GMS เป็นประเด็นที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ เพราะแม้จะเกิดถี่ขึ้นคล้าย ๆ กัน แต่รูปแบบและช่วงเวลากลับแตกต่างกันอย่างมาก และยังไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลระหว่างกันและกันอย่างเพียงพอ

สำหรับประเทศไทยวันนี้ เรามีรูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและพลังงานชุมชนด้วย ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ให้ความสำคัญกับการดำรงชีวิตด้วยความพอเพียง การมีเหตุมีผล และความพอประมาณ (3 ห่วง) ภายใต้องค์ความรู้ และคุณธรรม (2 เงื่อนไข) เป็นการพัฒนาแนวคิดเชิงพุทธเศรษฐศาสตร์ (Buddhism Economics) อันว่าด้วยเรื่องของการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ ไม่เบียดเบียนกันและกัน และร่วมมือกันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น ได้ประสบผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนของไทย จึงได้รับการยอมรับจากผู้แทนกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ให้เป็นหลักสูตรหลักในการพัฒนาบุคลากรภาคพลังงานและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค โครงการ “พัฒนาทุนมนุษย์ในภาคพลังงานและสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคกลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS ปี 2555” โดยมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศร่วมกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาประเทศ (สพร.) กระทรวงการต่างประเทศ จึงได้บรรจุหลักสูตรว่าด้วยกรณีศึกษาสถานการณ์น้ำในประเทศไทย จะส่งผลกระทบอย่างไรกับกลุ่มประเทศ GMS เพิ่มขึ้นในภาคของสิ่งแวดล้อม โดยนำการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริและเศรษฐกิจพอเพียงมาถอดบทเรียนเป็นกรณีศึกษาแก่ผู้แทนระดับสูงจาก ภาครัฐและเอกชนจากประเทศกัมพูชา เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม จีน และไทย เพื่อเปลี่ยนวิกฤติน้ำให้เป็นโอกาสด้วยการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ กล่าวถึงการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการตามแนวพระราชดำริด้านการบริหารจัดการน้ำและพลังงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นต้นแบบและหลักสูตรในโครงการดังกล่าว ที่จัดขึ้นในประเทศไทย เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า “การน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมด้วยแนวทางการบริหารจัดการน้ำและพลังงานตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นกรณีศึกษาและถอดแบบเรียนแก่ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงนั้นเพราะเป็นหลักสูตรที่เหมาะสมกับพื้นที่และภูมิสังคมวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน มีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมสามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาค สำหรับกิจกรรมซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปนั้น นอกจากการที่ผู้แทนของกลุ่มประเทศ GMS จะได้ลงพื้นที่ดูโครงการตามแนวพระราชดำริหลายรูปแบบในพื้นที่ที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีโอกาสได้รับฟังการบรรยายเรื่อง กรณีศึกษาสถานการณ์น้ำในประเทศไทย จะส่งผลกระทบต่อ GMS อย่างไร? และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ โดย ดร.รอยล จิตรดอน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการถอดบทเรียนไปใช้ในแต่ละประเทศ” ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึงกรณีศึกษาสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ที่ได้เฝ้าดูและติดตามอย่างใกล้ชิดว่า “ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มสังเกตเห็นน้ำท่วมและภัยแล้งในพื้นที่เดียวกันเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ฝนตกหนักมาก มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2545 และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ระดับน้ำทะเลก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีในอีก 10 ปีข้างหน้า” ดร.รอยล ยังได้กล่าววิเคราะห์เปรียบเทียบประสบการณ์ของไทยว่าแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ใน GMS อาทิ ทางตอนใต้ของเวียดนามจะแตกต่างออกไปไม่เหมือนกรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯ ไม่ได้รับอิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่นและน้ำท่วมจากแม่น้ำโขงเหมือนทางตอนใต้ของเวียดนาม ฯลฯ ดร.รอยล สรุปว่าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนประยุกต์ตามแนวพระราชดำรินั้น จะใช้การบริหารจัดการน้ำและป่า เศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ ฯลฯ ที่อิงกับธรรมชาติของพื้นที่เป็นหลัก เพื่อใช้งบประมาณพอเหมาะ และไม่เบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ

ประชาชนในพื้นที่สามารถรับไม้ต่อไปบริหารจัดการกันเองได้ในชุมชน “การบริหารจัดการน้ำให้ได้ดีตามแนวพระราชดำรินั้น ต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคลังความรู้ การใช้ระบบสารสนเทศมาช่วยในการจัดการน้ำได้ดีขึ้น และที่สำคัญต้องรู้จักบริหารความเปลี่ยนแปลงให้เกิดประโยชน์สุขและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายอู มิน คะยอ (U Myint Kyaw) รองประธานคณะกรรมการพลังงาน และพลังงานทดแทน สมาคมวิศวกรพม่า ผู้แทนระดับสูงจากประเทศพม่า หลังจากที่ได้ศึกษาดูงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงในหลายพื้นที่ทุกภูมิภาคของไทย ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า “วิถีชีวิตแบบพอเพียงเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดของมนุษย์ เพราะความสุขจากความพอเพียงมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการพัฒนาที่แท้จริงแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนให้มีความแตกต่างน้อยลง เกษตรทฤษฎีใหม่ทำให้ประชาชนผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่มและที่พักอาศัยอย่างพอเพียงได้ด้วยตัวเอง ลดการพึ่งพา แต่สามารถเอื้อเฟื้อแก่คนอื่น ๆ ได้ด้วย” “วิถีชีวิตเรียบง่ายของเกษตรกรไทยในโครงการตามแนวพระราชดำรินั้นมั่นคง ปราศจากความกลัวหรือความกดดันที่จะต้องฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น และจะเป็นความยั่งยืนด้านทรัพยากรและการดำรงชีวิตของคนรุ่นหลัง” ศ.ดร.จีระ ได้กล่าวสรุปว่าโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวทางการบริหารจัดการน้ำและพลังงานตามแนวพระราชดำรินั้น ได้ผ่านกระบวนการ “เรียนรู้โดยลงมือทำ (Learning by Doing)” เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน จึงเป็นหลักสูตรที่ผู้แทนของกลุ่มประเทศ GMS ยกย่องและยอมรับ “การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการบริหารจัดการพลังงานมั่นคง สิ่งแวดล้อมยั่งยืนในกลุ่มประเทศ GMS โดยใช้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพและความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะการสร้างคุณภาพบุคลากรภาคพลังงานและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มประเทศ GMS จะนำมาซึ่งการพัฒนาอย่างมั่นคง และยั่งยืนในภูมิภาค”.

www.dailynews.co.th

ภัยธรรมชาติ ใต้ฝุ่น วีเซนเต ซัดปักกิ่ง-ฮ่องกง

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ถ้าสังเกตความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับข่าวคราวปัญหาเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะพบว่า สภาพอากาศแปรปรวนค่อนข้างผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายประเทศเกือบทั่วทุกมุมโลกต่างได้รับผลกระทบในเรื่องนี้กันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศไทยเอง เมื่อปี 2554 ที่เกิดมหาอุทกภัยน้ำครั้งใหญ่!!

ปัญหาเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทาง นสพ.เดลินิวส์ ได้ให้ความสำคัญเกาะติดมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคอยเตือนภัยให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ว่า เรื่องราวของธรรมชาติอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถึงแม้ไม่มีใครจะฝืนธรรมชาติได้ แต่มนุษย์ก็สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยธรรมชาติ อย่างน้อยก็ช่วยลดหนักให้เป็นเบา หรือใช้ชีวิตเอาตัวรอดให้ได้ ดังเช่นช่วงปลายปี 2553 ทางเดลินิวส์ ได้เคยร่วมกับภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย นสพ.เดลินิวส์, มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ, เว็บพลังจิต.คอม และมหาวิทยาลัยศรีปทุม ฯลฯ จัดสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง ’เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด“ มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมสัมมนาเป็นจำนวนมากไม่มีใครคาดคิดว่า พอช่วงปลายปี 2554 ประเทศไทยจะมาประสบกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!!

แต่เหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกันหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ที่เป็นข่าวใหญ่ ๆ ยังพอจดจำกันได้ ไล่ตั้งแต่ เดือน ก.พ. 54 เหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ 6.3 ริคเตอร์ ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์, เดือน มี.ค. 54 เกิดเหตุการณ์ช็อกโลก แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 9.0 ริคเตอร์ จุดศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือประเทศญี่ปุ่น ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิซัดถล่มหลายจังหวัดชายทะเล ประเทศญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 13,000 ศพ สูญหายอีก 15,000 คน และไร้ที่อยู่อาศัยอีกนับแสนคน ที่สำคัญส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์พังเสียหาย จนทำเอาคนทั่วโลกต่างขวัญผวาไปด้วย

เท่านั้นยังไม่พอ เดือน พ.ค. 54 ยังเกิดเหตุแผ่นดินไหวทั่วโลกอย่างต่อเนื่องมาตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศพม่า ความรุนแรงยังสั่นสะเทือนถึงประเทศไทย นอกจากนี้ยังมี “ภูเขาไฟกริมสว็อตน์” อยู่ใต้ธารน้ำแข็งวัตนาโยคุลล์ ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุด ประเทศไอซ์แลนด์ ได้เกิดการปะทุ เถ้าละอองจากปล่องภูเขาไฟพวยพุ่งระดับความสูงถึง 11 กม. ทำให้ต้องมีการประกาศเป็นเขตห้ามบินในรัศมีโดยรอบทุกทิศทาง 220 กม. ของทวีปยุโรป ขณะที่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เจอ พายุทอร์นาโด 13 ลูก พัดถล่ม 5 รัฐทางตอนกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นทอร์นาโดที่สร้างความสูญเสียมากที่สุดในรอบ 60 ปี

ปิดท้ายที่ประเทศไทย เริ่มจากช่วงกลางปี 54 มีพายุหลายลูกที่ถาโถมเข้าเล่นงานในเมืองไทยต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ต.ค. 54 ก่อนจะเกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ โดยมีการจดบันทึกพายุได้ทั้งหมด 5 ลูกคือ1. พายุไหหม่า 2. พายุนกเตน 3. พายุไห่ถาง 4. พายุเนสาด และ 5. พายุนาลแก เรียกว่าพายุทั้ง 5 ลูก ประชาชนชาวไทยน่าจะยังคุ้นเคยชื่อกันได้เป็นอย่างดี

ล่าสุดสื่อต่างประเทศ ได้รายงานข่าว พายุไต้ฝุ่น “วีเซนเต” (VICENTE) หมายถึงเมฆ ได้พัดถล่มกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงประเทศจีน จนทำให้เกิดฝนตกหนักสุดในรอบ 64 ปี ส่งผลทำให้น้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของปักกิ่ง เมื่อวันที่ 21-22 ก.ค. 55 บางพื้นที่พายุฝนถล่มตกยาวนานกว่า 14 ชั่วโมง ถือเป็นเวลานานที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสถิติเมื่อปี พ.ศ. 2494 ทำให้ต้องมีการอพยพประชาชนกว่า 30,000 คน ที่อยู่แถบเทือกเขาชานกรุงปักกิ่งไปยังพื้นที่ปลอดภัย และต้องสั่งยกเลิกเที่ยวบิน 475 เที่ยว
นอกจากกรุงปักกิ่งจะถูกเล่นงานแล้ว พายุไต้ฝุ่นวีเซนเต ได้พัดเข้าถล่มเกาะฮ่องกง เมื่อช่วงเช้าของ (วันที่ 24 ก.ค.) ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบ้านเรือนที่พักอาศัยและอาคารพาณิชย์ มีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว 120 ราย (บาดเจ็บสาหัส 15 ราย) เส้นทางการสัญจรทั้งทางบก น้ำและอากาศ ระบบขนส่งมวลชนต้องหยุดให้บริการชั่วคราว เที่ยวบิน 44 เที่ยวที่มีจุดหมายยังเมืองสำคัญในทวีปเอเชียถูกยกเลิก และมีการเลื่อนเวลาเที่ยวบินอีกกว่า 270 เที่ยว หลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้ทางการฮ่องกงออกประกาศเตือนภัยความรุนแรงของพายุไต้ฝุ่น ที่ระดับ 8 หลังพายุเริ่มอ่อนกำลังลงเล็กน้อย โดยเคลื่อนตัวไปทางตะวันตก มุ่งหน้าไปยังชายฝั่งตอนใต้ของประเทศจีน

หลายคนเห็นภาพน้ำท่วมเมืองหลวงของจีนและความเสียหายในฮ่องกงแล้วไม่วายคิดถึงการเตรียมพร้อมรับมือของรัฐบาลไทย ขณะนี้เดินหน้ากันไปถึงไหนแล้ว เพราะยังเห็นประชาชนออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องเงินค่าชดเชยกันไม่เลิก จึงคงอดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ ??

มาตรการรับมือน้ำท่วมของรัฐบาล ขณะนี้บรรดาหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับผิดชอบ ดำเนินการเป็นรูปธรรมเช่นไรบ้าง ??

ดังนั้นภัยธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศจีน จึงถือเป็นสัญญาณเตือนอย่างดีให้รัฐบาลรีบสำรวจความพร้อมเป็นการด่วน

พายุ “วีเซนเต”

ภายหลังจากพายุไต้ฝุ่นวีเซนเต มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 60 กิโลเมตร ทางทิศใต้ของเมืองมาเก๊า ประเทศจีน หรือที่ละติจูด 22.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งตอนเหนือเกาะไหหลำ (24 ก.ค. 55) และจะอ่อนกำลังลง ก่อนเคลื่อนตัวไปประเทศเวียดนามตอนบน ในวันที่ 25 ก.ค. นี้

กรมอุตุนิยมวิทยา จึงได้ประกาศเตือนภัย (ฉบับที่ 8) ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะส่งผลทำให้ประเทศไทย มีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ดังนี้คือ ในช่วงวันที่ 24-26 ก.ค. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม, วันที่ 24-27 ก.ค. ภาคเหนือ บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และช่วงวันที่ 25-27 ก.ค. ภาคตะวันออก บริเวณจังหวัดจันทบุรี ตราด ระนองและพังงา ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย พื้นที่ลุ่ม ใกล้ทางน้ำไหลหลาก บริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้

สำหรับในช่วงวันที่ 24-27 ก.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย



www.dailynews.co.th

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จตุพรเบิกความในศาล ปมโจทก์หนีเข้ารับการเกณฑ์ทหาร

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 กรกฎาคม ที่ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานจำเลยคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้าน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ 332 กรณีเมื่อวันที่ 29 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2553 จำเลยกล่าวปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดงและประชาชนที่รับชมสถานีโทรทัศน์ช่องพีเพิล แชนแนล กล่าวหาว่า โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีที่สั่งฆ่าประชาชน และหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร

วันนี้นายจตุพรขึ้นเบิกความด้วยตัวเองสรุปว่า ขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปลายปี 2551-พฤษภาคม 2554 ในคดีนี้พยานได้ปราศรัยถึงโจทก์รวม 2 วัน คือกรณีที่โจทก์หนีเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ใช้เอกสารเท็จเข้าเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย จปร. และการปราศรัยที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกี่ยวกับการป้องปรามโจทก์ไม่ให้ใช้กำลังปราบปรามประชาชน

นายจตุพรเบิกความว่า สำหรับเรื่องการหนีเข้ารับการเกณฑ์ทหารของโจทก์ ชายไทยเมื่ออายุครบ 17 ปี ต้องขึ้นทะเบียนเป็นทหารกองเกิน และเมื่ออายุครบ 20 ปี ต้องเข้ารับการตรวจเลือกเป็นทหารเกณฑ์ มีตัวอย่างที่ชัดเจนคือ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกรัฐมนตรี และองคมนตรี ที่หลังจากจบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านกฎหมาย ณ ประเทศอังกฤษ แล้วกลับมายังต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเมื่อ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ผบ.กรม (ขณะนั้น) ไปพบและสอบถามทราบว่า จบเนติบัณฑิตที่ประเทศอังกฤษ จึงนำตัวมาช่วยราชการที่กรม ดังนั้น ชายไทยทุกคนจะต้องรับใช้ชาติโดยการเกณฑ์ทหาร นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นแบบอย่าง การที่ไม่เข้ารับการเกณฑ์ทหารเป็นการแสดงออกถึงความไม่รักชาติ โดยเรื่องนี้พยานได้ตรวจสอบตั้งแต่เป็นโฆษกพรรคไทยรักไทยเรื่อยมา จนกระทั่งเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย

นายจตุพรเบิกความต่อว่า ในสมัยพรรคพลังประชาชนได้มีการเปิดผลการสอบสวนของจเรทหารบก เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 กรณีที่มีการร้องเรียนว่า โจทก์เลี่ยงการเกณฑ์ทหารและใช้เอกสารเท็จ มาเผยแพร่ เพราะพยานต้องการตรวจสอบ และตั้งคำถามต่อโจทก์ ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า ได้มีเลี่ยงเกณฑ์ทหาร และใช้เอกสารเท็จในการสมัครเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อย จปร.หรือไม่ เพราะผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีความสง่างาม และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนไทยได้ สอดคล้องกับจริยธรรมและกฎเหล็ก 9 ข้อ ที่โจทก์เคยพูดไว้ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อพยานสอบถามโจทก์ในเรื่องดังกล่าว แต่โจทก์ไม่ชี้แจงทั้งการอภิปรายในสภาและนอกสภา

นายจตุพรเบิกความต่อว่า พยานในฐานะชายไทยผ่านการเข้ารับตรวจเลือกการเกณฑ์ทหารแล้ว จึงมีประสบการณ์กับตัวเอง โดยเมื่อโจทก์เกิดวันที่ 3 สิงหาคม 2507 เมื่อมีอายุครบ 17 ปี ย่างเข้า 18 ปี โจทก์ต้องเข้ารับการขึ้นทะเบียนเป็นทหารกองเกินในปี 2524-2525 และโจทก์ต้องได้รับหมายเรียกเกณฑ์ทหารเมื่ออายุครบ 20 ปี ในปี 2527 และต้องเข้ารับการตรวจเลือกเกณฑ์ทหารในปี 2528 แต่ในปี 2524 โจทก์อ้างว่าไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ จึงไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นทหารกองเกิน รอจนกระทั่งเรียนจบจากในเดือนมิถุนายน 2529 โจทก์จึงไปขึ้นทะเบียนเป็นทหารกองเกินที่จะได้ใบ สด.9 ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 ในขณะที่โจทก์มีอายุ 22 ปี โดยสัสดีเขตพระโขนงเขียนเป็นลายมือให้โจทก์มารับใบ สด.9 ในเดือนมกราคม 2530 โจทก์จึงต้องเข้ารับเกณฑ์ทหารในวันที่ 7 เมษายน 2530 แต่วันที่ 7 เมษายน 2530 โจทก์ไม่ได้ไปเข้ารับการตรวจเลือกเป็นทหารเกณฑ์ โจทก์จึงเป็นคนขาดการตรวจเลือก การที่โจทก์ไม่ขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน เมื่อมีอายุครบกำหนดมีโทษจำคุกทั้งจำทั้งปรับ การที่โจทก์ไปขึ้นทะเบียน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 จึงเป็นการทำผิดกฎหมายแล้ว เพราะเป็นเวลาที่โจทก์เรียนจบจึงมาขึ้นทะเบียน โจทก์จึงไม่มีเหตุผลใด ขอผ่อนผันเกณฑ์ทหารได้อีก ตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497

นายจตุพรเบิกความต่อว่า จากรายงานการสอบสวนของจเรทหารบก ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 ปรากฏชัดเจนว่า โจทก์ไม่เคยได้รับการผ่อนผันหรือเคยเกณฑ์ทหาร แต่โจทก์ได้พยายามขึ้นทะเบียนทหารกองเกินในภายหลัง มีการประสานกระทรวงกลาโหมและโรงเรียนนายร้อย จปร. โดยมีการทำหนังสือจากกรมสารบรรณทหารบก (สบ.ทบ.) ทำเรื่องถึงโรงเรียนนายร้อย จปร.ให้รับโจทก์เป็นอาจารย์ และโรงเรียนนายร้อย จปร.ทำหนังสือตอบกลับ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2529 ให้โจทก์เข้ารับราชการ ต่อมาโจทก์ได้ไปเรียนใบสมัครเป็นอาจารย์ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 12 มกราคม 2530 แต่โจทก์ขาดหลักฐานสำคัญ โดยคนที่จะสมัครรับราชการทหาร หากมีอายุ 18-20 ปี ต้องมีใบ สด.9 หากอายุ 21 ปี ต้องใช้ใบ สด.9 ใบผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร (สด.41) หรือใบผ่านการเกณฑ์ทหาร (สด.43) ซึ่งขณะที่โจทก์สมัครเป็นอาจารย์นั้น มีอายุ 23 ปี จึงต้องใช้เอกสารดังกล่าว แต่โจทก์ไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร จึงไม่มีเอกสารประกอบการสมัคร ต่อมาวันที่ 9 เมษายน 2530 โจทก์มาเขียนใบสมัครใหม่อีกครั้ง แต่โจทก์ไม่สามารถใช้เอกสารหลักฐานได้แม้แต่เพียงชิ้นเดียว เพราะถ้าใช้ สด.9 ฉบับวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 โรงเรียนนายร้อย จปร.จะตรวจพบว่า โจทก์เป็นคนขาดการตรวจเลือกเกณฑ์ทหาร ในวันที่ 7 เมษายน 2530 เมื่อโจทก์ไม่เข้ารับการตรวจเลือกเอกสาร สด.43 จะถูกทำลาย อีกทั้งโจทก์ยังไม่ได้รับการผ่อนผันเกณฑ์ทหาร เพราะไม่ได้ไปศึกษาต่างประเทศ การอ้างเรื่องการศึกษาต่างประเทศของโจทก์ที่อ้างว่า ได้รับการผ่อนผันโดยใช้ใบรับรองของผู้ช่วยสัสดีกรุงเทพ ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2530 ซึ่งภายหลังกระทรวงกลาโหมมาตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2555 พบว่า เป็นเอกสารที่ผิดกฎหมาย เพราะผู้ที่จะอนุญาตได้จะต้องเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ เอกสารยังมีพิรุธหลายประการ พิมพ์ผิด แม้กระทั่งชื่อมารดาของโจทก์ วันขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน และเหตุผลที่อนุญาต ระบุตาม ม.29 (3) พ.ร.บ.รับราชการทหารฯ ซึ่งเป็นกรณีที่เรียนในต่างประเทศ หากเป็นกรณีศึกษาต่างประเทศ เช่น กรณีของโจทก์จะต้องใช้ ม.27 ซึ่งปัจจุบันคนลงนามอายุ 78 ปี เกษียณราชการแล้ว และเอกสารดังกล่าวยังขัดแย้งกับ สด.20 ที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์นำมาแสดง โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า เป็นเอกสารเท็จหรือไม่

นายจตุพรเบิกความต่อว่า นอกจากนี้ พยานตรวจสอบพบพิรุธอีกว่า เมื่อโรงเรียนนายร้อย จปร.รับบรรจุโจทก์ในวันที่ 20 ตุลาคม 2529 แต่ปรากฏว่า หลังจากนั้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2529 กลับมีชื่อโจทก์ขอลาไปศึกษาต่อต่างประเทศในปี 2530-2532 แต่ข้อเท็จจริงพบว่า โจทก์ได้ไปเขียนใบสมัครเป็นอาจารย์ในวันที่ 12 มกราคม 2532 ซึ่งถ้าไปเรียนต่อต่างประเทศจริง โจทก์จะมาเขียนใบสมัครได้อย่างไร ฉะนั้น เอกสารที่รับรองโดยผู้ช่วยสัสดีกรุงเทพและ สด.20 นั้น จึงมีข้อความที่เป็นความเท็จและผิดกฎหมาย และหลังจากโจทก์เขียนใบสมัครครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2530 หลังการตรวจเลือก 2 วัน ปรากฏว่า โจทก์ได้รับการเป็นข้าราชการพลเรือนทหารบกในวันที่ 7 สิงหาคม 2530 โดยที่โจทก์ยังไม่มีเอกสาร เพราะโจทก์ยังเป็นคนขาดการตรวจเลือกอยู่ดี และเอกสาร สด.9 ที่ใช้สำแดงจึงผิดกฎหมาย กระทั้ง วันที่ 7 เมษายน 2531 โจทก์ก็ยังเป็นคนขาดการตรวจเลือกเป็นปีที่ 2 ไปจนกระทั่งถึงปี 2536 ซึ่งมีอายุครบ 29 ปี

นายจตุพรเบิกความต่อว่า โจทก์ได้ไปขอใบ สด.9 ฉบับใหม่อ้างว่า ฉบับเดิมสูญหาย โดยมีการแก้ข้อความให้ ทั้งที่ความจริง เมื่อสัสดีพระโขนงพบโจทก์จะต้องจับกุมดำเนินคดีข้อหาหลบเลี่ยงไม่เกณฑ์ทหาร และพาตัวไปเกณฑ์ทหารจนครบกำหนด โจทก์จึงมีสิทธิเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย จปร. ซึ่งจากการผลการสอบสวนของจเรทหารบก ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 เห็นว่า มีผู้ร่วมกระทำผิดหลายคนแต่บางคนเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับนายพล จึงไม่สามารถลงโทษทางวินัยได้ แต่ลงทำได้เพียงลงทัณฑ์พันเอกหญิงคนหนึ่ง และให้ดำเนินคดีอาญากับสัสดี โดยเป็นการสอบสวนเพื่อเอาผิดกับข้าราชการผู้ให้ความช่วยเหลือโจทก์ แต่ไม่เน้นการดำเนินคดีโจทก์ เพราะอะไรพยานไม่ทราบ แต่ขณะนั้น มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วนโจทก์เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายจตุพรเบิกความต่อว่า เมื่อมีการบรรจุโจทก์เป็นข้าราชการพลเรือนทหารบก เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2530 เป็นผลมาจากการใช้ สด.9 อันเป็นเท็จ การบรรจุโจทก์เป็นว่าที่ร้อยตรี เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2531 ขึ้นทะเบียนเป็นทหารกองประจำการ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2531 และได้รับพระราชทานยศร้อยตรี เมื่อเดือนตุลาคม 2531 จึงได้มาจากเอกสารที่เป็นเท็จ และในวันที่ 5 กันยายน 2532 โจทก์ได้รับอนุมัติให้ลาออกจากราชการ อ้างว่าไปศึกษาต่างประเทศ ซึ่งขัดแย้งกับ สด.20 ที่อ้างว่า ได้รับการผ่อนผันไปศึกษาต่างประเทศในปี 2530-32 ซึ่งถ้าอยู่ต่างประเทศจะมาเป็นอาจารย์ได้อย่างไร และในระหว่างรับราชการทหาร 331 วัน โจทก์ปฏิบัติงานเพียง 110 วัน ลาเดินทางไปต่างประเทศถึง 221 วัน


นายจตุพรเบิกความต่อว่า คดีนี้พยานเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ และให้โจทก์ฟ้องร้อง เพื่อให้มีการพิสูจน์เอกสารในคดีนี้ และพฤติการณ์ของโจทก์ว่า มีเจตนาหลบเลี่ยงการเข้ารับการตรวจเลือกเกณฑ์ทหารหรือไม่ และใช้เอกสารเป็นเท็จเข้าสมัครเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย จปร.หรือไม่ ซึ่งการพิสูจน์ความจริงคดีนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ที่จะไม่มีใครหลบเลี่ยงการเข้ารับการตรวจเลือกเกณฑ์ทหาร

นายจตุพรเบิกความว่า กรณีการปราศรัย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 ที่หน้า กกต. เพื่อป้องปรามไม่ให้โจทก์ใช้กำลังปราบปรามประชาชน ดังเช่นกรณี สงกรานต์เลือด เมื่อเดือนเมษายน 2552 โดยพยานได้รับเอกสารจากนายทหารผู้หวังดีกับกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นเอกสารเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารในปี 2553 รวม 37 หน้า ซึ่งขณะนั้น มีการนัดหมายกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมกันในวันที่ 14 มีนาคม 2553 จึงได้พูดปราศรัยเพื่อป้องปราม เนื่องจากรู้สึกกังวลใจและมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ เกรงว่าจะมีการสร้างสถานการณ์คือ กรณีที่มีผู้ขับรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิเบียดเข้าขบวนรถยนต์ของโจทก์ แต่ปรากฏว่า ไม่มีการสอบสวนหรือดำเนินคดีกับผู้ขับรถยนต์ดังกล่าว รวมทั้งกรณีที่มีผู้ขับรถยนต์แท็กซี่มีสัญลักษณ์คนเสื้อแดงเบียดขบวนรถยนต์ของโจทก์อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีการสอบสวนและดำเนินคดีเช่นกัน พยานเห็นว่า อาจเป็นการเริ่มต้นการสร้างสถานการณ์ เพราะเมื่อเดือนเมษายน 2552 ในเหตุการณ์เผารถเมล์ 52 คน ปรากฏว่า ประจักษ์พยานทั้งคนขับรถเมล์ และพนักงานเก็บค่าโดยสารรวม 104 คน ไม่สามารถชี้ได้ใครเป็นคนปล้นและเผารถเมล์ แม้แต่เพียงรายเดียว รวมทั้งกรณีที่โจทก์อ้างว่า ถูกทุบรถยนต์ที่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 เหตุการณ์นำรถแก๊สจากสามเหลี่ยมดินแดงไปจอดเผาที่คิงส์เพาเวอร์ เหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่มัสยิด ถนนเพชรบุรี ซอย 5 และ 7 เหตุฆาตกรรม 2 ศพ ที่บริเวณนางเลิ้ง เหตุฆาตกรรมการ์ด นปช.ทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา 2 ศพ เหตุยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ใส่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เหตุวางระเบิดซีโฟร์ห่างศาลฎีกาสนามหลวง 200 เมตร เหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพยานสงสัยในเหตุการณ์เหล่านี้ จึงได้สอบสวนจนทราบว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ โดยพยานมีข้อมูลหลักฐานบางเรื่องที่สามารถตรวจสอบได้ อาทิ เหตุเผารถแก๊ส เผารถเมล์ ทุบรถยนต์โจทก์ที่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งผลการสอบสวนเหล่านี้ พยานได้นำไปอภิปรายในสภาด้วย



www.matichon.co.th

เดลี่เมล์-แฉกระบวนการค้าโหดลูกช้าง

วันที่ 25 ก.ค. นางสาวโซไรดา ซาลวาลา เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง เปิดเผย ในที่ประชุมสมัชชาองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมในเครือข่ายของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์เดลี่เมล์ ของประเทศอังกฤษ ลงข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง โดยมีแหล่งข่าวคือ นายมาร์ค ชาล ประธานมูลนิธิ elephant family เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ช้างป่าในประเทศไทย ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ เพราะทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกประชาชนทั่วโลกดูถูกอย่างมากเวลานี้

ขณะเดียวกัน นางสาวโซไรดาได้นำเนื้อหาในหนังสือพิมพ์มาแสดงให้ผู้สื่อข่าวดู โดยเดลี่เมล์ระบุว่า อุตสาหกรรมปางช้างในประเทศไทย ได้รับความนิยมมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าไปเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษมาเที่ยวปีละประมาณ 8 แสนคน และกิจกรรมยอดนิยม คือ การถ่ายรูปกับช้างแสนรู้ในปางช้าง แต่เบื้องหลังของรอยยิ้มนักท่องเที่ยวเหล่านั้น มีเรื่องน่าเศร้าอย่างมาก นั่นคือ มีการฆ่าช้าง และการทรมานลูกช้าง เพื่อนำมาฝึกแสดงให้นักท่องเที่ยวชม

เดลี่เมล์ยังระบุ อีกว่า ช้างส่วนใหญ่ที่นำมาแสดงจะเป็นช้างจากประเทศพม่า และมีลูกช้าง 50-100 ตัวต่อปีเป็นลูกช้างที่ถูกขโมยมาจากประเทศพม่า เพื่อรอเวลาเหมาะสมที่จะลักลอบเอาเข้ามาในประเทศไทย จากนั้นจะถูกนำไปไว้ในปางช้างตามแนวชายแดนของประเทศไทย และคาดว่ามีช้างอีกประมาณ 57 ตัว ถูกเคลื่อนย้ายมาไว้ในปางช้าง จ.สุรินทร์ เพื่อแสดงในงานช้างประจำปีของ จ.สุรินทร์ในเดือน พ.ย.นี้

นางสาวโซไรดา กล่าวด้วยว่า หลังจากเดลีเมล์ออกข่าวนี้ออกไป ปรากฏว่ามีชาวอังกฤษ โดยเฉพาะผู้ที่เคยมาเที่ยวดูปางช้างในเมืองไทย เข้าไปแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์จำนวนมาก รวมทั้งแสดงความไม่พอใจ ที่รัฐบาลไทยปล่อยให้มีการกระทำทารุณช้าง.



www.dailynews.co.th

บทความที่ได้รับความนิยม