วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เอโอซีชี้รันเวย์ยุบหนัก เป็นเหตุเครื่องบินล่าช้า

เอโอซีชี้รันเวย์ยุบกระทบหนักกรณีพื้นรันเวย์ฝั่งตะวันตกของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เกิดยุบตัวลงของยางมะตอยเป็นหลุมกว้าง 60 เซนติเมตร ลึก 5 เซนติเมตร เมื่อเวลา 20.00 น. ของวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบเครื่องบินหลายเที่ยวบินต้องเลี่ยงไปใช้สนามบินอื่นๆ ต่อมา มีการซ่อมแซมบริเวณที่เสียหายกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เมื่อเวลา 21.00 น. ของวันเดียวกันนั้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม นางมาริสา พงษ์พัฒนพันธุ์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบิน (เอโอซี) ในฐานะผู้ประสานงานสายการบินทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่สายการบินไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า จึงได้รับผลกระทบ ต้องนำเครื่องบินไปลงที่ท่าอากาศยานอื่นรวม 11 ลำ คือ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานอู่ตะเภา จ.ระยอง และท่าอากาศยานเชียงใหม่ ส่วนสิ่งที่แต่ละสายการบินได้รับผลกระทบมากที่สุดคือค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น เพราะเมื่อบินลงยังท่าอากาศยานแห่งอื่น ก็ต้องจ่ายค่าขึ้นลงให้กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เช่นกัน ทั้งที่ไม่ต้องการไปลงที่ท่าอากาศยานอื่น จึงขอเรียกร้องให้ ทอท.ดูแลเรื่องดังกล่าวด้วย วอนทอท.ยกเว้นเก็บค่าแลนดิ้ง"การซ่อมแซมที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางคืนของวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการซ่อมเล็ก แต่บังเอิญตรงกับการซ่อมใหญ่รันเวย์ฝั่งตะวันออกพอดีเลยได้รับผลกระทบ และทางสายการบินไม่ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายไว้รองรับในจุดนี้ ดังนั้น ทางเอโอซีจะขอชดเชยโดยเรียกร้องอย่างจริงจังกับข้อเรียกร้องเดิมที่เคยขอมาก่อนหน้านี้ คือ ให้สายการบินจ่ายค่าขึ้นลง (แลนดิ้ง) 50% ในช่วงที่ปิดซ่อมรันเวย์ฝั่งตะวันออก ขณะเดียวกันต้องยกเว้นการเก็บค่าแลนดิ้งกับสายการบินต่างๆ ที่ต้องนำเครื่องบินไปลงที่ท่าอากาศยานแห่งอื่นแทนสุวรรณภูมิด้วย" นางมาริสากล่าวไม่มั่นใจความเชื่อมั่นต่างชาตินางมาริสากล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าอยู่ในช่วงใกล้เคียงกับเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องจนส่งผลให้ระบบเรดาร์ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองใช้งานไม่ได้ ยังตอบได้ไม่เต็มที่ว่าสายการบินต่างประเทศยังมั่นใจประเทศไทย 100% หรือไม่ จึงต้องการให้ ทอท.ดูแลสายการบินอย่างจริงจังในช่วงนี้ เพราะทำให้สายการบินต่างๆ หันไปใช้ท่าอากาศยานประเทศอื่นในแถบนี้แทน ประกอบกับหลายประเทศในแถบนี้มีศักยภาพไม่แพ้กัน แต่ไทยยังถือว่ามีความพร้อมในเรื่องต่างๆ ที่จะเป็นศูนย์กลางการบิน จึงไม่ต้องการให้มีการย้ายสายการบินออกไป แต่ ทอท.ก็ต้องดูแล"ที่ผ่านมาเอโอซีให้ความร่วมมือกับ ทอท.มาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สายการบินมีต้นทุนมากขึ้น ทอท.ก็ต้องดูแลสายการบินด้วย เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจและอยู่กับประเทศไทยต่อไป"แหล่งข่าวจาก ทอท.กล่าวว่า รันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิมีอายุการใช้งานมาประมาณ 6 ปี ขณะที่รันเวย์ฝั่งตะวันออกได้ทำการปิดซ่อม จึงส่งผลให้รันเวย์ฝั่งตะวันตกต้องรับน้ำหนักเครื่องบินเพิ่มมากขึ้นจึงเกิดปัญหาขึ้นเผยแรงกระแทกจนเกิดยุบตัวนายสมชัย สวัสดีผล ผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ได้ซ่อมแซมรันเวย์ที่มีปัญหาแล้วเสร็จตั้งแต่คืนวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา สาเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นจุดที่เครื่องบินต้องจอดรอเพื่อเร่งเครื่องทำการบินขึ้น ทำให้รับน้ำหนักและแรงกระแทกมาก จนเกิดเป็นรอยกะเทาะขึ้น และเคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ ประกอบกับช่วงนี้รันเวย์ฝั่งตะวันออกยังอยู่ระหว่างปิดซ่อม ทำให้รับน้ำหนักมากกว่าปกติ จึงเกิดการยุบตัวดังกล่าว "หลังเกิดเหตุก็ปิดรันเวย์ชั่วคราว 1 ชั่วโมง เพื่อซ่อมแซม ส่งผลให้เครื่องบินที่ไม่สามารถลงจอดได้ 11 ลำ ต้องเปลี่ยนไปลงจอดที่สนามบินดอนเมือง 3 ลำ อู่ตะเภา 7 ลำ และเชียงใหม่ อีก 1 ลำ ต่อมาในเวลาประมาณ 21.00 น.ของคืนวันเดียวกัน ก็เปิดมาใช้งานได้ปกติ" นายสมชัยกล่าวซ่อมรันเวย์ตอ.เสร็จก่อน2วันร.ท.ณรงค์ชัย ถนัดช่างแสง รองผู้อำนวยการสายปฏิบัติการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทอท.ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรันเวย์ประมาณ 6 ครั้งต่อวัน และส่วนเหตุที่เกิดขึ้นเพราะใช้งานมานานทำให้เสื่อมสภาพ ขณะนี้ได้เตรียมอุปกรณ์และคนไว้พร้อม หากเกิดเหตุขึ้นอีก สามารถซ่อมให้แล้วเสร็จได้ภายใน 30 นาที ส่วนการซ่อมรันเวย์ฝั่งตะวันออกขณะนี้ดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่มีปัญหาความล่าช้าจากฝนตกทำให้ปูยางไม่ได้ ที่่ผ่านมา ทอท.มีแผนปิดซ่อมรันเวย์ฝั่งตะวันออกตั้งแต่เดือนเมษายน แต่ติดจัดประชุมเวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม ต้องเลื่อนซ่อมมาเป็นเดือนมิถุนายน ยืนยันว่าจะแล้วเสร็จก่อนกำหนดในวันที่ 18 กรกฎาคม เร็วขึ้นกว่าเดิม 2 วัน แต่หากจะให้การซ่อมบำรุงแล้วเสร็จทั้งหมดคงต้องรอวันที่ 2-3 สิงหาคม (การซ่อมระยะ 2) หรือเสร็จก่อนกำหนดเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 9 สิงหาคม "สทท."หนุนผุดรันเวย์จุดที่3นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า อยากให้ ทอท.เร่งสร้างรันเวย์ที่ 3 ให้เสร็จทันตามกำหนดปี 2560 เพื่อรองรับจำนวนเที่ยวบินมากขึ้น เท่าที่ทราบหากมีรันเวย์ที่ 3 จะรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 4 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ขณะเดียวกันควรวางแผนหาแนวทางขยายรันเวย์ที่ 4 ได้แล้ว เพื่อรองรับเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ขึ้น"เมื่อคืนวันที่ 5 กรกฎาคม ที่มีปัญหารันเวย์จนทำให้เที่ยวบินหลายเที่ยวต้องบินวน ซ้ำรอลงนานกว่าครึ่งชั่วโมง และบางเที่ยวบินก็น้ำมันใกล้จะหมด ต้องแก้ปัญหาโดยให้ไปลงที่สนามบินอื่นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับการแก้ปัญหาระยะยาว และเอกชนมองว่าการบริหารจัดการแบบนี้ ไม่สามารถนำเสนอจุดขายของไทยเพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ ปัจจุบันก็ยังมีปัญหาผู้โดยสารล้นสนามบิน ดังนั้น ต้องมองปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้ววางแผนรองรับให้ดี"นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า อยากให้ ทอท.เร่งแก้ปัญหาหากรันเวย์ทรุดอีกในอนาคต อาจกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมา ขณะเดียวกันควรเร่งเตรียมการสนามบินดอนเมืองให้รองรับเที่ยวบินนานาชาติได้โดยเร็ว ปัจจุบันสนามบินดอนเมืองยังไม่มีความพร้อมเพียงพอ วิศวกรรมสถานพร้อมตรวจนายสุวัฒน์ เชาว์ปรีชา นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า ขณะนี้ วสท.ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก ทอท.ให้เข้าไปตรวจสอบ หากติดต่อมาก็พร้อมเข้าไปตรวจสอบตามขั้นตอนด้านวิศวกรรม ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งน่ามาจากสนามบินตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดินอ่อน โอกาสเกิดความเสียหายมากกว่าการก่อสร้างในพื้นที่ที่ดินแข็ง อย่างไรก็ตาม การกลับไปดูว่าความเสียหายเกิดจากอะไรนั้น อยากให้ทราบหลักการด้านวิศวกรรม 4 ด้านคือ 1.สนามบินดังกล่าวมีการออกแบบถูกต้องหรือไม่ เพราะพื้นดินแต่ละที่การออกแบบจะแตกต่างกัน 2.ขั้นตอนก่อสร้างถูกหลักการวิศวกรรมหรือไม่ 3.เมื่อสร้างเสร็จแล้วมีการใช้งานถูกต้องหรือไม่ และ 4.การบำรุงรักษาถูกต้องหรือไม่ เพราะแต่ละที่แต่ละแห่งของโครงสร้างจะมีระยะเวลาในการบำรุงรักษาต่างกัน"เมื่อมาดูหลักการ 4 อย่างแล้ว หากดำเนินการถูกต้องก็อาจเป็นเพราะมีการใช้มาเป็นเวลานาน กรณีสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้งานมาประมาณ 6 ปี ถือว่านาน เป็นไปได้ที่เกิดทรุดโทรม เนื่องจากปริมาณการจราจรทางอากาศ ดังนั้น ทอท.ต้องดูแลรักษาตามขั้นตอน" นายสุวัฒน์กล่าวกัปตันชี้ไม่กระทบเชื่อมั่นกัปตันศรัณย์พล ผุลละศิริ อดีตนายกสมาคมนักบินไทย กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสายการบินต่างชาติ เมื่อมีการซ่อมแซมก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ แม้จะมีบางเที่ยวบินต้องไปลงที่สนามบินอื่นหรือล่าช้ากว่ากำหนด สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อสายตาชาวต่างชาติน่าจะเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มากกว่า เพราะในช่วงหนาแน่น จะมีผู้โดยสารใช้บริการจำนวนมากจนบางคนต้องตกเครื่องบิน กัปตันศรัณย์พลกล่าวอีกว่า ยืนยันสภาพรันเวย์ของไทยโดยทั่วไปยังดีกว่าหลายประเทศ เช่น ที่สิงคโปร์ และเมืองดูไบ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) พื้นรันเวย์เป็นคลื่น แต่ที่ดีมากที่สุดคงจะเป็นท่าอากาศยานนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ที่ราบเรียบมาก "ช่วงแรกที่ปิดซ่อมรันเวย์ฝั่งตะวันออก มีปัญหาดีเลย์มาก แต่ก็คลี่คลายลงแล้ว เพราะหลายสายการบินเริ่มปรับตัวได้กับการซ่อมแซมที่เกิดขึ้น จึงมีปัญหาน้อยลง""จารุพงศ์"อยากเห็นรันเวย์ที่3นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว ได้สั่งการให้ ทอท.ตรวจสอบรันเวย์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ นายจารุพงศ์ยังกล่าวว่า ต้องการให้เร่งก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และทำประชาพิจารณ์ก็จะต้องเร่งทั้ง 2 กระบวนการให้เสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะประชาพิจารณ์ ทอท.ต้องจ่ายชดเชยเรื่องเสียงในระยะแรกให้ครบ หากยังจ่ายไม่ครบการทำประชาพิจารณ์รันเวย์ที่ 3 คงไม่ผ่านแน่นอน ส่วนอีไอเอ หากติดขัดในเรื่องอะไรก็ขอให้ ทอท.แจ้งมายังกระทรวงคมนาคมนายจารุพงศ์กล่าวว่า ยังต้องการให้ ทอท.พิจารณาเร่งเปิดท่าอากาศยานดอนเมืองเต็มรูปแบบโดยเร็ว ว่าจะเปิดได้ในเดือนสิงหาคมนี้หรือไม่ จากเดิมที่กำหนดไว้เดือนตุลาคม เพื่อให้รองรับเที่ยวบินได้มากขึ้น

www.matichon.co.th

 

โตโยต้า มอเตอร์ สปอร์ต 2012 ขนทีมนักแข่งมาเพียบ

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จัดกิจกรรม “โตโยต้า มอเตอร์ สปอร์ต 2010” สนามที่ 3 ที่ภูเก็ต 21-22 ก.ค.นี้ ขนทีมนักแข่งมาเพียบ พร้อมคอนเสิร์ต กิจกรรมสนุกมากมาย ที่โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ โตโยต้า เพิร์ล ภูเก็ต และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวจัดกิจกรรม “โตโยต้า มอเตอร์ สปอร์ต 2012” โดยมี น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานฯ ร่วมกับ ผู้บริหารโตโยต้าฯ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

โดยโตโยต้า มอเตอร์ สปอร์ต สนามที่ 3 จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 21-22 ก.ค.2555 ที่บริเวณ สะพานหิน อ.เมืองภูเก็ต มีการแข่งขันยาริส วันเมคเรซ คลาสบี วีออส วันเมคเรซ เลดี้คัพ วีออส วันเมคเรซ คลาส ซึ่งมีรถร่วมแข่งขันเกือบ 50 คัน พร้อมด้วยนักแข่ง และทีมแข่ง เช่น โตโยต้า เรซซิ่ง สคูล ทีมที่โตโยต้าให้การสนับสนุน ให้โอกาสแก่นักศึกษา ที่มีใจรักกีฬามอเตอร์ สปอร์ต เข้าร่วมแข่งขัน ต้องผ่านการคัดเลือกจากการสอบภาคทฤษฏี และปฏิบัติจากอาจารย์ ที่มีดีกรีระดับแชมป์ของประเทศไทย และยังมีทีมโตโยต้า เรซซิ่ง สตาร์ เป็นทีมดารานักแข่ง นำโดย ไผ่ พาทิศ/ต๊ะ วริษฐ์/นาตาลี เดวิส และแอริณ-สิรีภรณ์

ในโอกาสที่ โตโยต้า ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ครบ 50 ปี ได้เตรียมกิจกรรมการแสดงพิเศษ เพื่อสร้างความสุข สนุกสนานให้แก่ทุกคน เช่น การขับแสดงสมรรถนะ ของรถยนต์ โตโยต้า หลายรุ่น และรถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลัง รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นครั้งแรกที่จะมาดริฟต์โชว์ในจังหวัดภูเก็ต โดยนักดริฟต์ชื่อดัง กีกี้-ศักดิ์ นานา ให้ได้ชมความตื่นเต้นเร้าใจ พร้อมด้วย โตโยต้า ทีม ไทยแลนด์ วิคตอรี โชว์ ขับโดยแชมป์ประเทศไทย ปี 2011

นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันรอบพิเศษ มีดารานักแข่งจำนวนหลายคน นำโดย พีท ทองเจือ อ่ำ อัมรินทร์ กระแต ศุภักษร และโตโยต้า สตาร์ ทีม นอกจากนี้ มีกิจกรรมขับขี่ปลอดภัย ภายใต้ โครงการถนนสีขาว ปลุกจิตสำนึก การใช้รถใช้ถนนที่ดีแก่เด็ก เยาวชน และบุคคลทั่วไป โตโยต้า ยังสนับสนุนนักเรียนสถาบันต่างๆ ในภูเก็ต เข้าร่วมประกวด กิจกรรมการประกวดกองเชียร์ พร้อมเงินรางวัลกว่า 7 หมื่นบาท และมีเกมส์ ของที่ระลึกมากมายแจกภายในงานฯ ปิดท้ายด้วยคอนเสิร์ต แบงค์ อดีตนักร้องนำวงแคลช



news.phuketindex.com

นายกฯมั่นใจ สุวรรณภูมิทรุดไม่กระทบความเชื่อมั่น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาและเรียกความเชื่อมั่นคืนหลังรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิทรุดตัว ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเชื่อว่าไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นอะไร ขณะนี้ได้รันเวย์ได้ซ่อมเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่มีการปิดไปนั้นก็เพื่อความปลอดภัยและให้แน่ใจ เนื่องจากวันนี้พื้นที่ของสนามบินสุวรรณภูมิบางส่วนก็มีการปิดซ่อม จึงทำให้จำนวนของลานบินที่ใช้มีมากและมีความถี่จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ทรุดตัวขึ้น เบื้องต้นได้มีการกำชับให้ดำเนินการสำรวจและเร่งดูแลเรื่องควมปลอดภัยแล้ว เมื่อถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรเพราะเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความจริงก็เป็นเรื่องปกติ เพราะวันนี้สนามบินสุวรรณภูมิมีการใช้งานมาหลายปีแล้ว จำนวนเที่ยวบินก็สูงกว่าที่คาดหมายไว้ ทำให้ระยะเวลาในการใช้งานตามสิ่งก่อสร้างหนึ่งๆ ตามแผนการใช้งานต้องร่นระยะเวลาลง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความถี่ และที่สำคัญน้ำหนักของเครื่องบินก็มีส่วน เนื่องจากมีพื้นที่บางส่วนที่ทำการปิดซ่อม จำนวนครั้งของตัวเครื่องบินก็จะลงมากขึ้น เครื่องบินขนาดใหญ่มีมากขึ้นซึ่งก็เป็นไปตามกาลเวลา ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย ซึ่งตนได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว เมื่อถามว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ไม่ตอบคำถามดังกล่าวแต่อย่างใด

breakingnews.nationchannel.com

สัมมนา โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพม่า

นายประจวบ สุภิณี อัครราชฑูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการเสวนาการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองจากนักลงทุนผู้มีประสบการณ์ การลงทุนในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย ในงานสัมมนา"โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพม่า"ซึ่งจัดโดยสถานีโทรทัศน์ Money Channel บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับธนาคารกรุงไทยวันนี้(6ก.ค.)ว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยที่สนใจเข้าไปลงทุนยังมีทัศนคติและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเทศพม่าในหลาย ๆ ด้าน จึงมีข้อแนะนำให้เข้าไปศึกษาหาข้อมูล เพื่อให้เห็นโอกาส และศักยภาพในพม่าด้วยตัวเอง ที่ผ่านมาหลายคนมองว่า พม่าล้าหลังประเทศไทยประมาณ 40 ปี แต่วันนี้พม่ากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และอาจขึ้นมาเทียบประเทศไทยภายใน 5-10 ปีนี้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบของพม่าที่มีอยู่ ดังนั้น ทางที่ดีควรหาพันธมิตรชาวพม่ามาร่วมทุน

"โอกาสที่น่าลงทุนในตลาดพม่านั้น พม่ามีประชากรประมาณ 60 ล้านคน สินค้าที่ใช้บริโภค 80% มาจากการนำเข้า ที่สำคัญไทยและพม่ามีวัฒนธรรมและศาสนาใกล้ชิดกัน ที่ผ่านมาพม่าให้ความเชื่อมั่นในสินค้าไทย แต่ปัญหาของพม่าขณะนี้ยังไม่พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เพียงพอ"นายประจวบกล่าวและว่า

นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(DDC) ในเครือบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือITDกล่าวว่า คนที่สนใจเข้าไปลงทุนในพม่าต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติใหม่อย่ามองพม่าล้าหลัง ตอนนี้พม่าเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างรวดเร็วมากโดยพม่าใช้โมเดลของสิงคโปร์ในการบริหารประเทศ ปัจจุบันมีนักลงทุนจากจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เข้าไปลงทุนในโครงการต่าง ๆจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทย

นายกิตตินันท์ คุณะเพิ่มศิริ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด-ภูมิภาค บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า วันนี้หลายเมืองใหญ่ในพม่ามีการเจริญเติบโตไปมาก มีร้านอาหาร โรงแรมห้างสรรพสินค้าที่ให้บริการด้วยระบบเทคโนโลยีที่ไม่แตกต่างจากประเทศไทย การเข้าทำธุรกิจในพม่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำการบ้านศึกษาตลาดให้ดี พม่าถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมาก ยกตัวอย่างในตลาดเบียร์มีผู้ผลิตชาวพม่า 3 ราย แต่ 2 ใน 3 รายเบื้องหลังเป็นบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ระดับโลก แม้ว่าปัจจุบันกฎหมายในเรื่องการอนุญาตขายสินค้าพวกแอลกอฮอลล์ยังไม่มีความชัดเจน แต่ปรากฎว่า มีสินค้าเกี่ยวกับแอลกอฮอลล์ทุกประเภทวางขายในตลาดทุกระดับให้เลือก และราคาถูกกว่าในประเทศไทย ที่สำคัญร้านค้าที่ขายสินค้าเหล่านี้มีการสต๊อกสินค้ากันครั้งละ 40-50 หลัง เทียบกับร้านค้าประเภทเดียวกันในประเทศไทยสต๊อกกันเพียงไม่กี่ขวดในร้าน

นายบุญเกียรติ ชีวะตระกูลกิจ ผู้บริหารจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน)หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า พม่าถือเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ โดยผู้ประกอบการที่สนใจเข้าไปลงทุนต้องดูศักยภาพของตัวเองด้วยว่า สามารถจะเข้าไปแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้หรือไม่ อย่าทำในลักษณะตีหัวเข้าบ้าน ต้องเข้าไปอย่างมืออาชีพ เพราะปัจจุบันลูกค้ามีความรู้ในการพิจารณาเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ และกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านซีพีเอฟได้เข้าไปในพม่าตั้งแต่ยังไม่เปิดประเทศ โดยเข้าไปทำในส่วนโรงงานผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ และการเลี้ยงไก่ไข่ ปัจจุบันมีโรงงานผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์อยู่ในทุกเมือง และถือครองมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับหนึ่งกว่า 80% ล่าสุดได้ตั้งโรงงานผลิตไส้กรอก,ลูกชิ้น,กุนเชียง และซีพีเอฟกำลังมีแผนไปตั้งโรงงานผลิตอาหารสำหรับคนรับประทานเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากในพม่ามีกำลังซื้อของลูกค้าในระดับพรี่เมี่ยม ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายเล็กที่สนใจเข้าไปลงทุนในพม่าควรหาพาร์ทเนอร์คนท้องถิ่นในพม่าเป็นผู้ร่วมทุน จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์ที่เข้าไปลงทุนพบว่า การทำธุรกิจกับชาวพม่ามีการตัดสินใจที่รวดเร็วมาก โดยเฉพาะโครงการที่ไปทำกับรัฐบาลพม่า ปัจจุบันพม่าไม่เพียงต้องการเปลี่ยนนโยบายและมุมมองในการบริหารประเทศใหม่ แต่ต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ด้วย ดังนั้น ล่าสุดบริษัทได้เข้าไปรับงานโครงการถึง 3 โครงการใหญ่ที่รัฐบาลพม่าต้องการทำในปีนี้ เช่น งานวันชาติที่เพิ่งผ่านมา เป็นต้น



www.matichon.co.th

ภูมิชีวิต วัคซีนแห่งชาติ

การให้วัคซีนเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งในการป้องกันโรคและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ล่าสุดการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 (Influenza H1N1) ที่รุนแรงและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลกและประเทศต่างๆ ก็ได้นำวัคซีนมาใช้เพื่อป้องกันการระบาด ปัจจุบันได้พัฒนาจนถือว่ามีความปลอดภัยสูง โดยเด็กแรกเกิดถึงอายุ 12 ปีของไทย จะต้องฉีดวัคซีนพื้นฐาน 10 ชนิด ป้องกันโรครวมทั้งหมด 14 ครั้ง เช่นวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ  ไอ-กรน บาดทะยัก โรคคางทูม โรคหัด โรคหัดเยอรมัน ไม่รวม วัคซีนตามฤดูกาล  หรือวัคซีนอื่นเพิ่มเติมวัคซีน...คืออะไร...นพ.จรุง  เมืองชนะ ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ บอกว่า โดยปกติการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายมี 2 วิธี วิธีแรกคือการให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปหรือที่เรียกกันเป็นภาษาหมอว่า “อิมมูโกลบุลิน” เป็นภูมิคุ้มกันที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรคได้ทันทีส่วนวิธีที่สอง คือ การให้วัคซีนเพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกัน หรือแอนติบอดี้ ขึ้นเอง ซึ่งวิธีนี้อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน กว่าจะมีภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคและป้องกันโรคตามหลักวิชาการด้านการแพทย์  มีการแยกประเภทของวัคซีนโดยใช้วิธีการผลิตเป็นตัวจำแนก จะประกอบด้วยวัคซีน 3 ประเภทคือ 1. วัคซีนประเภทท็อกซอยด์ คือ วัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยนำพิษของเชื้อโรคมาทำให้หมดฤทธิ์  แต่ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ใช้สำหรับโรคติดเชื้อที่เกิดจากพิษของเชื้อ ได้แก่ โรคคอตีบ และโรคบาดทะยัก 2.วัคซีนเชื้อตาย คือ วัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคทั้งตัว หรือเฉพาะชิ้นส่วนของเชื้อโรคที่ตายแล้ว เช่น วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนไอกรน วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี วัคซีนตับอักเสบเอ วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และ 3.วัคซีนเชื้อเป็น คือ วัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคมาทำให้ฤทธิ์อ่อนลงจนไม่ทำให้เกิดโรค แต่เพียงพอที่จะกระตุ้นภูมิ คุ้มกันของร่างกายได้ เช่น วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม วัคซีนอีสุกอีใส เป็นต้นสำหรับประเทศไทย คุณหมอจรุง บอกว่า เพิ่งจะมีการประกาศวาระแห่งชาติด้านวัคซีน เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา เมื่อ ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการของวาระแห่งชาติด้านวัคซีน และตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติขึ้น  ซึ่งขณะนี้กำลังทำ Road Map พัฒนาศักยภาพในการผลิตวัคซีนของไทย 5 ชนิด ที่อยู่ในนโยบายวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งเราควรผลิตเอง ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza) วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ–ไอกรน– บาดทะยัก–ตับอักเสบบี (DTP–HB) วัคซีนป้องกันโรคสมองอักเสบรุ่นใหม่ (JE)  วัคซีนป้องกันวัณโรคชนิดใหม่  (new TB vaccine) และ วัค-ซีนป้องกันไข้เลือดออก (Dengue) นอกจากนี้ ยังมี วัคซีนป้องกันโรคเอดส์  (HIV Vaccine) ที่จะเพิ่มเข้ามาอีกด้วยหน่วยงานที่สามารถ ผลิตวัคซีนได้ในประเทศไทยปัจจุบัน คือ องค์การเภสัชกรรม สถาน-เสาวภา และ บริษัทร่วมทุน องค์-การเภสัชกรรม–เมอร์ริเออร์ชีว-วัตถุ จำกัด รวมทั้งกรมปศุสัตว์ที่มีโรงงานผลิตวัคซีนใช้สำหรับสัตว์อีก 13 ชนิดนพ.จรุง บอกอีกว่า อนาคตประเทศไทยควรจะผลักดันวัคซีนที่จำเป็นอีกหลายชนิดให้เข้าไปอยู่ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ เช่น วัคซีนป้องกันโรคท้องร่วงจากไวรัสโรต้า  ซึ่งเป็นวัคซีนที่อนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคได้เห็นชอบว่าควรนำวัคซีนนี้มาใช้ในเด็กไทยกลุ่มเป้าหมายทุกคน เนื่องจากมีเด็กป่วยด้วยโรคนี้เป็นจำนวนมาก หรือ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) วัคซีนป้องกันไข้เลือด ออก (Dengue) และวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) ซึ่งอย่างหลังนี้ รัฐบาลเห็นชอบแล้วแต่ต้องต่อรองเรื่องของราคา ซึ่งยังค่อน ข้างสูงอยู่นอกจากการวิจัยและพัฒนาวัคซีนแล้ว ประเทศไทยเรายังมีระบบการเฝ้าระวัง ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน 19 ชนิด ที่ใช้ในประเทศไทย ซึ่ง ล่าสุด พบว่ามีความปลอดภัยสูง โดยมาตรการเฝ้าระวังของประเทศไทย เป็น 1 ใน 4 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่องค์การอนามัยโลกรับรองมาตรฐานโดยตลอดปี 2554 มีรายงานอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน 788 ราย ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง เช่น ปวด บวมจุดที่ฉีด มีรายงานเสียชีวิต 14 ราย แต่ผลการสอบสวนพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนสำหรับวัคซีนที่ปัจจุบันยังไม่อยู่ในรายการบัญชีวัคซีนพื้นฐานเบื้องต้นมี 10 รายการ คือ วัคซีนไอกรนชนิดใหม่ (Acel-lura pertussis) วัคซีนตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A) วัคซีนโรคฮิบ (Hib) ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในสมอง วัคซีนมะเร็งปากมดลูก (Human Papillomavirus) วัคซีนโปลิโอชนิดใหม่ (Infectivated Polioyelitis) วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza) วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (Live Attenuted Japanese Encephalitis) วัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมค็อก-คัส โรคปอดบวม (Pneumococcal Conju-gate) วัคซีนป้องกันอุจจาระร่วงในเด็ก (Ro-tavirus) และ วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella)

www.thairath.co.th

ฟีฟ่าเปิดตัวลูกฟุตซอล แทงโก้ ใช้แข่งขัน ฟุตซอลชิงแชมป์โลก 2012

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก 2012 พร้อมด้วย "บังยี" วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ และ นายไฮเม่ ยาร์ซ่า ผู้จัดการฟุตซอล และฟุตบอลชายหาดของฟีฟ่า ร่วมกันแถลงความคืบหน้าของการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก 2012 ปลายปีนี้ พร้อมกับเปิดตัวลูกบอลฟุตซอลที่จะใช้แข่งขัน เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่อาคารผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก

นายไฮเม่ เผยว่า ต้องขอบคุณที่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเป็นอย่างดี ในการตรวจสอบครั้งนี้ฟีฟ่ารู้สึกพอใจที่มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้นทั้ง 4 สนาม ทั้งที่ประเทศไทยไม่เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมาก่อน โดยความคืบหน้านี้จะถูกรายงานไปยัง ฟีฟ่า เพื่อบันทึกเป็นข้อมูล แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้จนกว่าจะถึงเกมอุ่นเครื่องที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 และ 26 สิงหาคมนี้ กับทีมชาติสเปน เพื่อเป็นการทดสอบสนามที่จะใช้จริง ซึ่งตนจะเดินทางมาอีกครั้งในวันที่ 19 สิงหาคมนี้

พร้อมกันนี้ นายไฮเม่ ยังได้เปิดตัวลูกฟุตซอลที่จะใช้แข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จาก อาดิดาส รุ่นแทงโก้ 12 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ในการแข่งขันศึกฟุตบอลยูโร 2012 ที่ผ่านมา โดยจะมีคุณสมบัติพิเศษคือมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้มีการกระดอนที่น้อยลง และเป็นลูกฟุตซอลขนาดเบอร์ 4 พร้อมกันนี้จะทำออกมาสองสีคือสีเหลือและสีแดง เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นสนามแข่งที่มีสีฟ้า และจะได้เห็นได้อย่างเด่นชัด

ขณะที่ นายวรวีร์ เผยว่า ตอนนี้สนามอินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก และสนามกีฬานิมิบุตร นั้นใกล้ที่จะใช้งานได้แล้ว เหลือเพียงแค่รอแค่พื้นไม้ที่จะนำเข้ามาจากยุโรปเท่านั้น ซึ่งตอนนี้กำลังเดินทางมาถึง ส่วนสนามหนองจอก หรือ แบงค็อก อารีนา ก็มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้นมาก มีการก่อสร้างอยู่ตลอด จะมีหยุดก็แต่ช่วงที่มีฝนตกเท่านั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นเดือนตุลาคมแน่นอน



www.matichon.co.th

TCELS จับมือ เภสัชพันธุศาสตร์ถอดรหัสพันธุกรรมแบบใหม่

TCELS ปักธงในงานไบโออินเตอร์เนชั่นแนล 2012 บริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐ จับมือ โครงการเภสัชพันธุศาสตร์ รามาธิบดี ถอดรหัสพันธุกรรมแบบใหม่ วิเคราะห์ผลที่ล้ำหน้าเป็นครั้งแรกของโลก เผยสามารถตรวจได้ทั้งพันธุกรรมมนุษย์และเชื้อไวรัสพร้อมกันในครั้งเดียว ด้านนิคมอุตสาหกรรมแดนกิมจิลงนามความร่วมมือ พัฒนาต่อยอดงานวิจัยสู่อุตสาหกรรม

ในการประชุมและจัดนิทรรศการด้านชีววิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Bio International 2012 ณ เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีบรรดาภาครัฐและเอกชน ตลอดจนนักวิจัย นักลงทุน นักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เข้าร่วมงานกว่า 20,000 คน ในปีนี้ประเทศไทยเข้าร่วมนิทรรศการในรูปแบบไทยพาวิลเลียน โดยมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นผู้นำทีม และได้เชิญหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมงานด้วยคือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดย TCELS ได้นำเสนองานที่ให้การสนับสนุนคือผลิตภัณฑ์สารสกัดครีมหน้าขาวจากน้ำยางพารา ผลงานของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผลงานการค้นพบยีนส์แพ้ยาต้านไวรัสเอดส์ เนวิราปินและดีโฟว์ที ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์ในโครงการเภสัชพันธุศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งนำเสนอผลงานการพัฒนาการวิจัยก่อนคลินิกที่ได้มาตรฐานสากล และการพัฒนางานวิจัยทางคลินิก เพื่อประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงความพร้อมให้ความร่วมมือในการวิจัยและการให้บริการด้วย

นายกำจร พลางกูร รักษาการผู้อำนวยการ TCELS กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 4 วัน ของการร่วมงานมีผู้ให้ความสนใจสอบถามข้อมูลการลงทุนด้านไบโอเทค เทคโนโลยีนาโน การวิจัยและพัฒนา การวิจัยทางคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาศาสตร์ของไทย กว่า 700 ราย โดยประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการร่วมงานครั้งนี้เนื่องจากเกิดความร่วมมือกับ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างประเทศเกาหลีและสหรัฐอเมริกาสนใจร่วมงานกับประเทศไทย โดยนิคมอุตสาหกรรมในระดับภาค “มูลนิธิชุนเชิน ไบโออินดัสทรี (Chuncheon Bioindustry Foundationa : CBF)” จากประเทศเกาหลี สนใจร่วมพัฒนาต่อยอดงานวิจัยสู่อุตสาหกรรม และได้จัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท Pathogenica ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพการถอดรหัสพันธุกรรมที่ล้ำสมัย เพื่อทำการถอดรหัสพันธุกรรมแบบใหม่และการวิเคราะห์ผลที่ล้ำหน้า สนใจร่วมงานในโครงการเภสัชพันธุศาสตร์ ซึ่ง TCELS ให้การสนับสนุน โดยได้ทำการลงนามความร่วมมือเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน

ศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าโครงการเภสัชพันธุศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเดินทางเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย กล่าวถึงที่มาที่ไปของความร่วมมือดังกล่าวว่า จากการเข้าร่วมงานไบโออินเตอร์เนชั่นแนล 2012 ที่สหรัฐครั้งนี้ ซีอีโอของบริษัท Pathogenica คือ ดร.เยมิ อเดโซแกน (Yemi Adesokan) ได้ติดตามผลงานด้านเภสัชพันธุศาสตร์ของไทยมาพอสมควรและสนใจที่จะร่วมงาน เมื่อทราบว่าเราจะไปเข้าร่วมงานดังกล่าว จึงนัดหารือและเกิดเป็นความร่วมมือในเวลาต่อมา สำหรับ ดร.เยมิ นั้น เป็นอดีตนักวิจัยปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของเทคโนโลยีชีวภาพการถอดรหัสพันธุกรรมที่ล้ำสมัย ที่เรียกว่า Capture assay on Next generation sequencing ซึ่งสามารถตรวจจับดีเอ็นเอเป้าหมายด้วยตัวตรวจตาม (probe) มากกว่า 75,000 ตำแหน่ง เพื่อทำการถอดรหัสพันธุกรรมไปพร้อมกัน ซึ่งจะนำมาประยุกต์กับงานเภสัชพันธุศาสตร์ที่ดำเนินการโดยนักวิจัยไทยเพื่อพัฒนาเป็นชุดตรวจกลุ่มดีเอ็นเอเป้าหมายที่สำคัญบนจีโนมผู้ติดเชื้อเพื่อเลือกเฟ้นยาที่ใช้รักษาที่ดีที่สุด เนื่องจากแต่ละบุคคลหลังรับประทานยาจะตอบสนองต่อยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ต่างกัน (HIV-1 pharmacogenomics) อาจส่งผลด้านบวกคือลดจำนวนไวรัสในกระแสเลือดลงได้หรือในด้านลบที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่เป็นอันตรายต่อชีวิต

ชุดตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการซึ่งจะเกิดจากความร่วมมือพัฒนาจากสององค์กรจะสามารถตรวจสอบทั้งจีโนมของผู้ติดเชื้อและจีโนมของไวรัสไปพร้อมกัน สามารถรายงานผลการทดสอบให้แพทย์ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ทั้งในด้านปริมาณของไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือดของผู้ป่วย (viral load) และการตรวจหาไวรัสเอชไอวีที่ดื้อต่อยาต้านไวรัส รวมถึงการตรวจยีนส์ของผู้ติดเชื้อไปพร้อมกันเพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังรับประทานยาต้านไวรัสเอดส์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับแพทย์ในการรักษาที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ติดเชื้อแต่ละราย

ดร.วสันต์ กล่าวว่า ในการตรวจวัดปริมาณหาไวรัสเอชไอวีในเลือด ตรวจหาไวรัสดื้อยา และยีนส์ที่ส่งผลต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ ในวันนี้นักเทคนิคการแพทย์ในห้องปฏิบัติการจะต้องอาศัยชุดน้ำยาทดสอบหลายชุดบนเครื่องมือตรวจวินิจฉัยราคาแพงในแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันและวิธีการทั้งหมดมักจะล้มเหลวในการตรวจสอบความแตกต่างเล็กๆ ในระดับดีเอ็นเอที่สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่ออาการไม่พึงประสงค์จากยาต้านไวรัสเอชไอวี ความรุนแรงและความต้านทานของเชื้อไวรัสต่อยาที่ใช้รักษา แต่โดยเทคโนโลยีที่ Pathogenica พัฒนาขึ้นสามารถเลือกบริเวณเฉพาะเจาะจงบนจีโนมของทั้งมนุษย์และเชื้อไวรัสที่ถูกค้นพบโดยทีมนักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เช่น บรรดาเครื่องหมาย (marker) ที่เฉพาะเจาะจงบนยีนส์ HLA และ Cytochrome P450 ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายยาในร่างกายหรือการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านไวรัส และส่วนของจีโนมของไวรัส เช่นยีนส์โพลีเมอร์เรสที่เกี่ยวข้องกับการดื้อต่อยาต้านไวรัสที่ผู้ป่วยรับประทานเพื่อลดปริมาณไวรัสในร่างกาย อันเป็นการช่วยลดปริมาณงานการถอดลำดับพันธุกรรม ไม่ต้องถอดรหัสทั้งจีโนมโดยอาศัยเทคโนโลยี Capture assay on Next generation sequencing กล่าวคือถอดรหัสเฉพาะในบริเวณของจีโนมที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการตรวจในแต่ละตัวอย่างตรวจมีราคาถูกกว่า รวดเร็ว และแม่นยำกว่าการทดสอบที่มีอยู่ในปัจจุบัน

“เป้าหมายของการวินิจฉัยส่วนบุคคลในผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีก็คือปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อให้ดีขึ้น ลดอัตราตาย ช่วยชีวิตให้รอดอย่างมีคุณภาพ สามารถประกอบกิจกรรมต่างๆ ได้เสมือนคนปกติ ที่สำคัญลดค่ารักษาพยาบาล ความร่วมมือระหว่าง TCELS และ Pathogenica ในการถอดรหัสพันธุกรรมแบบใหม่และการวิเคราะห์ผลที่ล้ำหน้าจะเป็นระบบชุดทดสอบในห้องปฏิบัติการชุดแรกๆ ที่ช่วยยกระดับการตรวจวินิจฉัยให้เกิดประโยชน์สูงสุดที่ชัดเจนแก่ผู้ป่วย มีระบบการแปลผลการตรวจวินิจฉัยที่แพทย์ผู้รักษาสามารถเข้าใจและใช้งานได้ง่าย” ดร.วสันต์ กล่าว



www.banmuang.co.th

นสธ.ร่วมกับ สสส. จัดเสวนาเวทีสาธารณะ " 9 ปีความรุนแรงภาคใต้ : อัศจรรย์ความรู้ในแดนเนรมิต?"

เมื่อเวลา 14.08 น. วันที่ 29 มิ.ย. ที่ห้องบอลรูม 2 ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ถนนเพลินจิต แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) สถาบันศึกษาสาธารณะมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ จัดเสวนาเวทีสาธารณะ " 9 ปีความรุนแรงภาคใต้ : อัศจรรย์ความรู้ในแดนเนรมิต?"

ศาสตราจารย์ ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ผู้อำนวยการแผนงาน นสธ. กล่าวถึงการจัดเสวนา ว่า อยากให้สังคมมีความรู้รวมกันให้มากกว่านี้ อาทิ เรื่องนาซา ส่วนชุดโครงการนี้มีการศึกษาจากปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในโดยอาศัยข้อมูลจากสำจักงานสถิติแห่งชาติ เรื่องชีวิตคนไทยว่าตอนนี้เรามีชีวิตดีขึ้นหรือไม่ และเราจะหลุดพ้นจากรายได้ปานกลางได้เมื่อไหร่ จึงมีคำถามที่ต้องมองไปข้างหน้า นอกจากนี้สถาบันเคยมีการวิจัยปัญหาภาคใต้ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งคนในกรุงเทพและพื้นที่อื่นก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาคใต้ การจัดกิจกรรมเพื่อจะมองว่าวันนี้เราเดินไปถูกทางหรือไม่
 

ยอดเสียชีวิต101เดือนพุ่ง5พันคน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวเสวนาหัวข้อ "ทางเลือก สำหรับทางรอดของภาคใต้" ว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมา 101 เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค.2547 ถึง พ.ค.2555 มีเหตุการณ์กว่่า 11,700 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ 1.4 หมื่นคน แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 5 พันคน บาดเจ็บอีก 9 พันคน โดยช่วงแรกมีเหตุการณ์เกิดขึ้นสูงมาก แต่หลังจากปี 2550 เหมือนเหตุการณ์จะลดลง แต่ยังคงที่เดือนละ 60-100 ครั้ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์แต่ละเดือน พบว่าความสูญเสียไม่เด่นชัดเท่ากับจำนวนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สรุปได้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงลดลง แต่ความตาย ความบาดเจ็บยังคงที่ ซึ่งเรามองว่าเหมือนเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งคลายกับหลายประเทศทั่วโลกที่มีปมปัญหาภายในที่แก้ไม่ตก คล้ายกับว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งขึ้นไปสู่ที่ราบสูงที่ยาวมาก แต่กลับไม่มีทางลง


ชูโมเดลทางออกเลือกตั้งผู้ว่าฯ-เจรจา

ดร.ศรีสมภพ กล่าวต่อว่า นโยบายของรัฐที่ลงไปในพื้นที่ 9 ปีที่ผ่านมา มีงบประมาณ 1.8 แสนล้านบาท แต่งบประมาณที่ลงไปต่อปีถือว่าช่วยพยุงให้ภาวะเศรษฐกิจอยู่ได้ แต่การกระจายรายได้ยังไม่ตกไปอยู่กับคนส่วนใหญ่ เนื่องจากมีปัญหาความไม่โปร่งใสด้วย และนโยบายมีการใช้เรื่องการทหารมาก มีกำลัง 1.5 แสนคน ทั้งทหาร ตำรวจอาชีพ อาสาสมัคร เป็นต้น ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐยังมีไม่สูง จึงต้องดูว่าทางรอดจะมีอย่างไรบ้าง โดยมีข้อเสนอเรื่องการกระจายอำนาจแบบพิเศษประมาณ 6 โมเดล อาทิ มีศอ.บต. มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯโดยตรง หรือมหานครปัตตานี ซึ่งโมเดลทั้งหมดก็ยังอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอพูดคุยกับผู้ใช้ความรุนแรงในการเจรจาฝ่ายตรงข้ามกับรัฐเพื่อหาทางออกด้วย

"สิ่งที่ควรจะทำควรเน้นเรื่องของความริเริ่มแก้ไขปัญหาโดยอาศัยทุกแนวทางทำไปพร้อมกัน ทั้งเรื่องการกระจายอำนาจ การแก้ปัญหาความยุติธรรมในพื้นที่ การปฎิรูปความมั่นคง และมีการประสานงานหลายๆฝ่าย ถามว่าอนาคตเราพอมองเห็นแต่ต้องมีการปฎิรูปทางนโยบาย เพราะมีความสำคัญมากจึงต้องประกอบความร่วมมือหลายๆฝ่าย " ดร.ศรีสมภพ กล่าว

กอ.รมน.ชี้ความรุนแรงปะทุเป็นซีรี่

ด้านพ.อ.ชินวัฒน์ แม้นเดช กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า ปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาใหญ่ด้านความมั่นคงที่กระทบฐานรากของประเทศ ถึงเราพูดถึงประชาคมอาเซียน แต่ประตูทางภาคใต้ยังมีปัญหา การขับเคลื่อนต่อไปอาจจะมีปัญหาถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ปัญหาของประเทศ หากสามารถแก้ปัญหายิ่งเร็วก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก็จะเป็นผลดีต่อลูกหลาน ความรุนแรงที่เผชิญหน้ายังเป็นความท้าทายของคนไทยทุกคน เราเคยผ่านองค์ความรู้เรื่องสงครามเย็นมาแล้ว แต่ปัญหาภาคใต้ต้องมีองค์ความรู้ งบประมาณ 9 ปีที่ผ่านมามีต่อเนื่องและมหาศาล แต่ยังไม่สามารถลดการเผชิญหน้าได้ เป้าหมายความรุนแรงไปสู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ปรากฎการณ์ความรุนแรงหลายเหตุการณ์เป็นซีรี่ มีการยิงไทย-พุทธ หรือมีระเบิดก็จะเกิดพร้อมกัน 3 จังหวัด แต่กลับไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงความรับผิดชอบแม้องค์กรเดียว

รับนโยบายรัฐแบ่งแยกความเหมือน

พ.อ.ชินวัฒน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อในพื้นที่ เบี่ยงเบนข้อเท็จจริง และเชิงปฎิบัติการ ทำให้พื้นที่สับสนไปหมด จึงเป็นวิวาทะของสังคมไทยในภาคใต้ แบ่งเป็น 1.เป็นปัจเจกชนที่แค้นรัฐส่วนตัว 2.การสร้างสถานการณ์ 3.การแบ่งแยกดินแดน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ถ้าหาโจทย์ไม่เจอก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะพื้นที่ภาคใต้มีความโดดเด่นเชิงอัตลักษณ์ ซึ่งนโยบายขอรัฐบางอย่างทำลายความแตกต่างเพื่อสร้างความเหมือนที่นำไปสู่ปัญหา จึงอยากให้ความแตกต่างคือต้นทุนทางสังคมที่รัฐต้องบริหารจัดการให้ดี เช่น สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ตัวแสดงความรุนแรงภาคใต้ มี 3 ส่วน 1.ตัวแสดงที่ใช้อำนาจรัฐ 2.ตัวแสดงที่ต้องความอยู่ของอัตลักษณ์ 3.พี่น้องประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นมาลายู-มุสลิมซึ่งเป็นตัวกลางของตัวแสดง 1 และ 2 ซึ่งตัวแสดงที่ 2 แฝงตัวหลังประชาชนอย่างลับๆ และไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ

"ทางรอดสำคัญอยากให้สังคมไทยทั้งหมด สร้างเอกภาพทางความคิด หยุดวิวาทะทั้งหมด ยิงปืนให้ตรงเป้า แก้ปัญหาให้ตรงเป้า ผมเชื่อว่าอยู่ได้ เราต้องกุมสภาพประชาชนพี่น้องมุสลิมให้ได้ ให้ได้ใจพี่น้องมาลายูให้ได้ ส่วนรัฐต้องควบคุมองค์กรให้มีเอกภาพไปในทิศทางเดียวกัน และสุดท้ายต้องกุมสภาพต่างประเทศให้ได้ ให้เห็นว่านานาชาติไม่ยอมรับความรุนแรง โดยเราจะทำลายความชอบธรรมกลุ่มเหล่านี้อย่างไร ถ้าทำได้ทั้งหมด การแก้ปัญก็ไม่ยาก"พ.อ.ชินวัฒน์กล่าว


ชูแผน 3 ปีดับไฟใต้-หนุนมีส่วนร่วม

ด้านนายดนัย มู่สา ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้และชนต่างวัฒนธรรม สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวว่า การแก้ปัญหาถ้าใช้ความรู้ และจินตนาการที่มีอยู่ไม่นำไปสู่ทางรอดที่ดีได้ จึงต้องอาศัยการวิจัยทางวิชาการด้วย ถ้าทางเลือกต้องมีการชี้กรอบ และทางรอดต้องมีการประเมิน หลายครั้งทำนโยบายดีมาก แต่บางเรื่องก็ปฎิบัติไม่ได้สักครั้ง อันแรก 1.เจ้าหน้าที่รัฐไม่เข้าใจนโยบาย และไม่ทำ 2. รู้ เข้าใจ แต่ไม่ทำ 3. รู้ เข้าใจ แต่ไม่ศรัทธา ทั้งนี้ เรามีนโยบายทางเลือก 3 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ 2555-2557 มีการกำหนดการกระจายอำนาจไว้ ส่วนวิธีคิดทางเลือกเราได้ใช้กระบวนการมีส่วนร่วม 4 กลุ่ม 1.ภาครัฐ 2.ภาควิชาการ 3. ภาคประชาคมข่าวกรอง 4. ภาคประชาชน ซึ่ง 4 กลุ่มนี้ คิดคนละวิธี ทำให้สมช.ทำกรอบใหญ่ยังปวดหัวมาก แต่เราจะประเมินสถานการณ์ไปด้วย เช่น มีทั้งระดับบุคคล ระดับโครงสร้าง หรือชั้นวัฒนธรรม ที่มีเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง

"ส่วนทางออก 3 ปีข้างหน้า ต้องใช้พื้นฐานการมีส่วนร่วมสูงมาก การความรุนแรงไม่สามารถแก้ปัญหาความรุนแรงได้ ต้องมีการสร้างสมดุลในพื้นที่ การเคารพสิทธิมนุษยชน และสำคัญที่สุดกลไกบริหารจัดการภาครัฐต้องไปด้วยกันให้ได้ อย่างไรก็ตาม หัวใจทางรอดระยะสั้นต้องมุ่งความปลอดภัย ขณะที่ระยะยาวต้องให้ความสำคัญด้านการศึกษา ถ้าทำให้สำเร็จได้ หน่วยงานรัฐต้องเข้าใจตรงกัน ให้ภาคส่วนต่างๆมาร่วมกัน และต้องให้รัฐบาลแสดงความจริงจังแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน"นายดนัยกล่าว

ศอ.บต.แนะระดมการศึกษาแก้ปัญหา

นายปิยะ กิจถาวร รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กล่าวว่า การศึกษาชายแดนใต้ยังมีความไม่รู้อยู่สูงมากในระบบ การศึกษาในชายแดนใต้ไม่เหมือนกับกรุงเทพฯ เชียงใหม่ แต่จะทำให้สิ่งเหลานี้ลงรอยได้หรือไม่ โดยให้การศึกษาสร้างสรรค์ ซึ่งเด็กเหล่านี้มีการเรียนหนักมากทั้งสามัญและด้านศาสนา มีจำนวนกว่า 4.5 แสนคนในพื้นที่ ดังนั้น ถ้าเราต้องหาทางรอดการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่จะเห็นภาพปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าถ้าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่เรื่องเลือกตั้ง แต่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ปัญหาชายแดนใต้จะผ่านไปได้ โดยต้องไปดูแลประชาชน 1.ต้องมีความรู้ด้านนั้นให้จริง 2.มีศักยภาพเรียนรู้ ใจเปิด หูฟัง ตามอง ทั้งนี้ ตนยืนยันการศึกษาเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะเปลี่ยนผ่านการก้าวสู่สันติภาพ


จี้ปรับโครงสร้างปกครองรับ3จว.ใต้


ขณะที่นายมูฮำหมัดอายุบ ปาทาน สื่อมวลชนอาวุโส ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ กล่าวว่า ทางคิดทางเลือกให้เกิดทางรอดเราจะปฎิเสธความจริงไม่ได้ ความจริงที่มีความแตกต่างด้านโครงสร้าง ส่วนอีกหนึ่งความจริงของทางเลือกมีการตายจริงๆ สถิติวันละ 2 คนครึ่ง สังคมไทยต้องคิดเรื่องนี้ไม่ใช่ตั้งคำถามจากหนังสือพิมพ์ เว็ปไซค์ อินเตอร์เนต ก็จะไม่ได้กลิ่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ แต่ตนเชื่อว่าถ้ามีทางเลือกก็ยังสะท้อนการมีความหวัง แต่ว่าทางเลือกสำหรับคนที่อยู่ข้างในตะโกนเป็นฉันทามติร่วมกันว่าอยากได้ทางเลือกนี้หรือไม่ จะต้องทำให้เสียงนี้ตะโกนออกมา ทำให้คนกล้าพูด กล้าคิด กล้าเถียง ถ้าไม่มีเวทีจะเป็นเรื่องอันตราย โดยต้องสร้างบรรยากาศ และเปลี่ยนวิธีมองไม่ใช่คิดแค่เรื่องวางอาวุธอย่่างไร แต่ต้องคิดถึงประชาชนอีกด้าน ซึ่งตนเชื่อว่าภาคใต้จะไปได้ต้องทำพร้อมกัน 4 ส่วน 1.ต้องปรับการเมืองการปกครองให้เข้ากับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2.ความยุติธรรม 3.ต้องมีการพูดคุย และ4.เดินด้วยความรู้ ดังนั้น ไม่มีที่ใดในโลกที่จัดการความขัดแย้งได้ โดยไม่ใช่วิธีใหม่

จากนั้นเวลา 16.20 น. ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสวนาหัวข้อ " 9 ปีความรุนแรงภาคใต้: อัศจรรย์ความรู้ในแดนเนรมิต?" ทั้งนี้ ดร.ชัยวัฒน์ ได้เผยแพร่รายงานวิจัยจากนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ ผู้ก่อการใช้ความรุนแรงเป็นชายหนุ่ม ไม่ได้แต่งงาน อายุ 16 - 50 ปี อายุเฉลี่ย 26.6 ขณะที่ผู้ฝึกสอนและหัวหน้าหน่วยของอาร์เคเค อยู่ในวัยปลาย 30 และผู้นำดีพีพี อายุประมาณ 40-70 ปี หรือ ร้อยละ 54 เป็นขาวนามีนาของตัวเองมร้อยบะ 1 ไม่มีงานทำ ร้อยละ 5 เป็นเจ้าของกิจการ ร้อยละ 12 ทำงานรับจ้าง มีเพียงร้อยละ 2 เป็นครูสอนศาสนา นอกจากนี้ในหัวข้อ "ปัญหาทำการวิจัยกับผู้ก่อการร้าย" ระบุว่า ข่าวกรองประมาณร้อยละ 60 ถึง 70 ที่ได้จากหมู่บ้านเป็นเรื่องเท็จ หรือเก่าเกินไป หรือไม่ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ บางทีคนให้ข่าวก็อยากได้เงินและให้ข่าวเก่าๆ หรือบอกข่าวลือที่เก็บตกมาได้

นอกจากนี้ หัวข้อ "เรื่องเล่าจากยูแว" ระบุว่า "เขาไม่ได้รับเงินจากต่างประเทศ ปืนที่ใช้ก็มีแค่ไม่กี่กระบอก มือปืนก็มีไม่กี่คน ปืนเวียนกันใช้ใน 3 จังหวัด มือปืนเล่าว่า เขาคิดว่าปืนที่เปื้อนเบือดมีวิญญาณหรืออะไรคล้ายๆอย่างนี้อยู่กับปืน ที่ยูแวต้องลุกขึ้นมาสู้กับรัฐไทย โดยใช้ความรุนแรงเพราะว่ามันเสียงดัง เราสู้มานานแต่ไม่เคยมีคนหันมามองเราเลส ตอนนี้มีเสียงปืน เสียงรัเบิดคนก็เลยมามอง องค์กรต่างประเทศก็หันมามอง ยูแวก็เปรียบเหมือนแตงโม ส่วนรัฐไทยก็เหมือนทุเรียน ทุกครั้งที่เราสู้ก็เหมือนเอาแตงโมไปชนกับทุเรียน เรารู้ว่ายังไงแตงโมก็แพ้ทุเรียน แต่เราก็ยังสู้ เพราะเราทนไม่ไหว"



www.komchadluek.net

บางจากคาดเปลี่ยนหอแยกก๊าซใหม่

บางจาก ปิโตรเลียม นำคณะสื่อมวลชนเข้าตรวจสอบโรงกลั่นระเบิด ระบุกำลังพิจารณาเปลี่ยนหอแยกก๊าซใหม่ ขณะที่ พฐ. พร้อมเข้าตรวจสอบร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เจ้าหน้าที่บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) ได้นำสื่อมวลชนเข้าไปดูสภาพความเสียหายของหอกลั่นแยกน้ำมันหน่วยที่3 ภายในโรงดลั่นน้ำมันบางจาก เพื่อให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชน ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้เมื่อวานที่ผ่านมา ที่เกิดเหตุพบว่า สภาพความเสียหายของหอแยกก๊าด ถูกเพลิงเผาไหม้ไปกว่า 80 เปอร์เซนต์ ซึ่งหลังเกิดเหตุบริษัทได้หยุดกระบวนการผลิตทั้งหมดและมีการกั้นบริเวณที่เกิดเหตุโดยรอบให้เป็นพื้นที่ห้ามเข้า ซึ่งยังพบว่ามีกลิ่นก๊าซที่ค้างอยู่ในท่อคละคลุ้งทั่วบริเวณ โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบและสำรวจความเสียหายบริเวณจุดที่เกิดเหตุอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ได้มีการเรียกประชุมเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวอย่างเคร่งเครียด เพื่อติดตามความคืบหน้า ทั้งในส่วนของการหาสาเหตุ และประเมินความเสียหาย ต่อมานายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) เปิดเผยกับสื่อมวลชนหลังประชุมผู้บริหาร กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ในส่วนของความคืบหน้าของการตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้ ได้จัดเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการเข้าไปตรวจสอบสภาพความเสียหายอย่างละเอียดแล้ว และเตรียมที่ประเมินเรื่องการซ่อมแซม ซึ่งเบื้องต้นกำลังประเมินว่า จะต้องเปลี่ยนหอแยกก๊าซใหม่หรือไม่ ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนก็จะต้องสั่งซื้อทันที เพื่อให้สามารถกลับมาเดินหน้าการผลิตได้ทันที หลังการซ่อมแซมสำเร็จ โดยในส่วนของการซ่อมแซมโรงกลั่นจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถทำให้แล้วเสร็จได้ภายใน 2-3 เดือน แต่ในช่วง 7วันหลังจากนี้ จะมีการเดินเครื่องผลิตที่มีกำลังการผลิต 4 หมื่นบาเรลล์ต่อวันก่อน เพื่อให้สามารถกลั่นและผลิตน้ำมันได้ ขณะที่ในส่วนของความเสียหายของชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงโรงกลั่น หลังเกิดเหตุเมื่อวานนี้ทางบางจากได้จัดเจ้าหน้าที่กว่า 100 คน ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพความเสียหายและทำความเข้าใจกับประชาชน พร้อมจัดผู้รับเหมาก่อสร้าง 14 ราย เข้าไปช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย โดยพร้อมที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ด้าน พ.ต.ท.รุ่งชาติ รุ่งทอง รอง ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเหตุเพลิงไหม้หอแยกก๊าซภายในโรงกลั่นน้ำมันบางจากว่า เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ พฐ. ได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไปยังพื้นที่จุดเกิดเหตุ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีอุณหภูมิร้อนมาก โดยขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังต้องรอการติดต่อมาจากบริษัทว่า พื้นที่เกิดเหตุมีความปลอดภัยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็จะได้ประสานเจ้าหน้าที่ พฐ. เข้าตรวจสอบร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบริษัท เพื่อหาสาเหตุคาดว่า 1-2 วันนี้จะเข้าไปตรวจสอบได้ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้3ข้อ1.อุบัติเหตุ 2.ความประมาท3.เหตุจงใจ โดยยังไม่ตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งออกไป นอกจากนี้หลังเกิดเหตุมีประชาชนผู้ที่ได้รับความเสียหายจำนวน 7 รายเดินทางเข้าแจ้งความกับทางพนักงานสอบสวนเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานต่อไป

breakingnews.nationchannel.com

จีน สนใจสินค้าไทย เปิดสำนักงานใจกลางจตุจักร คาดดันการส่งออก

จีนมองสินค้าไทยเป็นพรีเมียม สมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและการค้า กวางตุ้ง-ฮ่องกงสบช่องนักธุรกิจรุ่นใหม่จีนสนใจสินค้าขายส่ง- ขายปลีก ประกาศตั้งสำนักงานใจกลางจตุจักร หวังเป็นสื่อกลางอุ้มผู้ประกอบการไทย คาดช่วยให้รายได้ส่งออกเพิ่ม 2,000-5,000 ล้านบาท นายภูสิต เพ็ญศิริ รองประธานศูนย์อาเซียน สมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและการค้า กวางตุ้ง-ฮ่องกง เปิดเผยว่า จากความสนใจของนักธุรกิจจีนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 25-45 ปี ที่มีความสนใจธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกในประเทศไทย เพราะมองว่าสินค้าไทยเป็นสินค้าพรีเมียมและมีความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสินค้า ดังนั้นทางสมาคมจึงเล็งเห็นโอกาสในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยให้เข้าไปขยายธุรกิจในประเทศจีน ด้วยการตั้งสำนักงานเป็นครั้งแรกในประเทศไทยภายในโครงการจตุจักรกรีน จากเดิมจะมีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศจีนเท่านั้น เพื่อเป็นสื่อกลางในด้านการเจรจาธุรกิจและเป็นที่ปรึกษา ทั้งนี้ การที่สมาคมเลือกทำเลย่านจตุจักรตั้งเป็นสำนักงานของสมาคม เพราะว่าคนจีนและต่างชาติมองทำเลการค้าย่านจตุจักรเป็นแหล่งธุรกิจการค้าส่ง-ค้าปลีกของไทย เนื่องจากจตุจักรเป็นแหล่งค้าส่งและค้าปลีกที่ครบวงจร เมื่อเทียบกับประตูน้ำ หรือสำเพ็ง ซึ่งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่มองว่าเป็นแหล่งค้าส่ง-ค้าปลีกเฉพาะกลุ่มสินค้าแฟชั่นเท่านั้น ขณะที่จตุจักรจะมีสินค้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นสินค้าแต่งบ้าน เครื่องประดับ อาหาร ตลอดจนสินค้าแฟชั่น “การออกมาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวถือเป็นการช่วยผู้ประกอบการไทยให้มีโอกาสขยายธุรกิจก่อนที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ซึ่งขณะนี้ทางสมาคมได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว และขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการให้ความสนใจขยายธุรกิจร่วมกับสมาคม เช่น ธุรกิจจิวเวลรี่ ธุรกิจอาหาร และธุรกิจไลฟ์สไตล์ คาดว่าปีแรกจะมีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการเพื่อส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศจีนไม่ต่ำกว่า 40-50 ราย” นายภูสิตกล่าว ทั้งนี้ ธุรกิจที่คาดว่าจะมีศักยภาพสำหรับการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศจีนในปีนี้น่าจะเป็นกลุ่มจิวเวลรี่ และกลุ่มไลฟ์สไตล์ เช่น ของตกแต่งบ้าน และเครื่องนอน เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและคนจีนให้ความสนใจ ขณะที่ธุรกิจโรงเรียนสอนทำอาหารคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2556 เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุญาตเปิดโรงเรียน ซึ่งจากผลการตอบรับที่ดีของผู้ประกอบการไทยที่มีความสนใจจะนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในประเทศจีน คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 2,000-5,000 ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้ารวมสำหรับการส่งออกสินค้าเข้าไปจำหน่ายใน 3 เมืองของประเทศจีนที่สมาคมดูแลอยู่คือ กวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า ปี 2554 ที่ผ่านมามีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท และจากการขยายตลาดส่งออกเพิ่ม คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีมูลค่าการค้าใน 3 เมืองเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% และมีมูลค่าเพิ่มเป็น 55,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปีนับจากนี้.

www.thaipost.net

ปริมาณน้ำในอ่าง กฟผ.ปกติ ย้ำสามารถรับมือหน้าฝนได้

สถานการณ์น้ำในเขื่อน กฟผ. โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพียงพอต่อความต้องการ พร้อมกันนี้ได้สำรองช่องว่างพื้นที่ในอ่างเก็บน้ำสำหรับรับมือพายุจรที่อาจเกิดขึ้นในหน้าฝนวันที่ 6 ก.ค. นายกิตติ ตันเจริญ ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของ กฟผ. ล่าสุดว่า มีปริมาณน้ำในอ่างฯ กฟผ. ทั้งหมด 33,936 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็น 55% ของความจุ ซึ่งไม่แตกต่างจากสัปดาห์ที่แล้วมากนัก โดยเมื่อเทียบกับปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน จะพบว่าปริมาณน้ำในปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว 10% หรือ -3,705 ล้าน ลบ.ม. โดยอ่างเก็บน้ำในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ยังคงมีปริมาณน้ำน้อยกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน 28%, 8% และ 4%ตามลำดับ ขณะที่อ่างเก็บน้ำในภาคตะวันตก มีปริมาณน้ำมากกว่าปีที่แล้ว 3%นายกิตติ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพายุโซนร้อน “ด๊อกซูหริ” ที่ขึ้นฝั่งที่ประเทศจีนตอนใต้ใกล้เกาะฮ่องกง ไม่ได้ส่งผลต่อประเทศไทยมากนัก มีเพียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือฝั่งตะวันออก บริเวณจังหวัดสกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ที่มีฝนเพิ่มมากขึ้น สำหรับปริมาณฝนในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั่วทุกภาคของประเทศไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยภาคเหนือปริมาณฝนในเดือนมิถุนายนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 16 % ซึ่งส่งผลให้เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนไม่มากนัก ปัจจุบันเขื่อนภูมิพล มีปริมาตรน้ำ 6,197 ล้าน ลบ.ม. หรือ 46% น้อยกว่าปีที่แล้ว 22%หรือ ติดลบ 1,717 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำใช้งานได้ 2,355 ล้าน ลบ.ม. มีช่องว่างรองรับน้ำได้อีก 7,307 ล้าน ลบ.ม. ในระหว่างวันที่ 28 มิ.ย.-4 ก.ค. มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน 50 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 7 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ระบายน้ำรวม 80 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 11 ล้าน ลบ.ม. การจำลองสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝน หากมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนในเกณฑ์น้ำน้อย น้ำเฉลี่ย และน้ำมาก คาดว่าเขื่อนภูมิพลจะมีปริมาตรน้ำเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน ณ สิ้นเดือนต.ค.นี้ 60 %,71% และ 81% ของความจุ ตามลำดับเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำ 4,142 ล้าน ลบ.ม. หรือ 44% หรือน้อยกว่าปีที่แล้ว 35% หรือติดลบ 2,188 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำใช้งานได้ 1,292 ล้าน ลบ.ม. มีช่องว่างรองรับน้ำได้อีก 5,368 ล้าน ลบ.ม. ม. ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน 42 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 6 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ระบายน้ำทั้งสิ้น 187 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 27 ล้าน ลบ.ม. การจำลองสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝน หากมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนในเกณฑ์น้ำน้อย น้ำเฉลี่ย และน้ำมาก คาดว่าเขื่อนสิริกิติ์จะมีปริมาตรน้ำเมื่อสิ้นสุดฤดู ฝน 63%, 77% และ 92% ของความจุ ตามลำดับ ทั้งนี้ ปริมาณน้ำในเขื่อนสิริกิติ์ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้วค่อนข้างมาก เนื่องจากปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนในช่วงเดือนมิถุนายนค่อนข้างน้อย ขณะที่ยังมีความจำเป็นต้องระบายน้ำเพื่อการเกษตร อีกทั้งในช่วงฤดูฝนมีความต้องการใช้น้ำจากเขื่อนเพิ่ม เพราะน้ำฝนจากธรรมชาติยังมีไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ในการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำที่มีกรมชลประทานเป็นประธาน ได้พิจารณาวางแผนการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ เพื่อการใช้น้ำในลุ่มน้ำปิง น่าน และเจ้าพระยา ซึ่งมีการเพาะปลูกมากขึ้น และมีความต้องการใช้น้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์วันละ 12 ล้าน ลบ.ม. และ 24 ล้าน ลบ.ม. ตามลำดับ ทั้งนี้ การวางแผนการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ในช่วงต่อไป ต้องติดตามข้อมูลสภาพอากาศและความต้องการใช้น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยคณะอนุกรรมการฯ จะมีการประสานงานเพื่อปรับเปลี่ยนการระบายน้ำให้เหมาะสมเพื่อการรักษาสมดุล ด้านการป้องกันอุทกภัยและภัยแล้ง รวมถึงต้องรักษาปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนทั้งสองให้เพียงพอสำหรับการใช้น้ำช่วงฤดูแล้งปีหน้า ที่มีความต้องการใช้น้ำจากเขื่อนทั้งสองโดยเฉลี่ย 7,000-8,000 ล้าน ลบ.ม. และยังต้องสำรองน้ำไว้ในช่วงต้นฤดูฝนอีก 3,000 ล้าน ลบ.ม. โดยรวมแล้วต้องมีน้ำต้นทุนในอ่างฯ ประมาณ 10,000-11,000 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ต้องสำรองช่องว่างให้สามารถรองรับอิทธิพลจากพายุที่อาจมีเข้ามาอีกตลอดช่วงฤดูฝน“การบริหารจัดการน้ำเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ที่ผ่านมาได้วางแผนรับสถานการณ์น้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างสมดุลมาโดยตลอด ซึ่งจากการจำลองสถานการณ์น้ำในปีนี้ตลอดช่วงฤดูฝน จะเห็นว่าหากมีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยเขื่อนทั้งสองจะมีปริมาณน้ำต้นทุน รวมกันประมาณ 10,200 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำดังกล่าวข้างต้น ขณะเดียวกัน ยังเหลือช่องว่างสำหรับรับพายุจรที่อาจมีมาในปีนี้ได้ถึง 1-2 ลูก อีกด้วย".

www.thairath.co.th

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ดีเอสที จัดงานรับรองลูกค้าในไทย

บริษัทดีเอสทีโกลบอลโซลูชั่นส์ เป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีซอฟท์แวร์และการให้บริการกับอุตสาหกรรมจัดการลงทุนทั่วโลก จัดงานรับรองลูกค้าในประเทศไทยขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ที่โรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท โดยแขกผู้ร่วมงานเป็นลูกค้าระดับผู้บริหารอาวุโสจากสถาบันการจัดการลงทุนและบริษัทประกันชั้นนำรายใหญ่ในประเทศไทยกว่า 20 ราย ภายในงานเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ร่วมสนทนากันโดยเน้นในเรื่องของความท้าทายในอุตสาหกรรมจัดการลงทุน ตลอดจนการแจ้งข่าวสารผลิตภัณฑ์ใหม่ และนำเสนอแผนงานของดีเอสทีโกลบอลโซลูชั่นส์ในประเทศไทย รวมถึงการหารือในหัวข้อที่มีความท้าทายต่างๆ อาทิเช่น กฎข้อบังคับบัญชีภาษีอากรตามมาตรฐานพระราชบัญญัติเงินตราต่างประเทศ (FATCA - Foreign Account Tax Compliance Act) ข้อเรียกร้องเฉพาะของโครงสร้างทางข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET - The Stock Exchange of Thailand) โดยประเด็นที่น่าจับตาคือเรื่องของมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS - International Financial Reporting Standards) โดยคาดว่าระบบของ HiPortfolio® จะสามารถรองรับ IFRS 9 ได้ภายในปี 2556 ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2558

 

 

นาย ปรกฤษฎ์ พรรคพานิช ผู้จัดการภูมิภาคฝ่ายระบบงานสารสนเทศ (เอเชีย แปซิฟิก) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอเบอร์ดีน จำกัด ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ผมพอใจกับงานเลี้ยงรับรองนี้มาก ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง และการต้อนรับอย่างอบอุ่นไม่เพียงทำให้เพลิดเพลิน แต่ยังเอื้อประโยชน์ต่อการหารือ ทีมผู้บริหารอาวุโสของดีเอสทีโกลบอลโซลูชั่นส์ได้เสริมความมั่นใจด้วยการแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนต่อธุรกิจในประเทศไทย พร้อมแจ้งข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในเรื่องของการพัฒนาโซลูชั่น HiPortfolio® โซลูชั่น HiTrust® และ โซลูชั่นใหม่ล่าสุด Anova® เพื่อการรวบรวมและการกระจายข้อมูลการลงทุน

มิส ฟราน ทอมป์สัน หัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ภูมิภาคเอเชีย ดีเอสทีโกลบอลโซลูชั่นส์กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับการตอบรับที่ดีและเป็นเสียงเดียวกันจากลูกค้าต่อการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการหารือทางหัวข้อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนความท้าทายต่างๆในตลาดปัจจุบัน แนวทางปฎิบัติที่เหมาะสม และการสนับสนุนความต้องการของลูกค้าจากดีเอสทีโกลบอลโซลูชั่นส์

ดีเอสทีโกลบอลโซลูชั่นส์มีฐานที่แข็งแกร่งในตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์โซลูชั่นที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติอย่าง HiPortfolio®

ดีเอสทีโกลบอลโซลูชั่นส์ เป็นผู้นำทางด้านซอฟท์แวร์โซลูชั่นส์ และการให้บริการกับสถาบันชั้นนำระดับโลก อาทิเช่น สถาบันด้านการเงิน การสารธารณูปโภค การสื่อสารและคมนาคม เราเป็นบริษัทในเครือของ ดีเอสที ซิสเตมส์ ที่ให้บริการลูกค้าสถาบันกว่า 400 รายจากสำนักงานของเราที่พร้อมบริการใน 16 ประเทศทั่วโลก

ระบบงานบริหารการลงทุนของเรา ครอบคลุมทั้งระบบงานด้านการบริการสินทรัพย์ การวิเคราะห์การบริหารข้อมูล และการจัดจำหน่าย ให้กับสถาบันการจัดการการเงินชั้นนำทั่วโลก HiPortfolio® เป็นระบบงานพร้อมโปรแกรมสำเร็จรูปด้านการจัดการกองทุนที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติและเป็นผู้นำในตลาดระบบบริหารการลงทุนและสินทรัพย์ โดยได้รับความไว้วางใจให้เป็นระบบปฎิบัติการหลักของบริษัทการจัดการลงทุนในกว่า 160 ประเทศ ระบบงานพร้อมโปรแกรมสำเร็จรูป Anova® เป็นนวตกรรมล่าสุดสำหรับการวิเคราะห์ระบบงานส่วนกลาง ซึ่งจะช่วยให้การปฏิบัติงานขององค์กรจัดการลงทุนสามารถเข้าถึงระบบการวิเคราะห์โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของสถานที่ได้อย่างลงตัว ในเรื่องของระบบงานทางธุรกิจ AWD® คือทางเลือกที่ยืดหยุ่นและเต็มไปด้วยฟังค์ชั่นการทำงานสำหรับการจัดการดำเนินงานทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยองค์กรในการลดต้นทุน ปรับปรุงการให้บริการลูกค้า เพื่อสอดคล้องกับกฎเกณฑ์และสามารถปรับปรุงศักยภาพในการบริหารงานทั่วไปให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ระบบงานการเรียกเก็บเงินของเรา ก้อเป็นที่ไว้วางใจในการให้บริการเรียกเก็บเงินและการจัดการลูกค้าจากหน่วยงานสาธารณูปโภคและหน่วยงานที่ให้บริการทางการเงินทั่วโลก



www.newswit.com

5 ตัวแทนไทย พร้อมชิงชัย ฟิสิกส์โอลิมปิก ประเทศเอสโตเนีย

การแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ในปี พ.ศ. 255 นี้ จะจัดแข่งขันในวันที่ 15 – 24 กรกฎาคม 2555 ณ เมืองทาลินน์ ประเทศเอสโตเนีย โดยคณะผู้แทนประเทศไทย จำนวน 5 คน จะออกเดินทางในวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2555 เที่ยวบิน TG 920 เวลา 23.45 น. ซึ่ง สสวท. จะจัดพิธีส่งในวันดังกล่าว เวลา 21.00 น. ณ ชั้น 4 ด้านในประตูที่ 1 ตรงชุ้มการบินไทย สนามบินสุวรรณภูมิ นายปภพ สวัสดี (สต๊อก) วัย 17 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เจ้าของรางวัลเหรียญเงินจากการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิก ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น วิชาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ จากประเทศเกาหลีและไต้หวัน 2 ปีซ้อน และรางวัลเหรียญทอง พร้อมทั้งรางวัลคะแนนปฏิบัติการสูงสุดจากการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับชาติ กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นผู้แทนประเทศไทย ความตั้งใจในปีนี้ คือ ทำให้ได้เหรียญทอง การเตรียมตัว คือ ทำโจทย์ อ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติม พักผ่อนให้เพียงพอ ฝึกสมาธิ ฝึกทักษะการใช้เครื่องมือปฏิบัติการ

 

 

“ผมคิดว่าโครงการโอลิมปิกวิชาการช่วยให้นักเรียนไทยสนใจเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่ประเทศไทยได้เหรียญรางวัลจำนวนมากจะทำให้วิทยาศาสตร์ในประเทศดีขึ้น กระบวนการในการคัดเลือกต่างหากที่เป็นตัวจุดประกายให้นักเรียนมีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองเพื่อเข้าโครงการ”

นายณัฐนันท์ ตันติวัสดาการ (แนท) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เจ้าของเหรียญทอง อันดับ 2 และรางวัลคะแนนภาควิเคราะห์ข้อมูลสูงสุดจากการแข่งขันดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่ต่างประเทศ เล่าว่า ภูมิใจที่จะได้มีโอกาสไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ จะทำให้ดีที่สุดในการแข่งขัน เพื่อตนเอง ครอบครัว โรงเรียนและประเทศชาติ

นายพุฒิพงศ์ วรศรัณย์ (ตัง) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งนอกจากจะเรียนดีแล้วยังได้รางวัลนักเรียนดีเด่นด้านการบำเพ็ญประโยชน์ต่อโรงเรียนด้วย ก่อนไปแข่งขันได้ฝึกทำโจทย์และเรียนกับอาจารย์ในค่ายโอลิมปิก ฯ ได้ฝึกทำการทดลองที่เคยใช้ในการแข่งขันเมื่อครั้งที่ผ่าน ๆ มา บริหารความเครียดโดยเล่นกีฬาปิงปองและเล่นดนตรี คือ เปียโน

“ผมชอบเรียนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ เพราะเป็นวิชาที่เรียบง่ายและสวยงาม ใช้ความเข้าใจมาก ไม่ได้เน้นที่ท่องจำ อยู่ที่โรงเรียนจะคอยสอนเพื่อน และนัดรุ่นน้องมาสอนเป็นประจำ เพราะที่ผ่านมารุ่นพี่ก็ติวให้เรา จึงคิดว่ารุ่นน้องก็คงต้องการเราเหมือนที่เราต้องการรุ่นพี่มาสอน อนาคตจะรับทุนโอลิมปิกวิชาการไปศึกษาต่อต่างประเทศ อยากกลับมาเป็นอาจารย์และนักวิจัย จะมาสอน ถ่ายทอดความรู้ให้เยาวชนรุ่นใหม่ และอยากทำวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลกว่านี้”

นายพงศภัค สวัสดิรักษ์ (แอมป์) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เจ้าของเหรียญทองจากแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ครั้งที่ 13 ปี พ.ศ.2555 ณ ประเทศอินเดีย และเหรียญเงิน ฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2554 แข่งขัน ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ กล่าวว่า ก่อนไปแข่งขันได้ได้ทบทวนความรู้ ผ่อนคลายความเครียด “ไม่ว่าอย่างไรผมจะทำให้ดีที่สุด”

นายศุภณัฐ ธนศิลป์ (ไปป์) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ กล่าวว่า เมื่อได้ทราบว่า เป็นผู้แทนประเทศไทยแล้วรู้สึกดีใจ แต่ในทางกลับกันก็เครียดและกดดันด้วย เพราะถือว่าเราทำในฐานะหน้าตาของประเทศ แต่ก็รู้สึกกดดันน้อยลง เพราะมีเพื่อนๆ และครอบครัวคอยให้กำลังใจ ซึ่งความรู้สึกที่มีมากที่สุด คือ ขอบคุณครอบครัวและเพื่อนๆ ที่คอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ เพราะที่ผมมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะตัวมคนเดียว แต่เพราะผมมีบุคคลที่กล่าวถึงอยู่ข้างๆ เสมอมา การเตรียมตัวคือ อ่านหนังสือ และฝึกทำโจทย์เยอะ ๆ พยายามทบทวนว่ามีเรื่องอะไรที่ยังไม่เข้าใจก็เสริมตรงจุดนั้น พยายามให้ถึงที่สุดเท่าที่เราในตอนนี้จะทำได้

สำหรับน้องไปป์แล้ว นอกจากจะชอบเรียนฟิสิกส์ การเรียนศิลปะที่ตนเองชอบยังทำให้มีมุมมองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น อีกทั้งยังช่วยคลายเครียด “อนาคตอยากพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น”



www.newswit.com

จารุพงศ์ เผย รันเวย์มีมาตราฐานแต่ใช้มานาน

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานกรณีรันเวย์ด้านตะวันตก 19R ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยุบตัวเป็นหลุมขนาด 60 X 60 เซนติเมตร ลึก 5 เซนติเมตรเมื่อช่วง 20.30 น.ของวันที่ 5 กรกฎาคม โดยแม้จะใช้เวลาในการซ่อมแซมประมาณ 30 นาที แต่กว่าจะเปิดใช้รันเวย์ได้อีกครั้งหลังเวลา 21.00น. ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินต่างๆที่ต้องบินวนและเปลี่ยนไปลงที่ท่าอากาศยานอื่น ซึ่งได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้รับทราบทันที ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ว่าที่เรืออากาศโทอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เร่งดำเนินการใน 3 เรื่อง คือ 1. ตรวจสอบสภาพของรันเวย์เพื่อเตรียมความพร้อมหากต้องมีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ โดยในการซ่อมแซมจะต้องทำทีโออาร์ที่กำหนดให้ผู้รับเหมาทำงานตลอด 24 ชม.เพื่อให้งานเสร็จเร็วที่สุด โดยหากมีแผนการซ่อมแซมที่ชัดเจนให้ส่งเรื่องมาเพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้รับทราบด้วย 2. เร่งรัดการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบิน ซึ่งทอท.รายงานว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการทำประชาพิจารณ์ จึงเห็นว่า ทอท.ควรเร่งจ่ายชดเชยผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงจากจากการเปิดดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้ครบก่อน ไม่เช่นนั้นรันเวย์ที่ 3 เกิดยากเพราะจะมีการคัดค้านจากชาวบ้าน และ3. เร่งปรับปรุงและเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อให้เปิดให้บริการเต็มรูปแบบเร็วขึ้นจากเดือนตุลาคม เป็นในสิงหาคม เพื่อลดความแออัดของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยหากมีสายการบินใดต้องการจะย้ายมาให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมืองก็ให้เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมได้เลย “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังถือว่าโชคดีที่เกิดขึ้นก่อนช่วงเวลา 22.00 น. เพราะหากเป็นช่วงหลังเวลาดังกล่าวจะมีเที่ยวบิน และผู้โดยสารเข้าใช้บริการเป็นจำนวนมาก ผมยืนยันว่ารันเวย์ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก่อสร้างได้มาตรฐาน แต่เนื่องจากมีการใช้งานอย่างหนักมาตลอด 6 ปี รองรับเที่ยวบินขึ้นลงกว่า 1.5 ล้านเที่ยว ถูกแรกกระแทกของเครื่องบินที่มีน้ำหนักมหาศาล ก็ชำรุดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ และการซ่อมแต่ละครั้งก็คงไม่มีใครอยากได้ของถูกและห่วยก็ต้องได้ของดีที่สุด เพราะต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมามีการซ่อมแซมเป็นระยะ”นายจารุพงศ์กล่าว สำหรับทางวิ่งเส้นที่ 3 จากผลศึกษาพบว่าใช้เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท และค่าชดเชยผลกระทบทางเสียงประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยสามารถรองรับเที่ยวบินเพิ่มจาก 76 เที่ยวบิน/ชม. เป็น 88 เที่ยวบิน/ชม.หรือ จาก 375,000 เที่ยวบิน/ปี เป็น 439,804 เที่ยวบิน/ปี ส่วนกรณีที่นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ออกมาให้ความเห็นว่า การซ่อมแซมรันเวย์ที่ทอท.ดำเนินการมีปัญหานั้น นายจารุพงศ์กล่าวว่า พร้อมรับฟังข้อเสนอ หากมีวิธีที่ดีกว่าให้แนะนำเข้ามา“อดีตนายกฯวสท.”ชี้ทอท.อย่าเสียดายเงิน ซ่อมรันเวย์แบบเดิมๆ พังบ่อย ด้านนายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกฯ วสท.และอดีตคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. กล่าวว่า สิ่งที่ทอท.ต้องทำตอนนี้คือ การเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงของเหตุการณ์รันเวย์ยุบตัว เพื่อระงับข่าวลือ ที่จะทำให้กระทบต่อเชื่อมั่น ทั้งนี้ การยุบตัวของรันเวย์เป็นปัญหาเดิมที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะตรงจุดที่เครื่องบิน Take Off ซึ่งผิวรันเวย์สุวรรณภูมิด้านบนเป็นยางมะตอยเคลือบแข็งพิเศษ มีความหนา 5 เซนติเมตร การแตกร่อนหากเกิดขึ้น จะเป็นอันตรายต่อเครื่องบินเพราะเศษที่แตกร่อนจะเข้าเครื่องยนต์ได้ ซึ่งกฎของสนามบินจะต้องไม่มีเศษวัสดุใดๆ ในเขตรันเวย์ “รันเวย์แตกร่อนเกิดขึ้นบ่อยตลอด 6 ปี แต่หากใช้วิธีเหมือนเดิมจะเป็นปัญหาใหญ่ได้ ถึงเวลาที่ควรปรับปรุงหรือหาวิธีการซ่อมที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ และไม่ควรเสียดายเงิน หรืออายเรื่องออกแบบผิด เพราะต้องคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัย ทุกอย่างผิดพลาดแล้วสามารถแก้ไขได้ ซึ่งควรให้ผู้มีอำนาจมากกว่าสั่งนโยบายลงไปเพื่อแก้ไขและไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซาก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น”นายต่อตระกูลกล่าว

paidoo.net

ผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจาก ขอโทษและขอรับผิดชอบต่อชุมชุม พร้อมลงพื้นที่คุย

วันนี้ ( 6 ก.ค.) นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงานบริษัทจำนวน 200 คน ขยายพื้นที่ออกสำรวจผลกระทบและชี้แจงทำความเข้าใจกับชุมชนรอบโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มเติม พร้อมทั้งขอโทษและขอรับผิดชอบต่อชุมชุมอย่างเต็มที่ โดยลงพื้นที่บริเวณตลาดอุดมสุข ซอยสุขุมวิท 103 ถนนสุขุมวิทแขวงและเขตบางนา กทม. ตลอดจนสุขุมวิท101 สุขุมวิท 101/1 และสุขุมวิท 103/1

นายอนุสรณ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์เพลิงไหม้หอแยกก๊าซของโรงกลั่นบางจาก เมื่อช่วงเช้าวันที่4 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางคณะผู้บริหารของบริษัทได้ทำการให้พนักงานลงพื้นที่ตรวจสอบไปแล้วบางส่วนตั้งแต่วันที่เกิดเหตุส่วนใหญ่เป็นการเสียหายของกระจกแตก ฝ้าเพดานหลุดและเสียขวัญจากเหตุการณ์ดังกล่าว ล่าสุดจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ของทางบริษัทที่ลงพื้นที่ได้ยอดผู้แจ้งการได้รับความเสียหายมาแล้ว กว่า 170 รายส่วนใหญ่เป็นการเสียหายเพียงเล็กน้อย ทางเราก็ให้ทางทีมช่างกว่า 33 ทีม ลงพื้นที่ซ่อมแซมบ้านเรือนให้กลับมาเป็นสภาพเดิมโดยเร็วที่สุด

นายอนุสรณ์ เปิดเผยต่อว่า ในวันนี้ทางคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพร้อมทั้งทำความเข้าใจกับทางประชาชนและขอรับผิดชอบในทุกกรณี เราได้แบ่งชุดทำงานป็นหลายสายกระจายกันออกแจกใบปลิว และติดป้ายประกาศ ว่า “ขออภัย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในโรงกลั่นบางจากหากท่านได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าวท่านสามารถติดต่อทางบริษัทได้ที่ คอลเซ็นเตอร์ 24 ชม. หมายเลขโทรศัพท์ 02-745-2444” อย่างไรก็ตามทางบริษัทก็อยากจะขอกราบขอโทษประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ทางเราไม่ได้อยากให้เกิดเหตุร้ายเช่นนี้ขึ้นแต่ทางเราพร้อมที่จะขอรับผิดชอบทุกอย่างซึ่งจะให้เสร็จสิ้นภายใน 1 สัปดาห์

“ส่วนเรื่องของการหาสาเหตุของเหตุเพลิงไหม้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของบริษัทประกันภัยซึ่งใช้เวลาการตรวจสอบประมาณ 1 อาทิตย์ จากนั้นจะให้ทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของทางบริษัทและจากบริษัทเอกชนที่ทางเราได้ว่าจ้างเข้ามาร่วมตรวจสอบหาสาเหตุด้วย คาดว่าน่าจะหาข้อสรุปสาเหตุได้ภายใน 2 อาทิตย์นี้ อย่างไรก็ตามทางบริษัทไม่คิดว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นจะมาจากการกลั่นแกล้งของคนงานในบริษัทเองเพราะเรามีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาและเป็นไปไม่ได้ที่คนของเราจะทุบหม้อข้าวตัวเองอย่างแน่นอน” นายอนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้าย


ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทีมซ่อมบำรุงการตลาด ส่วนจัดซื้อ และฝ่ายวิศวกรรมการตลาดนำช่างก่อสร้างของบริษัทและผู้รับเหมาจากเอกชน รวม 33 ชุด ออกซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ท่อน้ำมันก๊าดของโรงกลั่นน้ำมันระเบิด เมื่อวันที่ 4 ก.ค.55ที่ผ่านมา

จากการสอบถาม นายวีระพล ทองเจริญชัยกิจ อายุ 39 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 324 ซอยกุศลศิลป์ ถนนสรรพาวุธ แขวงและเขตบางนา กล่าวว่า ตนพักอยู่กับครอบครัวซึ่งมีทั้งคนชราและเด็ก ซึ่งตอนนี้มีลูกสาววัยเพียง 6 เดือนนอนอยู่ในบ้านด้วย โดยวันที่เกิดเหตุตนตื่นนอนกันแต่เช้าเนื่องจากตนต้องไปส่งลูกสาวคนโตที่โรงเรียน ไม่อย่างนั้นตนและลูกๆ อาจถูกฝ้าเพดานที่พังจากแรงระเบิดถล่มลงมาทับได้ อย่างไรก็ตามตนค่อนข้างพอใจที่ทางบริษัทมาดูแลเรื่องความเสียหายตั้งแต่หลังจากเหตุเกิด โดยส่วนตัวยังมั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยของบริษัทแม้เหตุการณ์นี้จะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกแต่หลังจากนี้อยากให้พัฒนาเรื่องสัญญาณเตือนภัยให้ชาวบ้านตื่นตัวมากขึ้นหากมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นมาอีก

ด้าน น.ส.ประดับพร ฟ้อนงามดี อายุ 62 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 2239/1 ซอยพูนสิน 11 แขวงบางจาก เขตพระโขนง ซึ่งได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดทำให้กระจกในบ้านแตกหลายบาน เผยว่า รู้สึกพอใจที่ทางบริษัทส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลความเรียบร้อยและสำรวจความเสียหายตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ แต่อยากเรียกร้องด้านการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยและแจ้งเตือนประชาชนให้ดีกว่านี้ เนื่องจากในวันนั้นทางโรงกลั่นน้ำมันเปิดเสียงสัญญาณแจ้งภัยช้าเกินไปตนได้ยินก็ตอนไฟใกล้จะดับแล้วโชคดีที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเช้าจึงพอรู้ตัวและมีเวลาอพยพในทางกลับกันหากเกิดเรื่องขึ้นตอนกลางดึกหรือเช้ามืดคงจะโกลาหลวุ่นวายกันมากกว่านี้เป็นได้



www.dailynews.co.th

รมว.กลาโหม เผย ความคืบหน้ากรณี พม่าจับตัวไทยที่เข้าไปลักลอบตัดไม้

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีที่ทหารพม่าพร้อมอาวุธครบมือเข้าควบคุมตัวคนไทยที่เข้าไปลักลอบตัดไม้ และปลูกยางพาราที่บ้านอินทนินขวง จ.เกาะสอง ประเทศพม่าว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เจ้าหน้าที่ของไทยที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆไม่ได้นิ่งนอนใจ ในส่วนของทหารไทยได้พูดคุยหารือกับทางทหารพม่าแล้ว และทางทหารพม่าได้ขอเวลาสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานและไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งคนไทยที่ถูกควบคุมตัวอยู่นั้นมีจำนวนหลายคน ทั้งนี้ยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีคนไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

ด้านพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานของกองทัพและเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย เพื่อให้มีการปล่อยตัวคนไทยให้กลับมาประเทศไทยโดยเร็ว ซึ่งยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ยิงหรือปะทะกันเกิดขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ในวันที่ 7 ก.ค. นี้ ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงของพม่าที่อยู่ในพื้นที่จะมาหารือกับผู้บัญชาการหน่วยที่รับผิดชอบในพื้นที่ของไทย เพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรที่รุนแรงและไม่มีอันตรายใดๆต่อประชาชนคนไทย โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 4 เร่งประสานงานการเจรจาเพื่อพูดคุยกันตามขั้นตอนของคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทย-พม่า โดยเร็วที่สุด

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่าขณะนี้หน่วยเฉพาะกิจกรมทหาราบที่ 25 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจ และกรมป่าไม้ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือให้คนไทยที่ถูกจับกุมออกมาโดยเร็วที่สุด พร้อมทำหนังสือเพื่อขอเข้าเยี่ยม ทั้งนี้ยอบรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน ตั้งแต่ปี 2549 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา และรอคำตอบในเรื่องการปล่อยตัว แต่เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี



www.banmuang.co.th

ซูบารุ จัดบูทงาน Thailand Impressive Car 2012

นายอภิชัย ธรรมศิรารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มอเตอร์ อิมเมจ ซูบารุ (ประเทศไทย) จากัด ในฐานะผู้จัดจาหน่ายรถยนต์ซูบารุแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ไปร่วมออกบูทที่งาน Thailand Impressive Car 2012 ซึ่งเป็นงานมหกรรมยานยนต์ที่รวบรวมค่ายรถยนต์ชั้นนาซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ชั้น G ตั้งแต่วันที่ 5 – 11 กรกฎาคม 2555 โดยซูบารุจัดแสดงที่บูท B4

 

 

สาหรับงาน Thailand Impressive Car 2012 ในครั้งนี้ บริษัทฯได้นารถยนต์ไปร่วมแสดง 2 รุ่น ประกอบด้วย Subaru Legacy wagon2.0i (Lineartronic CVT) จานวน 1 คัน และ Subaru Forester 2.0XS จานวน 1 คัน โดยบริษัทมอบสิทธิพิเศษสุดสาหรับลูกค้าที่สั่งซื้อรถยนต์ 2 รุ่นนี้ภายในงานเท่านั้น จะได้รับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ซึ่งสิทธิพิเศษดังกล่าวมีจานวนจากัด

อย่างไรก็ตาม ซูบารุกาลังดาเนินการขยายโชว์รูมใหม่อีก 3 แห่ง ทั้งในกรุงเทพและพัทยา จากเดิมที่มีสาขาอยู่ที่เสรีไทยและปิ่นเกล้า โดยซูบารุจะมีแผนการขยายโชว์รูมในปี 2555 รวมทั้งสิ้น 10 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะสามารถรองรับการเติบโตของบริษัทได้เป็นอย่างดี รวมทั้งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการจัดจาหน่าย และบริการหลังการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ซูบารุมั่นใจว่า ยอดขายปีนี้จะขยับเพิ่มขึ้นใกล้ 500 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มียอดขายประมาณ 100 คัน คาดว่า ยอดขายรถยนต์ซูบารุในปี 2556 จะสูงกว่า 2 พันคันทั่วประเทศ



www.newswit.com

ผบก.ทหารพรานที่23 ยันเคารพกติกาของ ไอซีเจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ยื่นหนังสือประท้วง สหประชาชาติ และศาลโลก ว่ากำลังทหารพรานของประเทศไทย เข้าไปวางลวดหนามในเขตปลอดทหาร ที่บริเวณผามออีแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งถือเป็นการละเมิดคำสั่งมาตรการชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก (ไอซีเจ) โดยกัมพูชา ระบุถึงการที่กองกำลังทหารพรานดังกล่าว วางลวดหนามที่ตำแหน่งพิกัด วีเอ 659-917 และ วีเอ 659-918 ตั้งแต่วันที่ 23-25 มิ.ย.2555 ที่ผ่านมา รวมทั้งยังระบุว่ามีเสียงปืนดังขึ้น 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 5 นาที จากฐานที่มั่นของไทย ที่พิกัด วีเอ 634-925 และ วีเอ 630-926 เมื่อ 26 มิ.ย.2555 และยังนำลวดหนามเข้ามาวางเพิ่มเติมอีกเมื่อ 30 มิ.ย.2555 ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งกัมพูชา ขอเรียกร้องให้ทางการไทย ให้ยุติพฤติกรรมดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดที่จะเกิดขึ้น และผลกระทบด้านลบต่อบรรยากาศภายใต้คำสั่งศาลโลก แล้ว แต่ทางการไทยยังมีการนิ่งเฉย ซึ่ง นายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา นอกจากการยืนหนังสือประท้วงต่อศาลโลก แล้วยังได้ยื่นต่อ คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ด้วย จากกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 เปิดเผยว่า สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน ด้านเขาพระวิหาร แท้จริงไม่ได้เกิดปัญหาใดๆเลย ซึ่งตนเองขอยืนยันได้ว่าทางฝ่ายไทย ไม่มีการเสริมกำลัง หรือวางแนวลวดหนามเพิ่มเติมใดๆ ทั้งสิ้น เราเคารพกฎกติกาของศาลโลก และคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด โดยในช่วงที่ผ่านมา เรามีเพียงการซ่อมแซมถนนที่ชำรุดเท่านั้น เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นไม่ทราบว่ามีเหตุวัตถุประสงค์อะไร หรือมีนัยสำคัญสิ่งใดหรือไม่ ซึ่งขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ สำหรับท่าทีของทหารทางกัมพูชา ที่อยู่ในพื้นที่ต่อเรื่องนี้ ก็ยังคงเป็นปกติ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดมวลชนสัมพันธ์ลงไปพบปะพูดคุยกันเช่นเคย ซึ่งก็ไม่เห็นทหารกัมพูชา พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งก็ไม่ทราบว่าท่านฮอร์ นัมฮง ไปเอาเรื่องนี้มาจากใคร และทำลงไปเพื่ออะไรกันแน่ แต่ตนยืนยันว่าทหารทั้งสองฝ่ายที่รักษาอธิปไตยที่ชายแดนยังคงรักใคร่กันดี

breakingnews.nationchannel.com

ครั้งแรกในไทย แฝด 6

ครั้งแรกของประเทศไทย พบพ่อแม่มือใหม่มีลูกแฝดถึง 6 คน โดยขณะนี้ลูกแฝดทั้ง 6 ปลอดภัยดี และมีอายุได้ 2 เดือนเศษ ร่างกายแข็งแรงดี เว้นแต่ลูกแฝดคนที่ 4 ที่ยังมีน้ำหนักตัวไม่ถึงเกณฑ์จึงต้องพักรักษาตัวต่อไปที่ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล

โดยเรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยผ่าน รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โดยทางรายการได้รับแจ้งจาก คุณดาว อภิสรา นุตยกุล พิธีกรสาวจากรายการแจ๋ว ว่ามีคนรู้จัก ที่ตั้งครรภ์และได้ลูกแฝด ถึง 6 คน และเป็นเคสแรกของประเทศไทย ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อไปยัง คุณนพพร วังวิทยาสกุล วัย 37 ปี ซึ่งเป็นคุณพ่อของน้องฝาแฝดทั้ง 6 คน พร้อมทั้งเดินทางไปถ่ายทำถึงบ้านพักของคุณนพพร ย่านอ่อนนุช

คุณพ่อเปิดเผยว่า ตนมีลูกแฝดถึง 6 คน แบ่งเป็น ชาย 3 คน หญิง 3 คน ขณะนี้มีอายุ ประมาณ 2 เดือนเศษ โดยภรรยาตั้งครรภ์กว่า 7 เดือน หรือ 30 สัปดาห์ ซึ่งภรรยาได้คลอดก่อนกำหนดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล แต่มีน้องคนที่ 4มีน้ำหนักตัวไม่ถึงเกณฑ์ที่จะออกจากโรงพยาบาลได้ ทางโรงพยาบาลจึงให้พักรักษาต่อ ส่วนอีก 5 คน สามารถให้เดินทางกลับบ้านได้หลังจากพักรักษาตัวกว่า 2 สัปดาห์ โดยได้ตั้งชื่อให้ลูก ทั้ง 6 คนตามยี่ห้อของรถยนต์ที่ตนชื่นชอบ

คนแรกเป็นผู้หญิง ชื่อ น้อง Audi / คนที่สอง เป็นผู้หญิง ชื่อ น้อง ฟอร์จูน / คนที่สาม เป็นผู้ชาย ชื่อ น้อง พอร์ช / คนที่สี่ เป็นผู้หญิง ชื่อ น้อง มินิ / คนที่ห้า เป็นผู้ชายชื่อ น้องโฟล์ค / และคนสุดท้าย เป็นผู้ชาย ชื่อ น้องเฟียส และถือเป็นแฝด 6 คนครั้งแรกในประเทศไทย (ร.พ. บำรุงราษฎร์ยืนยัน)

ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าจะมีลูกแฝดถึง 6 คน เพราะ คุณดวงชนก วังวิทยาสกุล อายุ 29 ปี ภรรยาของตนนั้นมีภาวะมีบุตรยาก สาเหตุจากมีความผิดปกติในเรื่องของการตกไข่ จึงต้องปรึกษาแพทย์อยู่บ่อยครั้ง โดยแพทย์จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการฉีดยากระตุ้นไข่ เพื่อไปกระตุ้นไข่ให้ตกตามปกติ

ซึ่งในช่วงแรก แพทย์ให้สามี - ภรรยาคู่นี้ดำเนินการไปตามวิธีธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่สามารถมีบุตรได้ จึงได้หันมาใช้วิธีฉีดสเปริ์มของฝ่ายชาย เข้าไปที่รังไข่โดยตรง (ไม่เหมือนการทำ กิฟท์) หลังจากนั้นไม่นาน คุณดวงชนก จึงเริ่มตั้งครรภ์ และมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ช่วง 2เดือนแรกพอจะทราบว่ามีลูกแฝดแต่ไม่คิดว่าจะมีถึง 6 คน ซึ่งมาทราบชัดเจนจากการอัลตร้า ซาวนด์หลังจากตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน

ในส่วนของการเลี้ยงดูลูกแฝดทั้ง 5คนที่ได้กลับบ้านนั้น คุณนพพร เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่าด้วยความเป็นคุณพ่อมือใหม่ ในช่วง1-2 สัปดาห์แรก ที่บ้านนั้นวุ่นกันมาก เพราะต้องผลัดเวรกับภรรยา โดยต้องจ้างพี่เลี้ยงเด็กถึง 3 คนมาคอยดูแล อีกทั้งยังมี น้าของคุณนพพร และพ่อแม่ของคุณนพพร คอยผลัดกันดูแลหลานอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตามขณะนี้ ทางครอบครัวยังคงต้องตามดูอาการของ น้องมินิ แฝดคนที่ 4 ถึงการพัฒนาด้านร่างกายที่เป็นไปในทิศทางใด แต่ปัจจุบัน น้องมินิ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น แต่แพทย์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยังเห็นว่าน้ำหนักยังไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดจึงยังคงต้องพักรักษาตัวต่อไป



news.impaqmsn.com

ฟอร์ด เน้นพัฒนาบริการหลังการขาย ผ่าน โมบาย เซอร์วิส ยูนิต

ฟอร์ด ประเทศไทย ต่อยอดความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการบริการหลังการขาย ด้วยการเปิดตัวโปรแกรมล่าสุด “โมบาย เซอร์วิส ยูนิต” ที่จะเริ่มให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าผ่านเครือข่ายผู้จำหน่ายฟอร์ดทั่วประเทศตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป

 

 

โปรแกรม “โมบาย เซอร์วิส ยูนิต” ประกอบไปด้วยรถให้บริการเคลื่อนที่จำนวน 84 คัน ที่พร้อมให้บริการตรวจเช็คขั้นพื้นฐานแก่ลูกค้าฟอร์ดในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงการใช้เพื่อให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง (Emergency Roadside Assistance) แก่ลูกค้าฟอร์ด

ลูกค้าสามารถนัดหมายผ่านผู้จำหน่ายฟอร์ดทั่วประเทศเพื่อรับบริการขั้นพื้นฐาน อาทิเช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง หัวเทียน และ แบตเตอรี่รถยนต์ รวมทั้งการให้บริการอะไหล่พื้นฐานอื่นๆ

ทั้งนี้ รถให้บริการเคลื่อนที่ทั้ง 84 คัน เป็นรถฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ รุ่นไฮ-ไรเดอร์ XLT สีเงิน (ไฮไลต์ ซิลเวอร์) ซึ่งมาพร้อมหลังคาครอบกระบะ พื้นปูกระบะ กล่องเครื่องมือ และชุดอุปกรณ์ในการให้บริการเคลื่อนที่ โดยรถแต่ละคันติดสติ๊กเกอร์ระบุชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้จำหน่ายฟอร์ดด้านข้างรถ เพื่อความสะดวกในการติดต่อของลูกค้า

“ฟอร์ดรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าเสมอมาและเราก็ตอบสนองด้วยการพัฒนาบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้น” คุณอดิศักดิ์ หวังพงษ์สวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการบริการลูกค้า ฟอร์ด อาเซียน กล่าว “โปรแกรม “โมบาย เซอร์วิส ยูนิต” นี้ จะทำให้ลูกค้าของเรามีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในพื้นที่ห่างไกล และนี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนอีกมากมายที่ฟอร์ดกำลังดำเนินการในปีนี้เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า”

รถยนต์ฟอร์ดทุกคันมาพร้อมบริการหลังการขายและการให้บริการอันยอดเยี่ยมระดับโลกอีกมากมายการเปิดตัวโปรแกรม “โมบาย เซอร์วิส ยูนิต” นี้นับเป็นความพยายามล่าสุดของฟอร์ดในการยกระดับการดูแลลูกค้าในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น การให้บริการต่างๆ ของฟอร์ดยังประกอบด้วย โปรแกรมรับประกันการจัดส่งอะไหล่ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งครอบคลุมรถฟอร์ดทุกคันตั้งแต่รุ่นปี 2006 จนถึงปัจจุบัน ภายใต้โครงการดังกล่าว ฟอร์ดรับประกันการจัดส่งอะไหล่ที่ร่วมในโครงการไปยังผู้จำหน่ายฟอร์ดทั่วประเทศไทยภายใน 24 ชั่วโมง มิฉะนั้นลูกค้าจะได้รับสินค้าโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ

นอกจากนี้ ฟอร์ดยังเสนอบริการที่ยืนยันถึงความเป็นผู้นำด้านการมอบประสบการณ์สุดพิเศษในการดูแลลูกค้า อาทิ การรักษามาตรฐานบริการ 12 ขั้นตอน (12-Step Quality Care Program) ซึ่งจะช่วยรักษาคุณภาพในการบริการและมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในระดับเดียวกันให้แก่ลูกค้าของโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศ รวมถึงโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะ (Scheduled Maintenance Service หรือ SSP) ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรถและการให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง (Emergency Roadside Assistance) แก่ลูกค้าฟอร์ด

ทั้งนี้ ฝ่ายบริการลูกค้าของฟอร์ดยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการบริการอันทันสมัย อาทิ โปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะ (Scheduled Maintenance Service หรือ SSP) และ โปรแกรมขับขี่มั่นใจ (Premium Protection Plus หรือ PPP) เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของและมอบความอุ่นใจให้แก่ลูกค้าฟอร์ดยิ่งขึ้น

ในปัจจุบัน ฟอร์ดมีเครือข่ายผู้จำหน่ายกว่า 100 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งรวมถึง 20 แห่งในกรุงเทพมหานคร และภายในสิ้นปีนี้ ทางบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอีกกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ

คุณณรงค์ สีตลายน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้จำหน่าย ฟอร์ด ประเทศไทย (ที่ 2 จากซ้าย)คุณสาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานฝ่ายการตลาด การขาย และการบริการ ฟอร์ด ประเทศไทย (ที่ 3 จากซ้าย)มร. ปีเตอร์ ฟลีท ประธาน ฟอร์ด อาเซียน (ที่ 4 จากขวา) คุณอดิศักดิ์ หวังพงษ์สวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการบริการลูกค้า ฟอร์ด อาเซียน (ที่ 3 จากขวา) คุณวิชิต ว่องวัฒนาการ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ฟอร์ด ประเทศไทย (ที่ 2 จากขวา) และทีมช่างเทคนิคของฟอร์ด ถ่ายภาพร่วมกับ “โมบาย เซอร์วิส ยูนิต” รถฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ รุ่น ไฮ-ไรเดอร์ XLT ที่ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจซ่อมขั้นพื้นฐาน เพื่อฉลองการเปิดตัวโปรแกรม “โมบาย เซอร์วิส ยูนิต”



www.newswit.com

ศธ. เผย ทราบตัวเด็กหญิงเนตรนารีเปลือยกายแล้ว

กรณีมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเด็กหญิงในชุดเนตรนารีถูกเพื่อนชายถอดเสื้อและจับหน้าอกในห้องเรียน นายอุดม บุตตะ หัวหน้าศูนย์เสมารักษ์ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางศูนย์เสมารักษ์ สืบทราบแล้วว่าเด็กที่ปรากฎในคลิปดังกล่าวนั้นเป็นเด็กนักเรียนชั้น ม.3 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง ย่านบางกะปิ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในห้องเรียน ทั้งนี้ จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไปว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว หรือเพิ่งเกิดขึ้นเพื่อหามาตรการในการพิจารณาว่าจะดำเนินการเช่นไรกับนักเรียนทั้งหมดในคลิป อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นความผิดของนักเรียนทั้งหมดก็คือ การทำผิดระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในเรื่องของมีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมในเชิงชู้สาว "ต้องเช็คข้อมูลก่อนว่าคลิปที่เกิดนั้นเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว เพราะบางครั้งเด็กอาจจะพ้นสภาพการเป็นนักเรียนของโรงเรียนไปแล้ว แต่หากพบว่าเพิ่งเกิดขึ้นและนักเรียนยังเรียนอยู่ ก็จะประสานกับผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครองของนักเรียน มาหารือร่วมกันว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร ทั้งนี้ เราจะเน้นการเยียวยาเด็กนักเรียนมากกว่าที่จะลงโทษ เพราะเชื่อว่าเด็กไม่มีเจตนาเผยแพร่คลิปดังกล่าว และคงเป็นการโดนเพื่อนแกล้งอย่างไม่เต็มใจ รวมทั้งจะต้องเร่งหาตัวคนที่คำคลิปดังกล่าวโพสเข้าสู่อินเตอร์เน็ตด้วย"หัวหน้าศูนย์เสมารักษ์ กล่าว นายอุดม กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมามักปรากฎคลิปวิดีโอความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของนักเรียนออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น ตนมองว่าเป็นปัญหาที่มีอยู่แล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารอินเตอร์เน็ตที่ทำให้มีการเผยแพร่ออกไปเป็นวงกว้างมาก ส่วนใหญ่ผู้ที่ปล่อยคลิปมักจะไม่ใช่บุคคลในคลิป แต่อาจเป็นเพื่อนที่นึกสนุกหรือผู้ที่ไม่ชอบใจ ต้องการประจานหรือทำให้ได้รับความอับอาย ซึ่งได้กำชับโรงเรียนให้ดูแลเด็กนักเรียนคิดก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม และรักษาชื่อเสียงโรงเรียน หากมีภาพหลุดออกไปอาจทำให้เสื่อมเสียทั้งตนเองและสถาบันไปถึงทั่วโลก และยิ่งกว่านั้นอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบต่อกันไปในหมู่นักเรียนอีกด้วย

breakingnews.nationchannel.com

เทศกาลภาพยนตร์ “มูฟวิมูฟ-อิตาเลียน 2012” เปิดชมฟรี!

สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ร่วมกับมร.กอฟเฟรโด เบตตินี สมาชิกวุฒิสภาอิตาลี และโรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ส่ง 15 ภาพยนตร์แดนมักกะโรนี และ5 ภาพยนตร์ไทยจัดเต็ม…ในงานเทศกาลภาพยนตร์ “มูฟวิมูฟ-อิตาเลียน 2012” เปิดชมฟรี!!! พร้อมบรรยายไทยตลอดงาน

สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ร่วมกับมร.กอฟเฟรโด เบตตินี สมาชิกวุฒิสภาอิตาลี และโรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า จัดงานเปิดตัว เทศกาลภาพยนตร์มูฟวิมูฟ – อิตาเลียน 2012 (Moviemov – Italian  Film Festival 2012) โดยคัดสรร 20 ภาพยนตร์คุณภาพ หลากหลายอรรถรส แบ่งเป็น 7 ภาพยนตร์คลาสสิก และ 8 ภาพยนตร์ร่วมสมัยจากแดนมักกะโรนี พร้อม 5 ภาพยนตร์ผลงานการกำกับของผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย เปิดฉายให้ชมฟรี!!! พร้อมบทบรรยายไทย – อังกฤษ ทุกเรื่องทุกรอบ ระหว่างวันนี้ – 7 กรกฎาคม ที่โรงภาพยนตร์เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ซึ่งงานเปิดเทศกาลในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากเหล่านักแสดง และผู้กำกับภาพยนตร์จากทั้งอิตาลี และไทย ที่ตบเท้าร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ คาร์โรลิน่า เครสเชนตินี่(นักแสดงนำหญิงจากภาพยนตร์ The Entrepreneur), เปาลา มินัชโชนี่, จิออจิโอ้ โคเลนจีลี่, ต่าย-เพ็ญพักตร์ ศิริกุล, ผู้พันเบิร์ด-พท.วันชนะ สวัสดี,  ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง, ติ๊นา-ศุภนาฎ Yes or No2, กัสจัง-จิรันธนิน พิทักษ์พรตระกูล, ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์(ไม่ได้ขอให้มารัก), มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล (Home ความรัก ความสุข ความทรงจํา), ทรงยศ สุขมากอนันต์(Top Secret วัยรุ่นพันล้าน), บรรจง ปิสัญธนะกูล(กวน มึน โฮ), วิทยา ทองอยู่ยง(บ้านฉันตลกไว้ก่อนพ่อสอนไว้), ชยนพ บุญประกอบ(SuckSeed ห่วยขั้นเทพ) และณัฏฐา-ณัฐธยาน์ บังคมเนตร(วงจรปิด)

บรรยากาศความน่าสนใจของงานน่าจะเป็นการจำลองเอาถนนใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครที่ไม่เคยหลับไหล มาไว้ ณ ลานชั้น 8 ของโรงภาพยนตร์เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ถนนที่เต็มไปด้วยเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองหลวงที่น่าค้นหาของประเทศไทย ถนนที่เต็มไปด้วยรถเข็นอาหารหลากหลายประเภท แต่ความพิเศษคือภายในบรรจุอาหารประจำชาติสุดอร่อยที่ส่งตรงจากประเทศอิตาลีไว้อย่างมากมายทั้งชีส, พาร์มาแฮม และเปปเปอร์โรนี ส่วนไฮไลท์สำคัญเห็นจะเป็นการร่วมเดินพรมแดงเข้างานระหว่างนักแสดง-ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังจากแดนมักกะโรนี และนักแสดง-ผู้กำกับภาพยนตร์ในแวดวงหนังจากประเทศไทย ที่แต่ละคนก็จัดเต็มกันแบบไม่มียั้ง เรียกว่าสวยๆ หล่อๆ กันทั้งนั้น งานนี้จึงเป็นการรวมเอาเหล่าผู้หลงใหลศิลปะบนแผ่นฟิล์มตัวจริง เสียงจริงก็ว่าได้

ความโดดเด่นของเทศกาลในครั้งนี้คือการรวบรวมภาพยนตร์คุณภาพเยี่ยมหลากหลายแนว ทั้งภาพยนตร์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของสังคม วัฒนธรรมความเป็นอยู่โดยเน้นให้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมไปถึงสุนทรียภาพทางทัศนียภาพอันงดงามของประเทศอิตาลี ผ่านตัวละครที่มีการถ่ายทอดอารมณ์ในเชิงศิลปะอย่างแท้จริง ทั้งสิ้น 15 เรื่อง แบ่งเป็นภาพยนตร์คลาสสิกที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากมายทั้งสิ้น 7 เรื่อง และภาพยนตร์ร่วมสมัยที่มีเนื้อหาน่าสนใจ และยังไม่เคยฉายในประเทศไทยมาก่อนทั้งสิ้น 8 เรื่อง พร้อมคัดสรรภาพยนตร์จากฝีมือผู้กำกับภาพยนตร์ไทยทั้งสิ้น 5 เรื่อง ได้แก่ ไม่ได้ขอให้มารัก, เจ้านกกระจอก, ลุงนิ่วไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน, สิ้นเมษาฝนตกมาปรอยปรอย และปาดังเบซาร์ ร่วมฉายในเทศกาลฯครั้งนี้ และเพื่อให้การจัดงานเทศกาลภาพยนตร์เป็นเสมือนเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนการถ่ายทำภาพยนตร์ แนวคิด วัฒนธรรมอย่างแท้จริง จึงได้นำภาพยนตร์ 5 เรื่องดังกล่าว ร่วมฉายในเทศกาล “Moviemov in Rome 2012” ประเทศอิตาลีอีกด้วย

ผู้สนใจร่วมชมภาพยนตร์ในเทศกาลนี้สามารถติดต่อรับบัตรชมภาพยนตร์ได้ที่บูธเเทศกาลภาพยนตร์มูฟวิมูฟ – อิตาเลียน 2012 ก่อนรอบฉายจริง 30 นาที ที่ชั้น 7 โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น!!! โดยเริ่มต้นเทศกาลฯ วันนี้ – 6 กรกฎาคม 2555 จัดฉายทั้งสิ้น 3  รอบ ตั้งแต่เวลา 16.00 – 21.00 น. และในวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2555 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลฯจัดฉายทั้งสิ้น 4 รอบ ตั้งแต่ 12.30 – 22.00 น. โดยเฉพาะภาพยนตร์รอบสุดท้ายเป็นภาพยนตร์ 3 มิติเรื่องเดียวในเทศกาลฯนี้ ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่อง Dracula ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ ทั้งนี้สามารถสอบถามรอบฉายภาพยนตร์ หรือรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมที่ SF Call Center  และ  www.sfcinemacity.com



www.thairath.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ASEAN-WEN ร่วกับจีน สกัดการลักลอบตัดไม้

การลักลอบค้าสัตว์ป่าและพันธุ์พืชป่า ยังคงเป็นปัญหาที่ทุกประเทศไม่อาจละเลย แต่ต้องร่วมกันหามาตรการพิทักษ์รักษา ในประเทศไทยแม้ไม่ใช่ประเทศปลายทางสำคัญที่นิยมการบริโภคสิ่งเหล่านี้ แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยในการใช้เป็นเส้นทางผ่านไปยังหลายประเทศปลายทาง ทำให้ยังคงพบเห็นการจับกุมขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าอย่างต่อเนื่อง

อย่างที่รู้กันว่าหลายประเทศทั่วโลกต่างประสบปัญหาการค้าสัตว์ป่า พืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ จนทำให้เกิดการรวมกลุ่มประเทศสมาชิก 175 ประเทศ โดยประสานความร่วมมือกันภายใต้ อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชป่าไม่ให้สูญพันธุ์จากการค้าระหว่างประเทศ

นอกจากความร่วมมือต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าในระดับโลกแล้ว ในระดับภูมิภาคอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เองก็มีการจับมือกันทำงานด้านการต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและพืชป่ามานานกว่า 7 ปีแล้วเช่นกัน ในนาม เครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-Wildlife Enforcement Network) หรือมีชื่อย่อว่า “อาเซียนเวน” (ASEAN-WEN) ประกอบด้วย ไทย บรูไน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์ เวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย

นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวเดลินิวส์ว่า กลุ่มอาเซียนเวน ริเริ่มโดยประเทศไทยที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปราบปรามอาชญากรรมการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 ประเทศไทยจึงได้ใช้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมภาคีอนุสัญญาไซเตส ครั้งที่ 13 ประกาศสร้างความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเสนอให้มีการจัดตั้งอาเซียนเวน ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ที่ล้วนเป็นสมาชิกอนุสัญญาไซเตส ให้ทำงานในเรื่องดังกล่าวเข้มข้นขึ้น

ในปัจจุบันอาเซียนเวน มีศูนย์ประสานงานใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นสำนักเลขาธิการเครือข่าย อยู่ภายใต้การดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช บทบาทสำคัญของอาเซียนเวน คือ การประสานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อให้การแก้ไขปัญหาลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่ามีความรวดเร็ว ในประเทศไทยมีหน่วยปฏิบัติการ 3 หน่วยสำคัญคือ 1. หน่วยปฏิบัติการตามอนุสัญญาไซเตส 2. ตำรวจ บก.ปทส. และ 3. ศุลกากร พร้อม

กันนี้ยังได้จัดตั้ง เครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งประเทศไทย หรือ “ไทยแลนด์เวน” เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศภายใต้เครือข่ายอาเซียนเวนด้วย

ขณะเดียวกัน นายมานพ เลาห์ประเสริฐ เจ้าหน้าที่อาวุโสสำนักงานงานศูนย์ประสานงานอาเซียนเวน เปิดเผยว่า แถบประเทศอาเซียนถือเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก การกระชับความร่วมมือกันในเรื่องการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายถือเป็นสิ่งจำเป็น และเมื่อมารวมกันเป็นเครือข่ายอาเซียนเวนแล้วได้มีข้อตกลงสำคัญคือสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ตลอด มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีมาตรฐานการทำงานในระดับเดียวกัน มีการจัดทำคู่มือแจกจ่ายให้ด่านตรวจต่าง ๆ ช่วยกันสกัดการลักลอบขนสัตว์และพืชต้องห้าม

’อาเซียนเวน เข้ามามีบทบาทสำคัญในการประสานข้อมูลการทำลายทรัพยากรป่าไม้มากมายโดยเฉพาะการลักลอบค้าไม้พะยูงที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนกรมอุทยานฯได้จัดชุดปฏิบัติการพิเศษป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าไม้พะยูง เพื่อออกกวาดล้างขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงและลำเลียงไม้พะยูงออกไปนอกประเทศตั้งแต่มีการตั้งชุดทำงานมาเกือบ 4 ปีแล้วนั้น ปรากฏว่า ในส่วนกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้ สามารถจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับไม้พะยูงได้ 3,251 คดี ผู้ต้องหา 1,919 คน ไม้ของกลาง 59,650 ท่อน ปริมาตร 4,206.288 ลูกบาศก์เมตร มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท”

ล่าสุดทาง กรมอุทยานฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ประกอบด้วย นายอรรถพล เจริญชันษา ผอ.ส่วนยุทธการด้านการป้องกันและปราบปราม นายรณสิทธิ์ มณีไสย์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ กลุ่มงานประสานงานและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ กองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญาไซเตส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมประมง กรมศุลกากร และตำรวจ บก.ปทส. ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่จีนและกลุ่มอาเซียนเวน ภายใต้หัวข้อ ความร่วมมือป้องกันและปราบปรามการค้าสัตว์ป่าและพันธุ์พืชระหว่างประเทศ ณ เมืองหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของทุกประเทศในกลุ่มอาเซียนและจีน นับตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง เพื่อสกัดกั้นขบวนการลักลอบค้าไม้พะยูง

ในการประชุมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ประเทศไทย 1 ในสมาชิกของอาเซียนเวน โดยนายอรรถพล ได้รายงานต่อที่ประชุมถึงสถานการณ์ลักลอบค้า “ไม้พะยูง” ในพื้นที่ประเทศไทยและเพื่อนบ้านว่าปลายทางของการลักลอบค้าไม้นั้นส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศจีน เจ้าหน้าที่ไทยได้ดำเนินการกวาดล้างจับกุมอย่างต่อเนื่อง โดยจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงขึ้นแต่ก็ยังมีขบวนการนำไม้พะยูงเล็ดลอดออกไป จึงอยากจะประสานงานขอให้เจ้าหน้าที่จีน ช่วยสกัดกั้นขบวนการดังกล่าว รวมทั้งยังประชาสัมพันธ์ให้เจ้าหน้าที่จีนทราบว่าไม้พะยูงของไทยเป็นไม้ที่คนไทยไม่นิยมนำไปเป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ประสบแต่ความโชคร้าย

อย่างไรก็ดีภายหลังการประชุมนั้น เจ้าหน้าที่จีนขอความร่วมมือจากไทยในการทำเอกสารลักษณะเฉพาะของไม้พะยูงที่สำคัญ เพื่อไว้สำหรับตรวจสอบไม้ที่นำเข้ามาในประเทศด้วย รวมถึงข้อมูลการลักลอบค้าไม้พะยูงไว้ศึกษาด้วย ถือเป็นเรื่องดีที่ทางการจีนกระตือรือร้นกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และให้ความร่วมมือกับอาเซียนเวนในการบังคับใช้กฎหมายและการลดความต้องการไม้พะยูงด้วย

ที่สำคัญทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ยังได้แสดงเจตจำนง ในการผลักดันให้ไม้พะยูงขึ้นอยู่ในบัญชี 2 ขออนุสัญญาไซเตส (ควบคุมการนำเข้าส่งออก) ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมช่วงเดือนมี.ค. 2556 อันจะทำให้ความพยายามของไทยที่ต้องการรักษาไม้มีค่าและผืนป่าไว้จะประสบความสำเร็จได้ในไม่ช้า.

 

www.dailynews.co.th

คีรี ทราเวล เปิดใหม่ ภูเก็ต หวังสนอง นทท.

บริษัท คีรี ทราเวล จำกัด ในฐานะผู้นำด้านการจัดการวางแผนท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2537 และมีความเชี่ยวชาญในการวางแผนท่องเที่ยวในหลายเส้นทางตั้งแต่กรุงเทพฯ ภาคเหนือของประเทศไทยหรือแม้แต่การท่องเที่ยวในลุ่มแม่น้ำโขงอินโดจีน ได้เปิดสำนักงานในจังหวัดภูเก็ตเพื่อมุ่งให้บริการนวัตกรรมใหม่ด้านการท่องเที่ยวในภาคใต้ของประเทศไทย

มร. มาร์ค รูฟเฟต ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการประจำสำนักงานจังหวัดภูเก็ต ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองภูเก็ตใกล้กับอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีย์ท้าวศรีสุนทรและได้เปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน

ด้าน มร.แอนเดร์ แวนเดอร์ มาร์ค ผู้จัดการทั่วไป บริษัท คีรี ทราเวล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำนักงานจังหวัดภูเก็ตจะเป็นศูนย์บริการลูกค้าสำหรับภาคใต้ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังจะทำหน้าที่ควบคุมคุณภาพและวางแผนท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้ทุกประสบการณ์การเดินทางในภาคใต้ที่นำเสนอโดย คีรี ทราเวลเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจ

มร. มารค์ กล่าวเสริมว่า ที่สำนักงานจังหวัดภูเก็ต คีรี ทราเวลจะพัฒนาโปรแกรมนวัตกรรมการท่องเที่ยวขึ้นใหม่ เช่น ทัวร์ชุมชนในภาคใต้ เพื่อนำเสนอแง่มุมที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ให้แก่คู่ค้าของเรา

นอกเหนือจากนี้ คีรี ทราเวล จะนำเสนอประสบการณ์ที่ได้รับความนิยมเช่น การเช่าเหมาลำเรือยอชท์ พายเรือแคนู ทริปเกาะพีพีและเส้นทางที่ถูกสร้างสรรค์ใหม่ทางตอนเหนือของจังหวัดภูเก็ต ในบริเวณเขาหลัก บีช รีสอร์ทและอุทยานแห่งชาติเขาสก

“คีรี ทราเวลมีจุดม่งหมายที่จะรณรงค์ให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภาคใต้โดยให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วม และด้วยภูมิทัศน์ของภาคใต้ที่ประกอบไปด้วยหมู่เกาะหินปูนตระหง่านโดดเด่น หาดทรายขาวสะอาดและความหลากหลายทางวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นไทย จีน มุสลิมและชาวทะเลยิปซี จะทำให้ผู้มาเยือนได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง” มร. แวนเดอร์ มารค์กล่าว

ตัวอย่างเช่น โปรแกรมโฮมสเตย์ของคีรี ทราเวลที่ไชยา ซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อดีตคืออาณาจักรศรีวิไชยในช่วงศตวรรษที่ 5 และ 13 นอกจากนี้คีรี ทราเวลยังมีโปรแกรมให้นักท่องเที่ยวได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของอุทยานแห่งชาติเขาหลวงในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของน้ำตก ป่าดงดิบและการเดินป่าเพื่อสัมผัสชีวภาพที่หลากหลายและอุณหภูมิเย็นที่ระดับภูเขาสูง 1,835 เมตร

“ไม่ว่าคุณจะฝันอย่างไรถึงวันหยุดพักผ่อนในเขตร้อนชื้น เราเชื่อว่าท่านสามารถพบได้ในภาคใต้ของประเทศไทยด้วยโปรแกรมการท่องเที่ยวของ คีรี ทราเวล” มร. แวนเดอร์ มาร์ค กล่าว

สำนักงาน คีรี ทราเวล จังหวัดภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 59/7 หมู่บ้านภูเก็ตธานี ถนนเทพกษัตรี ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83110 โทร. 66-76-617 753


news.phuketindex.com

บทความที่ได้รับความนิยม