วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พ.ร.บ.ปองร้ายประเทศไทย

แม้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติ 272 ต่อ 2 ให้เลื่อนญัตติร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ ... จำนวน 4 ฉบับ ที่เสนอโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิและคณะ 1 ฉบับ และของ ส.ส.กลุ่มเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย 1 ฉบับ นำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ส่วนอีก 2 ฉบับ เป็นของนายนิยม วรปัญญา ส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อมคณะ และของนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อมคณะ เข้าสู่การพิจารณาของสภา แต่สุดท้ายก็มีอันเป็นต้องเลื่อนออกไป เป็นวันที่ 6-7 มิถุนายน เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ปิดถนนสกัดกั้นมิให้ ส.ส.รัฐบาล เดินทางเข้าร่วมประชุมสภาในวันที่ 1 มิถุนายน เป็นผลสำเร็จ

สำหรับประเด็นข้อโต้แย้งที่สังคมควรมีส่วนร่วมพิจารณาไตร่ตรองก่อนลงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองฯ ได้แก่ 1) เป็นร่างกฎหมายที่มุ่งหวังลบล้างความผิดของบุคคลต่าง ๆ ในอดีต ทั้งที่บางคดีมีคำพิพากษาของศาลฎีกาจนถึงที่สุดแล้ว หรือไม่ 2) เหตุใดร่างกฎหมายจึงมีสภาพบังคับที่ไร้ขอบเขต ไม่มีคำนิยามที่ชัดเจนในเรื่องการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง นอกจากนี้การบัญญัติให้ผู้ได้รับผลกระทบจากประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูป มีความไม่ชัดเจน กินความกว้าง ครอบคลุมกระทบถึงองค์กรต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วอย่างไม่มีข้อจำกัด

3) เนื้อหาสาระก้าวล่วงถึงการล้มล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำลายระบบการถ่วงดุลตรวจสอบของศาล เพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง อย่างไร 4) ส.ส. และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลหลายคนได้รับประโยชน์ จริงหรือไม่ 5) พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลายมาตรา อย่างไร และ 6) แม้จะมีการประชุมร่วมระหว่างประธานสภากับประธานกรรมาธิการสามัญ 35 คณะ ลงมติว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่เป็น พ.ร.บ.การเงิน ซึ่งข้อเท็จจริงและกระบวนการพิจารณา กระทำถูกต้องชอบธรรมหรือไม่

ถึงวันนี้ ทุกคนทุกฝ่ายได้เห็นประจักษ์ชัดว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็เป็นชนวนสร้างความแตกแยกและความขัดแย้งการเมือง “2 ขั้ว” ในสังคมไทยอีกครั้ง เราเห็นว่า ด้วยเงื่อนไขของเวลา ความเหมาะสม และเพื่อสร้างบรรยากาศความปรองดองให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง สภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่า ส.ส.ฝ่ายค้านหรือ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ควรเปิดกว้างให้สังคมทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมพิจารณา ทำความเข้าใจประเด็นข้อโต้แย้งต่าง ๆ ให้ได้ข้อยุติเบื้องต้น ไม่เช่นนั้นกฎหมายฉบับนี้ต้องเป็น ร่าง พ.ร.บ.ปองร้ายประเทศไทย.



www.dailynews.co.th

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เสด็จออก ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำ ทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และคณะ เฝ้าฯในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมประชุม WEF ครั้งที่ 21 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม.

ธุรกิจการเมืองเลวร้าย ทำลายจุดแข็งประเทศไทย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพื่อท่านผู้อ่าน ฉบับนี้ประจำวันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2555.

สมเด็จพระ เทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ พล.ร.อ.สนธิ บุณยะชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรอง ผบ.ทร. ณ วัด เครือวัลย์วรวิหาร เวลา 17.00 น. วันอาทิตย์ที่ 3  มิถุนายน นี้

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเยาวชนประจำจังหวัดทุกจังหวัด ของ มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯเพื่อเยาวชนฯ ณ  ห้องประชุมศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย เวลา 14.00 น. วันนี้

 

ห้ามพลาด บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา และ บุญเกียรติ โชควัฒนา แถลงข่าว "การจัดงานแสดงสินค้าเครือสหพัฒน์ ครั้งที่ 16" ระหว่าง 28 มิ.ย.-1 ก.ค. โดยมี เวทิต โชควัฒนา, พิภพ โชควัฒนา, ธีรดา อำพันวงษ์ และ จันจิรา จันทร์โฉม มาร่วมงานด้วย ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันก่อน.

นายกฯ ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  กล่าวในที่ประชุม  เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัมฯ  ในการประชุมวันแรก เมื่อวันพฤหัสฯ ประเด็น การปรองดอง ในประเทศไทยว่า มีความคืบหน้าไปตามลำดับ การเมืองไทยมีเสถียรภาพ

 

ก่อนหน้า  ผู้นำหญิงคนแรก ของไทย พูดเป็นทางการในที่ประชุมเศรษฐกิจโลก  มีภาพ บันได ลิง พาดกำแพงด้านหลังรัฐสภา เตรียมพร้อม สำหรับสมาชิก และเจ้าหน้าที่ ปีนหนีม็อบ

 

เวลคัมแบ็ค พีระ พนาศุภน จัดปาร์ตี้แสดงความยินดีแก่ ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน-ดร.สฤต สันติเมทนีดล ที่ได้รับสิทธิทางการเมืองคืน โดยมี ดร.ต่อพงศ์ วัชรสวัสดิ์, อดิศักดิ์ พรรคพล, พล.ท.เสกศิษฐ์ นาคประสิทธิ์ และ ศรัณย์ ศรัณย์เกตุ มาร่วมดีใจด้วย ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค วันก่อน.

มีเครื่องกีดขวาง  มีลวดหนาม ล้อมกั้น ป้องกันม็อบ คัดค้านต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง แห่งชาติ บุกเข้ารัฐสภา  มี การชุมนุม ของประชาชนเป็นหมื่นๆ คน เคลื่อนไหว ปราศรัยต่อต้าน  การปรองดองแบบหักดิบ  อย่างร้อนแรง

 

ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีความวุ่นวาย ขัดขวางการทำหน้าที่ของ ประธานสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อันเนื่องมาจากพยายาม ใช้เสียงข้างมากหักดิบ ผ่าน ร่าง  พ.ร.บ.ปรองดอง  จน  ส.ส.หญิง ฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล  เกือบ จะตบกัน  ต้องพักประชุม  และยุติการประชุมก่อนเวลา

 

1=2 วิลาสินี พุทธิการันต์ และ ประวิทย์ จิตนราพงศ์ เปิดตัว AIS & BlackCanyon Coffee With U เพื่อเอาใจผู้ชอบกาแฟด้วยโปรโมชั่นซื้อ 1 ฟรี 1 ถึง 31 ก.ค. โดยมี สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ และ ม.ล.ปุญยนุช เกษมสันต์ มาร่วมงานด้วย ที่ร้านแบล็คแคนยอน เซ็นทรัล แกรนด์ พระราม 9 วันก่อน.

ครับ...คำกล่าวของ นายกฯยิ่งลักษณ์ ในห้องประชุม ผู้นำ ประเทศต่างๆว่า การปรองดองมีความคืบหน้าไปตามลำดับ กับปรากฏการณ์จริง ไม่สอดคล้องกันเลย เป็นหนังคนละม้วน


 

กับผู้สื่อข่าว นายกฯยิ่งลักษณ์ ตอบคำถามว่า ไม่ทราบร่าง  พ.ร.บ.ปรองดอง  มีบางส่วนละเมิดอำนาจฝ่ายตุลาการ ลบล้างคำพิพากษาของศาล หรือไม่  อ้างว่า ยังไม่ได้ศึกษารายละเอียด เป็นเรื่องของสภา

 

ทีโอเอจัดให้ ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ บอสใหญ่ทีโอเอ ควงภริยา ละออ มามอบเงินจำนวน 400,000 บาท ให้แก่ สราวุธ วัชรพล เพื่อสนับสนุนการจัดทำ เสื้อฟุตบอลยูโร 2012 สำหรับกอง บก. นสพ.ไทยรัฐ โดยมี ไกรสีห์ นาคประเสริฐ มาร่วมในพิธีด้วย ที่สำนักงาน นสพ.ไทยรัฐ วันก่อน.

ความเห็น “กระสุนทอง” เห็นใจ “คุณยิ่งลักษณ์” ถ้าไม่ได้เป็นนายกฯ แต่เมื่อเป็นนายกฯ  ต้องรับผิดชอบชะตากรรมของบ้านเมือง  ต้องมี ภาวะผู้นำ  กรณีความเป็นความตายของประเทศ กระทบโครงสร้างประเทศ จะอ้างว่า  ยังไม่ได้ศึกษารายละเอียด ได้หรือ หือ

 


www.thairath.co.th

จัดงานแถลงข่าวสัมผัสผลิตภัณฑ์เลอโนโวรุ่นใหม่ล่าสุด ยกขบวน

บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด ขอเรียนเชิญท่านหรือตัวแทนของท่านร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์เลอโนโวรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมหน่วยประมวลผลชั้นเลิศจากอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 3 (3nd Generation Intel® Core™ processors) โดยภายในงาน เลอโนโวยกขบวนหลากรุ่นหลากสไตส์ ครบทุกซีรี่ย์ รองรับครบทุกความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์เลอโนโวตระกูล ThinkPad Edge และ ThinkCentre ผลิตภัณฑ์ตระกูล IdeaPad และ IdeaCentre รวมถึง อัลตร้าบุ้ครุ่นใหม่ล่าสุดจากเลอโนโว อย่างเต็มรูปแบบให้ทุกท่านสัมผัสกันเป็นครั้งแรก

 

 

นอกจากนี้ เลอโนโว ร่วมกับ ไมโครซอฟท์ ได้พัฒนาอีกระดับของเทคโนโลยี Lenovo Enhanced Experience 3.0 for Windows 7 ซึ่งเป็นคุณสมบัติโดดเด่นและเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเลอโนโวให้คุณสัมผัสประสบการณ์ความเร็วในการบูทโดยเฉลี่ย ภายใน 24 วินาที ล้ำกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วๆไป กว่า 20 วินาที

โดยในโอกาสพิเศษนี้ คุณจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย เลอโนโว ประเทศไทย คุณศุภลักษณ์ สัปตตั้งตระกูล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็คทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมทีมงาน จะมาร่วมแนะนำผลิตภัณฑ์เลอโนโว พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกท่านได้สัมผัสประสบการณ์ผลิตภัณฑ์ของเลอโนโวรุ่นใหม่ล่สุดก่อนใคร พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆในบริเวณงาน


www.newswit.com

การปลูกชมพู่ยักษ์ไต้หวันในประเทศไทย

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2553 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานการเกษตรที่ไต้หวันร่วมกับคณะ ธ.ก.ส. ในการดูงานในครั้งนั้นผู้เขียนได้มีโอกาสไปเที่ยวชมตลาดขายพันธุ์ไม้ผลที่มีชื่อเสียงของไต้หวันซึ่งมีไม้ผลหลากหลายชนิดผู้เขียนได้ซื้อชมพู่มาต้นหนึ่งราคาต้นละ 500 เหรียญไต้หวันซึ่งเมื่อคิดเป็นเงินไทยประมาณ 500 บาท (ราคาแลกเปลี่ยนเงินตราเงินไต้หวันกับเงินไทยใกล้เคียงกัน) รายละเอียดที่ติดมากับชมพู่ต้นนั้นเป็นภาษาจีนและเมื่อแปลเป็นภาษาไทยชื่อว่า “ชมพู่น้ำหอมที่ใหญ่เท่ากับฝ่ามือ” และได้นำกิ่งพันธุ์ชมพู่ไต้หวันมาเลี้ยงให้ต้นเจริญเติบโตและได้นำยอดมาเสียบบนต้นชมพูพันธุ์ทับทิมจันท์ที่แผนกฟาร์ม ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จ.พิจิตร ได้ปลูกไว้เพื่อบริโภค 2 ต้น และมีอายุต้นประมาณ 5 ปี ได้เสียบยอดชมพู่ไต้หวันบนต้นชมพู่ทับทิมจันท์เพียงต้นเดียวเลี้ยงยอดชมพู่ไต้หวันที่แตกออกมาเป็นเวลาประมาณ 2 ปี และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้น เห็นว่าต้นชมพู่ไต้หวันแตกทรงพุ่มใหญ่เห็นว่าควรใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อบังคับให้ต้นชมพู่ออกดอกติดผลนอกฤดู ในการบังคับให้ต้นชมพู่ออกนอกฤดูนั้น ผลปรากฏว่าต้นชมพู่ได้ออกดอกมาเพียง 1-2 ช่อเท่านั้น ได้พยายามบำรุงรักษาเป็นอย่างดีเพื่อดูว่าผลชมพู่จะมีขนาดผลใหญ่จริงหรือไม่ ในขณะที่ต้นชมพู่เลี้ยงผลอยู่เพียง 1-2 ช่อนั้น พอเข้าเดือนมีนาคม 2555 ผลปรากฏว่าต้นชมพู่ไต้หวันที่เสียบไว้ทยอยออกดอกทั้งต้น ถึงทุกวันนี้เดือนพฤษภาคม 2555 ก็ยังมีดอกออกมา อาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาได้มีการฉีดพ่นปุ๋ยและฮอร์โมนสะสมมาโดยตลอด

หลังจากที่ห่อผลชมพู่ไต้หวันไปได้ประมาณ 25-30 วัน (โดยเริ่มห่อในระยะที่ผลชมพู่ถอดหมวกหรือผลใหญ่ขนาดนิ้วโป้ง) พบว่าผลชมพู่ไต้หวันที่เก็บเกี่ยวมานั้นมีขนาดของผลใหญ่กว่าชมพู่สายพันธุ์อื่น ๆ ที่ผู้เขียนพบมาโดยมีคุณสมบัติของผลดังนี้ “ผลมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักผลประมาณ 200 กรัม หรือ 5 ผลต่อกิโลกรัม ผิวผลมีสีขาวอมชมพูหรือสีชมพูอมแดง ลักษณะของผลเป็นรูประฆังคว่ำใหญ่ มีความกว้างของผลเฉลี่ย 7 เซนติเมตรและความยาวของผลเฉลี่ย 9-10 เซนติเมตร เนื้อหนามากและเป็นชมพู่ไร้เมล็ด รสชาติหวานกรอบมีความหวานประมาณ 11-12 บริกซ์ ถ้าผลผลิตแก่และเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้งจะมีความหวานสูงกว่านี้ จัดเป็นชมพู่สายพันธุ์หนึ่งที่ออกดอกและติดผลดกมาก” ทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรจึงได้ตั้งชื่อชมพู่ไต้หวันสายพันธุ์นี้ว่า “ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน”

การปลูกและการบำรุงรักษาชมพู่ยักษ์ไต้หวัน ก่อนอื่นมีคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับเกษตรกรที่จะปลูกชมพู่ยักษ์ไต้หวันในเชิงพาณิชย์ว่า ควรจะเริ่มต้นปลูกในพื้นที่เพียง 1-3 ไร่ก็พอแล้ว เนื่องจากชมพู่ยักษ์ไต้หวันมีการจัดการและบำรุงรักษาไม่แตกต่างจากชมพู่ทับทิมจันท์ การจัดการที่สำคัญคือการห่อผล ระยะปลูกที่แนะนำคือระยะระหว่างต้น 5 เมตรและระยะระหว่างแถว 6 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 50 ต้น เกษตรกรจะเลือกใช้กิ่งปักชำปลูกก็ได้ เนื่องจากต้นจะเจริญเติบโตเร็วและให้ผลผลิตเมื่ออายุต้นเพียงปีเศษเท่านั้น.


www.dailynews.co.th

หอการค้าอีสานชี้ สส.บู๊ในสภาฯทำภาพลักษณ์ประเทศยับเยิน

หอการค้าอีสาน ฟันธง ส.ส.บู๊ในสภาทำภาพลักษณ์ประเทศเสียหายเดือนละไม่ต่ำกว่า 1.3 หมื่นล้าน เผยฟังคำเตือนออง ซาน ซูจี ระบุประชาชนขาดความเชื่อใจบรรดา ส.ส.ที่เลือกเข้าไปทำหน้าที่บริหารงานประเทศ...

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ รองประธานหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือหอการค้าไทย กล่าวถึงเหตุ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์สร้างความชุลมุนในสภาฯว่า ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเป็นชนวนเหตุที่ทำให้รัฐสภาเกิดความวุ่นวายขึ้น พ.ร.บ.ฉบับนี้มีชื่อว่า พ.ร.บ.ปรองดอง แต่ในข้อเท็จจริงแล้วจะมีความขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา อีกประเด็นที่น่าสนใจคือผู้ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฉบับนี้คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการปรองดองออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนว่า เหตุผลที่ไม่สามารถเข้าไปพิจารณารายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ในที่ประชุมรัฐสภานั้นเนื่องจากมีคนห้ามไม่ให้เข้าที่ประชุม และกรณีที่ทางพล.อ.สนธิไม่สามารถที่จะชี้แจงรายละเอียด ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่าเกี่ยวกับการเงินหรือไม่ เพราะไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย จึงทำให้ประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวสารเกิดความสงสัยว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ตั้งใจที่ร่างขึ้นมาเพื่อความปรองดองจริงหรือไม่

อีกทั้งเหตุผลสำคัญคือร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถูกนำมาเสนอที่ประชุมสภาเพื่อพิจารณาไม่ตรงเวลา เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเศรษฐกิจโลก "World Economic Forum" ซึ่งเป็นการประชุมที่คนทั้งโลกที่เป็นนักลงทุนรวมถึงสื่อมวลชนและผู้นำประเทศทั่วโลก เดินทางมาร่วมการประชุมที่ประเทศไทย ฉะนั้นการที่มีการเปิดประเด็นเรื่องการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ในขณะนี้จนเกิดเป็นปัญหาความขัดแย้งกันเองของบรรดา ส.ส.ในสภา และมีการชุมนุมต่อต้านของกลุ่มมวลชน ทำให้ผู้ที่เข้ามาร่วมประชุมเศรษฐกิจโลกนั้นได้เห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมากจนเกินไป จนทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าถ้าหากไม่มีการนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองดังกล่าวมาพิจารณาในช่วงนี้ภาพที่ออกสู่สายตาคนทั่วโลกและภาพลักษณ์ความเสียหายจะน้อยกว่าที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้อย่างแน่นอน

นายทวิสันต์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาดังกล่าวนั้นมีอยู่ 2 ด้าน ผลกระทบด้านแรกคือผลกระทบต่อภาพลักษณ์รัฐสภาไทยในสายตาของคนทั่วโลกที่มอง ว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นประเทศไทยใช่ประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ ผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่แทนประชาชนเหตุใดถึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาพลักษณ์ของรัฐสภาไทยนั้นมองว่าแก้ไขได้ลำบาก และความเชื่อถือของประชาชนต่อระบอบประชาธิปไตยของไทยก็จะลดน้อยลง ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้เกิดกลุ่มมวลชนที่ไม่พอใจลุกฮือขึ้นต่อต้านระบอบประชาธิปไตยของไทยจนเกิดความวุ่นวายบานปลายขึ้นได้ เพราะขาดความเชื่อใจกับบรรดา ส.ส.ที่เลือกเข้าไปทำหน้าที่บริหารงานประเทศ

ส่วนผลกระทบอีกด้านคือผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เพราะวันนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้นประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจอย่างบอบช้ำมากพออยู่แล้ว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องของการแข่งขันด้านการตลาดต่างๆ กับประเทศคู่แข่ง เนื่องจากประเทศไทยมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน ทำให้ขณะนี้นักลงทุนในประเทศจำนวนมากคิดที่จะย้ายฐานผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่า และเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก็เชื่อว่าจะเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนที่กำลังลังเลใจว่าจะลงทุนในประเทศไทยดีหรือไม่นั้นตัดสินใจที่จะเลือกประเทศอื่นที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่าเป็นฐานการผลิตอย่างแน่นอน เพราะนอกจากประเทศไทยจะมีต้นทุนการลงทุนที่สูงกว่าแล้ว การเมืองภายในประเทศยังมีความขัดแย้งและไม่มีเสถียรภาพอีกด้วย

นายทวิสันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากภาพที่เกิดขึ้นในสภาแล้ว การชุมนุมของกลุ่มมวลชนนอกสภาเพื่อต้านการพิจารณา พ.ร.บ.ปรองดองอยู่ในขณะนี้ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศเดือนละไม่ต่ำกว่า 13,000 ล้านบาท และหากว่าเกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้น ทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจหอการค้าไทยประเมินว่าจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศเดือนละประมาณ 60,000-100,000 ล้านบาท ฉะนั้นร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวควรที่จะเลื่อนไปพิจารณากันในช่วงเวลาอื่นจะดีกว่า และวันนี้ยอมรับว่าความแตกแยกภายในประเทศนั้นมีมาก ซึ่งอาจจะส่งผลให้ความรุนแรงเกิดขึ้นตามมาได้อีก เพราะขนาด ส.ส.ซึ่งทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งประเทศยังมีความขัดแย้งกันอย่างที่เห็น ประชาชนทั่วไปจะขัดแย้งกันมากขนาดไหน

ทั้งนี้ คำพูดของนางออง ซาน ซูจี ซึ่งเป็นผู้นำประเทศพม่าและได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนเกี่ยวกับความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยว่า ประเทศไทยตอนนี้กำลังย้อนกลับไปเหมือนเช่นสมัยที่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทยในอดีตกำลังจะแตก ซึ่งคำพูดของนางออง ซาน ซูจี นี้ เป็นเรื่องที่น่าคิดและคนไทยทุกคนต้องระวัง เพราะเหตุการณ์กรุงศรีอยุธยาแตกในครั้งนั้น เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันของคนในประเทศ โดยเฉพาะเหล่าแม่ทัพนายกอง จนเป็นเหตุให้พม่าส่งไส้ศึกมาสืบความลับและเข้าตีเมืองจนแตก และหากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แล้วถือว่าใกล้เคียงกันอย่างมาก ฉะนั้นคนไทยต้องควรระวังเอาไว้ และควรที่จะยุติความวุ่นวายที่เกิดขึ้นและหันหน้าเข้าหากันยอมรับฟังความคิดเห็นของกันและกันได้แล้ว.

www.thairath.co.th

ยิ่งลักษณ์โวต่างชาติสนใจลงทุนในไทย

นายกรัฐมนตรี เผย ต่างชาติสนใจไทยเป็นจุดเชื่อมโยงอาเซียนถ่วงเศรษฐกิจภูมิภาคอื่น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน"ว่า ในการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออก (World Economic Forum on East Asia : WEF) เมื่อ 30 พ.ค.- 1มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เน้นว่าประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการเชื่อมต่อในภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทยก็มีการลงทุนในด้านการขนส่ง ซึ่งนักลงทุนก็ตอบรับค่อนข้างดี ขณะที่ในด้านของความแข็งแรงในกลุ่มอาเซียนเอง ในครั้งนี้ก็มีผู้นำในหลายประเทศมาร่วมประชุม และยืนยันความแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งสามารถตอบโจทย์ในระยะยาวในภาวะที่หลายประเทศมีปัญหา และประเทศไทยก็เป็นจุดศูนย์กลางอาเซียนที่จะเป็นประตูเชื่อมต่อไปสู่ภูมิภาคอาเซียน

"ความแข็งแรงของอาเซียน จะเป็นตัวตอบโจทย์เศรษฐกิจที่ขณะนี้มีความผันผวน ประเทศอาเซียนจะเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ไทยก็เป็นจุดศูนย์กลาง พร้อมเป็นจุดลงตัวในการลงทุน และวางเป็นประตูเกตเวย์ไปสู่อาเซียน"นายกรัฐมนตรี กล่าว

ประเทศไทยวางโครงสร้างการเชื่อมต่อรองรับอีก 3 ปีข้างหน้าเพื่อเปิดสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งประชาคมอาเซียนจะรวมตัวกันเพื่อรองรับการเคลื่อนย้าย เช่น ด้านแรงงาน และเริ่มมองเรื่องความมั่นคงด้านต่างๆ เช่น ความมั่นคงด้านอาหาร เช่น ข้าว แน่นอนการเปิดอย่างนี้ ประเทศไทยก็ต้องเตรียมความพร้อมให้ดี การเตรียมตัวในเรื่องพืชผลเกษตรที่ต้องแข่งขันกับเพื่อนบ้าน หรือแรงงานที่ต้องพัฒนาฝีมือแรงงาน

"นักธุรกิจให้ความสนใจประเทศไทย เพราะมีสิ่งที่มีสาธารณูปโภคต่างๆครบ ทุกคนชื่นชมว่าแรงงานไทยมีฝีมือ และประเทศไทยเอื้อต่อการทำธุรกิจ" นายกฯ กล่าว

ทั้งนี้ ไทยประสบความสำเร็จการเป็นเจ้าภาพการประชุมที่มีจำนวนนักธุรกิจระดับผู้นำของบริษัทชั้นนำของโลกตอบรับเข้าร่วมงานถึงกว่า 700 คนขณะที่กลุ่มอาเซียนที่จะก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ฉะนั้นความมั่นคงของประเทศอาเซียนจะส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอาเซียนด้วย



www.posttoday.com

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พบช่องว่างเอื้อนายหน้าหากินกับแรงงานพม่า

เปิดปมปัญหากระบวนการพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติ พบช่องว่างเอื้อนายหน้าหากินกับแรงงานพม่า

ถึงแม้ข่าวการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของออง ซานซูจี นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศพม่าจะเรียกเสียงฮือฮาให้กับสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปที่สนใจถึงความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงในประเทศพม่าได้ไม่น้อย แต่กระแสความฮือฮานั้นก็จะค่อยๆ จางหายไปเพียงชั่วข้ามคืนเมื่อการมาเยือนของอองซาน ซูจี เสร็จสิ้นลง ทิ้งไว้เพียงความจริงที่อยู่เบื้องหลังกระแสความฮือฮาเหล่านั้นคือพี่น้องร่วมชาติชาวพม่าของออง ซาน ซูจี ที่ดิ้นรนหลีกหนีความทุกข์ยากลำบากในประเทศของตนเพื่อมาแสวงหาหนทางที่ดีกว่าให้กับตนเองและครอบครัวในประเทศไทย

จากสถิติของกระทรวงแรงงานระบุอย่างชัดเจน ว่ามีจำนวนของแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมากถึงหนึ่งล้านสามแสนกว่าคน โดยเป็นแรงงานพม่ามากที่สุด ร้อยละ 82.1 รองลงมาคือ กัมพูชา และลาว ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ร้อยละ 9.5 และ ร้อยละ 8.4 ตามลำดับนอกจากนี้ยังมีแรงงานอีกจำนวนมากที่ลักลอบเข้าเมืองมาอย่างผิดกฏหมาย จนทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งจากนายหน้าและจากนายจ้าง หลายฝ่ายจึงระดมทางออกเพื่อช่วยแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นโยบายผ่อนผันให้กระทรวงแรงงานขยายเวลาดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ทั้งลาว กัมพูชา และพม่า ออกไปจนวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555 นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่รัฐบาลไทยใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเรื่องแรงงานข้ามชาติโดยการนำแรงงานที่อยู่ใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่บนดินอย่างถูกกฏหมายซึ่งหากนับระยะเวลาตามนโยบายของรัฐบาลไทยก็เหลืออีกไม่กี่สิบวันที่แรงงานข้ามชาติเหล่านี้จะต้องพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ : Migrant Working Group (MWG)จึงได้ร่วมมือกันลงสำรวจกระบวนการพิสูจน์สัญชาติของแรงงานข้ามชาติชาวพม่าว่ามีความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคในด้านใดบ้าง โดยศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดสมุทรปราการเป็นสถานที่แห่งแรกที่เครือข่ายได้ลงพื้นที่ทำการสำรวจ ซึ่งจากการลงสำรวจในครั้งนี้นั้นพบว่า ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดสมุทรปราการนั้นมีสถานที่ที่กว้างขวางหากแต่จำนวนของแรงงานที่เข้ามาใช้บริการในสถานที่แห่งนี้ยังมีจำนวนน้อย และกระบวนการในการออกเอกสารต่างๆและการประสานเพื่อให้ข้อมูลกับแรงงานนั้นยังเป็นไปอย่างล่าช้าอยู่

ทศพล สุมานนท์ หัวหน้าศูนย์กรมการจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการระบุว่าศูนย์พิสูจน์สัญชาติแห่งนี้สามารถรองรับจำนวนแรงงานได้วันละ 800 คน โดยมีเจ้าหน้าที่รองรับการทำงานด้านเอกสารทั้งหมด 8 -9 คน ซึ่งศูนย์มีหน้าที่ในการตรวจสอบเอกสาร ทร. 38 หรือใบอนุญาติทำงานใบสีชมพู และหนังสือขออนุญาติจากกระทรววมหาดไทยและเอกสารประกอบอื่นๆ ว่ามีความถูกต้องหรือไม่ เมื่อเอกสารทุกอย่างครบถ้วนเราก็จะจัดส่งให้กับสถานฑูตพม่าที่มาตั้งศูนย์อำนวยการอยู่ในตึกนี้ดำเนินการออกวีซ่าให้กับแรงงานเป็นขั้นตอนต่อไป

ขณะที่ตัวแทนเจ้าหน้าที่จากสถานฑูตพม่าซึ่งมาประจำการในการออกวีซ่าให้กับแรงงานในประเทศไทยนั้น เปิดเผยถึงกระบวนการทำงานของศูนย์ให้เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ: Migrant Working Group (MWG)ฟังว่า คณะทำงานที่มาจากประเทศพม่านั้นส่วนใหญ่มาจากบริษัทเอกชนที่ทำสัมปทานในการดำเนินการได้กับรัฐบาลพม่า ซึ่งพวกตนนั้นเป็นตัวแทนของบริษัท RMC GROUP ที่ประมูลงานนี้ได้โดยในแต่ละศูนย์พิสูจน์สัญชาติที่ไทยและพม่าประสานความร่วมมือนั้นก็จะมีบริษัทเอกชนในที่อื่นๆประมูลไปไม่ซ้ำกันซึ่งปัญหาในการทำงานของฝั่งพม่าที่มาประจำการในประเทศไทยนั้นคือกระบวนการในการส่งต่อและตรวจเอกสารที่เป็นไปอย่างล่าช้าเช่นกัน นอกจากนี้แล้ว เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ : Migrant WorkingGroup (MWG) ยังได้ลงสำรวจการพิสูจน์สัญชาติในศูนย์พิสูจน์สัญชาติเขตราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานคร เพิ่มเติมด้วยโดยแรงงานพม่าจำนวนหนึ่งได้สะท้อนให้เครือข่าย (MWG) ฟังว่าสิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับพวกเราคือกระบวนการในการประชาสัมพันธ์และการให้ข้อมูลทั้งจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่ารวมถึงในศูนย์พิสูจน์สัญชาตแต่ละแห่งเองก็ยังมีล่ามที่ให้ข้อมูลกับแรงงานไม่เพียงพอโดยเฉพาะในศูนย์พิสูจน์สัญชาติเขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร เครือข่าย(MWG) เองก็ยังพบว่าสถานที่คับแคบไม่เพียงพอต่อจำนวนแรงงานเองที่มารอพิสูจน์สัญชาติเป็นจำนวนมากซึ่งจากปัญหาที่มีอย่างมากมายหลากหลายนั้นทำให้แรงงานจำนวนมากต้องหันไปพึ่งนายหน้าให้ดำเนินการในการขอพิสูจน์สัญชาติให้

นายอดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ : Migrant Working Group (MWG) เปิดเผยภายหลังจากลงสำรวจศูนย์พิสูจน์สัญชาติทั้งสองแห่งแล้วเสร็จว่า "จากการที่ได้ลงสำรวจการทำงานของศูนย์พิสูจน์สัญชาติทั้งสองแห่งในวันนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าระบบการประสานงานในเรื่องข้อมูลของรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าเองยังมีปัญหาอยู่มากจึงทำให้เกิดปัญหาว่าศูนย์ที่มีพื้นที่น้อยแรงงานเดินทางมาขอพิสูจน์สัญชาติมากส่วนศูนย์ที่มีพื้นที่ในการให้บริการมากกลับมีแรงงานไปขอใช้บริการน้อยโดยเฉพาะในส่วนของประเทศพม่าเองที่เปิดให้บริษัทเอกชนมารับเป็นผู้ดำเนินการ ยิ่งจะทำให้การตรวจสอบข้อมูลในเอกสารนั้นอาจจะมีความเสี่ยงต่อความผิดพลาดและเป็นไปอย่างล่าช้าและทำให้เกิดกระบวนการหาผลประโยชน์กับแรงาน โดยแรงงานส่วนใหญ่ในวันนี้ให้ข้อมูลตรงกันว่าจะต้องใช้บริการจากนายหน้าที่คิดค่าใช้จ่าย 5,000 - 7,000 บาทต่อคนทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากถึงขนาดนั้นแรงงานบางคนทำงานอยู่ภาคใต้ยังต้องขึ้นมาพิสูจน์สัญชาติไกลถึงกรุงเทพ และหากกระบวนการยังเป็นแบบนี้ต่อไปตนเชื่อว่าไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติแรงงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24มิ.ย.ที่จะถึงนี้ได้"ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ : MigrantWorking Group (MWG)ระบุ

นายอดิศรยังได้แนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้กับรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าว่าควรจะมีการจัดโซนพื้นที่ว่าแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในจังหวัดใด ควรจะเข้ามารับการพิสูจน์สัญชาติที่ศูนย์ใดเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางของแรงงานข้ามชาติและเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับแรงงานพร้อมกันนี้รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าควรประสานงานกันในเรื่องของการออกเอกสารที่ยังมีปัญหายุ่งยากและซับซ้อนในหลายส่วน พร้อมกันนี้ยังเสนอให้ยืดระยะเวลาในการพิสูจน์สัญชาติออกไปอีกสามถึงสี่เดือนเพื่อให้การดำเนินการในการขอพิสูจน์สัญชาติขอแรงงานแล้วเสร็จได้อย่างทันท่วงที

 

 

 

 

 

 



www.posttoday.com

ม้ามืดตัวใหม่ในสายพานเศรษฐกิจ ครองขวัญ รอดหมวน

มิงกะลาบา เป็นภาษาพม่า แปลว่า "สวัสดี" ช่วงนี้คงต้องขออินเทรนด์เกาะกระแส "พม่าฟีเวอร์" ซะหน่อย เพราะตั้งแต่เมื่อ "อองซาน ซูจี" มา อะไรๆ ในประเทศไทยก็ดูจะอินกับเรื่องพม่าน่าดู ก็เพราะตอนนี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงสู้กระแสนี้ไปได้ เริ่มตั้งแต่เมื่อ "อองซาน" มาถึงเมืองไทยเพื่อร่วมงาน "เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม 2012" ว่าด้วยเอเชียตะวันออก สื่อมวลชนทั้งไทยและเทศก็โหมประโคมข่าวกันใหญ่โตมโหฬารดาวล้านดวงมากๆ ดังนั้นถ้าไม่เรียกว่า "พม่าฟีเวอร์" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
เพราะทันทีที่ "อองซาน" มาถึงเมืองไทยก็รีบไปเยี่ยมประชากรชาวพม่าที่มาอาศัยทำงานอยู่ในประเทศไทยที่ตลาดกุ้งสด สมุทรสาครทันที ท่ามกลางเสียงตอบรับของชาวพม่าอย่างมหาศาล ที่มาพร้อมกล้องถ่ายรูป ป้ายไฟภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งดอกไม้มารอต้อนรับ พร้อมทั้งตะโกนว่า "เมซู" แปลเป็นภาษาไทยว่า "แม่" ก่อนจะปรบมือรัวพร้อมตะโกนคำอวยพรขอให้อองซานสุขภาพแข็งแรง
ต้องบอกก่อนว่าทำไมทุกประเทศต้องให้ความสำคัญกับ "พม่า" มากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของอองซานในรอบ 24 ปี เพราะเรื่องนี้ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญอย่างมากหลังจากประเทศพม่าเริ่มเปิดประเทศรับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และดำเนินการปฏิรูปประเทศภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลพม่า และการเปิดประเทศของพม่าครั้งนี้ หลายประเทศจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศ "ไทย"
นั่นเพราะพม่าเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ ทั้งในแง่ของทรัพยากรทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ถือเป็น "ม้ามืด" ที่อาจเข้ามาแย่งชิงตลาดต่างๆ ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยก็ได้ ดังนั้นหากไทยยังไม่เร่งเครื่องดำเนินการอะไรซักอย่าง คงไม่วายได้เป็นมวยรองของพม่าเป็นแน่
การเติบโตด้านเศรษฐกิจของพม่า ที่เริ่มส่งสัญญาณชัดเจน คงดูได้จากมูลค่าการค้าในแถบชายแดน โดยจากข้อมูลการค้าในแถบชายแดนระหว่างไทยกับพม่าในปี 2554 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 151,100 ล้านบาท คิดเป็น 11.9% ของมูลค่าการค้าชายแดนรวม
การเปิดประเทศของพม่าครั้งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมตัวรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเริ่มอย่างเป็นทางการในปี 2558 และเรื่องนี้เองที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่า "พม่า" คือของจริงหรือไม่ พม่าจะสามารถใช้เวทีเออีซีในการหยิบฉวยหรือสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศของตนเองได้ดีแค่ไหน แต่สุดท้ายเชื่อว่าพม่าจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งแน่นอน ส่วนหนึ่งจะมาจากการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือของนานาชาติ จะเป็นปัจจัยหนุนและเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพลิกโฉมพม่าในยุคนี้
เห็นพม่ากำลังจะแข็งแกร่งและก้าวลงสู่สนามเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว พี่ไทยอย่างเราดูจะนิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะหากมองย้อนไปลึกๆ แล้ว ไทยเองไม่ได้เหนือกว่าพม่ามากนัก โดยเฉพาะในแง่ของทรัพยากรทางเศรษฐกิจ นั่นเพราะไทยมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจไปก่อนพม่า มีการใช้ทรัพยากรต่างๆ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปก่อนหน้าเป็นจำนวนมากแล้ว เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ไทยจึงต้องหาทางตั้งรับอย่างถูกวิธี และคอยรุกอย่างมีชั้นเชิงด้วย
โดยเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหน้าที่ของกรมศุลกากรที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการตั้งรับและคอยรุก และต้องยอมรับว่ากรมศุลกากรไม่ได้นิ่งนอนใจจริงๆ เพราะทันทีที่ตัวเลขการค้าในแถวชายแดนฝั่งพม่าเริ่มขยายตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ ไทยก็เตรียมฉวยโอกาสนี้ทันที โดยเรื่องนี้ "นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากร" ระบุว่า ขณะนี้กรมศุลกากรได้จัดหาพื้นที่ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวร เพื่อเชื่อมต่อการค้าชายแดนไทยกับพม่าให้เพิ่มมากขึ้น
สำหรับการเตรียมความพร้อมของกรมศุลกากร ถือเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บของไทยได้อีกทางหนึ่ง ด้วยเพราะการเติบโตของการค้าในแถบชายแดนไทยพม่าในอนาคตอาจกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่ช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งเหนือพม่าอยู่ได้ และเมื่อรวมกับจุดอ่อนของพม่าที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาหรือแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่องปัญหาระบบธนาคารพาณิชย์ของพม่าที่ยังไม่เป็นสากลและยังไม่มีแนวโน้มที่จะพัฒนา เนื่องจากพม่าควบคุมระบบการหมุนเวียนของเงินตราอย่างเข้มงวด เนื่องจากปัญหาความไม่มั่นคงในพื้นที่ รวมถึงปัญหาการแลกเปลี่ยนสกุลเงินจัตกับเงินบาทไทยที่ยังไม่เป็นที่นิยม ประกอบกับการซื้อขายสินค้าต้องกระทำด้วยการใช้เงินสดเท่านั้น จึงทำให้พม่ายังไม่คล่องตัวมากนักในเรื่องการเงิน
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงปัญหาเรื่องความเสี่ยงทางการค้าที่ผู้ประกอบการจากนอกพื้นที่ไม่กล้าเสี่ยงที่จะเข้ามาทำการค้า เนื่องจากระบบการค้าแบบเงินสด และความไม่แน่นอนทางการค้าของผู้ประกอบการฝั่งพม่า ทำให้เป็นเพียงการค้าเฉพาะคนในท้องถิ่นเท่านั้น และจากปัจจัยลบของพม่านี้ที่จะเป็นตัวเสริมสำคัญที่ทำให้ "ไทย" ยังผงาดอยู่ในตลาดอาเซียนได้อย่างเฉิดฉาย ยิ่งเมื่อรวมกับภูมิประเทศของไทยที่เป็นจุดศูย์กลางอาเซียน เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงการค้าขายทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ถือว่ายังเป็นข้อได้เปรียบอยู่มาก
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตไปไกลกว่าพม่าเท่าใด แต่ถ้าหากพี่ไทยยังนิ่งเฉย มองคู่แข่งอย่างประมาท โอกาสในการก้าวพลาด โดยประเทศนอกสายตาอย่าง "พม่า" ก็เป็นได้ ดังนั้นไม่ว่าประเทศไทยจะพัฒนาไม่ว่าจะในด้านใดไปไกลแค่ไหน ก็นิ่งนอนใจไม่ได้ เรายังจำเป็นต้องพัฒนาไปข้างหน้าอยู่เสมอ.

www.thaipost.net

ซูจี–แย่งซีนประเทศไทยรวมอาเซียนเริ่มเสี่ยง

การประชุม เศรษฐกิจโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออก หรือ World Economic Forum on East Asia 2012 งานใหญ่ระดับโลกที่ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยเป็นเจ้าภาพจัดตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม และจะปิดการประชุมในวันนี้ ต้องบอกว่า การประชาสัมพันธ์อ่อนมาก จนคนไทยและสื่อไทยแทบไม่รู้ข้อมูลอะไรมากนัก นอกจากรู้ว่ามีการประชุม และมีผู้นำบางชาติเข้าร่วมการประชุมวันแรกยังถูกข่าว กฎหมายปรองดอง และ การชุมนุมต่อต้านของกลุ่มพันธมิตร กลบความสำคัญไปจนหมด

นอกจากนี้ยังถูก นางออง ซาน ซูจี หัวหน้าพรรคเอ็นแอลดี ซึ่งเป็น ส.ส.ฝ่ายค้านพม่า เดินทางมา “แย่งซีน” ไปหน้าตาเฉย สื่อใหญ่ทั่วโลกต่างส่งนักข่าวมือดีบินมาทำข่าว นางซูจี ซึ่งเดินทางออกนอกประเทศพม่าเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี จนแทบจะลืมเรื่องการประชุมในไทยไปเลย

เมืองไทยเลยกลายเป็น เวทีหาเสียงทางการเมือง ของ นางซูจี ไปโดยปริยาย เพราะจุดแรกที่ นางซูจี เดินทางไปเยี่ยมเมื่อมาถึงไทยก็คือ ตลาดมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ที่มีแรงงานพม่ากว่า 2-3 แสนคน แทบจะกลายเป็น จังหวัดพม่า ไปแล้ว โดย นางซูจี ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยกับแรงงานพม่า จะนำเรื่องค่าจ้างแรงงานพม่าหารือกับรัฐบาลไทย และจะนำแรงงานพม่ากลับบ้าน ซึ่งแรงงานพม่าในไทยทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ว่ากันว่ามีไม่ต่ำกว่า 3-5 ล้านคน

ความจริง นางออง ซาน ซูจี ไม่ได้เป็นแขกเชิญของรัฐบาลไทย แต่เป็นแขกเชิญของฝ่าย World Economic Forum ที่เชิญเข้าร่วมประชุมแขกเชิญของรัฐบาลไทย คือ ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ผู้นำพม่า ซึ่งเชิญไปล่วงหน้าก่อนที่ WEF จะเชิญ นางออง ซาน ซูจี และ ผู้นำพม่า ก็ตอบรับเข้าร่วมประชุมแล้ว โดยมี ผู้นำอาเซียน 5 ชาติ ตอบรับเข้าร่วมประชุม รวมทั้ง ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ด้วย

แต่เมื่อ WEF เชิญ นางออง ซาน ซูจี มาร่วมประชุมด้วย ทำให้ ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ตัดสินใจไม่มาร่วมประชุม แต่เลื่อนการเดินทางมาเยือนไทยเป็นวันที่ 4-5 มิถุนายนแทน เพื่อร่วมลงนามในสนธิสัญญาหลายด้านระหว่างไทยกับพม่าก็ต้องชมสปิริตของ ผู้นำพม่า ที่ไม่ทำให้ประเทศไทยลำบากใจ ลองนึกดู ถ้า ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และ นางออง ซาน ซูจี มาเมืองไทยพร้อมกัน คนแรกเป็นแขกรัฐบาล มีการต้อนรับใหญ่โตสมเกียรติ คนหลังเป็นแขกของ WEF รัฐบาลไทยให้การต้อนรับแบบ ส.ส.พม่าธรรมดา ท่ามกลางสื่อทั่วโลกที่มาทำข่าว เมืองไทยคงถูกสื่อต่างชาติวิจารณ์แหลกแน่นอน

หัวข้อการประชุม WEF ในครั้งนี้คือ Shaping the Region’s Future through Connectivity หรือ “กำหนดอนาคตของภูมิภาคด้วยการเชื่อมโยงทุกด้าน”

ฟังดูเผินๆก็น่าจะดี เพราะ อาเซียน 10 ชาติ กำลังจะเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียวคือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่ วิกฤติการเงินยุโรป ที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเห็นด้วยกับ ประธานาธิบดี สุสิโล บัมบัง ยุดโฮโยโน ผู้นำอินโดนีเซีย ที่ออกมาเตือนว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไม่ควรจะเชื่อมโยงเศรษฐกิจเข้าด้วยกันมากเกินไป เดี๋ยวจะเป็นอย่างยุโรปประเทศเล็กๆอย่าง กรีซ ที่มีประชากรแค่ 11 ล้านคนพัง ก็ยังพาเอา เศรษฐกิจยุโรปอีก 16 ประเทศ ที่มีประชากรกว่า 500 ล้านคนพังไปด้วย

การรวมตัวเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงไม่ควรมองแต่ “ผลดี” ด้านเดียว “ผลเสีย” ก็มีไม่น้อย ถ้าเศรษฐกิจการเงินผูกพันมากเกินไปเหมือน “ยูโรโซน” เพื่อนเจ๊งก็ต้องเจ๊งด้วย ผมว่าอยู่กันอย่างเพื่อนที่เอื้ออาทรกันในทุกด้าน จะดีกว่ารวมกันทุกเรื่องเยอะเลย รัฐบาลไทย น่าจะนำไปตรองดู.



www.thairath.co.th

เฟดเอ็กซ์ ร่วมกับ มูลนิธิเซฟคิดส์ ประเทศไทย จัดกิจกรรม Walk This Way Safety Day

ความปลอดภัยของเด็กเวลาเดินบนท้องถนนเป็นสิ่งที่บริษัท เฟดเอ็กซ์ เอ็กเพรสเล็งเห็นถึงความสำคัญและมุ่งจัดกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัยสำหรับเด็กบนทางเท้าในเขตกรุงเทพฯ เป็นปีที่สองแล้ว ซึ่งเฟดเอ็กซ์ร่วมกับมูลนิธิ เซฟคิดส์ ประเทศไทย จัดกิจกรรม Walk This Way Safety Day ณ. โรงเรียนกิ่งเพชร โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 คน ทั้งบุคคลสำคัญจากภาครัฐ ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และอาสาสมัครจากเฟดเอ็กซ์

 

 

โครงการ Safe Kids Walk This Way เกิดจากความร่วมมือระหว่างเฟดเอ็กซ์ และ มูลนิธิเซฟคิดส์ ประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุมชนทั่วประเทศให้ปลอดภัยสำหรับเด็กในการเดินทางบนท้องถนน ผ่านกิจกรรมต่างๆของโครงการโดยเน้นความปลอดภัยในการเดินเท้าของเด็กเป็นหลัก ซึ่งโครงการดังกล่าวมีขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2554 โดยในขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,000 คน

เดวิด คาร์เด็น กรรมการผู้จัดการบริษัทเฟดเอ็กซ์ เอ็กเพรส ประเทศไทยและอินโดจีน กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เด็กทุกคนตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นบนท้องถนน โดยเฉพาะเส้นทางที่เด็ก ๆต้องใช้เป็นประจำ และเส้นทางเดินกลับจากโรงเรียน” มร. คาร์เด็น ยังกล่าวอีกว่า “ผมรู้สึกภูมิใจและต้องขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ทั้งหมด โดยเฉพาะอาสาสมัครของเฟดเอ็กซ์ สำหรับการสนับสนุนเป็นอย่างดี กิจกรรม Walk This Way เป็นตัวอย่างที่ดีของชุมชนในการร่วมมือกันให้ความรู้แก่เด็ก ๆ อีกทั้งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับพนักงานเฟดเอ็กซ์ที่จะได้อุทิศตนเพื่อชุมชน”

ด้วยการสนับสนุนของ เฟดเอ็กซ์ ทำให้มูลนิธิเซฟคิดส์ ประเทศไทย ดำเนินกิจกรรมด้านการศึกษาและส่งเสริมการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีได้มากมาย และโครงการนี้ยังสร้างประโยชน์อื่น ๆ ต่อชุมชน เช่น



www.newswit.com

ปชป. วอน ทักษิณ หยุดหลอกประชาชน

"โฆษก ปชป." ร้องขอ "ทักษิณ" หยุดหลอกลวงเพื่อลดความขัดแย้งในชาติ และยังย้ำถามอีกว่าจะเอาเปรียบคนไทย-ชาติไทยไปถึงไหน ลงทุนไหว้ขอร้องขอให้ปล่อยประเทศไทย...

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เผยถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สไกป์ทักทายเข้ามาพูดคุยในงานวันปลดล็อกโทษเพิกถอนสิทธิ์ทางเลือกตั้งของอดีต กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย รวมทั้งได้มีการยกมือไหว้ขอโทษพี่น้องเสื้อแดงว่า ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ต้องการที่จะเป็นผู้ที่ยกมือไหว้ขอร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ให้หยุดทำลายประเทศ หยุดหลอกลวงเพื่อสร้างความขัดแย้งให้ประชาชนคนไทยเสียที ถามว่าเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่พอใจอีกหรือ กับการที่ปลุกปั่นให้พี่น้องประชาชนโดยใช้วาทกรรม ไพร่-อำมาตย์ หรือ อ้างความเหลื่อมล้ำ 2 มาตรฐานเรียกหาประชาธิปไตยจนพี่น้องคนเสื้อแดงต้องออกมาแสดงการต่อสู้เพราะหลงเชื่อ คำพูดจนเกิดเหตุบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก รวมทั้งเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ประเทศชาติแทบแตกเป็นเสี่ยง แต่ท้ายสุดก็มาโผล่ที่ พ.ร.บ.ปรองดอง ที่เข้าหารือสภาในเวลานี้ ก็ไม่ได้มีอะไรที่ตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน กลับเป็นการเอาชีวิตของประชาชน เอาความเดือดร้อนจากคดีความมาเป็นเครื่องต่อรองให้ตัวเองได้กลับบ้าน ให้พ้นความผิดและได้ทรัพย์สินคืน

"คุณทักษิณคงอยากจะเป็นคนเดียวใช่ ไหม ที่เป็นผู้ได้จากความขัดแย้งตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ประชาชนทั้งประเทศต้องเป็นผู้สูญเสียจากการต่อสู้ผู้เสียสละ ที่คุณทักษิณอ้างขณะนี้ว่าเป็นเรื่องปัญญาอ่อน และไม่ควรฟื้นฝอยหาตะเข็บ ทั้งที่ 2-3 ปีที่ผ่านมา คนที่หลงเชื่อคุณทักษิณต่างออกมาต่อสู้ ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย กระทั่งเวลานี้ ก็มีประชาชนอีกหนึ่งกลุ่ม ที่เขายังรับไม่ได้ที่คุณทักษิณมาเอาเปรียบกับประเทศ เอาเปรียบประชาชน จึงออกมาแสดงจุดยืนคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองเพื่อล้างผิดให้คุณทักษิณ เพราะรู้ดีว่าเป็น พ.ร.บ.ปรองดองจอมปลอมทักษิณ ซึ่งกำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงในสังคมอีกครั้งหนึ่ง ผมขอเรียกร้องให้คุณทักษิณหยุดทำร้ายประเทศไทยจะได้หรือไม่ เพราะคุณทักษิณเองก็มีชีวิตอย่างสุขสบายอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ในโลก มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว มีเงินทองใช้มากมาย" นายชวนนท์ กล่าว

นาย ชวนนท์ กล่าวย้ำต่อว่า อยากวอนขอร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดหลอกลวงคนเสื้อแดงต่อไป เพราะเมื่อวานนี้ (30 พ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยกมือไหว้ พร้อมอ้างว่า ที่พูดไปเมื่อวันรำลึก 2 ปี เหตุการณ์ 19 พ.ค.นั้น เกิดจากสัญญาณแย่ จึงทำให้พูดไม่ชัด และไม่มีสมาธิ ขอถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดหรือว่าคนเสื้อแดง เขาจะโง่ขนาดนั้นจริงๆ ที่ฟังแล้วไม่รู้เจตนาที่แท้จริง เพราะคนเห็นกันทั้งประเทศได้ยินกันเต็ม 2 รูหู แต่วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับใช้เหตุผลปัญญาอ่อนเช่นนี้ออกมาแก้ตัว ฉะนั้นจึงเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่การหลอกลวง แต่กลับกลายเป็นการเหยียบย่ำดูถูกคนเสื้อแดงคงเพราะคิดว่า จะพูดตอนเมาไวน์อย่างไร ก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถที่จะกลับมาต้มให้ประชาชนเมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นหรือ และตนในฐานะที่เป็นคนไทยจะขอยอมยกมือไหว้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อขอร้องให้ปล่อยประเทศไทยไป เพื่อให้ประเทศไทยจะได้มีโอกาสสร้างประเทศเพื่ออนาคตของลูกหลานต่อไปเพราะ ยังเชื่อว่า ประเทศไทยสามารถเดินไปข้างหน้าได้ดี แม้จะไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตาม

www.thairath.co.th

 

ไสยศาสตร์การเมือง วิกฤติประเทศไทย

กลางแสงตะวันยามเย็นในไร่เชิญตะวัน  ตำบลห้วยสัก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี แสงธรรมดวงหนึ่งของไทยนั่งอยู่เรือนริมน้ำ

บนเรือนน้อยกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2555 คณะปฏิบัติธรรมในโครงการ เรียนรู้วิถีธรรมตามรอยท่านพุทธทาส ของ บริษัท อสมท จำกัด บางส่วนเข้ามากราบนมัสการ เสียงสนทนาธรรมบางช่วงสดใส บางช่วงเนิบนุ่ม เป็นไปตามเนื้อหาอันควรตริตรอง

ไร่เชิญตะวัน สถานธรรมที่จะเป็นสถาบันการศึกษาทางเลือกชื่อ มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ ถ้าสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จะกลายเป็นมหาวิชชาลัยที่สร้างคนให้ได้ความรู้จากการปฏิบัติแห่งแรกของประเทศไทย

ว.วชิรเมธี

มองไกลออกไป เบื้องหน้าเทือกเขาสูงทะมึน ยืนรับแสงสุดท้ายของวารวัน เงาทะมึนของขุนเขา ดูเหมือนจะไม่น่าเกรงขามเท่ากับการ "หลงทาง" ของพุทธศาสนิกชนไทยในปัจจุบัน เห็นได้จากหนังสือคาถาอาคม และเรื่องราวไสยศาสตร์เกลื่อนเมือง ซ้ำร้ายยังเป็นสถานที่ "ส่งออก" ซากทารกเพื่อไปทำกุมารทองอีก

ทำไมคนไทยถึงได้หลงเรื่องไสยศาสตร์นัก ทั้งๆที่ธรรมของพระพุทธองค์มิได้มุ่งเน้นแต่อย่างใด

"อาตมามองว่า การที่ไสยศาสตร์ และระบบความเชื่อเหนือระบบความรู้ในสังคมไทย มาจากหลายเหตุปัจจัย เป็นต้นว่า การศึกษาไม่ส่งเสริมให้คนวิเคราะห์วิจัย เกิดอะไรขึ้นมาก็สะเดาะเคราะห์ แม้แต่การรัฐประหารก็ทำบุญประเทศกัน วิธีการคิดแบบนี้ทำให้เราไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆ ซึ่งเป็นปัญหาโครงสร้างของชาติบ้านเมืองได้"

ตัวอย่างเช่น "ปัญหาคอรัปชัน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสมดุลทางอำนาจ เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง ปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา" แล้วจักแก้ปัญหาได้ด้วยสิ่งใด "ประการแรกเรื่องการศึกษา เราต้องนั่งลงศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ แล้วเอาความจริงนั้นมานำเสนอ โดยไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ถ้าไม่ยอมรับความจริง ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะก้าวพ้นความวิกฤติไปได้"

ประการที่สอง "คนไทยอิงอยู่กับผี ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอะไรเข้ามาไทยนับถือหมด เพราะฉะนั้นคนไทยจึงมีลักษณะพันทาง ทางจิตวิญญาณ ไม่ต้องไปดูอื่นไกล ดูที่หิ้งพระคนไทยมีพระพุทธรูป พระพิฆเนศวรก็มี นางกวักก็มี จตุคามก็มี บางคนศิวลึงค์ก็วางใกล้ๆกัน"

สิ่งนี้บอกอะไร "สิ่งเหล่านี้บอกว่า ไทยเราจะเป็นพุทธก็พุทธกลางๆ จะเป็นพราหมณ์ก็พราหมณ์กลางๆ จะเป็นผีก็ผีครึ่งๆกลางๆ ผสมปนเปกันไป

ในที่สุดกลายเป็นคนพุทธก็พุทธไม่จริง เป็นผีก็เป็นผีไม่แท้ เป็นพราหมณ์ก็พราหมณ์ไม่ถึงที่สุด เมื่อเราเป็นพันทางทางจิตวิญญาณพฤติกรรมของเราบางเรื่องก็ใช้ไสยศาสตร์ บางเรื่องก็ใช้พุทธศาสน์ บางเรื่องเราก็ใช้ผี เราเป็นอย่างนี้ สังคมไทยจึงไม่ค่อยถึงความรู้ ความจริง"

อย่างน้ำท่วม จริงหรือไม่ว่า เราฟังเด็กชายปลาบู่มากกว่าจะฟังจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์

"ทั้งๆที่บางปัญหาเราต้องฟังนักวิทยาศาสตร์ แต่เราฟังหมอดูมากกว่าฟังผู้รู้สายตรง ทำไมเราไม่ฟังผู้รู้ ทำไมเราไปฟังผู้เดาก็เพราะว่าเราเติบโตมาจากสังคมพันทาง ทำให้ความเชื่ออยู่เหนือความจริง"

ประการที่สาม "การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสังคมไทยค่อนข้างได้ผลน้อย เพราะเรามีพระธรรมทูตน้อยมาก และสิ่งที่เผยแผ่ไปส่วนใหญ่ก็เป็นคุณวิเศษเวทไสยของขลังขมังเวท รดน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก ธรรมขนานแท้ไม่มีโอกาสได้มาเป็นเข็มนำใจ เราจมอยู่กับเวทไสยทั้งๆที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ปัญญาชนทั่วโลกยอมรับ"

ปัญญาชนโลกยอมรับพุทธศาสนาอย่างไรนั้น ท่าน ว.ได้รับรู้มาจากประสบการณ์ตรง ขณะที่เดินทางไปแสดงธรรมต่างประเทศ คนเข้าฟังมีทั้งชาวไทยในต่างประเทศ และชาวต่างชาติ ท่านบอกว่า ธรรมะที่คนไทยต้องการแตกต่างจากคนต่างชาติ

"คนไทยต้องการความสุขในชีวิตครอบครัว เพราะเขาไปอยู่ต่างประเทศ ต้องพบกับสิ่งแปลกใหม่ทั้งหมด ทำให้ต้องการความรัก ความอบอุ่น ต้องการปรึกษาเรื่องครอบครัว พวกเขาเจอพระก็เหมือนเจอคนไทยทั้งประเทศ คนไทยต่างแดนจึงคิดถึงพุทธศาสนามาก"

ส่วนชาวต่างชาติทุกข์จิตวิญญาณ "พวกเขาทุกข์จากการไม่เป็นที่ยอมรับ ทุกข์จากการโดดเดี่ยวเปลี่ยวดาย เป็นโรคไข้ปืนกันมาก พวกเขามักมีความเครียด มีปัญหาด้านจิตใจ เขาจึงขอให้สอนสมาธิ เขาสนใจพุทธศาสนามาก เรื่องนี้ไอสไตน์เคยบอกไว้ว่า ศาสนาแห่งอนาคตคือศาสนาที่ก้าวพ้นจากเทววิทยา และถ้าหากจะมีศาสนาเช่นนี้ได้ก็แต่พุทธศาสนา โลกในอนาคตเป็นโลกแห่งศาสนาสากล เป็นเรื่องเหตุผล และสำคัญต้องไม่กลัวแต่การท้าทาย พุทธศาสนาเรามีครบ เพราะเป็นความจริงอยู่แล้ว

แต่ "คนไทยเราได้ประโยชน์จากพุทธศาสนาน้อยมาก บางครั้งนิมนต์พระไปที่บ้าน อาตมาเคยไปบ้านโยมคนหนึ่ง เขาบอกว่าพระอาจารย์ปัดรังควานได้ไหม อาตมาสะเทือนใจมาก เพราะจบถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค เราทำประโยชน์ได้มากกว่านั้นอีก แต่คนไทยต้องการแค่นิมนต์พระมาปัดรังควาน นี่คือเราเป็นกบเฒ่าที่นั่งเฝ้าดอกบัว"

ประเด็นสุดท้ายที่เราจะออกจากวิกฤติความงมงายได้คือ "เราขาดนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ เรามีนักการเมืองที่ทำเพื่อมีอำนาจ รักษาอำนาจ มองอำนาจว่าคือความสำเร็จในชีวิตทางการเมือง ดังนั้น นักการเมืองจำนวนมากจึงไม่วางวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศในระยะยาว คุณภาพของคนของเราจึงอ่อนปวกเปียก"

เพราะ "เราไม่มีรัฐบาลที่คิดอะไรสำหรับการวางรากฐานในระยะยาว ทุกสิ่งทุกอย่างเลยเต็มไปด้วยปัญหา เมื่อเกิดมาวิกฤติหนึ่ง ก็ทำให้เกิดอีกวิกฤติหนึ่ง เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ สุดท้ายประเทศก็ย่ำแย่ เดี๋ยวนี้ประเทศอื่นเข้าสู่ยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กกันหมดแล้ว แต่ไทยสามจียังไม่ได้ใช้ และเรายังทะเลาะกัน ด้วยใช้ความรู้สึกกว่าจะใช้ความรู้จริง ยังเป็นสังคมที่เปราะบาง ไม่ทนต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ยอมรับความคิด ความเห็นของคนที่พูดจริงทำจริง เรายังชอบคนปากหวาน ในสังคมที่ไม่ชอบความจริงอย่างนี้ ทำให้เราได้นักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพพอที่จะมองปัญหาบ้านเมือง เราอาจต้องใช้เวลาอีกสี่สิบห้าสิบปีข้างหน้า เรามีนักการเมืองมีคุณภาพ เราถึงจะออกจากวิกฤติได้เลย

การออกจากวิกฤติไสยศาสตร์ และการเมือง ว.วชิรเมธีบอกว่า ต้องส่งเสริมให้มีการศึกษาทางเลือกให้มากๆ เพราะการศึกษากระแสหลักทุกวันนี้ เป็นพาณิชยศึกษาไปแล้ว

"สถาบันประเภทจ่ายครบจบแน่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ก่อนใครจะเป็นด็อกเตอร์ต้องเก่งจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้เดินไปหัวมุมถนนก็เจอแต่ด็อกเตอร์ทั้งนั้นเลย แต่ว่าไม่มีผลงานที่โดดเด่นเห็นชัด เพราะพาณิชยศึกษาทำให้เราจบการศึกษา แต่ไม่มีคุณภาพ"

ท่าน ว.หวังว่า สถานศึกษาทางเลือก เป็นทางที่จะทำให้คนมีสมองปรองดองกับหัวใจ มีจิตสำนึกที่ดี มีวิสัยทัศน์ มีภาวะผู้นำที่ดี และมีความกล้าหาญ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้ารับผิดชอบ เมื่อการเมืองระดับสูงไม่เป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้อย่างแท้จริง การเมืองภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง คือมีความเข้มแข็งทางปัญญา อาจจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้มากกว่ารัฐบาล

นอกจากการศึกษาทางเลือก การเมืองภาคประชาชนแล้ว สื่อมวลชนก็เป็นอีกความหวังหนึ่งของสังคม แต่นั่นหมายความว่า สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสาร มีจรรยาวิชาชีพสื่อในการนำเสนอข่าวสารด้วย.

www.thairath.co.th

อองซาน เข้าพบ เฉลิม วอนรัฐช่วยดูแลแรงงานพม่าในไทย

 

นาง อองซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของพม่า ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะแขกบุคคลสำคัญของที่ประชุมใหญ่เวทีเศรษฐกิจโลกเอเชียตะวันออก หรือ World Economic Forum on East Asia 2012 (WEF) เข้าพบปะพูดคุย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เมื่อเวลา 14.00 น.ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี เพื่อหารือปัญหาเกี่ยวกับแรงงานและผู้ลี้ภัยพม่าในประเทศไทย พร้อมด้วยนายอาจหาญ, นายวันเฉลิม และร.ต.ท.ดวงเฉลิม อยู่บำรุง
ซึ่ง นาง อองซานได้ขอรัฐบาลไทยให้แก้ไข้ปัญหาผู้ประกอบการไม่เอาใจใส่ดูแลแรงงานพม่า โดยพบว่าผู้ประกอบการได้มีการยึดพาสปอร์ตแรงงานเพื่อเป็นการไม่ให้ แรงงานมีการโยกย้ายจากงาน และเรื่องของการชดเชยเมื่อแรงงานเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วย ขณะที่ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า แต่ก่อนในอดีตมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอยู่จริง แต่ในรัฐบาลชุดนี้มีคณะกรรมการเข้ามาควบคุมดูแลเรื่องแรงงานทำให้ปัญหาเหล่านี้ลดน้อยลง แต่วันนี้ผู้ประกอบการจะเป็นฝ่ายกลัวมากกว่า เพราะหากไม่มีแรงงานพม่าแล้ว ก็ไม่สามารถประกอบการธุรกิได้ เพราะแรงงานไทยตอนนี้ไม่มี ซึ่งส่วนใหญ่แรงงานพม่าจะอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ เชียงใหม่ สมุทรสาคร และสุราษฎร์ธานี
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เรื่องของการดูแลรักษาเมื่อแรงงานเจ็บปวดหรือเกิดอุบัติเหตุนั้น นายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการให้อนุมัติให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งแรงงานที่จะได้รับสิทธิจะต้องมีการพิสูจน์สัญชาติที่ชัดเจน รวมถึงได้รับค่าแรง 300บาท ซึ่งมีผลทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค.56 ตนย้ำให้ผู้ประกอบการดูแลสวัสดิการแรงงานในเรื่องของการรักษาพยาบาล และสิทธิ เพราะเราจะเหมือนพี่น้องกัน อาจจะมีข้อบกพร่องปัญหาอยู่บ้างแต่ก็จะพยายามต่อไป ยืนยันจะดูแลแรงงานพม่าให้ดีที่สุด ให้มีปัญหาน้อยที่สุด และจะอนุญาตให้ลูกหลานพม่าได้ศึกษาเล่าเรียน เพราะเชื่อว่า จะเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดี จะเป็นการเชื่อมทางด้านวัฒนธรรม และความเข้าใจระหว่างพ่อแม่กับผู้ประกอบการให้ดีขึ้น เพราะรู้ภาษาไทยมากขึ้น
ในส่วนของผู้ลี้ภัยพม่าที่อยู่ใน 4 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่พักพิงในระยะสั้น โดยมีอยู่ประมาณ 140,000 คน นั้น ไทยเองต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชน นโยบายรัฐบาลชุดนี้ จะให้ที่พักพิงไปจนกว่าสถานการณ์ในพม่าจะดีขึ้น ผู้ลี้ภัยมีความสมัครใจต้องการที่จะกลับไปอย่างมีศักดิ์ศรี เราสัญญา และเดินทางประเทศที่ 3 อย่างเต็มใจ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 48 แล้ว ล่าสุดนายกฯสั่งให้ยึดหลักมนุษยธรรม โดยที่ไทยได้เข้าร่วมกับอีกหลายประเทศมีการคัดกรองผู้ลี้ภัยเพื่อดูพื้นฐานให้นำไปสู่การ พัฒนา ตรวจสอบ คุณสมบัติ ทักษะ เพื่อรัฐบาลจะได้เพิ่มเติมให้สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อม ซึ่งจะมีผลเริ่มในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ เพราะรัฐบาลเน้นในเรื่องของการศึกษา เศรษฐกิจ และเท่าที่ดูรัฐบาลพม่าเองก็มีความเข้าใจ และยืนยันรัฐบาลไทยไม่มีนโยบายส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศ จนกว่าประเทศพม่าจะมีความพร้อม และจะเร่งพิสูจน์สัญชาติเพื่อจัดระเบียบแรงงานให้ถูกกฎหมายเพื่อสวัสดิการ ที่ดี
นางอองซาน ได้กล่าว ขอขอบคุณแก่รัฐบาล ที่มีจิตใจที่เมตตากรุณาเรื่องแรงงานพม่า และผู้ลี้ภัย รวมทั้งแรงงานทุกคนให้ความสนใจหากสถานการณ์ในพม่ายุติลงก็จะเรียกแรงงานพม่ากลับ ทั้งหมดนี้ตนจะนำไปแสนอกับแรงงานพม่า ซึ่งแรงงานเหล่านั้นคงดีใจ โดยแรงงานพม่าที่เข้าสู่ประเทศไทย เกิดจากการสู้รบและความไม่สงบในพม่า แต่เชื่อว่า เราสามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี รัฐบาลไทยได้ดูแลผู้ลี้ภัยไม่ต่างอะไรกับประเทศเดนมาร์ค แม้ประเทศไทยป็นประเทศที่เล็กกว่า ซึ่งไทยได้ดูแลผู้ลี้ภัยพม่ามานานแล้ว และเพื่ออนาคตของลูกหลานของเราเองก็ยอมที่จะให้ไปประเทศที่สาม ซึ่งต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ที่ดูแลการศึกษาให้กับเด็ก เพื่อจะเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า ซึ่งเหมือนกับเด็กสามัญทั่วไป มีโรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยม
v


www.banmuang.co.th

 

เปิดงานการซื้อขายดอลลาร์ล่วงหน้า

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอเชิญทุกท่านหรือผู้แทนร่วมพิธีเปิดงานซื้อขายดอลลาร์ล่วงหน้า (USD Futures) ในวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2555 เวลา 8.45 - 10.00 น. ณ โถงนิทรรศการ ชั้น 1 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.รัชดาภิเษก โดยตามกำหนดการ ดังต่อไปนี้
9.15 น. กล่าวเปิดการรายงานโดย คุณเกศรา มัญชุศรีกรรมการผู้จัดการบริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
9.20 น. มอบใบอนุญาตการเป็นผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินให้แก่บริษัทสมาชิกตลาดอนุพันธ์ 31 บริษัทและกล่าวเปิดงานการซื้อขาย USD Futuresโดย คุณกิตติรัตน์ ณ ระนองรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
9.45 น. พิธีเปิดซื้อขาย USD Futuresโดย คุณกิตติรัตน์ ณ ระนองรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพร้อมร่วมถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกับ ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คุณ สมพล เกียรติไพบูลย์ประธานกรรมการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คุณจรัมพร โชติกเสถียรกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยผู้บริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทยผู้บริหารบริษัทสมาชิกผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ ผู้บริหารกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

www.newswit.com

 

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บีบีซี เวิลด์นิวส์ เจาะรายการเพิ่ร เน้นการเข้าถึงทั่วโลก

บีบีซี เวิลด์นิวส์ เพิ่มรายการที่มีชื่อว่า ไดเร็กท์ซีซั่น เพื่อเจาะข่าวและสาระในด้าน สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมืองของประเทศไทย ซึ่งรายการนี้เป็นรายการแรก ที่เสนอข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยสู่ระดับนานาชาติ ของ บีบีซี
ปัจจุบันประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ เป็นอันดับสองของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย และยังเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดประเทศหนึ่งของโลก อุตสาหกรรมการส่งออก ยานยนต์ เป็นเศรษฐกิจหลัก ของประเทศ ผู้ชำนาญเผยว่าประเทศไทยจะติดอันดับหนึ่งในสิบประเทศที่ผลิตรถยนต์ของ โลกในปี 2558
สถานการณ์น้ำท่วมหนักที่เกิดขึ้นในฤดูมรสุม ปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบให้ 65 จังหวัด จาก 77 จังหวัดของไทยสร้างความเสียหายอย่างหนัก ให้กับการอุตสาหกรรมการผลิต การบริโภคการส่งออก การลงทุน และภาคการท่องเที่ยว
การนำเสนอข่าวของบีบีซี จะเป็นการตรวจสอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบอย่างไรกับประเทศ ประเทศไทยมีการจัดการรับมือกับสถานการณ์เช่นไร และส่วนของรายการทั่วไปจะนำเสนอมุมมองทางด้านอื่นๆ และอนาคตของประเทศไทย
ไทย แลนด์ไดเร็กท์ ออกอากาศทั่วโลก ผ่านช่องข่าว 24 ชั่วโมงของ บีบีซี เวิลด์ นิวส์ ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม ถึง 7 กันยายน 2555 สามารถรับชมติดตามเนื้อหาข่าวในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่ bbc.com/thailanddirect
ปี เตอร์ ฮอร์ร็อคส์ ผู้อำนวยการฝ่ายโกลบอล นิวส์ (Global News) ของบีบีซี กล่าวว่า “รายการไดเร็กท์นี้เป็นโอกาสอันดี สำหรับผู้ชมในการรับข่าวสารข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับประเทศหนึ่งที่ประสบ ภัยทางธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา
รายการ ต่างๆในซีซั่นนี้ จะเสนอทุกแง่มุมเกี่ยวกับประเทศโดยละเอียดยิ่งขึ้น และเจาะประเด็นในแง่ของอิทธิพลทางการด้านเมือง วัฒนธรรม และความบันเทิงที่มีต่อโลก รวมทั้งยังมีการนำเสนอในเรื่องชีวิตการทำงานของบุคคลและประชาชนผู้ที่ กำลังสรรสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ”
กรุงเทพเป็นศูนย์กลางทาง การเมือง ทางสังคม และเศรษฐกิจ ของประเทศไทย รวมทั้งยังเป็นเมืองที่สำคัญเมืองหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องด้วยความเฟื่องฟูในด้านการลงทุนในช่วงปี 80’s และ ปี 90’s บริษัทขนาดใหญ่มากมายหลากหลายต่างเข้ามาตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคในกรุงเทพฯ กรุงเทพฯก็ยังเป็นแรงผลักดันส่งเสริมทางด้านการเงินและธุรกิจระดับภูมิภาค และในด้านอิทธิพลทางการเมืองระดับ โลก วัฒนธรรม แฟชั่น และความบันเทิง
รายการ Working Lives มาเยี่ยมเยือนกรุงเทพ และพบปะพูดคุยกับบุคคลสำคัญจากภาคสังคมเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการทำงานและแรงบันดาลใจของพวกเขา
รายการ One Square Mile ไปเยี่ยมเยียนเมืองและหมู่บ้านต่างๆทั่วโลก เพื่อสำรวจบริเวณใกล้เคียง
การ ดำเนินรูปแบบของรายการโดยเป็นไปอย่างธรรมชาติ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณหนึ่งตารางไมล์ ที่เลือกไว้ได้อย่างแท้จริง
รายการท่องเที่ยว Fast:Track ของบีบีซี เวิลด์ นิวส์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับภูมิภาคที่ได้รับการเยี่ยมเยือนจากนักท่องเที่ยวน้อย ที่สุด เนื่องเป็นรายการที่ผลิตภาคพิเศษ ที่เน้นไปที่ชนบท และความยากง่ายในการท่องเที่ยวในภูมิภาคนั้น เนื้อหารายการเป็นการนำเสนอสิ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถหวังได้ในแง่ของ แหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดตัว และเสนอข่าวการท่องเที่ยวจากผู้รู้จริง คำแนะนำต่างๆ ที่มีประโยชน์
Click เป็นรายกาต้นแบบที่นำเสนอเนื้อหาด้านเทคโนโลยี นำเสนอโดย สเปนเซอร์ เคลลี่ (Spencer Kelly) ผู้ซึ่งได้ท่องเที่ยวเยี่ยมเยียนประเทศต่างๆ เพื่อค้นหาวิถีทางว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิตของเราได้อย่างไร
ประเทศไทยเป็น ประเทศที่มีนาโนเทคโนโลยีที่เป็นที่ยอมรับที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เรื่องราวจะเป็นการมองหาทางแก้ไขปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีใกล้ตัว และการพัฒนาในระดับเล็กที่อาจนึกไม่ถึง
BBC.com/thailanddirect จะนำเสนอข้อมูลในรูปแบบมัลติมีเดียรวมทั้ง แกลเลอรี่อินเตอร์แรคทีฟ และ วีดีโอ
บี บีซีเสนอข่าวจากทั่วทุกมุมโลก โดยสามารถเข้าถึงผู้ชมถึง 225 ล้านคนต่อสัปดาห์ทั่วโลก บริการข่าวสารรวมถึง บีบีซี เวิลด์เซอร์วิซ, ช่องข่าวบีบีซี เวิลด์ นิวส์ ทางโทรทัศน์ และเว็บไซต์ bbc.com/news
บี บีซี เวิลด์ นิวส์ ได้ให้บริการข่าวสารข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลกตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการสนับสนุนการลงทุนทางพานิชย์ เป็นทรัพย์สินและดำเนินการกิจการโดยบริษัทบีบีซี เวิลด์ นิวส์ ซึ่งเป็นสมาชิกหนึ่งของกลุ่มบริษัทเชิงพานิชย์ของบีบีซี บีบีซี เวิลด์ นิวส์ ให้บริการในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก สามารถเข้าถึงกว่า 330 ล้านครัวเรือน โรงแรมห้องพัก 1.8 ล้านห้อง มีการนำเสนอเนื้อหาข้อมูลบนเรือสำราญ 151 ลำ สายการบิน 40 แห่ง โทรศัพท์มือถือ 23 เครือข่าย และบนสื่อออนไลน์จำนวนมากมาย รวมทั้ง bbc.com/news
สามารถรับบริการข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บีบีซี เวิลด์นิวส์ ดาวน์โหลดตารางออกอากาศ หรือข้อมูลเกี่ยวกับช่องบีบีซี หรือเว็บไซต์ bbc.com/tvschedule


www.newswit.com
 

สนุ้กเกอร์ 6 แดงชิงแชมป์โลก

นักสอยคิวชั้นนำจากทั่วโลก เตรียมร่วมแข่งขัน สนุ้กเกอร์ 6 แดงชิงแชมป์โลก 2555 "แสงโสม 6 แดง เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ 2012" ที่ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ  ระหว่างวันที่ 2-7 ก.ค.นี้ ชิงเงินรางวัลกว่า 6 ล้านบาท ทรูสปอร์ต 3 ถ่ายทอดสด ให้ชมทุกรอบ....
 

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย, คุณสินธุ พูนศิริวงศ์ นายกสมาคมบิลเลียดแห่งประเทศไทย และ คุณสุรพล อุทินทุ ผู้อำนวยการโครงการไทยเบฟ ไทยทาเล้นท์ ร่วมกันแถลงข่าวสนุ้กเกอร์ 6 แดงชิงแชมป์โลก 2555 "แสงโสม 6 แดง เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ 2012" ระหว่างวันที่ 2-7 ก.ค.นี้

นายสุวัจน์ กล่าวว่า "กีฬาสนุ้กเกอร์ 6 แดง ซึ่งไทยเป็นต้นตำรับ ได้รับพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับในวงการสนุ้กเกอร์เอเชียและในระดับโลก จนได้รับการบรรจุให้มีการแข่งขันในกีฬาซีเกมส์และกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ และในปีนี้ถือว่าเป็นปีมหามงคลของปวงชนชาวไทย โดยจะมีนักสนุ้กเกอร์จากทั่วโลกที่เดินทางมาร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษของคนไทย 3 วาระ คือเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระชนมายุ 84 พรรษาเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.54 ที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมายุ 80 พรรษาในเดือนสิงหาคม 2555 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เจริญพระชนมายุ 60 พรรษาในเดือนกรกฎาคม 2555"

ด้าน นายสินธุ กล่าวว่า "หลังจากสมาคมกีฬาบิลเลียดฯ ได้ผลักดันให้มีการแข่งขัน สนุ้กเกอร์ 6 แดง เป็นครั้งแรกในซีเกมส์ ครั้งที่ 24 จ.นครราชสีมา จนได้รับความนิยม ต่อมา บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดการแข่งขันสนุ้กเกอร์ 6 แดงนานาชาติ เมื่อปี 2008 จนถึงปัจจุบันเป็นการสนุ้กเกอร์ 6 แดงระดับนานาชาติและชิงแชมป์โลกที่จะจัดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งที่ 4 โดยในปีนี้จะมีนักสอยคิวระดับโลกตอบรับทั้งสิ้น 20 คน โดยเป็นมือ 1-16 ของโลกถึง 11 คน นำโดยมือ 1-4 ของโลก ได้แก่ มาร์ค เซลบี, จั๊ด ทรัมพ์, มาร์ค วิลเลียมส์, สตีเฟน แม็คไกวร์ ฯลฯ มาร่วมโชว์ฝีมือ รวมทั้งนักสนุกเกอร์ชั้นนำจากยุโรเอเชีย, โอเชียเนีย, แอฟริกา ขณะที่ของไทย มี "ต๋อง ศิษย์ฉ่อย" รัชพล ภู่โอบอ้อม อดีตมือ 3 ของโลก เป็นตัวชูโรง รวมเป็นนักสนุกเกอร์ที่ร่วมการแข่งขันนี้ทั้งสิ้น 48 คนโดยแชมป์รับเงินรางวัล 2 ล้านบาท ส่วนเงินรางวัลรวมกว่า 6 ล้านบาท"

การแข่งขันครั้งนี้ แฟนสนุ้กเกอร์สมามารถซื้อบัตรชมการแข่งขันได้ที่สมาคมกีฬาบิลเบียดแห่งประเทศไทยและที่เคาน์เตอร์หน้าห้องที่แข่งขันที่โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ บัตรราคา 300 บาททุกที่นั่ง และผู้ชมทางบ้านสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันได้ทาง ทรู สปอร์ต 3 ทุกวันตั้งแต่วันที่ 2-7 ก.ค.นี้ ส่วนรอบชิงชนะเลิศ จะถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (NBT) และทรู สปอร์ต 3 ในเวลา 14.00-17.00 น.

www.thairath.co.th

โลกเสรี พลังสังคมวูบ ไทยเละ

อุทกภัยในปลายปี 2554 ได้นำความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ประเทศไทย รวมทั้ง ภัยเศรษฐกิจซึ่งได้เข้ามาซ้ำเติมให้แก่ประชาชนอีกครั้ง ทำให้หลายๆ คนหวั่นวิตกกับ ภัยที่จะเกิดจากความเหตุทางด้านการเมือง ที่กำลังจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในไม่ช้านี้
เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของทุกข์หลัก ๆ หนัก ๆ ในไทย
ที่ขวางการขับเคลื่อนวิถีไทยไปสู่คืนวันที่ดีกว่าเดิม!!!

จัดงานสัมมนา การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงที่ผ่านมา โดยการร่วมกันของหลายส่วน อาทิ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.), สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นแกน เพื่อพิจารณาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ในงานนี้ก็มีการแสดงมุมมองแง่คิดที่น่าสนใจ


ในช่วงหนึ่งจากการบรรยายโดย ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน ผู้ประสานงานชุดโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ในหัวข้อ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง : ความสำเร็จ อุปสรรคและความคาดหวังในทศวรรษหน้า” ได้กล่าวว่า ไม่ควรขับเลื่อนในระดับจุลภาคซึ่งเป็นระดับที่มีขนาดเล็ก จะทำให้ไม่มีประสิทธิภาพที่ดี หรือเกิดความแตกแยก ในการทำงาน รวมทั้งการพัฒนาแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงควรจะต้องปรับแผนการพิจารณานโยบาย


พร้อม ๆ กับเสนอแนวทาง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงระดับนโยบาย โดยเน้นประเด็นการจัดทำเครื่องมือในการทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องมือที่ได้จากการบริหารธุรกิจแบบตะวันตก มาเป็นเศรษฐกิจพอเพียง
ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การเมืองระดับชาติ รวมถึงจัดทำแผนที่เดินทางเศรษฐกิจพอเพียงโดยศึกษาอุปสรรค ข้อจำกัดต่าง ๆ ตลอดจนสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ

’ก้าวต่อไปของไทยในทศวรรษหน้า ควรเป็นการก้าวไปสู่สังคมที่มีความเอื้ออาทรต่อกัน เป็นสังคมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี เป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุขหรือสังคมประโยชน์สุข พร้อมกับแก้ไขอุปสรรคที่สำคัญ ได้แก่ ธุรกิจการเมืองในระดับชาติ การเมืองส่วนท้องถิ่น ภาคราชการ และสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้มีจุดเริ่มต้นในการแก้ไขส่วนหนึ่งแล้ว เป็นอีกส่วนจากการระบุของ ศ.ดร.อภิชัย

แนวทางที่ว่านี้อาจมีเสียงวิพากษ์ว่า ทำได้ยาก แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่ว่าจะทำไม่ได้ื


ทั้งนี้ ในการปาฐกถานำ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงในทศวรรษหน้า : องค์ความรู้ อุปสรรค และยุทธวิธี” ในงานเดียวกัน โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานสภาปฏิรูปประเทศไทย นี่ยิ่งมีประเด็นน่าคิด เช่น...การพัฒนาแบบแยกส่วนโดยไม่บูรณาการร่วมกันนำไปสู่การ “เสียสมดุล” ระบบเศรษฐกิจซึ่งความคิดเบื้องหลังคือ “โลภะ” ทำให้เกิด ’ความโลภเสรี“ นำสู่ ’โทสะ“ ’ความรุนแรง“ เมื่อเกิดโลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งเรียกว่า “อกุศลมูล” ก็ ’ทำให้เกิดวิกฤติ“ ซึ่งต้องแก้ไขที่ระบบคิด ด้วยความ “ไม่โลภ” ซึ่ง “เป็นรากฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เศรษฐกิจพอเพียงจึงมิใช่เรื่องล้าสมัย แต่เป็นเรื่อง “อนาคตของมนุษยชาติ”

ประธานสภาปฏิรูปประเทศไทย ระบุไว้อีกว่า...สังคมปัจจุบันมี 3 มวลใหญ่ คือ...อำนาจรัฐ, อำนาจทุน, อำนาจสังคม ซึ่ง วิกฤติในปัจจุบันเกิดเพราะ ’มวลอำนาจทางสังคมอ่อนแอ“ จนไม่อาจแก้ปัญหาในประเทศได้ จึงต้องสร้างมวลสังคมให้ใหญ่ขึ้น เป็น “สังคมานุภาพ” ที่มีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ทุกองค์กรทุกเรื่อง เพื่อให้มีพื้นที่ทางสังคมและมีพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ให้ชุมชนท้องถิ่นมีการจัดการตัวเองโดยไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐและทุน เพื่อให้ “ได้ดุล” และทำงานเชื่อมกัน เกิดเป็นสังคมานุภาพที่เสมอกัน

และจุดยุทธศาสตร์สำคัญก็คือ “ตำบล” ซึ่งเป็นจุดบรรจบของประชาชนและท้องถิ่น หากมีการจัดการตนเองด้านเศรษฐกิจพอเพียงอย่างชัดเจน ให้ธุรกิจขับเคลื่อนเข้ามาอย่างเด่นชัด มีโครงการ 1 บริษัท ต่อ 1 ตำบล และ 1 คณะวิชา ต่อ 1 ตำบล เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดการ และวิชาการ เข้าไปทำงานร่วมกับท้องถิ่น โดยอาศัยการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ ก็จะสามารถ ตอกเสาเข็มให้ประเทศไทยมั่นคงมากขึ้น ได้

’ถ้ามีแต่พื้นที่ทางการเมืองที่แบ่งข้างแบ่งขั้ว ไม่ฟังความเห็นกันและกันแล้ว พื้นที่ทางปัญญาก็จะไม่เกิดขึ้น และบ้านเมืองก็จะอับจนทางปัญญาอย่างแน่นอน“...ประธานสภาปฏิรูปประเทศไทย ทิ้งท้าย

www.dailynews.co.th

 

ทัพนักเตะอาวุโสไทย ลงศึกฟุตบอลอาวุโสชิงแชมป์โลก

การลงศึกชิงแชมป์โลกของทัพนักแตะอาวุโสไทยตั้งเป้าชนะเพื่อเข้ารอบรองชนะเลิศในครั้งนี้ หวังคว้าสามคะแนน ซึ่งนัดจะมีขึ้น ในวันที่ 4 มิ.ย จะพบกับ ทีมนักแตะจากอังกฤษ ที่ สนามกีฬาราชมังคลาฯ
วันที่ 30 พ.ค. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลอาวุโสนานาชาติ(ฟีซ่า) และประธานที่ปรึกษาสมาคมนักฟุตบอลอาวุโส (ประเทศไทย) ได้เป็นประธานแถลงข่าวการแข่งขันฟุตบอลอาวุโสชิงแชมป์โลกครั้งที่ 7 ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กล่าวว่า
นับว่าเป็นความโชคดีที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ส่งเสริมและให้ความร่วมมือในการแข่งขันมาการจัดงานฟุตบอลอาวุโสในครั้งนี้ โดยการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลและการประชาสัมพันธ์แล้ว อีกทั้งยังได้รับเกียรติจากกรมพลศึกษา โดยส่งผลให้การเปิดพิธีงานการแข่งขันครั้งนี้มีความยิ่งใหญ่มากขึ้น เนื่องจากได้นำไปจัดร่วมกับการมหกรรม กีฬาอาวุโสนานาชาติ ครั้งที่ 1
โดยภายในงานมีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ มีทัพนักกีฬาเกือบ 1,000 คนได้มาร่วมงาน ในครั้งนี้ มีขบวนพาเหรด 9 ชนิดกีฬา และ1 กีฬาสาธิต อีกทั้งยังได้เชื้อเชิญอดีตนักกีฬามาเดินขบวนพาเหรด เพื่อให้ได้ระลึกถึงความทรงจำในการเดินขบวนในสมัยก่อนในกีฬาแหลมทองซีเกมส์และเอเชี่ยนเกมส์
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว เวลา 19.00 น. บริเวณอาคารนิมิบุตร ได้มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับ โดยภายในงาน มีบรรยากาศความเป็นไทย อาหารไทยนานาชนิด รวมทั้งการแสดง และ ศิลปะหัตกรรมของไทย นอกจากนั้น อาจารย์ ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินระดับโลก ได้ให้เกียรติมาบรรเลงเพลงขลุ่ยให้นักกีฬาชาวต่างชาติได้รับชมและรับฟัง คาดให้การจัดงานให้ครั้งนี้จะสร้างกระแสเงินหมุนเวียนสะพัดทางด้านเศรษฐกิจท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างมาก ในช่วงโลว์ซีซั่นได้ไม่น้อยกว่า100 ล้านบาทอย่างแน่นอน
นายเทพพิทักษ์ จันทร์สุเทพประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ กล่าวขณะนี้ทีมฟุตบอลทุก ประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ อิหร่าน ไต้หวัน อาหรับเอมิเรสต์ สก็อตแลนด์ ได้ตอบรับและยืนยันที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.นี้ เป็นต้นไป โดยพักที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค และจะเดินทางไปเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวัง ในเช้าวันที่ 5 มิ.ย ก่อนการเปิดพิธีการแข่งขันในช่วงบ่ายของวัน
อีกทั้ง นายพิทักษ์ ศิลป์ประสิทธิ์ โค้ชทีมชาติไทยเปิดเผยว่าจะพยายามเก็บ 3 คะแนนแรกให้ได้เพื่อสร้างโอกาสให้ทีม ชาติไทยในการเข้ารอบรองชนะเลิศต่อไปจึงอยากให้แฟนฟุตบอลชาวไทยเดินทางมาให้ กำลังใจทีมชาติไทยของเรากันมากๆในวันและเวลาดังกล่าว.
 

www.thairath.co.th

 

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กำหนดนโยบายโทรคมนาคม โดย ก.ไอซีที

นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยถึงโครงการการจัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะหน่วยงานฝ่ายบริหารที่ดูแลนโยบายด้านการสื่อสารของประเทศ ได้จัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติขึ้น เพื่อให้การดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปตามบทบาทที่กฎหมายกำหนด และการดำเนินนโยบายในด้านโทรคมนาคมของประเทศไทยในสภาพแวดล้อมปัจจุบันและอนาคตเป็นไปอย่างมีทิศทางที่เหมาะสม ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยและสมมารถพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน

 

 

“กรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาตินี้ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแนวโน้มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทบทวนสภาพแวดล้อมของตลาดโทรคมนาคมไทยในปัจจุบัน และทบทวนสถานภาพ บทบาท ความสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในภาครัฐตามกฎหมาย รวมทั้งเพื่อกำหนดทิศทางในการพัฒนากิจการโทรคมนาคม ทั้งด้านโครงข่ายสื่อสารภาคพื้นดิน โครงข่ายการสื่อสาร ไร้สาย และการสื่อสารผ่านดาวเทียม โดยคำนึงถึงการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน การบริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง (Universal service) อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และสร้างความมั่นคงในการสื่อสารให้สามารถรับมือกับภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้ พร้อมกันนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางและกำหนดนโยบายการเปิดตลาดโทรคมนาคมพื้นฐาน และการสื่อสารผ่านดาวเทียมที่เหมาะสมของประเทศไทย ตลอดจนเพื่อกำหนดกรอบแนวทางการกำกับดูแลการประกอบกิจการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแนวทางในการพัฒนาการประกอบกิจการโทรคมนาคมของผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนอีกด้วย” นางเมธินี กล่าว

โครงการฯ นี้ ได้มีการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลนโยบาย แผนงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรอบนโยบายโทรคมนาคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแนวโน้มเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง สภาพแวดล้อมของตลาดโทรคมนาคมของไทย ในปัจจุบัน ตลอดจนบทบาท สถานภาพ และความสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในภาครัฐตามกฎหมายใหม่ๆ โดยคำนึงถึงการหลอมรวมทางเทคโนโลยี (Technological convergence) นอกจากนี้ยังมีการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาโครงข่าย บรอดแบนด์แห่งชาติ ทั้งเทคโนโลยีโครงข่ายมีสาย และไร้สาย แนวทางการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure sharing) และแนวนโยบายในการกำหนดสิทธิแห่งทาง (Rights of way) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมมากที่สุด แนวทางการเปิดตลาดโทรคมนาคมที่เหมาะสมของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกอบกิจการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน และกิจการดาวเทียมสื่อสาร (Communication satellite) หรือกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แนวนโยบายต่อการให้บริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง (Universal service) ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และแนวทางนโยบายด้านความมั่นคงในการสื่อสารทั้งภาวะปกติและภาวะวิกฤติ เช่น ภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ อย่างมีประสิทธิผล

“ภายหลังจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำมาจัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติแล้ว กระทรวงฯ ได้ มีการทำแบบสอบถาม และสำรวจความคิดเห็นเพื่อรับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกรอบนโยบายดังกล่าว รวมทั้งมีการจัดประชุมระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อระดมความคิดเห็น รวบรวมข้อเสนอ ตลอดจนจัดสัมมนาเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากหน่วยงานรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กสทช. ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและด้านโทรคมนาคม ผู้บริโภค และประชาชนทั่วไปที่สนใจ พร้อมทั้งจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่สาธารณชนใน 4 ภูมิภาคด้วย ซึ่งกระทรวงฯ จะได้รวบรวมข้อเสนอแนะและความคิดเห็นต่างๆ เหล่านั้นมาใช้ในการปรับปรุงกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น” นางเมธินี กล่าว



www.newswit.com

ซูจี เยือนไทย

เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 30พฤษภาคม นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย เป็นพรรคฝ่ายค้านของพม่าเดินทางไปพบแรงงานชาวพม่าที่จ.สมุทรสาคร ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นและหนาแน่นของชาวพม่าที่อยู่ในประเทศไทย นับเป็นครั้งแรกในรอบ 24ปีที่นางซูจีออกจากพม่าเดินทางเยือนต่างประเทศ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะของนางซูจีมาถึงตลาดกุ้งมหาชัย ถ.พระราม2 ต.มหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดูวิถีชีวิตการทำงานและความเป็นอยู่ของแรงงานพม่าที่อาศัยอยู่ในไทย เนื่องจากตลาดกุ้งมีชุมชนพม่ากว่า 1,000 ครอบครัว ทั้งคนแก่ คนหนุ่มสาววัยทำงานและเด็กเล็ก เมื่อนางซูจีมาถึงบรรดาแรงงานพม่าที่มาเฝ้ารอรับร่วมกันโบกธงด้วยความตื่นเต้นยินดีพร้อมตะโกนเรียก"ดอว์ซู"เป็นภาษาพม่าแปลว่า"แม่ซู"

 

เวลา10.00 น. นางซูจี เดินทางไปที่ศูนย์การเรียนรู้เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ หมู่บ้านมหาชัยวิลล่า หมู่ที่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยขบวนรถเคลื่อนผ่านคลื่นมหาชนชาวพม่าที่มารอต้อนรับนับหมื่นคนอย่างช้าๆ จนถึงบริเวณหน้าศูนย์การเรียนรู้ฯ เกิดเหตุชุลมุนเมื่อผู้มารอต้อนรับและทัพนักข่าวพากันยื้อแย่งถ่ายภาพนางซูจี

 

จากนั้นนางซูจีเข้าไปภายในศูนย์การเรียนรู้เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติและเดินตรงไปยังระเบียงของอาคารและกล่าวคำทักทายปราศรัยปลุกใจแรงงานพม่าว่า เหตุที่เลือกมาที่นี่ เพราะมีแรงงานพม่าเป็นจำนวนมาก ที่นี่เหมือนบ้านเหมือนพม่า ต้องการมาดูว่าสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ของแรงงานพม่าทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง

 

"ดิฉันขอให้แรงงานพม่ารู้จักการให้เกียรติประเทศไทยและคนไทย อย่าได้สร้างปัญหาให้กับประเทศไทย ต้องทำงานให้ดีๆ เป็นคนดี ถ้ามีอะไรขอให้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในประเทศไทย อยู่เมืองไทยต้องรู้รักษาความสงบภายในบ้านเมืองของคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนขอให้รักประเทศไทยเหมือนกับรักประเทศพม่า และทำงานต้องทำให้เต็มที่ ช่วยกันดูแลเมืองไทยให้ดี และทางแม่อองซานซูจีจะกำชับให้เจ้าหน้าที่ในเมืองไทยดูแลแรงงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน"

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกล่าวปราศรัยประมาณ 10 นาทีแล้ว นางซูจี ขอตัวเข้าไปพูดคุยกับแรงงานพม่าเพื่อรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น โดยได้ใช้ระยะเวลาประมาณ 40 นาที

 

ในการพูดคุยหารือถึงสภาพปัญหาของแรงงานพม่ากับนายจุลภัทร แสงจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายสุนทร วัฒนาพร หอการค้าจังหวัดและผู้แทนจากหน่วยงานด้านแรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร ตลอดจนเครือข่ายที่ดูแลแรงงานพม่าในจังหวัดสมุทรสาครและตัวแทนแรงงานพม่าในจังหวัดอีกประมาณ 50 คน

 

เวลา 11.10 น. นางอองซานซูจีออกมาปราศรัยกับแรงงานพม่าอีกครั้งหนึ่ง โดยกล่าวว่า จากการพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดสมุทรสาครและตัวแทนแรงงานพม่า พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของแรงงานพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดสมุทรสาครคือ เรื่องของกฎหมายแรงงาน ที่แรงงานยังไม่รู้ข้อกฎหมาย ไม่รู้ว่าเมื่อมีปัญหาแล้วควรที่จะขอความช่วยเหลือทางกฎหมายจากหน่วยงานใด อีกทั้งกรณีที่ถูกเอาเปรียบจากนายจ้างไม่รู้ว่าควรจะพึ่งพาหรือทำอย่างไร

 

นางซูจีกล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ขอให้แรงงานทุกคนต้องหมั่นศึกษาหาความรู้และต้องพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ได้กำชับเจ้าหน้าที่ไว้แล้วในเรื่องของการดูแลแรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร และสุดท้ายขอให้แรงงานพม่าทุกคนมีความสุขอยู่ดีกินดี ตั้งใจทำงาน

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวพม่าหลบหนีมายังประเทศไทยมีประมาณ 2.5ล้านคนกระจัดกระจายในพื้นที่ต่างๆ เกือบทั่วประเทศไทย ในจำนวนนี้มีประมาณกว่า1ล้านคนไม่มีใบอนุญาตแรงงาน อย่างไรก็ตามแรงงานพม่ามีส่วนอย่างมากที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้น 7เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี

 

น.ส.ขิ่น ตัน นุ แรงงานพม่าทำงานในโรงงานกระป๋องกล่าวว่า หวังว่านางซูจีจะช่วยพัฒนาพม่าให้เจริญก้าวหน้าและนำแรงงานที่อยู่ในประเทศไทยกลับบ้าน

 

 

ชมภาพชุด"อองซานซูจี"เดินทางเยี่ยมแรงงานพม่าที่สมุทรสาคร คลิกได้ที่http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1338355808&grpid=03&catid=19&subcatid=1906

 

 



www.matichon.co.th

หวั่น "ปรองดอง"กระทบเศรษฐกิจ

ถ้าไม่มีเหตุการแทรกซ้อนอันไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้นอีก ผมก็เชื่อเหมือนที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อในขณะนี้ว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะเติบโตในปีนี้ด้วยอัตราที่น่าพอใจ

การติดตามข่าว ผู้สันทัดกรณีทางเศรษฐกิจที่ออกมาแถลงถึงสถานการณ์ในช่วงเกือบครึ่งปีของประเทศไทย ล้วนเป็นไปในเชิงบวกทั้งสิ้น

สภาพัฒน์โดยท่านเลขาธิการ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา บวก 0.3 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับติดลบถึง 8.9% เมื่อไตรมาสก่อน ทำให้มั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวแล้ว เช่น การผลิต การบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว ฯลฯ รอบด้าน จากนั้นก็คาดว่าตลอดทั้งปี คือ ปี 2555 นี้ จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5.5 ถึง 6.5 เปอร์เซ็นต์

ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกมาแถลงในทิศทางเดียวกับสภาพัฒน์ และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวเกินกว่าร้อยละ 6

การคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ประเทศ ไทยเราพึ่งพาต่างประเทศลดน้อยลงจากเดิมที่ผ่านมา ทำให้ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก หรือวิกฤติยุโรปที่ประเทศไทยเราจะได้รับจะไม่รุนแรงนัก

แม้การส่งออกจะลดลงบ้าง แต่แรงกระตุ้นของการลงทุนในประเทศและอุปสงค์ในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ

ในบรรดานักพยากรณ์ชี้แจ้งว่าเศรษฐกิจไทยเราจะขยายตัวน้อยกว่าเพื่อนบ้าน ได้แก่ ผู้แทนของธนาคารโลกประจำประเทศไทย

นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลกคาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวอยู่ที่ 4.5 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าการคาดการณ์ของสภาพัฒน์และแบงก์ชาติ

แต่ก็ยังเป็นบวกอยู่ดี และจริงๆแล้วอัตราการขยายตัวที่ว่านี้ก็เป็นอัตราที่ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน

รวมความแล้วทุกๆสำนักเศรษฐกิจเห็นไปในทำนองเดียวกันหมดว่า ประเทศไทยกำลังฟื้นตัวต่างกันเพียงฟื้นมาก หรือฟื้นน้อยเท่านั้น

แม้ตัวเลขที่ใช้ในการพยากรณ์จะไม่เผยถึงข้อเท็จจริงของประเทศไทยทั้งหมด เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว เรายังมีอะไรต่อมิอะไรที่อยู่นอกเหนือตัวเลข GDP อีกมาก

แต่สิ่งที่ตัวเลขของนักพยากรณ์เหล่านี้บอกเราก็พอจะนำมาใช้ในการสร้างความมั่นใจ หรือช่วยในการวิเคราะห์ภาพส่วนรวมได้ว่าทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นไปในแง่ดี

ประเด็นที่ต้องระวังไว้ให้มากๆก็คือ ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากวิกฤติยุโรป ซึ่งหลายๆฝ่ายบอกว่าอาจไม่กระทบประเทศไทยเราในระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวต้องกระทบแน่ๆ

ปัจจัยที่จะเป็นผลบวกทางเศรษฐกิจของเราอีกประการหนึ่งก็คือ ราคานํ้ามันที่มีแนวโน้มลดลงมาเรื่อยๆในตลาดโลก ที่จะช่วยลดความกดดันในเรื่องภาวะเงินเฟ้อ และต้นทุนการผลิตของเราลงได้พอสมควร

โดยเฉพาะปัจจัยทางด้านการเมืองที่ทำท่าจะคุกรุ่นจากร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ที่สภาผู้แทนรับบรรจุไว้เป็นวาระพิจารณาแล้ว

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎหมายปรองดองฉบับนี้ค่อนข้าง “ผิดคิว” คือ เข้ามาเร็วไปหน่อย อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นมาอีกได้ โดยเฉพาะหลายๆมาตรายังมีความล่อแหลมที่อาจจะเป็นชนวนให้มีการประท้วงที่รุนแรงหากปล่อยให้ผ่านออกมา

จะส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยเราที่กำลังจะก้าวเดินไปค่อนข้างดีพอ เกิดอาการสะดุดหรือทรุดตัวไปเสียเปล่าๆ

ปลายปีที่แล้ว เศรษฐกิจดิ่งวูบ เราไม่โทษใคร เพราะเป็นเรื่องของโชคของเคราะห์ เนื่องจากเกิดมหาอุทกภัย ไม่มีใครจะฝืนธรรมชาติได้ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องรับเคราะห์กันไป

ปีนี้ประเทศไทยเราจะโชคร้ายอีกหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป และขอทุกๆฝ่ายโปรดระวังโรคแทรกซ้อนจาก พ.ร.บ.ปรองดองเอาไว้ด้วยก็แล้วกันครับ.



www.thairath.co.th

เข้าสู่ปี่ที่ 5 ทาทา พุ้งเป้าขยายลูกค้าทั่วประเทศ

ทาทา มอเตอร์ส ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ดำเนินธุรกิจในไทย เผยตั้งเป้าขยายบริการครอบคลุม หวังเพิ่มดีลเลอร์แตะ 65 แห่ง ขยายฐานรองรับลูกค้าทั่วประเทศในปีนี้ ยันพร้อมดันรถรุ่นใหม่รุกตลาด มั่นใจเชื่อมั่นในปีนี้ตลาดโตขึ้น ในงานประชุมผู้จำหน่าย ทาทา มอเตอร์ส ทั่วประเทศ ครั้งที่ 5

 

 

บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จัดประชุมผู้จำหน่ายรถยนต์ทาทาทั่วประเทศ ครั้งที่ 5 พร้อมเผยถึงเป้าหมายในปีงบประมาณ 2555 (เมษายน 2555 ถึง มีนาคม 2556) ซึ่งเป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของ ทาทามอเตอร์สที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างมั่นคง

นายอจิต เวนคาทารามาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เผยในการประชุมผู้จำหน่ายทาทาครั้งนี้ว่า “ผมมีความรู้สึกยินดีกับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของ ทาทา มอเตอร์ส ในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมา การผลิตและประกอบสินค้าในไทย การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่าง การขยายโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุม ของเรา ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และตั้งใจจริงของทาทา มอเตอร์ส ที่จะลงหลักปักฐานในการดำเนินธุรกิจในเมืองไทยอย่างจริงจัง และเติบโตอย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต”

นอกจากนี้นายอจิตยังได้เปิดเผยถึงเป้าหมายในปีงบประมาณ 2555 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้จำหน่าย ทาทา มอเตอร์ส และลูกค้าทั่วประเทศ โดยในปีนี้ ทาทา มอเตอร์ส ตั้งใจที่จะขยายบริการให้กับลูกค้าอย่างทั่วถึงครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะเพิ่มศูนย์บริการเป็น 65 แห่ง ขณะที่ปัจจุบันมีรถเพื่อการพาณิชย์ของทาทาบนถนนมากขึ้นถึงกว่า 14,000 คัน จึงต้องให้ความสนใจกับการให้บริการลูกค้ามากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับกับจำนวนรถที่จำหน่ายออกไปและรองรับฐานลูกค้าที่มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น “ภายในระยะ เวลาเพียง 4 ปี ปัจจุบัน ทาทา มอเตอร์ส มีศูนย์บริการทั่วประเทศมากถึง 49 แห่ง ซึ่งการขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการของเราเป็นไปตามแผนการรองรับฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ทั้งนี้ การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุดเสมอมา”

ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้จำหน่ายรถยนต์ทาทาและลูกค้าในประเทศไทย นายอจิตยังเปิดเผยด้วยว่า “ในปีนี้ ทาทา มอเตอร์ส จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ลงตลาดอย่างแน่นอน เพื่อสร้างช่องทางให้กับผู้จำหน่ายให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างทางเลือกในการใช้งานรถเพื่อการพาณิชย์ของทาทาได้อย่างเหมาะสมกับการใช้งาน และมีความคุ้มค่าคุ้มราคาให้ลูกค้าชาวไทยมากที่สุด และยังถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่งและความชัดเจนให้กับแบรนด์ทาทายิ่งขึ้นในตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ และสอดคล้องกับเป้า หมายหลักในการจำหน่ายรถเพื่อการพาณิชย์ของทาทา ที่ต้องการช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ และสร้างผลกำไรให้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะเน้นการพัฒนาทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และบริการควบคู่กัน”

ส่วนทางด้าน นายอภิเชต สีตกะลิน รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการลูกค้า บริษัท ทาทา มอ เตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้พูดถึงแนวโน้มของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในปีนี้ว่า “ที่ผ่านมาทาทาเริ่มดำเนินธุรกิจด้วยการเปิดตัวรถกระบะ ทาทา ซีนอน เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร โดยเราเป็นบริษัทแรกในเมืองไทยที่ผลิตและจำหน่ายรถกระบะเครื่องยนต์คอมมอนเรล 2.2 ลิตรในตลาด ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ทั้งในแง่สมรรถนะและความประหยัดน้ำมัน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ของทาทาที่เป็นรถซีเอ็นจีก็เป็นที่ยอมรับในตลาดเป็นอย่างสูง แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะหลังนี้ผู้บริโภคได้หันมาให้ความสนใจกับกระบะเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ของเรามากยิ่งขึ้น เพราะเครื่องยนต์เล็กกว่า ประหยัดกว่า แต่ให้สมรรถนะไม่เป็นรองเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร และด้วยความคุ้มค่าคุ้มราคาและประโยชน์ใช้สอยของกระบะทาทาที่แตกต่างจากรถกระบะอื่นๆ เราจึงมีความมั่นใจว่ารถกระบะดีเซลของทาทา จะเป็นรถที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าได้มากที่สุด โดยเฉพาะกับผู้ที่ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ ที่การสร้างผลกำไร และลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจถือเป็นหัวใจสำคัญ”

ภาพรวมตลาดรถยนต์ในปีนี้ ทาง ทาทา มอเตอร์ส คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทในตลาดจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นมากถึงเกือบร้อยละ 40 หรือมียอดจำหน่ายราวๆ 1,100,000 คัน ในปี 2555 นี้ โดยรถกระบะจะยังมีสัดส่วนของการเติบโตสูงสุดเช่นเดิม และคาดว่าตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน จะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากปี 2554 สูงถึงประมาณร้อยละ 30

“อย่างไรก็ตาม แม้คาดว่าตลาดจะมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น แต่ในการแข่งขันทางการตลาด เรายังเชื่อว่า ด้วยความโดดเด่นของรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ของทาทา ซึ่งมีจุดเด่นที่นอกเหนือจากความประหยัดเชื้อ เพลิงแล้ว ยังมีประโยชน์ใช้สอยที่มีมากกว่าจากการใช้กระบะแบบพื้นเรียบ ไม่ติดซุ้มล้อ ที่ช่วยให้ขนสินค้าต่างๆ ได้มากกว่ากระบะทั่วไป ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการขนส่ง สร้างความคุ้มค่าคุ้มราคามากกว่า เราจึงคาดว่าในส่วนของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ของทาทาก็จะมีโอกาสสร้างยอดจำหน่ายได้มากยิ่งขึ้นตามแนวโน้มของตลาดในปีนี้เช่นกัน” นายอภิเชตกล่าว



www.newswit.com

เผยสัญญาการร่วมลงทุน โดย กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC

นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยหลังพิธีลงนามในสัญญาการเข้าร่วมลงทุนใน บริษัท อูเบะเคมิคัลส์ (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ UCHA ผู้ผลิตคาโปรแลคตัมรายใหญ่ของประเทศไทย ว่า ไออาร์พีซี ได้ทำข้อตกลงการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างบริษัททั้ง 2 ด้วยการเข้าถือหุ้นบริษัท UCHA ในสัดส่วน 25% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด เป็นมูลค่า 5,300 ล้านบาท เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการเป็นผู้นำด้านปิโตรเคมีของเอเชียที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2557 ตามแผนยุทธศาสตร์ “Phoenix” เพื่อเข้าสู่ธุรกิจผลิตพลาสติกวิศวกรรม ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าพลาสติกทั่วไป ตลอดจนสอดคล้องกับทิศทางความต้องการของตลาด เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ทนความร้อนสูง และชิ้นงานพลาสติกวิศวกรรม บรรจุภัณฑ์อาหาร สิ่งทอ เอ็นตกปลา ปุ๋ย เป็นต้น

ไออาร์พีซี ได้ซื้อหุ้นบริษัท UCHA รวมทั้งสิ้น 268,481,257 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 25% ทั้งนี้จะมีผู้บริหารจาก ไออาร์พีซี เข้าไปเป็นกรรมการบริษัทเพื่อร่วมกำหนดแผนและนโยบายให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด

นายอธิคม กล่าวว่า บริษัทฯ การลงทุนครั้งนี้ จะได้รับผลประโยชน์ในแง่ของการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์จากกลุ่มบริษัท UBE ซึ่งเป็นผู้นำและมีความเชี่ยวชาญการผลิตปิโตรเคมีแขนงนี้จากประเทศญี่ปุ่นโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีรายจากการได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายวัตถุดิบ การให้บริการถังเก็บผลิตภัณฑ์ ระบบสาธารณูปโภค และท่าเทียบเรือ ฯลฯ ขณะที่บริษัท UCHA จะได้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากมีโรงงานตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมของไออาร์พีซี จังหวัดระยองอยู่แล้ว ทำให้การบริหารจัดการและการใช้ทรัพยากรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

บริษัท UCHA เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย (เป็นบริษัทย่อยของ UBE ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดคาโปรแลคตัมและไนล่อน 6 ของโลก) มีกำลังการผลิตคาโปรแลคตัม 130,000 ตัน/ปี และไนล่อน 6 และไนล่อนคอมพาว์ดจำนวน 85,500 ตัน/ปี นอกจากนี้ ยังสามารถผลิตแอมโมเนียมซัลเฟต หรือผลิตภัณฑ์ปุ๋ย ซึ่งเป็นผลิตผลพลอยได้ 540,000 ตัน/ปี ทั้งนี้ คาโปรแลคตัมเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตไนล่อน 6 ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตเครื่องใช้หลากหลายประเภท เช่น 1.Engineering Plastics (พลาสติกวิศวกรรม) ได้แก่ ชิ้นส่วนรถยนต์ ฟิลม์ห่ออาหาร 2.Multifilament ได้แก่ สิ่งทอ พรม เสื้อผ้า ชุดว่ายน้ำ และ 3. Monofilament ได้แก่ แหจับปลา ขนแปรงสีฟัน เป็นต้น

อย่างไรก็ตามบริษัท UCHA ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 จากการควบรวม บริษัท ไทยคาโปรแลคตัม จำกัด (มหาชน) (Thai Caprolactam Public Company Limited) และบริษัท อูเบะไนล่อน (ประเทศไทย) จำกัด (UBE Nylon (Thailand) Limited) เข้าด้วยกัน โดยมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 8,804 ล้านบาท มีเทคโนโลยีการผลิตภายใต้ลิขสิทธ์ของ UBE ซึ่งเป็นบริษัทแม่จากประเทศญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ในธุรกิจคาโปรแลคตัมและไนล่อน 6 ยาวนานกว่า 50 ปี



www.banmuang.co.th

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กสิกรไทยจับมือนิคมอุตฯ ไทย-จีนรุกลูกค้าเอสเอ็มอีจีนในไทยแบบครบวงจร

ธนาคารกสิกรไทยตอกย้ำอันดับ 1 ในตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอี จับมือนิคมอุตฯ ไทย-จีน ให้การสนับสนุนเงินทุนและองค์ความรู้แบบครบวงจรแก่เอสเอ็มอีจีน เชื่อนักลงทุนพร้อมลงทุนในนิคมอุตฯ ไทย-จีนอีกมาก ตั้งเป้าปล่อยกู้ 2,000 ล้านบาทใน 3 ปี

นายพิพิธ เอนกนิธิ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนจีนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น เพราะไทยเป็นประเทศที่มีการทำเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้ามากที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อีกทั้งยังเป็นแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบทางการเกษตรที่สำคัญ อาทิ ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ซึ่งจีนมีปริมาณการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ และไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ดี เป็นประตูเชื่อมโยงจีนกับอาเซียนได้

ทั้งนี้ แม้ว่าในปี 2554 จีดีพีของไทยเติบโตเพียง 0.1% แต่การค้าระหว่างไทย-จีนกลับเพิ่มขึ้นกว่า 30% และจีนมีปริมาณการลงทุนในไทยสูงเป็นอันดับ 2 มีมูลค่าถึง 20,500 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนในไตรมาสแรกปี 2555 อยู่ที่ 14,840 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12.9% จากปีก่อน

การเข้ามาลงทุนในไทยของผู้ประกอบการจีน ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโดยบริษัทแม่สนับสนุนเงินลงทุนส่วนหนึ่ง หากไม่เพียงพอ ก็จะหาแหล่งเงินทุนเพิ่มจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ดังนั้น ธนาคารกสิกรไทยจึงให้ความสำคัญกับนักลงทุนจีนในไทย โดยเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่ให้การสนับสนุนเงินทุนและองค์ความรู้แบบครบวงจร ซึ่งพบว่า ปัญหาและอุปสรรคในการทำธุรกิจของนักลงทุนจีนมากกว่า 40% คือ เรื่องการสื่อสารภาษาจีน รองลงมาคือ ขาดความรู้ความเข้าใจในการลงทุนในประเทศไทย ธนาคารฯ จึงมีทีมผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าจีนเข้าไปดูแล และให้คำแนะนำในการทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่เริ่มต้นทั้งเรื่อง สิทธิประโยชน์การลงทุนของ BOI ทำเลการลงทุน และการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจ หรือ Business Matching

ด้าน นายบุนชาน กุลวทัญญู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้เข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการจีน โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีน ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมจีนแห่งแรกในไทย เป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท Holley และอมตะ ซิตี้ ทำให้นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจีน โดยธนาคาร ฯ มีผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าจีนเป็นที่ปรึกษาและให้บริการทางการเงิน การสนับสนุนด้านสินเชื่อ และองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจในไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจีนสามารถดำเนินธุรกิจในไทยได้อย่างประสบความสำเร็จ

ปัจจุบัน จำนวนผู้ประกอบการจีนอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีน มีทั้งสิ้น 39 ราย เป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยแล้วจำนวน 20 ราย มีวงเงินสินเชื่อรวมที่ปล่อยไปแล้วประมาณ 750 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นวงเงินกู้ระยะยาวเพื่อการก่อสร้างโรงงานและวงเงินหมุนเวียนการค้าเพื่อการนำเข้าและส่งออก โดยคาดว่าในปี 2555 จะมีผู้ประกอบการจีนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10 ราย เพราะรัฐบาลจีนมีนโยบายในการสนับสนุนผู้ประกอบการให้ไปลงทุนต่างประเทศ (Go Out Strategy) อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีน ได้เตรียมขยายที่ดินเฟสที่สองเพิ่มอีก 2 พันไร่ เพื่อรองรับเป็นศูนย์กลางการลงทุนของนักลงทุนจีนในไทยด้วย ซึ่งธนาคาร ฯ ก็คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการจีนที่เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีน เป็นยอดวงเงินรวมทั้งสิ้น 2,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาด ได้ประมาณ 50% ภายใน 3 ปี

สำหรับ กลยุทธ์เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยนั้น ธนาคารกสิกรไทย จะเน้นเสนอสินเชื่อที่หลากหลาย ผลิตภัณฑ์และบริการทางด้านการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance) โดยธนาคาร ฯ พร้อมให้บริการเปิดแอลซีเป็นสกุลเงินหยวน การทำประกันต่าง ๆ การจัดการทางการเงิน และบริการโอนเงินไปจีนที่ธนาคารกสิกรไทย เป็นธนาคารแรกที่สามารถโอนเงินไปจีน โดยปลายทางสามารถรับเงินโอนได้ภายใน 1 วันทำการ

นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนด้านองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจีนแบบครบวงจร ด้วยการจัดสัมมนาให้กับผู้ประกอบการจีนเกี่ยวกับการทำธุรกิจในประเทศไทย และในอนาคตจะมีการจัดงานสัมมนาและจัดทำข้อมูลข่าวสารภาษาจีนที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการจีนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจับคู่ทางธุรกิจและการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Matching & Networking) พร้อมแนะนำคู่ค้าให้แก่นักธุรกิจจีน เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบาย และง่ายในการทำธุรกิจในประเทศไทยให้ได้มากที่สุด อีกทั้งลูกค้าก็จะมีเครือข่ายและพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศไทย เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน



www.newswit.com

กกร.เสนอ 2 ประเด็นสำคัญในเวที WEF

กรุงเทพฯ 29 พ.ค. - นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การประชุม World Economic Forum on East Asia ปี 2555 หรือ WEF ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายนนี้ ทางภาคเอกชนในนามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะนำเสนอ 2 ประเด็นสำคัญ ต่อเวทีนี้

ประเด็นแรก คือ การเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ซึ่ง 10 ชาติอาเซียนมีความพร้อมโดยเฉพาะประเทศไทย การเกิดขึ้นของเออีซี จะเกิดการเชื่อมโยงและบูรณาการด้านการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี นับเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ด้วยจำนวนประชากรสูงถึง 600 ล้านคน เช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของยูโรโซน ด้วยตลาดที่มีขนาดใหญ่นี้จะทำให้การเจรจาทางธุรกิจ การค้า การลงทุน มีศักยภาพสูงขึ้นอีกมาก และประเด็นที่ 2 คือ การให้ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งภาคเอกชนไทยผลักดันมาตลอดและปฏิบัติ เนื่องจากหากไม่ดูแลสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงจะเป็นปัญหาของโลก

นายสมมาต กล่าวว่า ทางภาคเอกชนอยากให้บรรยากาศการเข้ามาร่วมประชุม WEF ในประเทศไทยเป็นไปด้วยความอบอุ่น เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาสัมผัสโดยตรงและจะได้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะประเด็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่อยากขอร้องและขอความเห็นใจ คือ การผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ และการประท้วงของหลายกลุ่มที่จะเกิดขึ้น หากเป็นไปได้อยากให้เลื่อนออกไปก่อน.- สำนักข่าวไทย

www.mcot.net

"เวิร์ลออฟแทงค์" บุกเมืองไทย เอาใจคอเกมแนวทหาร

บริษัทวอร์เกมมิ่งดอทเน็ต เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศเปิดตัวเกมออนไลน์ ล่าสุด "เวิร์ลออฟแทงค์" ในประเทศไทยแบบเป็นทางการ โดยมีผู้เล่นกว่าหมื่นคนลงทะเบียนเล่น เป็นผู้บัญชาการรถถังมุ่งหน้าเข้าประจำการในแนวรบแล้ว...

เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมงานบริษัทวอร์เกมมิ่งดอทเน็ต เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ให้บริการเกมออนไลน์ "เวิร์ลออฟแทงค์" (World of Tank) นำโดยนายภาสกร เจริญกิจกำจร ตำแหน่ง ผู้จัดการเกมเวิร์ลออฟแทงค์แห่งประเทศไทย จัดงานเปิดตัวเกมสงครามรถถังหุ้มเกราะสุดมันส์ ที่ อินฟินิซิตี้ฮอลล์ สยามพาราก้อน พร้อมเหล่าทหารม้ายานเกราะสาวสวย 10 คน ตบเท้ารายงานตัว เข้าสู่สนามรบอย่างพร้อมเพรียง

เกม World of Tanks เป็นเกมที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทั้งเซิร์ฟเวอร์ รัสเซีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และได้รางวัลมากมาย รวมถึงการบันทึกในกินเนสเวิล์ดเรคคอร์ด ว่าเป็นเกมที่มีผู้เล่นสูงสุดใน 1 MMO เซิร์ฟเวอร์ ด้วยจำนวนผู้เล่นพร้อมกัน 91,311 คน ในปี 2010 ยิ่งไปกว่านั้น ล่าสุดเมื่อ พ.ย.2554 มีผู้เล่นในเกม World of Tanks เซิร์ฟเวอร์รัสเซีย พร้อมกัน สูงถึง 400,000 คน
สำหรับ World of Tanks ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มีประเทศที่ให้บริการในรูปแบบท้องถิ่น 4 ประเทศ คือ สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปินส์ และไทย และยังสามารถเลือกภาษาในเกมเพื่อให้สอดคล้องกับการบริการแต่ละประเทศ ได้โดยมี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนแมนดาริน ภาษาตากาล๊อก และภาษามาเลย์


เกม "เวิร์ลออฟแทงค์" เป็นเกม MMO ที่มีรูปแบบการเล่นในแนว FPS (มุมมองบุคคลที่ 1) และสามารถปรับมุมมองเป็นแบบ TPS (มุมมองบุคคลที่ 3) ได้ด้วย โดยผู้เล่นทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการรถถัง ที่จะต้องขับรถถังในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 จาก 4 ชาติที่ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ฝรั่งเศส และ เยอรมนี เข้าสู่สนามรบ และทำลายฝ่ายตรงข้ามให้หมด หรือยึดฐานของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ โดยในเกมจะมีรถถัง 4 ประเภมให้เลือกใช้งานได้ แก่ รถถังหลัก รถถังเบา รถถังพิฆาต และปืนใหญ่อัตตาจร  และผู้เล่นยังสามารถเก็บสะสมค่าประสบการณ์ในการเล่น เพื่ออัพเกรดรถถัง อาวุธ และความสามารถของพลขับรถถังได้อีกด้วย

ด้วยแผนที่ขนาดใหญ่ ทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าร่วมเล่นได้สูงสุดฝ่ายละ 15 คน นอกจากนั้น หากรถถังถูกทำลายในเกมนั้น สามารถออกจากเกมนั้น เพื่อเลือกรถถังคันใหม่ และเล่นต่อได้ทันที โดยไม่มีผลต่อค่าประสบการณ์ที่จะได้รับของเกมนั้นๆ  นอกจากนั้น การให้บริการเกม "เวิร์ลออฟแทงค์" เซิร์ฟเวอร์เอเชียอาคเนย์ มีการตั้งเซิร์ฟเวอร์หลักอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่การเชื่อมต่อเพื่อเข้าเล่นจากประเทศไทย ไม่พบปัญหาแลค หรือ หลุดออกจากเกมขณะเล่น แต่อย่างใด โดยล่าสุดมีผู้เล่นในประเทศไทยกว่าหมื่นคนสมัครเล่นแล้ว


ภายในงาน มีการมอบของพี่ระลึกสำหรับผู้โชคดี และมีการจัดการแข่งขันเกม World of Tanks SEA นัดกระชับมิตร ระหว่างทีมรวมสื่อ และทีมงานผู้ให้บริการเกมสาขาประเทศไทย : ผลการแข่งขัน ทีมสื่อชนะด้วย สกอร์ 5-1 และ นัดกระชับมิตร ระหว่างทีมผู้เล่นเกม และทีมงานผู้ให้บริการเกมสาขาประเทศไทย : ผลการแข่งขัน ทีมผู้เล่นชนะด้วย สกอร์ 10-1

 



www.thairath.co.th

บทความที่ได้รับความนิยม