วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตัวแทนองค์กรพุทธจาก 99 ประเทศทั่วโลกร่วมฉลองพุทธชยันตีในไทย

กรุงเทพฯ 19 พ.ค.- ตัวแทนองค์กรพุทธต่างนิกายกว่า 600 คนจาก 99 ประเทศทั่วโลก ร่วมประชุมฉลองพุทธชยันตีนานาชาติในประเทศไทย พร้อมถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษาในปีนี้

นายพัลลภ ไทยอารี เลขาธิการองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) เปิดเผยว่า องค์การ พ.ส.ล.ร่วมจัดงานฉลองพุทธชยันตีนานาชาติในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 21-25 พฤษภาคมนี้ โดยมีตัวแทนองค์กรพุทธต่างนิกายกว่า 600 คนจาก 99 ประเทศทั่วโลก ร่วมประชุมด้วย และเนื่องในโอกาสมหามงคลนี้ องค์การฯ ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในวันที่ 22 พ.ค. เวลา 17.30 น. ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวังอีกด้วย

นอกจากนี้ การจัดงานดังกล่าวเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษา 5 ธันวาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา 28 กรกฎาคม 2555 พุทธศาสนิกชนนานาชาติ จึงพร้อมใจกันมาถวายพระราชกุศลแด่ทั้งสามพระองค์

ด้าน พระ ดร.อนิลมาน ธัมมสากิโย ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดงานครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้ตระหนักถึงการที่ประเทศไทยได้รับการยอมรับให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก มีประชาชนกว่าร้อยละ 90 นับถือศาสนาพุทธ และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ องค์การฯ จึงได้เชิญองค์กรพุทธศาสนาจากทั่วโลก มาร่วมกันฉลองพุทธชยันตีในประเทศไทย เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ชื่นชมและเห็นคุณูปการของพุทธศาสนาที่มีต่อโลกอีกด้วย

สำหรับกิจกรรมในงาน ประกอบด้วย พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ชาวไทยและต่างประเทศ 99 รูป การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การปาฐกถาในหัวข้อ “ความสำคัญของการฉลอง 2,600 ปีพุทธชยันตี และบทบาทขององค์การ พ.ส.ล.” และปาฐกถาเพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหัวข้อ “ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม” เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย

www.mcot.net

“จากดัชนีการชี้วัดภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา ที่จัดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล...

"จากดัชนีการชี้วัดภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา ที่จัดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล ได้ชี้ให้เห็นสถานการณ์ต่างๆ ว่าไม่ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในปี 2550-2554 ดัชนีประเทศไทยอยู่ในระดับ 3.3-3.5 คะแนนจากเต็ม 10 เราต้องมาร่วมกันปรับปรุงเพื่อความเชื่อมั่นของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันปราบปรามทุจริตในภาครัฐ จะมีความจริงจัง โปร่งใส มีธรรมาภิบาล เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม

เราจะดูในข้อกฎหมายต่างๆ และขั้นตอนการทำงาน ถ้าจำเป็นต้องปรับปรุงให้โปร่งใสชัดเจนขึ้น ที่สำคัญต้องไปดูถึงเรื่องวิธีการใช้ การบังคับใช้ และการแก้ปัญหา รวมถึงการแต่งตั้งโยกย้าย ที่เราต้องไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง ต้องมีการโยกย้ายที่เป็นธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมกับบุคคลที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกคนในการประกาศต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น"

นายกฯ ปู น้องสาวคนสุดท้องทักษิณ กล่าวข้อความข้างต้น อันเป็นตอนหนึ่งในคำกล่าว "เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น" ภายใต้แนวคิด "ประเทศไทยก้าวไกลไร้ทุจริต"

จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.)

ที่ห้องประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ เช้า 18 พ.ค.2555

เป็นงานใหญ่งานโตมาก มีข้าราชการประจำ, รัฐมนตรี, คณะทูต เข้าร่วมเยอะมาก

และแม้ว่าปูจะอยู่ในงานไม่นาน แต่สื่อก็เสนอข่าวกันอย่างโครมคราม เน้นจับประเด็น

ปูประกาศ ในรัฐบาลชุดนี้ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง

ก็โป๊ะเช้ะเลยล่ะปูเอ้ย……………

และมันพอดิบพอดีที่พี่ชายของ "คุณหญิงพจมาน" ได้เป็น ผบ.ตร. ซึ่ง "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" จะต้องทำเรื่องนี้กระจ่างๆ ให้มันใสๆ เพราะท่านใกล้เกษียณแล้ว อยู่ถึงแค่วันที่ 30 ก.ย.2555 นี้เท่านั้นแล้ว

เรื่องที่มีข่าวโครมครามในสื่อเวลานี้ว่า

พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ ผู้กำกับตำรวจ สภ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร ได้พูดเปรยกับเพื่อนๆ ว่า

จะต้องหาเงินสด 14 ล้านบาท เอาไปซื้อตำแหน่งเพื่อเข้าไปคุมตำรวจที่อำเภอแม่สอด

แม่สอดเป็นด่านชายแดนพม่า ตำรวจคนใดได้คุมตรงนี้ทำมาหาเงินได้ง่าย

เรื่องนี้ยังไม่จริง

ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจริง

ตัว พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ ก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

"นายสบาย" ขอให้ความเป็นธรรม ขอให้ พ.ต.อ.พิจิตร พูดถึงปมนี้ด้วยตัวเองว่ามันจริงหรือไม่จริง

ขณะนี้ พ.ต.อ.พิจิตร หลบหนีไปหลังจากที่ถูกให้ออกจากราชการ หลังจากโดนตำรวจออกหมายจับเป็นผู้บงการปล้นรถขนเงิน เหตุเกิดที่หน้าธนาคารกสิกรไทย สาขาอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เมื่อ 10.30 น. 26 มี.ค.2555 ได้เงินไป 2 ล้าน 1 แสนบาท

คนร้ายปฏิบัติการอุกอาจมาก มากัน 4 คน ลงรถมาก็เปิดฉากยิงกราดด้วยปืนอาก้า ซ้ำด้วย 9 มม.

ตำรวจคลี่คลายคดีนี้ โดยเอาหัวกระสุนปืนขนาด 9 มม. ที่ฝังอยู่ในขาของ "นายธเนศ วรยาโณ" พนักงานขนเงิน ไปเปรียบเทียบกับหัวกระสุนคดีอื่นๆ ที่ตำรวจเก็บไว้

ก็เชะ… เมื่อพบว่าหัวกระสุนจากขาตรงกับหัวกระสุนในคดีที่ "นายนิรุธ เพชรรัตน์" อายุ 37 ปี "มือปืนรับจ้างซุ้มอ่างทอง" ใช้ยิงขาเมียตัวเองในเหตุทะเลาะวิวาท จึงไปเอาตัวมาสอบสวนแป๊บเดียวก็คายหมด

ตำรวจจับทีมปล้นได้แล้ว 3 คน ยังหนี 1 ขณะที่ พ.ต.อ.พิจิตร ที่ถูกซัดว่าเป็นผู้บงการก็เผ่น

ชาวบ้านหึ่งมาก ถกแถลงกันว่า ระหว่างเซ็กซ์หมู่ของพวกชายหัวเกรียน เสื้อผ้าสีเขียวขี้ม้า กับ การกระทำของท่านผู้กำกับฯ พิจิตร อันไหนร้ายแรงและสะเทือนใจประชาชนมากกว่ากัน

"นายสบาย" ขอตอบว่า ทำร้ายประชาชนได้หนักหน่วงเท่ากันทั้ง 2 กรณี

ชายหัวเกรียน คือ ชายที่สมควรปฏิบัติตัวอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นลูกผู้ชาย และให้เกียรติผู้หญิง จึงจะทำให้ประชาชนทุกระดับชั้นให้ความไว้วางใจ และมั่นใจว่าชายในชุดสีขี้ม้าทุกคนคือผู้พิทักษ์ปกป้อง

"Boylomsak" (บอยหล่มสัก) หัวหน้าใหญ่สวิงกิ้ง ตัวพ่อแห่งเพชรบูรณ์ คนโพสต์รูปนี้ ได้เขียนบอกไว้ละเอียดว่า นำผู้หญิงไปให้หัวเกรียนรุมถล่มก่อนออกศึกชายแดนเขมร ที่บ้านพักหลังค่ายเพชรบูรณ์ กับคลิปงานเลี้ยงจบการฝึกของหัวเกรียน ที่ค่ายอ่างทอง ที่แพร่ออกมาไล่เลี่ยกัน จึงเป็นการย้ำความเชื่อของคนไทยว่า….หื่น

คือ ชาวบ้านรู้อยู่แล้วว่า หื่นกาม และลามกกันหนัก

ส่วนตำรวจ ครั้งนี้คนระดับ พันตำรวจเอก หน้าที่ ผู้กำกับโรงพัก ก็ทำให้ชาวบ้านช้ำเช่นกัน

ขอย้ำว่า ที่มีข่าวในสื่อว่า พ.ต.อ.พิจิตร บงการปล้นเงินไปซื้อตำแหน่งเพื่อจะได้คุมตำรวจแม่สอดนั้น ยังไม่ใช่เรื่องจริง เพราะยังไม่มีการยืนยัน เป็นแค่เรื่องเล่า และตัวท่านผู้กำกับฯ พิจิตร ก็ยังไม่ได้พูดสักแอะเพราะท่านหนีไปก่อน ซึ่งเวลานี้ชีวิตของท่านผู้กำกับมีความสำคัญต่อชาติบ้านเมือง และสำคัญต่อ สตช.เป็นอย่างมาก

"นายสบาย" อยากให้ประเทศไทยมีระบบ "รับโทษน้อยลงถ้าสารภาพความจริง"

ขอให้ พ.ต.อ.พิจิตร มีชีวิตรอด อย่าโดนปิดปากก่อน ขอให้เข้ามอบตัว แล้วบอกความจริงแก่คนไทยว่า

จะเอาเงินไปซื้อตำแหน่งจริงรึ ได้ตกลงกันไว้แล้วใช่หรือไม่ จึงมีตัวเลขว่าจะซื้อ 14 ล้าน

ใครคือผู้ขาย

คนขายตำแหน่ง…คือ…ภาระของนายกฯ ปู จะต้องสืบในทางลับให้รู้

ต้องสืบให้รู้ เพราะมันเกิดในขณะท่านเป็นนายกรัฐมนตรี และเพิ่งประกาศว่า รัฐบาลปูจะไม่มีขายตำแหน่ง



www.banmuang.co.th

นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า...

นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เพื่อให้ภาคการเกษตรของประเทศไทยมีความเข้มแข็งในการปรับตัวให้สอดรับกับการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 การพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต การพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพและการสร้างภาพลักษณ์สินค้าให้มีจุดเด่นซึ่งการพัฒนาเรื่องเหล่านี้จะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทยในการรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้และที่สำคัญคือในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยอาหารที่ต้องพัฒนาไปสู่มาตรฐานเดียวกันซึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯต้องเร่งปรับมาตรฐานให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในกลุ่มประเทศสมาชิกด้วย

"การเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ส่วนหลักที่สำคัญต่อภาคการเกษตรคือ การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวซึ่งจะเป็นการเปิดเสรีทั้งในด้านการค้า การลงทุน บริการและแรงงานซึ่งในหลักการเปิดเสรีนั้นไม่มีประเทศใดจะได้เปรียบเพียงฝ่ายเดียวบางเรื่องเราอาจจะได้เปรียบ เช่นโอกาสในการขยายตลาดสินค้าเกษตรของไทยในประเทศสมาชิกอาเซียนการนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตที่มีราคาถูกลงเนื่องจากการลดภาษีในการนำเข้ารวมทั้งการลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียน สินค้าที่ไทยน่าจะได้ประโยชน์ได้แก่ อาหารปรุงแต่ง ข้าวโพด ผลไม้ แป้งมันสำปะหลัง และ น้ำตาลทรายแต่ในบางเรื่องเราอาจได้รับผลกระทบทั้งในเรื่องราคาสินค้าที่ถูกกว่าของประเทศอื่นที่อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรจนอาจเลิกผลิตสินค้าบางชนิดไปเนื่องจากไม่สามารถต่อสู้ราคาสินค้าจากประเทศอื่นในอาเซียนได้โดยสินค้าที่ไทยอาจได้ผลกระทบ ได้แก่ กาแฟ (ทั้งเมล็ดและแปรรูป)ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว และข้าวเนื่องจากอาจมีการนำเข้าข้าวคุณภาพต่ำจากเพื่อนบ้านได้" นายธีระ กล่าว



breakingnews.nationchannel.com

ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หนุนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย เลื่อนการเปิดภาคเรียนทั้งหมดในปี...

ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หนุนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย เลื่อนการเปิดภาคเรียนทั้งหมดในปี 2557 รองรับประชาคมอาเซียน...

ผศ.ดร.บัณฑิต ทิพากร รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาการศึกษา ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 โดยในส่วนของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย หรือ ทปอ. มีมติให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งเลื่อนการเปิดภาคเรียนทั้งหมดในปี 2557 นั้น ในส่วนของคณะกรรมการบริหารของ มจธ.พิจารณาแล้วเห็นว่า มจธ.มีความพร้อมที่จะเลื่อนการเปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับนานาชาติตั้งแต่ปีการศึกษา 2555 นี้ทันที เพื่อที่ มจธ.จะได้มีเวลาในการศึกษาเรียนรู้และเตรียมความพร้อมมากขึ้น โดยภาคเรียนที่ 1/2555 จะเปิดวันที่ 14 ส.ค. ถึงวันที่ 14 ธ.ค. ส่วนภาคเรียนที่ 2 เริ่มวันที่ 7 ม.ค. ถึงวันที่ 22 พ.ค. และมีการหยุด ช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม การเลื่อนเปิดปิดเทอมที่ไม่ได้ทำพร้อมกันทั้งประเทศนั้น อาจส่งผลกระทบกับนักศึกษาในชั้นปีสุดท้ายบ้าง แต่ตนเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะมีการปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆให้มีคุณภาพมากขึ้น

รองอธิการบดี มจธ. กล่าวด้วยว่า สำหรับนักเรียน ม.6 ที่สอบเข้าเรียนเป็นนักศึกษาปี 1 มจธ.จะจัดเตรียมความพร้อมด้านวิชาการและภาษาอังกฤษก่อนเข้าเรียนปี 1 ส่วนนักศึกษาปี 4 ที่กังวลเรื่องการจบภาคเรียนช้ากว่ามหาวิทยาลัยอื่น 2 เดือนนั้น มจธ.เตรียมมาตรการรองรับโดยกำหนดวันเปิดภาคเรียนของปี 4 เป็น 2 ช่วงคือ ช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. และ ม.ค.-มี.ค. แต่หากพบปัญหาใดอีกก็จะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมต่อไป.



www.thairath.co.th

ปฏิวัติกระแสการออกแบบโลกด้วยการนำของอาเซียนและประเทศไทย คมชัดลึก : คนรักบ้านยานยนต์

การกำหนดเทรนด์การออกแบบจากคนเอเชีย กระแสความนิยมด้านการออกแบบ (TREND) ของโลกมักจะมีจุดเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยผู้ที่กำหนดกระแสก็จะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของโลกที่มีอิทธิพลต่อการส่งออกและนักออกแบบผู้อยู่เบื้องหลังในการสร้างสรรค์ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมามองที่กระแสการเติบโตของประเทศที่มีอิทธิพลต่อโลก ซึ่งในปัจจุบันนี้ใครๆ ก็พุ่งเป้าไปที่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ตลอดจนกลุ่มเศรษฐกิจอาเซียนที่นับวันยิ่งแข็งแรงขึ้น แนวโน้มการพัดพาของกระแสการออกแบบจึงหนีไม่พ้นพลังแห่งวัฒนธรรมตะวันออก

โดยมีนักออกแบบจากยุโรปซึ่งยังคงมีอิทธิพลเหนือผลงานออกแบบที่เป็นแบรนด์ดังๆ ในโลก เช่น MOROSO, CASAMANIA, MISSONI HOME และ EDRA ได้มีการหยิบโยงศิลปวัฒนธรรมตะวันออกมาใช้เกิดขึ้นมีให้เห็นในหลายคอลเลกชั่น โดยแรงบันดาลใจจากตะวันออกมาจากศิลปหัตถกรรมหลากหลายของชาวเอเชีย เช่น สีสันลายผ้า หัตถกรรมจักสาน เครื่องเรือน วัสดุจากธรรมชาติ แม้กระทั่งนักออกแบบระดับโลก อันได้แก่ Philippe Starck, Ferruccio, Patricia Urquiola, Tokujin Yoshioka ที่มักจะนำแนวทางจากตะวันออกมาออกแบบในเฟอร์นิเจอร์คอลเลกชั่นใหม่ของเขา

ถึงเวลาแล้วที่ชาวเอเชียและกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนควรจะรวมพลังในการกำหนดเทรนด์ของโลกกันเสียที ประโยชน์ที่จะได้รับจะเกิดขึ้นมากมาย เช่น ธุรกิจต้นน้ำที่มาจากคนเอเชียจะมีอิทธิพลมากขึ้น มีการจดสิทธิบัตร และลิขสิทธิ์จากตะวันออกกันมากขึ้น ทำให้รายได้ด้านปัญญาที่มีมูลค่ามากกว่าเกิดจากคนเอเชียแทนที่จะซื้อแบรนด์และลิขสิทธิ์ผูกขาดจากตะวันตกเพียงอย่างเดียว

ประเทศไทยเองก็ไม่ควรที่คิดแต่เพียงแค่งอมืองอเท้ารอตามกระแสเพียงอย่างเดียว เห็นทีจะต้องปฏิวัติวิธีคิดของผู้นำ ผู้บริหารบ้านเมือง ประชาชนคนไทยที่ควรจะคิดต้นแบบกันมากขึ้น มีนโยบายสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ต้นน้ำมากกว่าที่เป็นอยู่ แสดงบทบาทความเป็นผู้นำแห่งอาเซียน และของโลกต่อไป คนไทยต้องคิดการใหญ่เสียบ้างเพราะเรามีโอกาสจริงๆ
.............................
(หมายเหตุ ปฏิวัติกระแสการออกแบบโลกด้วยการนำของอาเซียน และประเทศไทย : คอลัมน์ ดีไซน์นิวส์ โดย... อ. เอกพงษ์ ตรีตรง www.ideal1group.com)

www.komchadluek.net

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เสนอตั้งศาลพิเศษเชือดโชว์ผู้นำโกง

"ตัวอย่างในประเทศไทยมีท่าเรือกี่แห่งไม่ได้ใช้งาน มีสนามบินกี่จังหวัดที่สร้างแล้วปิดไป ถนนกี่แห่งสร้างแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ นักการเมืองผลักดันสร้างสิ่งเหล่านี้เพื่อการหาเสียง หรือหวังได้เงินตอบแทนเพื่อสร้างอำนาจเป็นผู้บริหารประเทศ"

โดย.......ทีมข่าวการเมือง

ภาคเอกชนเสนอตั้งศาลพิเศษเร่งตัดสินคดีเชื่อทำได้จะมีผู้นำโกงโดนลงโทษภายใน 2-3 ปี เหมือนไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี ตบหน้าเวิอร์คช็อปรัฐบาลอยากเห็นครม.ลงนามร่วมเรียกความมั่นใจมากกว่าแค่ถ่ายรูปเปิดงานแล้วจากไป

การประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น” จัดขึ้นที่หอประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ แจ้งวัฒนะ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นให้นโยบายปราบทุจริตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นับตั้งแต่บริหารบ้านเมืองมาเป็นเวลา 9 เดือน มีการเชิญคณะรัฐมนตรี (ครม.) หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง

แม้ช่วงบ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและครม. จะไม่อยู่ร่วมรับฟังข้อคิดเห็น รวมถึงผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารระดับสูงจากส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศทยอยเดินทางกลับ ทำให้จำนวนผู้เข้าร่วมประชุมลงจากเมื่อเช้า

แต่บรรยายการประชุมช่วงบ่ายกลับเป็นเป็นด้วยความเข้มข้น เมื่อประมณฑ์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชั่น ได้สรุปผลสำรวจจากภาคต่างๆ ทั้งองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล ที่สรุปสถิติปัญหาทุจริตในประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง และถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ไทยตกต่ำกว่าเพื่อนบ้าน

เช่นเดียวกับผลสำรวจเยาวชนที่มีความคิดว่ายอมรับได้กับการโกง สะท้อนให้เห็นการทุจริตเป็นเรื่องธรรมดา และยังเป็นที่น่าตกผู้ประกอบธุรกิจยอมรับต้องจ่ายใต้โต๊ะ 10-20 เปอร์เซนต์

ประมณฑ์ บอกว่า เป็นที่น่ายินดีที่รัฐบาลมีสัญญาณในการปราบปรามการคอร์รัปชั่น แต่น่าเสียใจ ที่ครม. ที่มาร่วมเปิดงานในตอนเช้ามาถ่ายรูปเท่านั้น กลับไม่มีการร่วมกันลงนามต่อต้านการคอร์รัปชั่น เพราะถ้าลงนามจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีในการให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมกับรัฐบาล

ประมณฑ์ แสดงความเป็นห่วงการทุจริตเชิงนโยบายมีมากขึ้น มีการทำโครงการสร้างสิ่งก่อสร้างหลายอย่าง บางอย่างไม่ได้ประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นการใช้งบประมาณไม่ถูกต้อง

“ ตัวอย่าง ในประเทศไทยมีท่าเรือ กี่แห่งไม่ได้ใช้งาน มีสนามบินกี่จังหวัด ที่สร้างแล้วปิดไป ถนนกี่แห่งสร้างแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ นักการเมืองผลักดันสร้างสิ่งเหล่านี้เพื่อการหาเสียง หรือหวังได้เงินตอบแทนเพื่อสร้างอำนาจเป็นผู้บริหารประเทศต่อไป ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดมากขึ้น ไม่หยุดยั้งพวกนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ซึ่งก็คือภาษีประชาชนที่เสียไป เราก็เสียหายไปด้วย” ประมณฑ์ กล่าว

ประมณฑ์ ยังให้ติดตาม กรณีงบประมาณการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม 1.2 แสนล้านบาท หลายโครงการจัดซื้อวิธีพิเศษ แม้มีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน จึงต้องใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบนี้ แต่ก็เป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตมากขึ้น นอกจากงบฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ยังมีงบเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อีกหลายแสนล้านบาท ในการสร้างระบบสาธารณูปโภค ซึ่งเดิมงบลงทุนน้อยกว่างบประจำ แต่คราวนี้งบลงทุนที่มีอยู่น้อยแล้วมีการทุจริตอีก จากงบ 4-5 แสนล้านบาททุจริต 10-20 เปอร์เซนต์ แล้วคุณภาพชีวิตประชาชนจะเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ กระบวนการเอาผิดนำคนมาลงโทษโดยเฉพาะฝ่ายบริหารระดับสูงของประเทศไทย เป็นไปด้วยความล่าช้า ไม่เหมือนอย่างประเทศไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี ประธานาธิบดีของเขาได้รับการลงโทษเมื่อพิสูจน์ว่าทุจริตและศาลตัดสิน แต่ของประเทศไทยมีกี่ครั้งได้รับการลงโทษ

“ของประเทศไทยกว่าจะตัดสินลงโทษ ต้องใช้เวลา 10-30 ปี กระบวนการก็ยังไม่เสร็จสิ้น คู่กรณีก็เสียชีวิตไปก่อน ต้องมารอ 10-20 ปีอุทธรณ์ฏีกาคนก็ไม่สนใจแล้ว อีกทั้งกระบวนการของบ้านเราทราบดีมีพรรคพวกช่วยเหลือกัน ลูบหน้าปะจมูก จะลงโทษอะไรก็วิ่งเต้นช่วยเหลือกัน ผมอยากเสนอให้มีการตั้งศาลพิเศษพิจารณาคดีทุจริต ตัดสินให้เสร็จภายใน 2-3 ปี” ยประมณฑ์ กล่าว

ประมณฑ์ กล่าวว่า สูตรสำเร็จในการปราบปรามการคอร์รัปชั่นนั้น รัฐบาลต้องเป็นผู้นำ ประชาชนมีส่วนร่วม องค์กรอิสระทำหน้าที่ติดตาม ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตั้งแต่ภาครัฐมีการส่งสัญญาณแล้ว ภาคเอกชน ประชาชนก็มีความพร้อม เชื่อว่า คนโกงจะไม่มีที่ยืนในแผ่นดินนี้

ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า นายกฯยิ่งลักษณ์ ทำพิธีประกาศยุทธศาสตร์ปราบการทุจริตแห่งชาติอย่างเป็นทางการ โดย นายกฯ ประกาศว่า จะสร้างผลงานลดสถิติการทุจริตในประเทศให้ได้ หลังจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล สรุปดัชนีชี้วัดการทุจริตตลอด 18 ปีปีที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาทุจริตไม่ได้ดีขึ้น ประเทศไทยมีคะแนน 3.3-3.5 ซึ่งถือว่าเป็นสถิติมีการทุจริตสูงกว่าในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนด้วย

โอกาสนี้ นายกฯเสนอ 1 หน่วยงาน 1 ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ด้วยการให้เวลาภายใน 1 เดือนเริ่มจากวันนี้ ให้ 159 ส่วนราชการ 76 จังหวัด เฟ้นหาหน่วยงานที่สามารถจัดระบบการป้องกันปราบปรามทุจริตแห่งละ 1 หน่วยงาน หรือ 235 หน่วย เสนอเข้ามายังนายกฯ ภายใน 1 เดือน เพื่อเป็นตัวอย่างในการให้หน่วยงานอื่นนำไปปฏิยัติด้วย

ขณะเดียวกัน นายกฯได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเป็นทางการ ศูนย์ดังกล่าวจะรับเรื่องราวร้องเรียทางทุจริต โดยเปิดสายด่วน 1206 รับข้อร้องเรียนเรื่องการทุจริต รายงานผลตรงศูนย์บัญชาการนายกฯ

หลังจากนายกฯกล่าวเปิดประชุมช่วงเช้า ได้มาเป็นประธานพิธีเปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ฯ และร่วมรับประทานอาหารว่างในเวลา 11.15 น. ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็ออกจากงาน ทั้งที่ช่วงเวลาเดียวบนเวที มีกำหนดบรรยายพิเศษต่อเนื่องเริ่มด้วยนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) บรรยายพิเศษ เรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต ตามด้วย การนำเสนอตัวอย่างต่างประเทศที่เป็นเลิศ ในการแก้ไขปัญหาทุจริต โดย Mr. Chua Cher Yak อดีตผู้อำนวยการ Corrupt Practices Investigation Bureau ( CPIB )

แผนรุกภาคีเครือข่ายปราบโกงภาคเอกชน

*โครงการฝีกอบรมหมาเฝ้าบ้าน 2 รุ่น รุ่นแรก “หมาเห่า” อบรมเห็นความผิดปกติเห่า ร้องเรียนไว้ก่อน รุ่นสอง “หมากัด” อบรมทำงานตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกส่งหน่วยงานปราบทุจริตดำเนินการ



www.posttoday.com

ฟังกันมาหลายครั้ง หลายเวทีเรื่องการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในอีกไม่ถึง 3 ปี...

ฟังกันมาหลายครั้ง หลายเวทีเรื่องการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในอีกไม่ถึง 3 ปี

จนหลายคนเบื่อที่จะฟัง เพราะกี่เวที พบน่าวิทยากรคนเดิม พูดแต่เรื่องเดิม ๆ

แต่มาวันนี้(18 พ.ค.) ในการจัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง"อนาคตประเทศไทยในการเข้าสู่ประคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี 2558" ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนผู้ราษฎร ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า


กลับพบมุมมอง และประเด็นใหม่ ๆ ที่แตกต่างทางด้านความคิด จากนักวิชาการ บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ระดับโลก

อย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ และภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ในกลุ่มค้าปลีกยักษ์ เซ็นทรัลรีเทล อย่างน่าติดตามยิ่ง

ดร.สารสิน วีระผล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์(CP) กล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่ให้ความสำคัญเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC เท่าที่ควร ทั้งที่เป็นจุดสำคัญที่จะเตือนให้เห็นความสำคัญ และถือเป็นเสาหลักของประเทศไทยในการเริ่มเข้าสู่โลกาภิวัฒน์ แต่ประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่โมเดลโลกาภิวัฒน์อย่างไร จะเริ่มแบบเต่าหรือกระต่าย เพราะจะมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาประเทศประเทศไทยต้องปรับตัวให้ได้ประโยชน์จากโลกาภิวัฒน์ และเลี่ยงความเสี่ยงจากการให้ประเทศอื่นเข้ามา และการที่จะเข้าไปสู่ประเทศอื่น

ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่โลกาภิวัฒน์หลังก้าวเข้ามาในอาเซียน เราได้รับการยกย่องว่า มีการพัฒนาเศรษฐกิจได้ดีต่อเนื่อง และต่อมาได้รับการจารึกเป็นประเทศแรกที่ประสบความล้มเหลวทางเศรษฐกิจเป็นประเทศแรกครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง ปัจจุบันวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่จะเกิดขึ้นไม่กระทบประเทศไทย แต่เกิดวิกฤตใจกลางโลกาภิวัฒน์ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ดังนั้น การก้าวเข้า AEC ของไทย ประเทศไทยต้องย้อนดูบทเรียนในอดีต และปัจจุบัน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณ 45-50 ปีที่ผ่านมา


โดยเฉพาะดูบทเรียนการรวมตัวกันในอาเซียน มีข้อดีที่ต้องค่อย ๆ ก้าวหน้า โดยอาเซียนขับเคลื่อนจากข้อตกลงทางการเมือง ไม่ใช่เศรษฐกิจ ทำให้การเปิดเสรีทางด้านเศรษฐกิจของอาเซียนค่อย ๆ คืบหน้าไปช้า ๆ ต้องใช้หลักการทางการเมืองมาพิจารณามากกว่าการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือว่า มีความพร้อมมีความสามารถในการฉกฉวยโอกาส เพราะประเทศไทยถือมีข้อได้เปรียบในแง่ภูมิศาสตร์ที่อยู่ใจกลางอาเซียน


นกจากนี้ บทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรศึกษา กรณีประสบการณ์ของประเทศจีนเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาว่า ประเทศจีนพัฒนาตัวเองอย่างไรกว่าจะก้าวขึ้นสู่ประเทศมหาอำนาจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก และอาจจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในอีก 20-30 ปีข้างหน้า โดยสิ่งที่ประเทศไทยควรเรียนรู้จากประเทศจีน เพื่อเตรียมตัว และพัฒนาโลกาภิวัฒน์ ได้แก่ 1.ศึกษาโมเดลจีน ทำให้เกิดปาฎิหารย์ทางเศรษฐกิจขึ้นมา 2.การพัฒนาอนาคตเศรษฐกิจจีน ต้องตระหนักว่า หลังความสำเร็จ 30 ปีแล้ว มีสิ่งท้าทายอะไรต้องศึกษาด้วย


"ผมอยากให้ลองพิจารณารายงานผลสำรวจของบริษัทที่ปรึกษาระดับสากลแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เปิดเผยสำรวจนักธุรกิจต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยมีความรู้สึกอย่างไรหลังเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ว่า โดยทั่วไปนักธุรกิจต่างประเทศยังมั่นใจ ต่อฝีมือแรงงานของไทย แต่ไม่มั่นใจว่าไทยมีการเตรียมตัวพัฒนาแรงงานเหล่านี้ขึ้นไปอีกระดับหรือไม่ โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นห่วงมาก และระบุว่า ไม่มีหลักฐานปรากฎว่าไทยจะมีการพัฒนาเรื่องแรงงาน ทักษะของผู้ใช้แรงงาน

ต่างกับประเทศจีน จะให้ความสำคัญกับแผนพัฒนาบุคลากร โดยรัฐบาลจีนจะระบุเป็นเงื่อนไขในการเข้าไปลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในประเทศจีนด้วย ไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่ให้มีการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้สามารถรองรับเทคโนโลยีได้ ขณะที่ประเทศไทยไม่มีแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์


ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค ไม่มีความเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ได้ยินแต่การพูดถึงเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (อีสต์-เวสต์ คอริดอร์) แต่ไม่มีการเขียนโครงการเป็นนโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนา

ที่สำคัญตอนเกิดน้ำท่วม สิ่งที่ทุกข์ของนักลงทุนชาวญี่ปุ่นคือ ซัพพลายเชนการผลิตรถยนต์ และไอที ได้รับผลกระทบมากทำให้ไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนได้ รวมถึงเรื่องผลิตภาพ(Productivity)น่าจะชัดเจน

และสิ่งที่นักลงทุนเป็นห่วงที่สุด การที่นักลงทุนมองไม่เห็นว่าทางภาคราชการ และการเมืองจะมีนโยบายหรือยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว 5-10 ปี ทำให้นักลงทุนมีความรู้สึกว่า ประเทศไทยไร้ทิศทางไร้ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน พูดแต่ไม่มีแนวทางการค้าที่ชัดเจน ไม่มีแผนที่ทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ

จุดนี้ต่างกับประเทศจีน จะมีการวางแผน 5 ปีทำอะไร 10 ปีทำอะไร ทุกอย่างมีการตามแผนที่วางไว้ เช่น ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ขณะที่ประเทศไทยทิศทางการเมืองการเปลี่ยนแปลงนโยบายตลอด วันนี้พรรคการเมืองนี้บริหาร พรุ่งนี้เป็นอีกพรรคเข้ามาบริหาร แมันักธุรกิจต่างชาติจะมองข้ามประเทศไทยไปไม่ได้หากจะมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ แต่ประเทศไทย โดยภาครัฐ และภาคเอกชนต้องเข้ามาช่วยกันจัดการกับปัญหาต่าง ๆ


สิ่งท้าทายที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ AEC นั้น นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ ซีพีจะพูดถึงกรณีที่ประเทศไทยมีตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบในอาเซียน ทั้งทางด้านการติดต่อสื่อสาร การคมนาคมทางบก เพราะประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน แต่ไทยจะรับหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่ประสานได้หรือไม่

ยกตัวอย่าง ปัจจุบันแต่ละประเทศใน AEC ใช้ระบบ Hardware ระบบ Software ต่างกัน การจะเปลี่ยนมาใช้ระบบเดียวกันเป็นเรื่องยาก และในอนาคตยังไม่มีความเป็นไปได้ กรณีสิงคโปร์ กับลาวมีความแตกต่างกันมาก แต่ทำให้อย่างไรที่จะประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานหรือวางระบบให้ทุกประเทศใน AEC ทำกิจกรรมเชื่อมโยงในระบบเดียวกันได้ นั่นคือ ต้องทำเรื่องของ Middleware


เปรียบเทียบเหมือนธุรกิจธนาคารทุกวันนี้ ลูกค้าที่เข้ามาทำธุรกรรมกับธนาคารมีคนหลายระดับความรู้ ทั้งคนไทย คนต่างชาติมากมาย แต่ทำไมธนาคารสามารถบริหารจัดการให้ทุกคนเข้าใจ และดำเนินธุรกรรมทางการเงินให้เดินหน้าไปได้ เช่นเดียวกับ AEC ประเทศไทยน่าจะเป็นตัวกลางเชื่อมโยงทั้งใน และนอกภูมิภาค เช่น จะบริหารคนของประเทศกัมพูชา ลาว พม่า สิงคโปร์ ซึ่งมีระดับความรู้ และเทคโนโลยีที่แต่ละประเทศมีต่างกันให้ได้อย่างไร


"ที่ผ่านมาการก้าวเข้าสู่โลกาภิวัฒน์ภาคเอกชนส่วนใหญ่จะพยายามเรียนรู้ ขณะที่ภาครัฐยังดำเนินนโยบายแบบสบาย ๆ กันอยู่ ถ้าปวดท้องก็หายาแก้ปวดให้ แต่ปัญหาคือ เราไม่ได้สำรวจทั้งร่างกายว่า สาเหตุของอาการปวดท้องเกิดจากอะไร เหมือนประเทศไทยต้องมีการสำรวจประเทศว่า ปัญหาอยู่ตรงจุดไหนอย่างไร ประเทศไทยเป็นอย่างนี้มานาน ระยะหลังเกิดปัญหา และรอดพ้นมาได้ ก็บอกพระสยามเทวาธิราชช่วย แต่ผมว่า พระสยามเทวาธิราชถ้าท่านบอกได้ ท่านคงเอื้อมระอา ถ้าเรายังนั่งสบายเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างนี้ ประเทศไทยจะเตี้ยลง ๆ ในอาเซียน เราอาจจะโดนประเทศลาว กัมพูชา พม่าแซงหน้าไป"


ผมสังเกตเวลาไปเข้าประชุม AEC ในต่างประเทศ ข้าราชการ และนักการเมืองของกัมพูชาจะกล้าแสดงความคิดเห็นกันมาก ขณะที่ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศของไทยนั่งหลบอยู่แถวที่สอง ถ้าไทยไม่แสดงบทบาทหน้าที่ ก็อย่ามาพูดว่า ประเทศไทยจะเป็นผู้นำในอาเซียน ทั้งที่ในแง่ศักยภาพการแข่งขันในโลก ประเทศไทยมีความได้เปรียบทั้งทางด้านที่ตั้งภูมิศาสตร์ และด้านสินค้าเกษตร ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับ 7 ของโลก ไทยจะพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอย่างไรให้เต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ อย่างนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก แต่ปัจจุบันร้านอาหารไทยขนาดใหญ่ในต่างประเทศเจ้าของกลับเป็นคนต่างชาติ ขณะที่ร้านอาหารที่เจ้าของเป็นคนไทยเป็นธุรกิจในครอบครัวคนไทยเล็ก ๆ รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนในเรื่องเหล่านี้ด้วย


โดยบทบาทหนึ่งที่ภาครัฐ ทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายราชการจะต้องทำในการก้าวสู่ AEC คือ ต้องหาหลัก และพยายามดำเนินการ เพื่อจะให้เห็นว่าประเทศไทยพร้อมจะเดินหน้าไปใน 6 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ภาครัฐต้องแสดงความโปร่งใสในทุกเรื่องต้องอธิบายได้ว่า สิ่งที่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม หรือเพื่อใคร 2.ภาคราชการต้องมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของฝ่ายใด ต้องตอบคำถามให้ได้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าไทยจะต้องไปแข่งขัน 3.ต้องมีการพัฒนาทักษะการผลิต 4.ภาครัฐและภาคเอกชนต้องมีความร่วมมือกันพัฒนายุทธศาสตร์ เพื่อก้าวเข้าสู่โลกาภิวัฒน์ เรื่องมาตรฐาน และนโยบายจะไปทางไหน 5.ภาครัฐต้องเป็นผู้นำในการเข้าสู่โลกาภิวัฒน์ 6.ภาครัฐ และภาคอื่น ๆ ในสังคม จะต้องร่วมมือกันว่าจะเดินไปสู่เป้าหมายใน AEC อย่างไร




www.matichon.co.th

เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) ร่วมกับ พร็อพเพอร์ตี้ ชาแนล

เนื่องด้วย บริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ชาแนล จำกัด เจ้าของนิตยสาร คอนโดไกด์ ดำเนินการจัดงานสัมมนา อนาคตประเทศไทย ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจ – ทิศทางอสังหาฯไทย” โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความรู้ และมองสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้ง เป็นการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุง และแข่งขันของผู้ประกอบการให้มีความสามารถในการรับรู้สถานการณ์เศรษฐกิจ และนโยบายรัฐบาล เพื่อรองรับการขยายตัวของกำลังซื้อในอนาคต อันเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ทางบริษัทใคร่ขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมรับฟังงานสัมมนาดังกล่าว ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 ณ โรงแรม สวิสโฮเทล เลอ คองคอร์ด ห้อง เลอ คองคอร์ด บอลรูม ชั้น 2 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป

13:00 – 14:00 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

คุณธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

คุณชนะ นันทจันทูล กรรมการผู้จัดการบริษัท เซ็นจูรี่21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย)จำกัด

15.50-17.00 น. คุณอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)



www.newswit.com

สมาคมนักเพลงลูกทุ่งฯ จัดประกวด หาดาวรุ่ง ร้องเพลง ในโครงการ

สมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย ที่ปัจจุบัน มี คุณ พนม นพพร หรือชาตรี ชินวุฒิ เป็นนายกสมาคม ล่าสุด เตรียมจัดประกวด ร้องเพลง ในโครงการ เพลงบุญของคนไทย โดย ในเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก คุณ นก บริพันธ์ ในฐานะ อุปนายกผ่ายบริหาร ว่า “สมาคมได้ทำโครงการ "เพลงบุญของคนไทย" เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชแห่งราชวงศ์จักรี และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษาในวันที่ 12 สิงหาคม 2555 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษาในวันที่ 28กรกฎาคม 2555

โดยสมาคมนักเพลงลูกทุ่งฯ จะเปิดโอกาสให้ผู้ ที่มีอายุ 15- 25 ปี ทั้งชาย และหญิง เข้ามาร่วม ประกวดได้ โดย เพียงแค่ โทร ไปที่ หมายเลข 02-921-7531 ในวันและเวลาราชการ ลงทะเบียน สมัคร ไว้ที่ สมาคม โดยมีข้อจำกัดเบื้องต้น คือผู้สมัครต้องไม่สังกัดหรือมีสัญญาผูกพันกับค่ายเพลงใดทั้งสิ้น โดยจะเลือกชาย 1 คน หญิง 1 คน เพื่อขับร้องเพลง "บุญของคนไทย" ซึ่งประพันธ์โดยศิลปินแห่งชาติ ชลธี ธารทอง เวลา ในการลงทะเบียนสมัคร ไปจนถึงวันประกวด และสามารถไป สมัครที่ หน้างานก็ได้ แต่ เรา จะสงวนสิทธิ์ ให้ ผู้ที่โทรมาก่อน นะครับ ก็ รีบโทรมาลง ทะเบียนสมัครไว้ก่อนจะดีกว่า โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น การประกวดจะมี ในวันอาทิตย์ที่ 17 มิ.ย.55 ที่ ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ งาม วงศ์วาน แสดงตน เพื่อเข้าประกวด ในวันดังกล่าว ตั้งแต่ 10.00 น.เป็นต้นไปผู้ชนะ เลิศทั้งชายและหญิง จะได้รับเงินรางวัล คน ล่ะ 5,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ จากสมาคม และได้ บันทึกเสียง ในเพลง บุญของคนไทย เพื่อจะนำไป เผยแพร่ ในนามของสมาคมนักเพลงลูกทุ่งต่อไป ” ก็นับ เป็นโครงการที่ดีมากๆ บรรดา ช้างเผือก ทั้งหลาย ที่ อยากเป็นศิลปินในวงการเพลง ลูกทุ่ง ต้องไม่พลาด



www.newswit.com

สดร.ชวนคนไทยดูสุริยุปราคา 21 พ.ค.นี้

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวนคนไทยติดตามปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน ในรุ่งเช้าของวันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2555 เวลาประมาณ 05:50-06:06 น.แม้ในประเทศไทยบางพื้นที่จะเห็นเพียงสุริยุปราคาบางส่วนในช่วงเวลาประมาณ 16 นาที ทั้งนี้ สดร. ได้จัดทีมนักวิชาการไปทำการศึกษาและเก็บข้อมูลสุริยุปราคาวงแหวน ณ ประเทศญี่ปุ่นมาฝากผู้สนใจ ติดตามได้ใน www.narit.or.th และ Facebook/สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ

รองศาสตราจารย์บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ในเช้าวันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2555 ตามเวลาในประเทศไทย จะเกิดปรากฏการณ์ “สุริยุปราคาวงแหวน” ชุดซารอสที่ 128 ปรากฏการณ์สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก เรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกัน

เงาของดวงจันทร์จะทอดลงบนพื้นโลกและสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของผู้สังเกตการณ์ที่อยู่บนโลกคือการที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลดลง รูปร่างของดวงอาทิตย์จะเกิดเสี้ยวคล้ายดวงจันทร์ที่เปลี่ยนรูปร่างในแต่ละค่ำคืนหรือถูกบังจนหมดทั้งดวงขึ้นอยู่กับรูปแบบการบัง โดยปรากฏการณ์สุริยุปราคาในวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 เป็นแบบ “สุริยุปราคาวงแหวน”

เนื่องจากดวงจันทร์มีวงโคจรรอบโลกค่อนข้างรี ดังนั้นดวงจันทร์จึงมีโอกาสอยู่ใกล้หรือไกลจากโลกได้ ในขณะเกิดสุริยุปราคาครั้งนี้ดวงจันทร์อยู่ในช่วงที่ไกลโลกที่ระยะทางประมาณ 404,000 กิโลเมตร ทำให้ขนาดปรากฏบนท้องฟ้าของดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์ และเมื่อวัตถุทั้งสามเรียงตัวกันในแนวเส้นตรง ดวงจันทร์จะบังดวงอาทิตย์ไม่หมดเกิดเป็นสุริยุปราคาวงแหวน

ผู้อำนวยการ สดร. กล่าวเพิ่มเติมว่า “เป็นที่น่าเสียดายว่าประเทศไทยไม่อยู่ในบริเวณที่จะสามารถสังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวนในครั้งนี้ได้” เนื่องจากแนวคราสวงแหวนเริ่มต้นจากตอนใต้ของประเทศจีน และเคลื่อนที่ไปทางตะวันออกผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงทวีปอเมริกา โดยในประเทศไทยจะสามารถชมปรากฏการณ์ครั้งนี้ในรูปแบบสุริยุปราคาบางส่วน เป็นระยะเวลาสั้นๆ ราว 16 นาที ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05:50 น. จนสิ้นสุดการบังเวลา 06:06 น.

คนไทยส่วนใหญ่สามารถสังเกตสุริยุปราคาบางส่วนได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะดวงอาทิตย์ขึ้น ยกเว้นภาคใต้ โดยภาคกลางจะเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่งเล็กน้อย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่งมากที่สุดและเห็นได้นานกว่าภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของวันที่เกิดปรากฏการณ์ เนื่องจากดวงอาทิตย์อยู่ใกล้ขอบฟ้าอาจมีเมฆบังทำให้มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ขณะเกิดปรากฏการณ์

ตารางแสดงเวลาการเกิดสุริยุปราคาบางส่วนในประเทศไทย 21 พฤษภาคม 2555

การเกิดสุริยุปราคาในประเทศไทย วันที่ 21 พฤษภาคม 2555

จังหวัด เวลาดวงอาทิตย์ขึ้น พื้นที่การบัง (ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์) เวลาสิ้นสุดอุปราคา มุมเงยของดวงอาทิตย์

กรุงเทพมหานคร 05:53 11.10% 06:06 3.1°

ขอนแก่น 05:39 33.10% 06:09 6.5°

ฉะเชิงเทรา 05:50 13.40% 06:06 3.5°

เชียงราย 05:45 30.30% 06:13 5.9°

เชียงใหม่ 05:51 21.20% 06:12 4.6°

ตาก 05:53 15.10% 06:10 3.7°

นครพนม 05:30 49.30% 06:10 8.7°

นครราชสีมา 05:44 23.00% 06:07 5.1°

ประจวบคีรีขันธ์ 05:58 3.40% 06:05 1.5°

อุบลราชธานี 05:33 39.40% 06:07 7.5°

แนวคราสของสุริยุปราคาวงแหวนในครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อเงามัวแตะผิวโลกในเวลา 03:56 น. ตามเวลาประเทศไทย จากนั้นเวลา 05:06 น. เงาคราสวงแหวนเริ่มสัมผัสผิวโลกบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ความกว้างของเงาขนาด 324 กิโลเมตร โดยเคลื่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือผ่านเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ ทางใต้ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ตอนเหนือของประเทศไต้หวัน พาดผ่านแนวกลางของประเทศญี่ปุ่น มหาสมุทรแปซิฟิค ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และสิ้นสุดเมื่อเงามัวหลุดออกจากผิวโลก ณ บริเวณรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา

ดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวนในครั้งนี้ว่า “เนื่องจากแนวคราสวงแหวนส่วนใหญ่ลากผ่านพื้นที่กว้างใหญ่ของมหาสมุทรแปซิฟิก เงาคราสวงแหวนจะผ่านพื้นที่ส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นสถานที่ที่ดีในการสังเกตปรากฏการณ์ครั้งนี้

ทางสถาบันฯ จึงได้จัดทีมนักวิชาการเดินทางไปศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความเข้มของแสง และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศขณะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวนดังกล่าว ณ เมืองโตเกียว ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้เส้นกลางคราส และจะสามารถสังเกตปรากฏการณ์สุริยปราคาวงแหวนครั้งนี้ได้นานกว่า 5 นาที โดยจะเก็บภาพสุริยุปราคาวงแหวนครั้งนี้มาฝากชาวไทย ขอให้คนไทยรอชมผ่านช่องทางต่างๆ ของสถาบันฯ ทางเวปไซด์ ที่ www.narit.or.th และจะรายงานเกาะติดการเกิดสุริยุปราคาวงแหวนผ่านทาง Facebook/สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และ twitter @N_Earth”

ตารางเวลาการเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน ณ ประเทศญี่ปุ่น

ขั้นตอนการเกิดปรากฏการณ์ เวลามาตรฐาน เวลาท้องถิ่น มุมเงย มุมราบ

C1 เริ่มเกิดสุริยุปราคาบางส่วน 21:19:02 06:19:02 20.11 79.05

C2 เริ่มเกิดสุริยุปราคาวงแหวน 22:31:59 07:31:59 34.57 89.01

Max กึ่งกลางอุปราคา 22:34:30 07:34:30 35.26 89.21

C3 สิ้นสุดสุริยุปราคาวงแหวน 22:37: 00 07:37:00 35.59 89.45

C4 สิ้นสุดสุริยุปราคาบางส่วน 00:02: 37 09:02:37 53.16 104.31

หมายเหตุ : ตามเวลามาตรฐานประเทศไทย (+7 ชั่วโมง)

ดร. ศรัณย์ ยังกล่าวย้ำถึงวิธีการสังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาอย่างถูกวิธี ว่า “การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์นอกจากจะให้ความร้อนกับเราแล้วยังให้แสงสว่างที่มีความเข้มสูงมาก แม้แต่ขณะที่เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วนหรือสุริยุปราคาวงแหวน ความเข้มแสงและความร้อนจากดวงอาทิตย์ยังคงเดิม ไม่ลดลงแม้แต่น้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำอันตรายต่อสายตาเราได้ หากเราสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์แบบผิดวิธี และขอให้ประชาชนระมัดระวังการบันทึกภาพดวงอาทิตย์ด้วยกล้องดิจิตัล หรือกล้องจากโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากเลนส์ของกล้องต่างๆ เหล่านี้มีคุณสมบัติในการรวมแสง การมองภาพที่ส่องจากเลนส์ไปยังดวงอาทิตย์โดยตรง อาจทำให้ตาบอดได้

แสงของดวงอาทิตย์สามารถทำอันตรายต่อสายตาของเราได้ แม้ว่าจะมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าในเวลาไม่นาน หรือแม้กระทั่งการสังเกตการณ์แผ่นพลาสติกทึบ ฟิล์มเอกซ์เรย์ กระดาษห่อลูกอม แผ่นซีดี แว่นตากันแดด หรือกระจกรมควัน เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังมีประสิทธิภาพในการกรองแสงไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่าจะสามารถกรองความเข้มแสงออกไปได้ แต่ก็ยังไม่สามารถกรองแสงบางช่วงคลื่นที่เป็นอันตรายต่อสายตาออกไปได้

ยิ่งไปกว่านั้นการสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ผ่านกล้องโทรทรรศน์และกล้องสองตาโดยไม่มีฟิลเตอร์กรองแสง สามารถสร้างความอันตรายต่อสายตาได้มากกว่าการสังเกตดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าหลายเท่า เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวจะรวมแสงและความร้อนซึ่งถือว่าอันตรายต่อสายตามาก

อย่างไรก็ตามการสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์โดยขาดความเข้าใจพื้นฐานและข้อปฏิบัติ จะมีโอกาสที่เกิดอันตรายต่อสายตาผู้สังเกตได้มากขึ้น ดังนั้นผู้สังเกตการณ์ควรทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด

วิธีการสังเกตการณ์สุริยุปราคาอย่างถูกวิธี

1. สังเกตการด้วยตาเปล่าโดยใช้แผ่นกรองแสงอาทิตย์ ( Solar Filter) แผ่นกรองแสงจะกรองพลังงานของแสงอาทิตย์ออกไปมากกว่า 99% แสงที่เหลือจึงไม่สามารถทำอันตรายแก่ดวงตาได้ แผ่นกรองแสงอาทิตย์ที่นำมาใช้ควรเป็นแผ่นกรองแสงที่มีคุณภาพและถูกสร้างขึ้นเพื่อกรองแสงอาทิตย์โดยเฉพาะ ได้แก่ แผ่นไมลาร์ กระจกเคลือบโลหะ เป็นต้น

2. สังเกตการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ที่ติดแผ่นกรองแสงอาทิตย์ (Solar Filter) การดูดวงอาทิตย์ผ่านกล้องโทรทรรศน์จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของพื้นผิวบนดวงอาทิตย์ เช่น จุดบนดวงอาทิตย์ (Sunspots) หรือ พวยแก๊ส (Prominence) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ฟิลเตอร์ที่ใช้จะต้องมีคุณภาพสูง ฟิลเตอร์ที่ติดตั้งบนกล้องโทรทรรศน์มีหลายชนิด ได้แก่ ฟิลเตอร์ไฮโดรเจนแอลฟา จะช่วยให้เห็นพวยแก๊สบนดวงอาทิตย์ ฟิลเตอร์ชนิดไมลาร์เป็นแผ่นโลหะบาง ๆ ทำให้ห็นดวงอาทิตย์เป็นสีขาวหรือสีฟ้า ฟิลเตอร์ชนิดกระจกเคลือบโลหะ ทำให้มองเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีส้มหรือสีเหลือง เป็นต้น

3. การใช้ฉากรับภาพและหลักการกล้องรูเข็ม การใช้ฉากรับภาพทำได้โดยใช้กล้องโทรทรรศน์รับแสงจากดวงอาทิตย์ แล้วตั้งฉากรับภาพที่ออกมาจากเลนส์ใกล้ตา วิธีนี้ช่วยให้สามารถดูดวงอาทิตย์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ได้ทีละหลาย ๆ คน ส่วนหลักการกล้องรูเข็ม เพียงแค่เจาะรูเล็ก ๆ บนวัสดุที่ต้องการ โดยรูปร่างของรูที่เจาะไม่มีผลต่อภาพบนฉาก แต่จะมีผลทำให้เกิดความคมชัดและความสว่างของภาพ โดยรูขนาดเล็กจะให้ภาพคมชัด แต่สว่างน้อย และ รูขนาดใหญ่ จะให้ภาพคมชัดน้อยลง แต่จะสว่างมาก

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.narit.or.th/index.php?option=com_content&view=category&id=1:astronomy-news&layout=blog&Itemid=4

Facebook: สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ

Twiiter: @N_Earth

www.narit.or.th



eureka.bangkokbiznews.com

“ดิจิทัลทีวี – สังคมยุคดิจิตอล” ก้าวสำคัญของการพัฒนาประเทศไทย!

เมื่อปี 2491 ประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ภาพโทรทัศน์เป็นครั้งแรก ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ“ช่อง 4 วังบางขุนพรหม” โดยผ่านระบบจอขาว-ดำ เน้นให้ความบันเทิงเป็นหลัก เช่นลิเก และละคร เป็นต้น

วงการโทรทัศน์ของไทยก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบาลไทย ดังนั้นในช่วงสองทศวรรษแรกโทรทัศน์ไทยจึงถูกครอบงำและกลายเครื่องมือทางการเมืองให้กับรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้ปัจจุบันวงการโทรทัศน์ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นสื่อให้ภาครัฐมาจนถึงปัจจุบัน

แต่อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านยุคการเมืองปี 2510 โทรทัศน์ก็เริ่มเติบโตและพัฒนา ผลัดเปลี่ยนสู่ยุคจอสี และมีช่อง 3 , 5, 7 และ 9 เกิดขึ้น จนกระทั่งทศวรรษที่สามวงการโทรทัศน์จึงเข้าสู่ยุคทอง มีการเติบโตของธุรกิจโทรทัศน์ประเภทบอกรับสมาชิกขึ้นมาเป็นทางเลือกให้ผู้ชมนอกจากฟรีทีวี และตั้งแต่ทศวรรษที่สี่เป็นต้นมาวงการโทรทัศน์ก็เข้าสู่ยุคของการแข่งขันอย่างเข้มข้นทางธุรกิจ ทำให้เกิดรูปแบบรายการโทรทัศน์ที่หลากหลาย ทั้งความบันเทิง สุขภาพ อาหาร แฟชั่นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันช่วงชิงการนำเสนอเรื่องของข้อมูล ข่าวสาร ซึ่งทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมของการเสพย์ข้อมูล ข่าวสารได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากการพัฒนาแนวคิดและการนำเสนอของสื่อโทรทัศน์ในยุคปัจจุบัน

จากพัฒนาการของวงการโทรทัศน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และในปัจจุบันกล่าวได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศอย่างมหาศาลในแต่ละปี สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือการพัฒนาสังคมไทยให้เติบโตก้าวหน้าไปพร้อมๆ กันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษาฯ

ดังนั้นจึงกล่าวได้ สื่อโทรทัศน์เป็นสื่อสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางสังคมไทยและการความเจริญก้าวหน้าของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากมองให้เป็นยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาประเทศก็น่าจะทำได้เช่นกัน!!! เพราะวันนี้คงไม่มีใครปฎิเสธว่า สื่อโทรทัศน์มีบทบาทสูงมากกับวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเรื่องของข่าวสาร ข้อมูล ความบันเทิง แฟชั่น ฟุตบอล ฯลฯ แม้จะมีสื่อคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต มือถือและ Social network ต่างๆ มากมายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนวันนี้ก็ตาม

และการปฎิรูปสื่อโทรทัศน์ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยการเปลี่ยนผ่านระบบการรับส่งสัญญาณโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล ทำให้ประเทศไทยเกิด โทรทัศน์ระบบดิจิตอล หรือดิจิตอลทีวี อย่างเต็มรูปแบบเช่นเดียวกับที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงหลายประเทศในอาเซียนเดินหน้าเปลี่ยนระบบมานานแล้ว ขณะที่ไทยยังเพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ในวันนี้นั้น หากการเปลี่ยนระบบเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ดิจิตอลทีวี ไม่เพียงส่งผลดีต่อคุณภาพการรับชมโทรทัศน์ที่ดีของคนไทยทั้งประเทศ แต่ยังทำให้วงการโทรทัศน์ไทยโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด เพราะการเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล หมายถึงการทำให้เกิด White space ช่องว่างหรือพื้นที่ว่างในอากาศที่สามารถนำมาจัดสรรให้กับผู้ประกอบการได้ใช้อีกจำนวนมหาศาล ซึ่งคาดกันว่าจะทำให้เกิดโทรทัศน์อีกมากกว่า 200 ช่อง จำนวนธุรกิจโทรทัศน์ที่มากขึ้นย่อมหมายการสร้างรายได้ในประเทศ การจ้างงาน รวมไปถึงการเป็นช่องทางโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับธุรกิจเล็กๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายในประเทศ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ตามมาอีกเช่น Cloud และโมบายส์ทีวีเป็นต้น ซึ่งทั้งหมดก็คือการพลิกโฉมประเทศไทยสู่การเป็นสังคมดิจิตอลในที่สุด

ภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นในสังคมไทย เมื่อวงการโทรทัศน์ไทย ก้าวสู่การเป็น ดิจิตอลทีวี โดยสมบูรณ์ วันนี้ประเทศไทยเดินช้ากว่านานาประเทศไม่ต่ำกว่า 20 ปี แม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว มาลาเซีย ฯลฯ ก็ทิ้งห่างเราจะแทบจะไม่เห็นฝุ่น คงเหลือแต่พม่าที่ยังคงเดินคู่กับไทยอยู่เท่านั้น แผนการทำงานของกสทช. ตลอด 6 เดือนที่ผ่าน ยังไม่มีสิ่งใดชี้ชัดได้ว่า จะเห็นภาพ ดิจิตอลทีวี เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องการแข่งขันอย่างเสรี โปร่งใส และเป็นธรรม ที่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจได้อย่างที่แผนแม่บทฯ เขียนไว้อย่างสวยหรู ทำให้ทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจ และแม้กระทั่งสื่อสารมวลชน หลายแขนง เริ่มมองถึงท่าทีการทำงานของกสทช.วันนี้ว่า เป็นการ “เตะถ่วง” ไปวันๆ เท่านั้น

ก่อนที่จะปล่อยให้เรื่อง ดิจิตอลทีวี ถูกบิดเบือนและนำทรัพยากรของชาติไปจัดสรรอย่างไม่ธรรม ด้วยเงื่อนไขของผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มมากกว่าผลประโยชน์แห่งชาติ จึงขอเชิญชวนคนไทยมาร่วมขับเคลื่อนโทรทัศน์ไทยสู่ระบบดิจิตอล การเปิดการแข่งขันอย่างเสรี เพื่อประโยชน์ของประเทศ กับโครงการ Digital Agenda Thailand แนวร่วมพลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมดิจิตอล โดยสถาบันนโยบายสังคมและเศรษฐกิจ (ISEP) ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ เอ๊ซ (ACE) ร่วมด้วยภาคเอกชน และสื่อมวลชน เพื่อเป็นสื่อกลางในการรวบรวมความรู้ ประสบการณ์ และกรณีศึกษาจากทั่วโลกในหลายๆ แง่มุมที่เกี่ยวกับเรื่องของ Digital และนำมาถ่ายทอดให้กับทุกภาคส่วนในประเทศไทยในรูปแบบของกิจกรรมสัมมนาต่อเนื่อง

พร้อมรับฟังข่าวสารและข้อเท็จจริง ตลอดจนความรู้ ประสบการณ์ รวมทั้งกรณีศึกษาจากทั่วโลกในหลายๆ แง่มุมที่เกี่ยวกับเรื่องของ Digital ในงานสัมมนาเรื่อง “มองมุมใหม่... ทีวีดาวเทียมและโมบายล์ทีวี” ภายใต้แนวคิด Digital Agenda Thailand ครั้งที่ 3 โดยมี International Telecommunication Union (ITU) ร่วมสนับสนุน

ภายในงานสัมมนา ท่านจะได้รับทราบถึงความรู้เชิงวิชาการและข้อเท็จจริงอันจะเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบของเทคโนโลยีระบบดิจิทัลที่จะเข้ามามีบทบาทต่อประเทศไทยเมื่อ Satellite TV และ Mobile TV เป็นตัวกลางในการสื่อสารและการเข้าถึงของข้อมูล ความเท่าเทียมกันทางสังคมในยุค TV Digital และกรณีศึกษาโดย ผู้แทนจาก International Telecommunication Union (ITU) บทบาทขององค์กรกำกับดูแลในมิติทางสังคม การจัดสรรคลื่นความถี่ใบอนุญาตและการส่งเสริมโดย พันเอก ดร. นที ศุกลรัตน์ รองประธานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ การเสวนาหัวข้อเรื่อง มองมุมใหม่....ทีวีดาวเทียมไทยโดย วิทยากรชั้นนำและผู้คร่ำหวอดในวงการSatellite TV ในประเทศไทย นอกจากนี้ ในการสัมมนาช่วง Session II : New Business Model of Mobile TV ประกอบด้วย Presentation กลยุทธ์การขับเคลื่อนสู่ผู้นำ Digital Mobile TVเสวนาหัวข้อเรื่อง มองมุมใหม่ Mobile TV และประเด็น White Space Policy ในแต่ละประเทศโดยวิทยากรเจ้าของระบบ DVB ยุโรป, ISDB-T ญี่ปุ่น, DTMB จีน และ CMMB จีนและตัวแทนบริษัทผู้นำทางเทคโนโลยีการสื่อสารชั้นนำของโลก ในวันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 08.30–15.30 น. ณ ห้องบอลรูม ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริษัทเอ๊ช (ACE) โทร. 02-254-8282-3 โทรสาร 02-254-8284 หรือคลิก www.digitalagendathailand.com



www.newswit.com

โดย...ปริญญา ชูเลขา ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทย...

โดย...ปริญญา ชูเลขา

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทย เป็นปัญหาที่ท้าทายความจริงใจทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ ที่ผ่านมาแนวโน้มดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันของประเทศไทยในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยที่ยังไม่ดีขึ้น

โดยในปี 2550-2555 ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไทยอยู่ในช่วง 3.3-3.5 จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งต่ำกว่าประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน และมีแนวโน้มแย่ลงอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทราบปัญหาเหล่านี้ดี และกำลังจะลงมาเป็นเจ้าภาพปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐ และกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อเป็นการประกาศยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันและแผนงานเชิงรุกของรัฐบาล โดยจัดประชุมเชิงปฏิบัติการยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ในวันที่ 18 พ.ค.นี้ ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธ.ค. 2550 มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการเปลี่ยนแปลงระดับกรมและจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน คณะผู้แทนทางการทูตในประเทศไทย ผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ และผู้แทนหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เข้าร่วม ทั้งนี้เพื่อประกาศสงครามต่อต้านการทุจริตให้ประชาคมโลกเห็น

รัฐบาลกำหนดวาระและภารกิจมากมาย เพื่อโชว์ว่าได้ป้องปรามและปราบคอร์รัปชัน ไม่ว่าการเตรียมเปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (วอร์รูม) ที่สายตรงมายังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ที่นายกรัฐมนตรีสามารถโทรศัพท์สั่งการได้ทันที และยังมอบหมายให้แต่ละกระทรวงทบวงกรมทั้ง 17 กระทรวง 66 หน่วยงานภาครัฐทั้งหมด นำเสนอโครงการป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดทุจริตคอร์รัปชันขึ้นในองค์กร ตั้งเป้าต้องทำให้ได้ภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี พร้อมกับต้องรายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรี นับเป็นการประกาศสงครามต่อต้านการคอร์รัปชันครั้งแรกในรอบรัฐบาลได้ทำงานบริหารประเทศครบ 1 ปี

อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาแล้ว ช่องทางในการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐมีได้ 3 ทาง ที่มักพบเป็นประจำคือ 1.โกงงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งแต่ละปีเป็นจำนวนนับล้านล้านบาท เช่น ในปี 2555 ที่ผ่านมา รัฐบาลจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2.3 ล้านล้านบาท ซึ่งงบประมาณได้รั่วไหลจากการประมูลงานในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือสัญญาสัมปทานระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนที่เรียกกันว่า ฮั้ว

2.โกงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่า ภูเขา หรือทะเล เพราะทรัพยากรเหล่านี้อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของฝ่ายข้าราชการที่จะคอยปกป้องดูแล เนื่องจากเป็นสมบัติของชาติ

และ 3.โกงภาษี ซึ่งเป็นเงินที่เรียกเก็บจากพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปใช้บริหารประเทศ

ในขณะที่ขบวนการโกงทั้งสามช่องทางไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเพียงลำพัง แต่เป็นการร่วมมือหรือสมคบคิดกันในการทุจริต โดยมีการตกลงผลประโยชน์กันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายการเมือง และภาคเอกชน

ความเคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันที่รัฐบาลกำลังตื่นตัวโหมโรงเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ของใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ภาคเอกชนรวมกลุ่มกันจัดตั้งเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน โดยในการแถลงเปิดตัวเครือข่ายดังกล่าว ได้ชี้ให้เห็นว่าขบวนการทุจริตมีฝ่ายการเมืองเป็นตัวละครสำคัญ ผ่านการให้ข้อมูลต่อสาธารณชนว่า ในปี 2553 พบว่า มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับนักการเมืองและข้าราชการเป็นจำนวนเงินสูงถึง 2 แสนล้านบาท จึงเป็นที่มาของการรวมตัวกันเพื่อต่อต้านการจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้กับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง

ดังนั้น ต้นตอการทุจริตคอร์รัปชันจึงไม่ได้เกิดเฉพาะฝ่ายข้าราชการเท่านั้น แต่รวมถึงฝ่ายการเมืองด้วย ในขณะที่รัฐบาลกำลังประกาศนโยบายต่อต้านการทุจริต โดยคาดหวังจะโชว์เป็นผลงานชิ้นโบแดง เหมือนกับนโยบายปราบปรามยาเสพติด แต่ใช่ว่ารัฐบาลจะมุ่งเน้นแต่การปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเพียงลำพังจะประสบผลสำคัญ เพราะแท้จริงแล้วรัฐบาลในฐานะฝ่ายการเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาฝ่ายข้าราชการประจำด้วยซ้ำ จึงสมควร “ปัดกวาด” บ้านตัวเองให้สะอาดเรียบร้อยก่อนเช่นกัน แล้วค่อยออกมา “ปัดกวาด” บ้านของคนอื่น ด้วยการเอาจริงเอาจังกับการดำเนินคดีทุจริตที่มีนักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่นเข้าไปพัวพัน

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกกล่าวหาว่าช่วยเหลือคดีความภาษีของญาติพี่น้อง ซึ่งทำให้รัฐสูญเงินงบประมาณแผ่นดินหลายหมื่นล้านบาท อีกทั้งนโยบายประชานิยมของรัฐบาลบางประเภทก็เอื้อประโยชน์กับกลุ่มทุนของรัฐบาล เช่น โครงการบ้านหลังแรก หรือโครงการรับจำนำข้าวที่พบว่ามีการทุจริตมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถหาคนผิดมาลงโทษให้เป็นแบบอย่างในการปราบโกง

รัฐบาลทราบดีว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทุกรัฐบาลจอดก่อนถึงฝั่ง คือ การทุจริต ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นและทำลายภาพลักษณ์รัฐบาล ซึ่งรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่พ้นจากอำนาจก็เพราะปัญหาการคอร์รัปชัน แม้ว่า 9 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลนี้จะยังไม่มีข่าวเรื่องการทุจริตใหญ่โต แต่ในอนาคตระบบคอร์รัปชันที่ทำงานอยู่ในฝ่ายการเมือง ข้าราชการ และพ่อค้าเอกชน จะปูดออกมาเรื่อยๆ หากเกิดขึ้นกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อใด หรือหากฝ่ายการเมืองเข้าไปทุจริตหนักจนเป็นข่าว เมื่อนั้นก็ทำให้รัฐบาลสั่นคลอนได้

การจัดกิจกรรมสร้างภาพปราบโกงครั้งนี้ แม้จะเป็นเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเตือนข้าราชการและได้ภาพกับประชาชน แต่ลำพังเพียงการเปิดแถลงข่าว จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ หรือตั้งวอร์รูมสายตรงมายังตึกไทยคู่ฟ้า คงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันได้ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะกล้าเชือดโชว์คดีนักการเมืองทุจริตได้หรือไม่ต่างหาก

และหากทำได้จริงจะเป็นการเริ่มต้นสร้างบรรยากาศความน่าเชื่อถือในการปราบปรามการทุจริตให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

และจะทำให้รัฐบาลอยู่อย่างมั่นคง...




www.posttoday.com

ไอดีซีคาดหลังปี55ไทยจะใช้จ่ายด้านไอทีเป็นที่ 2ในอาเซียน

ไอดีซีคาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี 55 ไทยจะมียอดการใช้จ่ายด้านไอทีสูงเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน หลังถูกสิงคโปร์แซง เนื่องจากจากผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ ยังคงใช้จ่ายและลงทุนด้านไอทีต่อเนื่อง แม้กำลังฟื้นฟูจากเหตุอุทกภัยปี 54 เชื่อ 5 ปีจากนี้อัตราการเติบโตอยู่ที่ 10.8% โดยตลาดสมาร์ทโฟนเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ...

ไอดีซี เผยถึงการคาดการณ์ว่า ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะกลับมามียอดการใช้จ่ายด้านไอทีสูงเป็นอันดับสองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้ง หลังจากที่ถูกประเทศสิงคโปร์เบียดแซงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยยังคงใช้จ่าย และลงทุนในสินค้าเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าประเทศจะยังอยู่ในระหว่างฟื้นฟูความเสียหายจากวิกฤติการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปีที่แล้ว และยังต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวก็ตาม โดยไอดีซีพยากรณ์ว่าในช่วง 5 ปีนี้ (2555 - 2559) ประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านไอทีต่อปีอยู่ที่ระดับสูงกว่าประเทศสิงคโปร์ คือเติบโตขึ้น 10.8% ต่อปี

ส่วนระดับการใช้จ่ายด้านไอทีรวมของทั้งภูมิภาคในปีนี้นั้น ไอดีซีคาดว่ามีแนวโน้มสูงที่จะแตะที่ระดับ 5.47 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีประเทศอินโดนีเซียเป็นผู้นำ ตามมาด้วยประเทศไทย (1.1 หมื่นล้านเหรียญ) และประเทศสิงคโปร์ (1.06 หมื่นล้านเหรียญ) ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ยอดการใช้จ่ายด้านไอทีของไทยถีบตัวสูงขึ้นนั้นมี 2 ประการ คือ การเติบโตของการใช้จ่ายซื้อสินค้าสมาร์ทโฟน และการขยายตัวของอุตสาหกรรมการให้บริการด้านไอทีในประเทศ

ไอดีซีเชื่อว่าตัวเลขการใช้จ่ายด้านไอทีของไทยจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องไปถึงระดับ 1.66 หมื่นล้านเหรียญได้ภายในปี 2559 ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนที่สูงที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมูลค่าของตลาดสมาร์ทโฟนในภูมิภาคนี้ได้เติบโตขึ้น 76% ในปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญ

นางสาวเมลิสซ่า เฉา ผู้จัดการสายงานศึกษาตลาดไคลเอนต์ดีไวซ์ประจำไอดีซีเอเชียแปซิฟิก ระบุว่า ประเทศไทยจะได้รับการจับตามองในฐานะดาวรุ่งในตลาดสมาร์ทโฟนในปีนี้ โดยมีไอโฟนที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภคที่สนใจในเทคโนโลยีเป็นผู้นำในตลาดระดับบน ในขณะที่ผู้ผลิตในประเทศเองก็มีส่วนกระตุ้นตลาดด้วยการผลักดันสินค้าสมาร์ทโฟนที่มีราคาต่ำกว่า 4,500 บาทออกสู่ตลาดทั่วไป

ขณะที่ ตลาดการบริการด้านไอทีในภูมิภาคก็มีแนวโน้มที่สดใสเช่นเดียวกัน ในช่วงปี 2555 - 2559 นั้นประเทศไทยน่าจะมีปริมาณการใช้จ่ายด้านบริการไอทีสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่หลายองค์กรได้หันมาใช้บริการเอาท์ซอร์ส ที่สามารถตอบสนองต่ออุปสงค์ของตลาดได้ดีกว่าการจัดตั้งหน่วยงานในองค์กรขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ โดยภาคส่วนที่มีอัตราการเติบโตสูงคือ การให้บริการด้านการวางระบบ การให้บริการด้านการจัดการการปฏิบัติงาน และบริการด้านซัพพอร์ตต่างๆ

ด้าน นายคริส มอร์ริส รองประธานของไอดีซีเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวเสริมว่า อุปสงค์ที่มีต่อบริการด้านไอทีในประเทศไทยได้รับแรงผลักดันจากการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออก และภาคผู้บริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อบุคคลากรภายในไม่มีทักษะด้านไอทีเพียงพอ องค์กรต่างๆ จึงเลือกที่จะพึ่งพาบริการเอาต์ซอร์สในการวางระบบและจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีรวมถึงอุปกรณ์และแอพพลิเคชั่นต่างๆ.



www.thairath.co.th

ยอดส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อ BMW เพิ่มขึ้น +48% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกในปีที่แล้ว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,227...

ยอดส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อ BMW เพิ่มขึ้น +48% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกในปีที่แล้ว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,227 คัน ส่วนยอดส่งมอบ MINI เพิ่มขึ้น +14% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกในปีที่แล้ว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 100 คัน ยอดส่งมอบ BMW Motorrad เพิ่มขึ้น +114% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกในปีที่แล้ว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 79 คัน...

ในปี 2554 ที่ผ่านมานี้ BMW Group Thailand สร้างยอดขายรวมตลอดทั้งปีมากที่สุดเป็นสถิติใหม่ นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทในประเทศไทย จนมาถึงไตรมาสแรกของปี 2555 นี้ BMW Group Thailand ได้สร้างสถิติใหม่อีกครั้ง ด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับการเริ่มต้นไตรมาสแรกในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัท ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์ BMW ที่ 1,227 คัน (เพิ่มขึ้น +48% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกในปีที่แล้ว), รถยนต์ MINI ที่ 100 คัน (เพิ่มขึ้น +14% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกในปีที่แล้ว), และจักรยานยนต์ BMW Motorrad Thailand ที่ 79 คัน (เพิ่มขึ้น +114% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกในปีที่แล้ว)

มร.แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน BMW Group Thailand กล่าวว่า "สถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับการเริ่มต้นไตรมาสแรกนี้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นได้ชัด ถึงการเติบโตของกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสำหรับ BMW และ MINI ทั้งนี้ BMW Series-5 ยังคงเป็นส่วนสำคัญแห่งความสำเร็จนี้ นอกจากนี้ BMW Series-5 ยังได้รับการเพิ่มโมเดลเรนจ์ให้ครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา (ประกอบด้วย 4 รุ่นสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน : 520i, 528i, 528i Sport, 520i Touring Sport และ 3 รุ่นสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล : 520d, 525d, 520d Touring Sport) รวมไปถึงเครื่องยนต์ BMW ใหม่ล่าสุดสำหรับประเทศไทย BMW ActiveHybrid 5 ซึ่งทำให้ BMW Series-5 มีโมเดลเรนจ์ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมาถึง 8 รุ่นด้วยกัน"

"ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เป็นผลจากการที่ BMW มีโมเดลเรนจ์ของรถยนต์ในทุกรุ่น ที่สามรารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ ดัชนีวัดความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Index) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งความพึงพอใจในด้านงานขายและงานบริการ ก็มีผลลัพธ์ในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มาโดยตลอด ทั้งนี้ ดัชนีวัดความพึงพอใจของลูกค้าในไตรมาสแรกของปีนี้ ก็ยังคงมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง"

"ในด้านการบริการหลังการขายนั้น BMW มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ด้านการขับขี่ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า ของ BMW มาตั้งแต่ปี 2543 เมื่อเริ่มเปิดศักราชใหม่ด้านการบริการหลังการขาย ด้วยเหตุผลนี้ BMW จึงฉลองครบรอบปีที่ 12 ของการบริการหลังการขายด้วยแคมเปญ "Origin of BMW" โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมจนถึง 30 มิถุนายน 2555 นี้ ลูกค้าที่มียอดค่าใช้จ่ายอะไหล่ หรืออุปกรณ์ตกแต่งตั้งแต่ 40,000 บาทขึ้นไป (ก่อนภาษีมูลค่าเพิ่ม) จะได้รับสิทธิ์ร่วมลุ้นชิงแพ็กเกจทัวร์ เพื่อบินไปเยี่ยมชมโรงงานและต้นกำเนิดของ BMW ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี เป็นเวลา 7 วัน - รวมทั้งสิ้น 6 รางวัล รางวัลละ 2 ท่าน และจะจับรางวัลภายในเดือนกรกฎาคม 2555 นี้ เพื่อเดินทางภายในเดือนกันยายน 2555 นี้เช่นกัน

ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2555 นี้ BMW Group Thailand ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดพรีเมี่ยมในเมืองไทย โดยมีการเปิดตัว BMW Series-5 พร้อมเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับ BMW TwinPower Turbo ใหม่ ในรุ่น 520i, 528i และ 528i Sport พร้อมกันนี้ BMW ActiveHybrid 5 ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเพิ่มเติมตัวเลือกผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มเครื่องยนต์ที่ล้ำหน้าในด้านเทคโนโลยี รวมทั้งเปิดตัว BMW Series-3 ใหม่ที่มาพร้อมกันทั้ง 3 ไลน์ที่ตกแต่งอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สำหรับ MINI นั้น ได้เปิดตัวสมาชิกใหม่ล่าสุดอันดับที่ 6 ของ MINI ภายใต้ชื่อ MINI Cooper S Roadster และ MINI Cooper Roadster มาเพื่อกำหนดนิยามของโรดสเตอร์ได้ตามแบบฉบับของ MINI และเพื่อเป็นรถโรดสเตอร์ 2 ที่นั่งเปิดประทุนรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ MINI อีกด้วย.

Photo By
http://www.gotbroken.com

Arcom roumsuwan
E-Mail chang.arcom@thairatrh.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom



www.thairath.co.th

อุตุเตือนฉบับที่ 7 ทั่วทุกภาคของไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น ตกหนักถึงหนักมากบางแห่งเตือนเหนือ กลาง ตะวันออก...

อุตุเตือนฉบับที่ 7 ทั่วทุกภาคของไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น ตกหนักถึงหนักมากบางแห่งเตือนเหนือ กลาง ตะวันออก และใต้เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก

สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกาศเตือนภัยฉบับที่ 7 "ฝนตกหนักบริเวณประเทศไทย "ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 เมื่อเวลา 05.30 น. ระบุว่าหย่อมความกดอากาศต่ำยังคงเคลื่อนตัวบริเวณภาคกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 18-19 พฤษภาคม 2555 จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังในระยะนี้ไว้ด้วย

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สมุทรสงคราม และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.



www.posttoday.com

พัฒนาประเทศไทยต้องเริ่มที่คน คมชัดลึก : เศรษฐกิจ

การพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ มากมายหลายอย่าง แต่หนึ่งปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนา นั่นคือ ปัจจัยด้านทรัพยากรคน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า หลายๆ ประเทศสร้างชาติขึ้นมาจากคุณภาพของคน

ผมคิดว่า ตัวอย่างที่น่าจะใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาคน คือกรณีของประเทศสิงคโปร์

ถ้ายังจำกันได้ สิงคโปร์ในอดีตไม่ได้เจริญก้าวหน้าอย่างปัจจุบัน เมื่อ 50 ปีที่แล้ว สิงคโปร์เป็นประเทศที่ระบบการศึกษาไม่มีคุณภาพ มีปัญหาการว่างงานเรื้อรัง ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ แต่เพียงแค่ไม่ถึงสี่ทศวรรษ ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย

แม้มีหลายปัจจัยต่อความสำเร็จของสิงคโปร์ แต่ที่สำคัญมากๆ คือคุณภาพของคน

สิงคโปร์มีการวางแผนพัฒนาคนอย่างจริงจัง ซึ่งได้เริ่มทำกันมาตั้งแต่ในทศวรรษที่ 1970 ระบบการศึกษาเป็นสิ่งที่สิงคโปร์ให้ความสำคัญเรื่อยมา โดยเฉพาะการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ จากรายงานการพัฒนาโลก (World Development Report) สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการลงทุนทางด้านการศึกษาเฉลี่ยต่อจำนวนประชากรสูงที่สุดในเอเชียอย่างต่อเนื่องในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังยกระดับการศึกษาตนเองโดยมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก และยังมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพคนอย่างต่อเนื่องแม้จะเป็นแรงงานแล้วก็ตาม

เมื่อดูตัวอย่างสิงคโปร์แล้ว ประเทศไทยเราจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง โดยเฉพาะในเวลานี้ที่เรากำลังอยู่บนรอยต่อสำคัญของการพัฒนา

ประเทศเกิดใหม่ทางเศรษฐกิจหลายประเทศกำลังไล่หลังเรามาติดๆ เช่น เวียดนาม พม่า อินเดีย ซึ่งมีอัตราค่าจ้างแรงงานถูกกว่าไทยมาก ทำให้เราเสียเปรียบทางการแข่งขัน ฉะนั้น ถ้าเราต้องปรับตัวโดยยกระดับเศรษฐกิจตัวเอง ที่ไม่เน้นแรงงานราคาถูก เทคโนโลยีต่ำ จะต้องพัฒนาคนอย่างไรเพื่อการเปลี่ยนผ่านนี้ มิเช่นนั้น ก็จะตกอยู่ในสภาพเหมือนไส้แซนด์วิช คือจะขึ้นชั้นทางเศรษฐกิจก็ยาก ในขณะที่ข้างล่างก็กำลังดันขึ้นมา

หากไม่เร่งพัฒนาคุณภาพคน เราจะเผชิญความยากลำบากทางการพัฒนามากในอนาคต ดังนั้น โจทย์สำคัญของเรา ณ เวลานี้คือ ประเทศไทยจะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างไร และแรงงานลักษณะเช่นใดที่ประเทศไทยต้องการในอีกทศวรรษข้างหน้า

ผมคิดว่า ข้อสรุปหนึ่งที่เราเห็นตรงกันตอนนี้คือ ประเทศไทยไม่น่าจะใช่สวรรค์ของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีต่ำ และต้องการค่าจ้างแรงงานถูกอีกต่อไปแล้ว การก้าวไปสู่ธุรกิจบริการ การเงิน การท่องเที่ยว เสริมสร้างวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม รวมทั้งส่งเสริมธุรกิจอาหารในความหมายที่กว้างมากกว่าการเพาะปลูก การทำปะมง แต่หมายถึงการทำธุรกิจอาหารแบบครบวงจร น่าจะเป็นภาพโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในทศวรรษข้างหน้า

แล้วถ้าเราจะไปในทิศทางเช่นนี้ เราจะเตรียมความพร้อมของคนไทยอย่างไร

แน่นอนว่า การสอดแทรกยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เข้าไปในระบบการศึกษาของไทย เช่น วิชาความชำนาญทางด้านบริหารอุตสาหกรรม วิชาการบริหารธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น สิ่งนี้จะทำให้กำลังแรงงานที่จะเข้าสู่ตลาดในอนาคตนอกจากจะมีความรู้ในสาขาที่ตนเองเลือกแล้ว ยังได้ความรู้พื้นฐานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของชาติ

ในขณะเดียวกัน โครงสร้างในการพัฒนาแรงงานของเราจำเป็นต้องประกอบด้วยทุกภาคส่วนที่สำคัญ เพื่อจะยกระดับความเชี่ยวชาญของแรงงานในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ และเหนืออื่นใด การพัฒนาศักยภาพของแรงงานที่อยู่ในระบบยังต้องทำไปตลอด เป็นรูปแบบการเรียนรู้ทั้งชีวิต ความร่วมมือระหว่างสหภาพ นายจ้าง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง จะต้องได้รับการสนับสนุนและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่

โดยสรุปแล้ว รูปแบบการพัฒนาคนจะต้องเป็นไปในลักษณะบูรณาการ ต้องเชื่อมโยงแนวทางการพัฒนาคนเข้ากับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ และต้องพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องตามการเปลี่ยนแปลงของโลกโดยไม่อาจหยุดนิ่งได้

.....................................
(พัฒนาประเทศไทยต้องเริ่มที่คน : คอลัมน์จับกระแสเศรษฐกิจและพลังงาน : โดย...ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่นโยบายและเศรษฐกิจพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) Chodechai.energyfact@gmail.com)



www.komchadluek.net

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โค้ก เดินหน้าจัดกิจกรรมสานความเชื่อมั่นประเทศไทย



tags :

‘เครื่องดื่มโค้ก’ โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย สานต่อการเสริมสร้างกำลังใจให้คนไทยก้าวต่อไปด้วยความเชื่อมั่น จัดทำโครงการ "หนึ่งล้านเหตุผล เชื่อมั่นในเมืองไทย" เชิญชวนคนไทยร่วมส่งเหตุผลดีๆ ที่เชื่อมั่นว่าเมืองไทยยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่เสมอ โดยโค้กจะรวบรวมหนึ่งล้านเหตุผลจากพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ และนำมาเรียบเรียงเพื่อเตรียมจัดตีพิมพ์เป็นหนังสือฉบับประวัติศาสตร์ชื่อ "หนึ่งล้านเหตุผล เชื่อมั่นเมืองไทย" ซึ่งโค้กเตรียมแจกจ่ายให้กับสถานศึกษาและห้องสมุดประชาชนทั้ง 77 จังหวัด เพื่อเป็นบทบันทึกแห่งพลังความเชื่อมั่นที่ชาวไทยมีต่อเมืองไทยอันเป็นที่รักของเรา

นำทีมปลุกกระแสความเชื่อมั่นประเทศไทยกับเครื่องดื่มโค้กในโครงการ "หนึ่งล้านเหตุผล เชื่อมั่นเมืองไทย" โดย เจี๊ยบ - พิจิตรา รักประกาศิต, นุ้ย - สุจิรา อรุณพิพิฒน์, แก๊ป - ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล, แทค - ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม รวมถึงนักเตะทีมชาติ ลีซอ - ธีรเทพ วิโนทัย

นายอาร์ชวัส เจริญศิลป์ ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โครงการ ‘หนึ่งล้านเหตุผล เชื่อมั่นในเมืองไทย’ มีจุดประสงค์เพื่อตอกย้ำทุกความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอนาคตที่ดีกว่าของประเทศไทย คนไทยแต่ละคนก็เปรียบได้กับฟันเฟืองที่สำคัญของสังคม หากเราทุกคนมีความเชื่อมั่นในประเทศแล้ว บ้านเมืองเราก็พร้อมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน สำหรับเหตุผลต่างๆ ที่พี่น้องไทยจะร่วมส่งผ่านทาง www.icoke.co.th นั้น จะสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งดีๆ ต่างๆ ในประเทศไทยที่ไม่มีประเทศใดในโลกเสมอเหมือน ซึ่งบางครั้งเราอาจมองข้ามไปหรือลืมที่จะนึกชื่นชม

paidoo.net

ผนึก 4 องค์กร จัดมหกรรมซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแห่งประเทศไทย

พีไอเอ็ม ร่วมสมาคมสมาพันธ์โอเพนซอร์สฯ เนคเทค และซิป้า จัดมหกรรมซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 11 เสริมแนวทางประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สในองค์กร หวังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยี วันที่ 18-19 พ.ค....

รายงานข่าวแจ้งว่า งานมหกรรมซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแห่งประเทศไทย (Thailand Open Source Software Festival) จัดโดยความร่วมมือของ 4 องค์กร ได้แก่ สมาคมสมาพันธ์โอเพนซอร์สแห่งประเทศไทย (TOSF) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือพีไอเอ็ม โดยมหกรรมฯ ในปีนี้เน้นการนำเทคโนโลยีโอเพนซอร์สเข้ามาจับกับธุรกิจ สนับสนุนให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณทางไอทีที่มีอยู่จำกัด และดำเนินรอยตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยภายในงานแบ่งเป็น 3 ส่วนสำคัญ คือ การสัมมนาแบ่งตามรูปแบบธุรกิจ คือ SME, Enterprise, Mobile & Social, Cloud & Infrastructure โดยสามารถเลือกเข้าร่วมตามความสนใจส่วนเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการใช้งานโอเพนซอร์สที่กำลังเป็นที่นิยม โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ และส่วนการจัดแสดงนิทรรศการจากผู้ประกอบการโอเพนซอร์ส

นายสมโรตม์ โกมลวนิช ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือพีไอเอ็ม กล่าวว่า นับเป็นปีที่สองแล้วที่ได้ร่วมสนับสนุนการจัดงานมหกรรมนี้ในปีที่แล้ว การจัดงานได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยมีผู้เข้าร่วมชมงานเป็นจำนวนมาก และจากการประเมินที่ทำโดยเนคเทคผ่านกลุ่มธุรกิจที่เข้าร่วมแสดงนิทรรศการพบว่าการจัดงานในปีที่แล้วเกิดผลกระทบทางธุรกิจมีมูลค่าสูงถึง 24 ล้านบาท

ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการพีไอเอ็ม กล่าวต่อว่า ในฐานะของสถาบันการศึกษาด้านการจัดการ พีไอเอ็ม เห็นความสำคัญของการใช้งานซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านซอฟต์แวร์ของภาคธุรกิจ ตลอดจนลดปัญหาของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างยิ่งในวงกว้าง นอกจากนี้ ยังอยากเห็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยส่วนใหญ่พัฒนาซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้มากขึ้น และพีไอเอ็นยังมีนโยบายที่จะผลักดัน และพัฒนาหลักสูตรเกี่ยวข้องเพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพเข้าสู่ภาคธุรกิจ สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะสนับสนุนสถานที่การจัดงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว สถาบันการจัดการพีไอเอ็มได้มีคณาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 3 ราย เข้าร่วมเป็นวิทยากรในการอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้อีกด้วย

ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดระหว่างวันที่ 18-19 พ.ค.2555 เวลา 09.30-16.30 น. ณ อาคารหอประชุมปัญญาภิวัฒน์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ถ.แจ้งวัฒนะ

www.thairath.co.th

สธ.หนุนเริ่มฉีดวัคซีนป้องมะเร็งปากมดลูกในด.ญ.12ปี

สธ.หนุนฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเด็กหญิง 12 ปี เพื่อป้องกันไว้ตั้งแต่ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ราคาเข็มละไม่เกิน 500 บาท ชี้ฉีดครบ 3 เข็มจะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ตลอดชีวิต ...

วันที่ 16 พ.ค. นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมการป้องกันมะเร็งปากมดลูกโดยการใช้วัคซีน ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ประชุมร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการใช้วัคซีนป้องกันมะเร็งปาก มดลูกในประเทศไทย ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมได้พิจารณาข้อมูลทางวิชาการและมีความเห็นตรงกันว่า ควรฉีดวัคซีนเอช พี วี (HPV) เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้หญิงไทย โดยประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ถ้าวัคซีน เอช พี วี (HPV) ที่จะฉีดราคาเข็มละ 400-500 บาทจะถือว่าคุ้มค่า ขณะเดียวกันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ศึกษาว่า ถ้าราคาวัคซีนต่ำกว่าเข็มละ 2,000 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่า รวมทั้งจากการพูดคุยกับหัวหน้าภาควิชาสูตินรีเวช รพ.รามาธิบดี และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ให้ความเห็นตรงกันว่า ถ้าราคาอยู่ประมาณเข็มละ 500 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่า โดยเมื่อฉีดครบ 3 เข็มจะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ตลอดชีวิต

รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ความคุ้มค่าที่กล่าวนี้ เปรียบเทียบจากมูลค่าในการซื้อวัคซีน กับค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ซึ่งขณะนี้ไทยมีผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 10,000 ราย เสียชีวิตประมาณปีละ 5,000 ราย เป็นเงินค่ารักษาประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี เฉลี่ยรายละ 50,000 บาท รวมทั้งยังมีผลกระทบต่อครอบครัวสูญเสียรายได้ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุ 40-50 ปี รวมทั้งยังขาดคนดูแลบ้านและบุตร ลูกหลานต้องหยุดงานไปเฝ้าดูแลผู้ป่วย ทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาล ในภาพรวมที่ประชุมวันนี้ส่วนใหญ่สนับสนุนค่อนข้างมาก ซึ่งจะมีการหารือรายละเอียดในการดำเนินการต่อไป หลังจากนั้นก็จะดำเนินการตามขั้นตอน โดยคณะกรรมการเกี่ยวกับวัคซีนพิจารณา นำเข้าสู่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ รวมถึงผ่านที่ประชุมคณะอนุกรรมการสิทธิประโยชน์ของ สปสช.พิจารณาต่อไป ทั้งหมดนี้จะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อปกป้องชีวิตของสตรีไทย

"สำหรับความกังวลว่าจะสร้างภาระให้แก่รัฐและประเทศด้านงบประมาณหรือไม่นั้น ในการประเมินค่าความคุ้มค่ากับชีวิตของหญิงไทยที่เสียไป โดยการฉีดวัคซีนเอชพีวีป้องกัน มีคำแนะนำให้ฉีดให้กับนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หรืออายุ 12 ปี เพื่อป้องกันไว้ตั้งแต่ก่อนมีเพศสัมพันธ์ หากฉีดวัคซีนครอบคลุมปีละประมาณ 400,000 คน ทุกปีไปเรื่อยๆ เราจะลดการป่วยและการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกได้ถึงประมาณร้อยละ 70 ถือว่าเป็นการยกคุณภาพชีวิตของผู้หญิงไทยให้สูงขึ้น และขณะนี้ 40 ประเทศทั่วโลกได้เริ่มฉีดวัคซีนนี้แล้ว รวมทั้งประเทศที่ใกล้บ้านเราที่สุดคือมาเลเซีย สิงคโปร์" นพ.สุรวิทย์กล่าว

นพ.สุรวิทย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับราคาวัคซีนนั้น หากผ่านการพิจารณาอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทย จึงจะทราบราคาที่แน่นอน เท่าที่มีข้อมูลของประเทศมาเลเซียอยู่ที่ราคาเข็มละ 500 บาท แต่ในประเทศไทย ถ้าเราฉีดเด็กหญิงอายุ 12 ปี หรือ ป.6 ที่มีประมาณปีละ 400,000 คน มากกว่ามาเลเซียที่ฉีดให้ปีละ 300,000 คน อำนาจต่อรองน่าจะสูงกว่า อีกทั้งเมื่อระยะเวลาผ่านไป ราคาวัคซีนจะยิ่งถูกลง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการฉีดวัคซีนเอชพีวี ก็จะต้องมีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีแปปสเมียร์ หรือ วีไอเอ ควบคู่กัน เพราะการฉีดวัคซีนเป็นการป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ส่วนการตรวจแปปสเมียร์ หรือ วีไอเอ เป็นการตรวจหาคนที่เป็นมะเร็งปากมดลูกเป็นคนละขั้นตอน.

www.thairath.co.th

เชฟรอนจับมือแพธต่อยอดโครงการทริปเปิล E เดินหน้าให้ความรู้เรื่องเอดส์ในภาคอีสาน

บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สานต่อโครงการ “ทริปเปิล E” เพื่อมุ่งส่งเสริมความรู้เรื่องเอดส์และเพศศึกษาให้แก่เยาวชน โดยสนับสนุนงบประมาณกว่า 3 ล้านบาท แก่องค์การแพธประจำประเทศไทย (PATH) เพื่อร่วมกันดำเนินงานเสริมสร้างพลังคนในการรับมือกับปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีและเพศสัมพันธ์ในเยาวชน โดยส่งเสริมความรู้เรื่องเพศและสุขภาพแก่วัยรุ่นผ่านการสื่อสารในครอบครัว

นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการทริปเปิล E ถือเป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสังคมของเชฟรอน ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยในโครงการนี้ เชฟรอนได้ร่วมมือกับองค์การแพธประจำประเทศไทย จัดกิจกรรมหลักสูตรการสื่อสารระหว่างผู้ปกครองกับบุตรหลาน เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศ การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรให้แก่เยาวชน”

กิจกรรมในโครงการเริ่มจาก การเข้าไปให้ความรู้กับอาสาสมัครเพื่อพัฒนาอาสาสมัครผู้ติดเชื้อให้เป็นวิทยากรในการเผยแพร่ความรู้ด้านเพศศึกษาให้แก่ชุมชน และส่งเสริมเรื่องสุขภาพทางเพศแก่วัยรุ่นให้กับผู้ปกครองต่อไป เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถให้คำปรึกษาแก่บุตรหลานได้อย่างมีทักษะ เพื่อสร้างการสื่อสารในครอบครัวที่เข้มแข็ง โครงการนี้ได้จัดขึ้นในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี อุบลราชธานี และศรีสะเกษ โดยเป็นการให้ความรู้ ทักษะ การฝึกฝน และคู่มือพ่อแม่ กระบวนการอบรมเน้นที่การพัฒนาการสื่อสารและการปรึกษาหารือระหว่างผู้ปกครองและลูกหลานวัยรุ่นโดยใช้เทคนิคต่างๆ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ได้มากจากการส่งเสริมให้ผู้ปกครองเป็นผู้คิด ทบทวน และทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง หลังจากผ่านการอบรมทั้งหมด วิทยากรฝึกสอนจะได้ลงพื้นที่ไปยังชุมชนต่างๆ เพื่อนำทักษะที่ได้จากการฝึกอบรมสองวันเต็ม ลงไปปฏิบัติจริง โดยจัดการฝึกอบรมต่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองในพื้นที่ โดยเฉพาะในด้านการใช้เทคนิคการสื่อสารเรื่องเพศกับลูกอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิด “การสื่อสารครอบครัว” ที่ต่างตระหนักถึงการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ในวัยเรียน นอกจากนี้ โครงการฯ ยังจะช่วยเสริมสร้างเครือข่ายพลังคน เพื่อสร้างพลังให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีให้สามารถทำประโยชน์และอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างเป็นสุข”

นายไพโรจน์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “โครงการ ‘ทริปเปิล E’ ของเชฟรอน คอร์ปอเรชั่น มีเป้าหมายในการทำงานร่วมกับองค์กรด้านการพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญต่างๆ ทั่วโลก เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างยั่งยืน และได้ดำเนินการมาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งในประเทศไทย องค์การแพธ (PATH) อันเป็นองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศด้านการสาธารณสุขเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีของผู้ขาดโอกาสในสังคมเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการ ทริปเปิล E”

ด้านนางสาวภาวนา เหวียนระวี ผู้แทนองค์การแพธประจำประเทศไทย กล่าวว่า “องค์การแพธได้ดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาสำหรับเยาวชนในระบบการศึกษา ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนโลกฯ ภายใต้ชื่อโครงการก้าวย่างอย่างเข้าใจ โดยได้พัฒนาหลักสูตรเพศศึกษารอบด้านสำหรับสถานศึกษาในระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ตลอดจนหลักสูตรการพัฒนาครูและวิทยากรหลักเพศศึกษา นอกจากนั้นยังได้พัฒนาหลักสูตรการสื่อสารระหว่างพ่อแม่ ผู้ปกครองกับบุตรหลาน ควบคู่ไปกับการดำเนินการในสถานศึกษา โดยมุ่งหวังให้พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นมีความรู้ความเข้าใจ มีทัศนคติที่ดีในเรื่องเพศ และมีทักษะการสื่อสารเรื่องเพศกับลูกอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งในครั้งนี้ทางบริษัทเชฟรอนฯ ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงาน ดิฉันรู้สึกยินดีที่มีบริษัทเอกชนอย่างเชฟรอนที่เล็งเห็นความสำคัญกับการให้ความรู้เรื่องเพศและเอชไอวีแก่เยาวชนไทย

“นอกจากนั้น โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้อาสาสมัครผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้บอกเล่าประสบการณ์และให้ความรู้แก่ชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ ในฐานะวิทยากรในการฝึกอบรมทักษะการสื่อสารในครอบครัวให้กับผู้ปกครอง ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ดีในการสร้างพลังใจให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในสังคมและทำประโยชน์ให้กับชุมชนของตนเองได้”

บริษัทเชฟรอนฯ ดำเนินธุรกิจด้วยหลักการปฏิบัติงานด้วยความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินนโยบายด้านสังคมซึ่งเน้นเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดย เชฟรอนฯ มุ่งสนับสนุน “พลังคน” โดยมีพื้นฐานจากความเชื่อและการให้ความสำคัญในศักยภาพของ “คน” ในการสร้างสรรค์ และลงมือทำ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นกับสังคม โดยเริ่มจากภายในสู่ภายนอก คือ สร้างพลังใจ โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนัก ปลูกจิตสำนึก ค่านิยมที่ต้องการทำความดี และสร้างประโยชน์ให้สังคมให้เกิดขึ้นก่อน จากนั้นก็สนับสนุน “พลังคน” เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย โดยการสนับสนุนทั้งในรูปแบบของการให้องค์ความรู้ และงบประมาณ รวมไปถึงความร่วมมือในลักษณะของการเป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง



www.newswit.com

AAS ผู้นำเข้า Porsche อย่างเป็นทางการแต่ผู้เดียวในประเทศไทย...

AAS ผู้นำเข้า Porsche อย่างเป็นทางการแต่ผู้เดียวในประเทศไทย เชิญสื่อมวลชนลงทดสอบสมรรถนะของสปอร์ตซาลูนสุดหรูพลังสูง Porsche Panamera S Hybrid ยนตรกรรมแนว Gran Turismo เครื่องยนต์ลูกผสม เบนซิน-มอเตอร์ไฟฟ้า พลัง 380 แรงม้า...

Panamera S Hybrid คือปฐมบทแห่งสมรรถนะของ Porsche Intelligent Performance สานต่อความสำเร็จบนตัวถังแนว Gran Turimo รูปลักษณ์ 4 ประตูหลังคาลาดเทแนว Sport GT ผสมผสานเครื่องยนต์เบนซิน V6 กับการถ่ายเทแรงบิดที่รวดเร็วของชุดมอเตอร์ไฟฟ้าพลังงานสูง การทำงานทั้งสองแบบทำให้ Panamera สามารถผลิตกำลังได้ถึง 380 แรงม้า หรือ 279 กิโลวัตต์ อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่กำลังกลายเป็นจุดขาย มันทำได้ 6.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (41.54 mpg) เมื่อทดสอบการขับขี่ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน NEDC ขณะที่ยังคงรสชาติของความเป็นรถสปอรต์และความหรูหราไว้อย่างครบครัน รถ Panamera S Hybrid ปล่อยก๊าซ CO2 ประมาณ 159 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร ทําให้ Panamera S Hybrid เป็นรถรุ่นที่ประหยัดที่สุดที่สําหรับแบรนด์ Porsche ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท ถือได้ว่ามีตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่ายนตรกรรมรุ่นอื่นๆ ที่มีเครื่องยนต์ Hybrid ในคลาสเดียวกัน

ประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน และการปล่อยมลพิษที่ต่ําของ Panamera S Hybrid เกิดขึ้นด้วยการผสมสมรรถนะ น้ำหนัก ย่านของกำลังแรงบิด และยางที่มีความเสียดทานต่ําของมิชลิน (Michelin) ซึ่งผลิตยางรุ่นพิเศษเพื่อ Porsche Panamera โดยเฉพาะ เจ้าของรถสามารถเลือกติดตั้งยางรุ่นพิเศษนี้เป็นอุปกรณ์เสริมได้ ยางรุ่นพิเศษที่พร้อมใช้ในทุกฤดูนี้ มีส่วนผสมดอกยางที่ลดความต้านทานระหว่างการวิ่ง โครงสร้างยางที่ได้รับการปรับแต่ง ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงเนื่องจากการเสียดทานที่ลดลง จากขั้นตอนในการออกแบบและพัฒนา ออปชั้นเสริมยางพิเศษนี้ สามารถติดตั้งบนล้อขนาด 19 นิ้วที่มีขนาดยาง 255/45 R19 และล้อคู้หลังที่มีขนาดยาง 285/40 R19 ยางหลังซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อนถูกขยายขนาดหน้ายางให้โตขึ้น เพื่อสร้างแรงยึดเกาะให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด

เครื่องยนต์บล็อก V6 วางด้านหน้า เสื้อสูบและฝาสูบหล่อขึ้นรูปจากอัลลอย ดับเบิลโอเวอร์เฮตแคมชาร์ฟ DOHC 4 วาล์วต่อ 1 กระบอกสูบ=24 วาล์ว ปริมาตรความจุ 2,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 84.5 x 89.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 เพลาลูกเบี้ยวไอดีแบบแปรผันจังหวะการทำงาน ระบบตั้งระยะห่างวาล์วไฮดรอลิก ระบบอัดอากาศ Super-Charge จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Direct Injection ผ่านกล่องสมองกล Bosch Motronic ME 7.1.1 Fuel Injection ระบบหล่อลื่นแบบ Wet Sump ใช้น้ำมันเครื่อง 8.1 ลิตร พร้อมด้วยระบบฟอกควันพิษ Catalytic Converter 3 Way เครื่องยนต์ติดตั้ง Oxegen Sensor สองตัวสำหรับแถวลูกสูบแต่ละแถว จ่ายกระแสไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ Static ด้วยคอยล์จุดระเบิดแยก 6 ชุด พร้อมระบบ ตัดเชื้อเพลิง Variable Overrun ระบบติดและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดอยู่กับที่ Auto Start/Stop โมดูลระบบ Hybrid พร้อมมอเตอร์กับระบบตัดการเชื่อมต่อและระบบ Auto Start/Stop

เครื่องยนต์ ของ Panamera S Hybrid มีกำลังสูงสุด 333 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ ถึง 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร มาในรอบเครื่องยนต์ประมาณ 3,300 รอบ ถึง 5,250 รอบต่อนาที เชื่อมต่อกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 47 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,150 รอบต่อนาที เมื่อรวมทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน Panamera S Hybrid จะมีกำลังแรงบิดมากถึง 580 นิวตันเมตรและมาในรอบต่ำเพียงแค่ 1,000 รอบต่อนาทีเท่านั้น ม้าทั้ง 380 ตัวคือม้าจากเยอรมนีที่ให้แรงบิดอย่างต่อเนื่อง ส่งตรงไปยังชุดส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะ Tiptronic-S หรือ PDK-7 ออปชั่นเสริมพิเศษที่เจ้าของรถต้องควักกระเป๋าเพิ่ม

ระบบรองรับหรือชุดกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ ใช้วัสดุพวกอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนัก และให้ความรู้สึกที่ดีกว่าโลหะประเภทเหล็ก ส่วนส่วนชุดกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link ทำจากอะลูมิเนียมที่มีติดตั้งเข้ากับเฟรมแชสซี มีระบบถุงลม ด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมการควบคุมปริมาตรปริมาตรอากาศเพิ่มเติมในสปริงลมแต่ละตัว ช็อกอัพเป็นแบบ แก๊ส ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ควบคุมด้วระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบปรับแรงหน่วงต่อเนื่อง (Porsche Active Suspension Management, PASM) ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกการขับขี่ได้ถึง 3 โหมด เพื่อเพิ่มหรือลดทอนความดิบ รวมทั้งการตอบสนองของระบบกันสะเทือน ตามความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา และสภาพการขับขี่ทั้งแบบธรรมดา Sport Mode และ Sport ++ (โหมดหลังสุด กดเลือกด้วยสวิตช์ไฟฟ้า บนชุดหน้าปัด โดยผู้ขับขี่จะรับรู้การทำงานของระบบ PASM ได้จากการช่วยลดความสูงของตัวรถทั้งคันให้เตี้ยลง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความดิบเถื่อนของคนขับ)

ช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท AAS Auto ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Porsche ในประเทศไทย ได้เชิญสื่อมวลชนลงทำการทดสอบสมรรถนะและการควบคุมตัวรถ Panamera S Hybrid โดยจัดขึ้นที่ลานกิจกรรมในกรมทหารราบ 11 ถนนพหลโยธิน เพื่อยืนยันถึงความพร้อมในการทำตลาดรถยนต์เครื่องยนต์ลูกผสมเบนซิน+มอเตอร์ ไฟฟ้าของ Porsche ในประเทศไทย ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหนึ่งเดียวของยนตรกรรมสปอร์ตยี่ห้อ Porsche ที่พรั่งพร้อมด้วยบริการหลังการขาย การดูแลลูกค้า อะไหล่และศูนย์บริการพร้อมช่างฝีมือที่ผ่านการอบรมระบบต่างๆ ของรถ Porsche สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ซื้อรถ Porsche โดยครอบคลุมในทุกๆ ด้านของการบริการ

15.30 น. ผมก้าวขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งผู้โดยสารที่เบาะหน้าของ Panamera S Hybrid สีเงินยวง โดยมีคุณแมน มานิตย์ รุ่นพี่ในวงการรถแข่งและนักขับรถแข่งชั้นนำของเมืองไทย ซึ่งในวันนั้นพี่แมนคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวรถ การใช้อุปกรณ์ การทำงานของเครื่องยนต์และระบบ Hybrid รวมถึงการควบคุมพวงมาลัยที่ย่านความเร็วสูง ให้ประสานไปกับทิศทางและองศาของการเลี้ยวหักหลบแท่งไพล่อน พี่แมนคือหนึ่งในตำนานของการแข่งขันรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งยืนอยู่บนหัวแถวของพวกสุดยอดฝีมือ คำแนะนำต่างๆ เช่นการควบคุมพวงมาลัย ตำแหน่งของการนั่งขับขี่ การวางเท้าและแขนรวมถึงศีรษะ ให้สัมพันธ์ไปกับท่านั่ง ที่จะส่งผลให้การควบคุมรถพลังสูงคันนี้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ส่วนการขับขี่ทดสอบ 2 รอบแรกนั้น พี่แมน มานิตย์เป็นคนขับพร้อมอธิบายให้ผมรับรู้ถึงเครื่องยนต์ อัตราเร่งอันนิ่มนวลแต่ทรงพลังของระบบ Hybrid ใน Panamera S Hybrid คันทดสอบ ระบบเบรกและทักษะการคอนโทรลพวงมาลัยให้ประสานไปกับความเร็วของตัวรถ นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์อันมีค่าที่มีไม่บ่อยครั้งนัก สำหรับการทดสอบยนตรกรรมหรูหราราคาแพงของค่าย AAS Auto

ระบบส่งกำลังใน Panamera S Hybrid เป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่พัฒนามาเพื่อวางลงในตัวรถรุ่น Hybrid ช่วยลดการปล่อยมลพิษ และลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้มากกว่าเกียร์รุ่นเก่า จากอัตราทดที่กว้างและครอบคลุมในทุกย่านความเร็ว ที่ระดับความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เจ้า Panamera S Hybrid ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 1,900 รอบต่อนาที ซึ่งทำให้ค่าเฉลี่ยการกินน้ำมันที่ 14 กิโลเมตรต่อลิตรตามที่วิศวกรของ Porsche เคลมมานั้นเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด คันเร่งไฟฟ้า ที่ออกแบบให้กระชับและฉับไวต่อการตอบสนองในการเรียกกำลัง ผมได้ขับทดสอบเป็นคนสุดท้ายของบ่ายวันนั้น เนื่องจากเย็นมากแล้วและการทดสอบเจ้า Panamera S Hybrid นั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนเช้า ยางและสภาพของระบบรองรับกับตัวรถยังคงปกติดีทุกอย่าง แม้มันจะโดนอัดโดนเค้นมาทั้งวัน แต่การยึดเกาะ อัตราเร่งรวมถึงระบบต่างๆ ยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์

สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือความรู้สึกของพวงมาลัยที่ทั้งคมและไว โดยมีการหน่วงน้ำหนักมาเป็นอย่างดีจากขั้นตอนในการพัฒนา พวงมาลัยของ Panamera S Hybrid เป็นแบบสามก้าน มีสวิตช์เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ติดตั้งมาให้ พร้อมกับสวิตช์ปรับโหมดต่างๆ ของเครื่องเสียงและโทรศัพท์บลูทูธ ถึงแม้จะมีขนาดของวงโตกว่ารถสปอร์ตรุ่นอื่น แต่หนังแท้ที่ใช้ห่อหุ้ม กับแนวคอดบริเวณร่องนิ้วโป้งและนิ้วชี้ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ทำให้การจับมีความกระชับและให้ความรู้สึกที่มั่นคง ส่วนวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ประดับประดาภายในห้องโดยสารของ Panamera S Hybrid มีรูปแบบที่โดดเด่นคล้ายกับ Cockpit ของเครื่องบิน จากปุ่มและสวิตช์ต่างๆ ที่เรียงรายอยู่เต็มคอนโซล จอแสดงผลบริเวณหน้าปัด ยังคอยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ให้ได้รับรู้ถึงการทำงานของระบบต่างๆ โดยส่งถ่ายข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเช่น โหมดการขับขี่ ปริมาตรของกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ การทำงานของเครื่องยนต์และระบบ Hybrid อุณหภูมิภายนอก ปริมาณเชื้อเพลิงในถังกับระยะทางที่สามารถวิ่งถึงฯ

สำหรับท่านที่ชอบความแรงสไตล์สปอร์ตจีทีและต้องการบริการหลังการขายที่ครบครัน คงต้องมองไปที่บริษัท AAS-Auto ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Porsche ในประเทศไทย ถึงแม้ Panamera S Hybrid จะเป็นรถประหยัดพลังงานแบบ series-parallel แต่มันก็มีแรงบิดรอบต่ำให้ใช้อย่างจุใจ และสามารถสร้างแรงดึงในแบบรถสปอร์ตจีทีได้อย่างสมบูรณ์ พละกำลัง 380 แรงม้าเมื่อรวมทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน (เครื่องยนต์บวกมอเตอร์ไฟฟ้า) จะมีแรงบิดถึง 580 นิวตันเมตร ซึ่งนับว่าสูงมากในหมู่รถ Hybrid เสียงเครื่องยนต์ V6 ที่ถูกปรับแต่งท่อไอเสียมาเป็นอย่างดี กับการยึดเกาะในระดับดีเยี่ยมสมราคาค่าตัว 9.6 ล้านบาท ทำให้มันเป็นรถสปอร์ตสี่ที่นั่งที่มีความน่าขับมากที่สุดในยุคนี้.

Arcom roumsuwan
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom



www.thairath.co.th

ดีเอชแอล เปิดศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 มูลค่า 2.7 ล้านยูโร

การลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาเพื่อตอบสนองต่อการขยายตัวของดีเอชแอล ในประเทศไทย และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ

ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ผู้นำธุรกิจขนส่งด่วนระดับโลก เปิดตัวศูนย์กระจายสินค้าล่าสุดมูลค่า 2.7 ล้านยูโร หรือ 124 ล้านบาท บนถนนพระราม 3 เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าชาวไทย นอกจากนี้ ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของดีเอชแอลในการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าที่สำคัญในเอเชีย นอกเหนือจากในฮ่องกง สิงคโปร์ และเซี่ยงไฮ้ ที่จะเปิดทำการภายในเดือนกรกฎาคม ศกนี้

ศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 ซึ่งติดตั้งเทคโนโลยีอันทันสมัย โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 2,448 ตารางเมตร และถือเป็นศูนย์กระจายสินค้าแห่งที่ 5 ของดีเอชแอลในกรุงเทพฯ ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยทำให้ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้สามารถรองรับสินค้าได้มากถึง 3,700 ชิปเม้นท์ต่อวัน

ชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “สำหรับในปี 2555 นั้น ดีเอชแอลยังคงเดินหน้าในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และขยายสาธารณูปโภคของเราอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจในประเทศไทยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าในฐานะที่เราเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมการขนส่งในระดับโลก ด้วยเหตุที่ บริเวณพระราม 3 มีความได้เปรียบด้านกลยุทธ์ เนื่องจากตั้งอยู่ในใจกลางของกรุงเทพฯ และใกล้กับการเชื่อมต่อทางการเดินทางหลายจุด นอกจากนี้เรายังตั้งอยู่ใกล้กับลูกค้าที่อยู่ในบริเวณเขตธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ รวมถึงเขตสีลมและสาทร ทำให้เราสามารถบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น การเปิดศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนในประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตภายในประเทศ ในฐานะที่เป็นองค์กรที่ผู้บริโภคเลือก เรายังคงมองหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อมอบบริการที่เป็นเลิศ รวมถึงมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าของเรา ”

“ประเทศไทยจะยังคงเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าที่สำคัญของเรา และเราจะยังคงลงทุนในสาธารณูปโภค ผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพในการบริการรวมถึงบุคลากรของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับโอกาสต่างๆ ในอนาคตหลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ในฐานะผู้นำการขนส่งระดับโลก เราต้องก้าวเร็วกว่าคู่แข่งของเรา และการเปิดศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 เป็นตัวอย่างของการเติบโตอย่างต่อเนื่องและความมุ่งมั่นในการมอบบริการที่เป็นเลิศของเราเป็นอย่างดี” ยาสมิน อลาดาด คาน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว

ศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 เป็นศูนย์กระจายสินค้าแห่งแรกของดีเอชแอลที่ใช้ระบบ Dual Weight Dimension Length (WDL) ในกระบวนการชั่งน้ำหนักที่สามารถรองรับการขนถ่ายสินค้าได้เร็วสูงสุดถึง 600 ชิ้นต่อชั่วโมง นอกจากนี้การใช้เครื่องสแกนเนอร์ใหม่ยังช่วยในการส่งต่อข้อมูลให้เร็วยิ่งขึ้นทำให้เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทั้งหมดรวมถึงลดเวลาในกระบวนการทำงานด้วย นอกจากนี้ ศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 ยังใช้เป็นสำนักงานของพนักงานรับข้อมูลสินค้าของลูกค้า (customer data entry) ซึ่งจะเป็นจุดที่รวบรวมข้อมูลของการสั่งจากศูนย์อื่นแล้วจัดไว้ในระบบกลาง ทำให้สามารถจัดการเวลาได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านข้อมูลของศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 อีกด้วย

ทั้งนี้ เพื่อดำเนินตามนโยบายของดีเอชแอลในการลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2563 การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงเลือกระบบประหยัดไฟในอุปกรณ์และเครื่องมือในศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการประหยัดพลังงานของดีเอชแอล ด้วย และด้วยความมุ่งมั่นนี้เอง ดีเอชแอลหวังว่าจะมีส่วนช่วยในการลดการใช้พลังงานทั้งหมดในศูนย์กระจายสินค้าพระราม 3 ได้เป็นอย่างดี



www.newswit.com

สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างจีน-ไทย

เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนถือเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ในขณะเดียวกันทั่วโลกต่างจับตามองและหันมาลงทุนและท่องเที่ยวประเทศจีนเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ไม่เว้นแม้แต่คนไทยที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวประเทศจีนเป็นอย่างมากมาเป็นเวลาช้านาน ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยและจีนมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมาเป็นเวลากว่า 30 ปี จนถือได้ว่าเปรียบเสมือนเมืองพี่เมืองน้องกัน มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ทั้งคนจีนและคนไทยรู้สึกเป็นกันเองมากในการเดินทางท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศ

จะเห็นได้ว่า ตามสถิติที่ผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว คนไทยเดินทางไปเที่ยวเมืองจีนถึงกว่า 600,000 คน แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกที่สำคัญๆของจีนหลายแห่งเป็นที่นิยมของคนไทยมาก ทั้ง คุนหมิง ต้าลี่ ลี่เจียง แชงกรีลา หรือแม้กระทั่ง จางเจียเจี้ยที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Avatar ที่โด่งดังทั่วโลกและทำรายได้มหาศาล นอกจากนี้คนไทยเชื้อสายจีนยังนิยมที่จะเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียนบรรพบุรุษอย่างสม่ำเสมอ มีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมตระกูลแซ่ต่างๆ มีการทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมประเพณีซึ่งกันและกันมายาวนาน มีการให้ความสำคัญกับประเพณีจีนทั้งในเรื่องเทศกาลตรุษจีนที่มีกิจกรรมอย่างยิ่งใหญ่ที่เยาวราช รัฐบาลไทยขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่ได้ส่งนักแสดงจาก 10 มณฑลมาร่วมแสดงในช่วงเทศกาลตรุษจีน และหมุนเวียนไปแสดงใน 10 จังหวัดของประเทศไทย ทำให้ประชาชนไทยได้รู้จักวัฒนธรรมของจีนมากขึ้น

ปัจจุบันการท่องเที่ยวของไทยมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก มีมูลค่าการท่องเที่ยวคิดเป็น 8% ของ GDP เทียบเท่าการส่งออก ข้าว อ้อย มันสำปะหลังและยางพารา ในปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2554) นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยถึง 19.1 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวจีนถึงกว่า 1.7 ล้านคนรองจากประเทศมาเลเซีย และมีแนวโน้มที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยขณะนี้ใน 3 เดือนแรกของปีนี้มีเพิ่มมากขึ้นถึงกว่าร้อยละ 15 คาดว่าจะสามารถเพิ่มมากขึ้นได้ถึงกว่า 2 ล้านคนในปีมังกรทองนี้ เนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายทั้งด้านหาดทราย ชายทะเล ภูเขาและแม่น้ำ ปัจจุบันนี้จังหวัดชายทะเลทั้งภูเก็ต สมุยและพัทยาเป็นที่นิยมติดอันดับโลกและยังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคนจีน ในเดือนเมษายนนี้จังหวัดภูเก็ตยังได้รับความไว้วางใจจากบริษัทแอมเวย์ประเทศจีนในการเป็นสถานที่จัดประชุมที่มีผู้เข้าร่วมประชุมมากถึง 18,000 คน

รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว โดยนายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีเปิด Miracle Year ไปเมื่อเร็วๆนี้ มีการขยายสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปใน 4 เมืองหลัก ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง และ เฉิงตู มีนโยบายที่จะผลักดันการท่องเที่ยวตามนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มนักท่องเที่ยวระหว่างกันปีละถึง 20% ภายใน 4 ปีข้างหน้า คาดหวังว่าในปี พ.ศ.2558 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไทยถึง 3.7 ล้านคน ในขณะเดียวกันจะมีนักท่องเที่ยวไทยไปจีนถึง 1 ล้านคน

ขณะนี้ประเทศไทยยังมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น อาทิ กระบี่ เกาะช้าง หัวหิน-ชะอำ ตรังหรือแม้กระทั่งเกาะหลีเป๊ะที่จังหวัดสตูลที่มีความสวยงามเทียบเท่า Maldive เป็นต้น มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานในแต่ละแหล่งท่องเที่ยวรวมถึงการพัฒนาการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาคุณภาพของสถานประกอบการทั้งโรงแรมที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐานสากล ทั้งโรงแรมระดับ International Chain และเครือโรงแรมของคนไทยเอง มีการพัฒนาโรงแรมใหม่ๆที่มีความโดดเด่น อาหารการกินที่เป็นที่ถูกปากนักท่องเที่ยว มีบริการสปาที่ขึ้นชื่อรวมถึงสนามกอล์ฟที่มีมาตรฐาน

เส้นทางคมนาคมทางอากาศ ทุกวันนี้มีเครื่องบินที่บินตรงจากแหล่งท่องเที่ยวหลักของจีน (ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง กวางเจา เจินโจว ซีอาน ซานซี) เข้ากรุงเทพและภูเก็ต และกำลังมีแนวโน้มที่จะเพิ่ม Charter Flight เข้าจังหวัดกระบี่

ในส่วนของเส้นทางรถมีการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในเส้นทาง R3A เชื่อมจากคุนหมิงผ่านสิบสองปันนาเข้าสู่ทางเหนือของประเทศไทย และในอนาคตอันใกล้ยังคงมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงมาถึงกรุงเทพและอาจต่อลงใต้เพื่อเชื่อมสู่ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ต่อไป

ความพร้อมของประเทศไทยและประเทศจีนในการรองรับนักท่องเที่ยว มีทั้งเส้นทางคมนาคม สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการพื้นฐานที่มีคุณภาพระดับสากล ในขณะเดียวกัน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในนามของผู้ประกอบการภาคเอกชนได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาครัฐในการยกระดับคุณภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อสร้างมาตรฐานวิชาชีพรวมถึงให้ความสำคัญกับจริยธรรม จรรยาบรรณและการบริการอย่างมีคุณภาพ และการร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวข้องในทุกๆด้านเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย



thai.cri.cn

บทความที่ได้รับความนิยม