วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เปิดอ่าน จม. ธงชัย วินิจจะกูล เขียนถึง ไอซีซี เรียกร้องความเป็นธรรมเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 53
นันยาง โกลหนู ไทยแลนด์ เลเจนด์ คัพ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ พร้อมเงินรางวัลกว่า 300,000 บาท
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท นายสุชาติ ไชยสาร รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับนายจักรพล จันทวิมล กรรมการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด พร้อมด้วยพาร์ตเนอร์แบรนด์ชั้นนำ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ, น้ำดื่มช้าง, เครื่องดื่มเกลือแร่พาวเวอร์พลัส, ไอศกรีมวอลล์ คอนเน็ตโต้ และขนมเวเฟอร์ตราเซียงไฮ ผนึกกำลังเปิดแถลงข่าว “ตำนานบทต่อไป” ในการแข่งขันฟุตบอลพลาสติกในชุดนักเรียน “นันยาง โกลหนู ไทยแลนด์ เลเจนด์ คัพ” ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2012 ชิงทุนการศึกษารวมกว่า 300,000 บาท นายสุชาติ ไชยสาร รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า นับเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมในปีที่ผ่านมา รองเท้านักเรียนนันยางได้ให้การสนับสนุนเยาวชนไทยด้วยการเปลี่ยนเรื่องเล่นๆ ให้เป็นตำนาน ด้วยการจัดการแข่งขันฟุตบอลพลาสติกในชุดนักเรียนระดับประเทศ ซึ่งเป็นกีฬายามว่างที่เด็กเล่นอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์อื่นใดให้สิ้นเปลือง และถือเป็นตัวอย่างอันดีของภาคเอกชนในการสนับสนุนเยาวชนให้แข็งแกร่งทั้งกายและใจ รู้จักประสานพลังในความเป็นทีมและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการเล่นกีฬา โดยในปีนี้ สพฐ.จึงเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างให้กิจกรรมอันเป็นประโยชน์นี้ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง และพร้อมที่จะสนับสนุนให้กิจกรรมดังกล่าวบรรลุดังเป้าหมายในทุกๆ ด้าน พร้อมทั้งได้เชิญโรงเรียนจากทั่วประเทศร่วมส่งทีมเข้าแข่งขัน โดยนักกีฬาไม่จำเป็นต้องเป็นทีมโรงเรียน เพราะอยากให้นักเรียนทุกคนได้เข้าร่วมในกิจกรรมนี้ให้มากที่สุด เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ แก่เยาวชน ซึ่งผลการตอบรับจากการแข่งขันปีที่แล้ว มีบางโรงเรียนได้บรรจุ “การแข่งขันฟุตบอลโกลหนู” เป็นการแข่งขันกีฬาสีประจำแต่ละโรงเรียนอีกด้วย ด้านนายจักรพล จันทวิมล กรรมการบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า นันยางรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่มีส่วนผลักดันให้การแข่งขันฟุตบอลพลาสติกในชุดนักเรียน “นันยาง โกลหนู ไทยแลนด์ เลเจนด์คัพ” ก้าวมาสู่ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา มีทีมเยาวชนกว่า 1,000 ทีม หรือนักกีฬากว่า 5,000 คน เข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อร่วมกันสร้าง “ตำนานบทใหม่” ให้แก่วงการฟุตบอลนักเรียน ที่มีจำนวนผู้เข้าแข่งขันมากที่สุดในประเทศไทย โดยกระจายตัวมาจากมากกว่า 300 โรงเรียนใน 47 จังหวัดทั่วประเทศ มีผู้ชมในสนามรวมทั้งหมดมากกว่า 20,000 คน และเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จในครั้งนี้ก็คือการที่ “นันยาง” ได้รับรางวัลในงาน “สุดยอดแคมเปญทางการตลาดครั้งที่ 5 ประจำปี 2554 (MAT Award)” จากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ที่สามารถนำพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของนักเรียนมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นการแข่งขันเพื่อเสริมทักษะในด้านกีฬาแก่เยาวชนอย่างได้ผล โดยระหว่างจัดการแข่งขันจำนวน Like บน Facebook มีจำนวนมากกว่า 40,000 like ส่งผลให้นันยางสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์ facebook ด้านประเภทกีฬาที่มีจำนวนสูงที่สุดในประเทศไทย“ ปีนี้เราแบ่งเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นอายุ 18 ปี และรุ่นอายุ 15 ปี โดยแต่ละรุ่นจะรับสมัครภูมิภาคละไม่เกิน 128 ทีม จำนวน 5 ภูมิภาค ซึ่งผู้ชนะในแต่ละภูมิภาคจะเข้ามาชิงชนะเลิศประเทศไทย โดยรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นที่ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ในเดือนกันยายน ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ NanyangGoalnu.com หรือ 08-6139-2957, 08-6547-8473” นายจักรพล จันทวิมล กล่าวสรุป นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การแข่งขันนันยางโกลหนูไม่เพียงส่งเสริมให้เยาวชนมีเวทีแสดงความสามารถและได้รับการยอมรับจากกิจกรรมใกล้ตัวที่น้องๆ เล่นกันอยู่แล้วเป็นประจำ โดยการสนับสนุนให้น้องๆ เยาวชนที่เตะบอลพลาสติกตามใต้ถุนอาคารหลังเลิกเรียนมีโอกาสได้รับถ้วยพระราชทานในฐานะแชมป์ของประเทศ หากยังสนับสนุนให้เยาวชนทั่วประเทศหันมาใช้เวลาว่างอย่างเป็นประโยชน์ จึงถือได้ว่าเป็นกิจกรรมเพื่อการพัฒนาเยาวชนที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่น่าชมเชยเป็นอย่างยิ่ง” เช่นเดียวกับนางสาวอจลา สุทธิสัมพัทน์ กรรมการบริษัท ยูไนเต็ดฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ที่กล่าวว่า “นอกจากการแข่งขันฟุตบอลแล้ว ทางบริษัท ยูไนเต็ดฟูดส์ ยังได้เพิ่มสีสันในโครงการโดยการจัดให้มีการประกวด “บิสกิตแก๊ป คอเวอร์แดนซ์ คอนเทสต์” ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนรู้จักความสามัคคี ปลูกฝังความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้สร้างสรรค์โครงการและกิจกรรมดีๆ เพื่อเยาวชนมาโดยตลอด” ด้านนายชาญวิทย์ กิ่งเทียน ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “น้ำดื่มช้างและเครื่องดื่มเกลือแร่พาวเวอร์พลัสได้ร่วมกับ สพฐ. และนันยาง จัดโครงการ “การแข่งขันฟุตบอลพลาสติกในชุดนักเรียน” ในครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆ และเยาวชนทั่วประเทศได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้พัฒนาทักษะในด้านฟุตบอลให้มากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายในการสนับสนุนด้านกีฬาของเรา นอกจากนี้ เรายังมอบน้ำดื่มช้างและเครื่องดื่มเกลือแร่พาวเวอร์พลัสแก่เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการตลอดการแข่งขันอีกด้วย”.
www.thaipost.net
เลขาฯ กลต แนะรัฐเร่งลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะถนน ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน ใน 6 เดือน
เลขาฯ กลต. แนะภาครัฐเร่งลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานประเทศให้เสร็จภายใน 6 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะถนน ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ หวั่นไทยเสียเปรียบหากเปิดเสรีปี 58 29 มิ.ย. นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยในงานสัมมนาบรรยายพิเศษหัวข้อ Creative Investment in the age of AEC ว่า ขณะนี้ประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อมที่จะรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 โดยยังพบว่าประเทศไทยยังคงลงทุนอยู่ในระดับที่ต่ำ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน โดยรัฐบาลควรจะต้องเร่งดำเนินการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะถนน ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อให้รองรับการเปิดการค้าเสรี ซึ่งไทยถือว่ามีความสำคัญและจุดเด่นในเรื่องของการเป็นศูนย์กลางการค้าของเศรษฐกิจอาเซียน โดยอยากเห็นรัฐบาลมีแผนที่มีความชัดเจนของการลงทุนภายใน 6 เดือนข้างหน้าทั้งนี้ไทยยังมีจุดอ่อนในแง่ขาดแคลนโครงการที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แม้ว่าการบริโภคภายในประเทศจะสูงแต่ยังไม่ค่อยมีการลงทุน ซึ่งถือว่าระดับทุนสำรองของประเทศมีมาก ดังนั้น การลงทุนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ยังเห็นว่าเป็นโจทย์ยากและใช้ระยะเวลาแก้ไขที่นานพอสมควร โดยต้องมาพิจารณาว่ารัฐบาล และภาคธุรกิจจะลงทุนและหาผลตอบแทนได้อย่างไร ขณะเดียวกันจะต้องมีเครื่องมือทางการเงินที่เพียงพอ และในภาคของธนาคารจะต้องมีศักยภาพในแง่ของการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ จะต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งระดมทุนที่สำคัญ โดยเฉพาะในตลาดทุน ซึ่งจะต้องปรับเปลี่ยนระบบให้มีความสากลมากขึ้นนายวรพล กล่าวต่อว่า การเปิดเสรี AEC ประเทศไทยจะต้องมีความพร้อมในเรื่องของการเคลื่อนย้ายภาคบริการและทุน ขณะเดียวกันในแง่ของตลาดทุนจะต้องมีการพัฒนาตราสารทุนให้มีความน่าสนใจ เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตราสารทุนของไทย แต่ปัจจุบันถือว่าอุปสรรคยังมีอยู่มากเพราะมีผลิตภัณฑ์ที่น้อย และถ้าหากจะออกตราสารทุนเพื่อขายให้นักลงทุนต่างชาติจะต้องพิจารณาถึงผลตอบแทนที่จะได้รับ ไม่ใช่เป็นการนำเงินของประเทศกลับไปให้นักลงทุนโดยที่ประเทศเสียประโยชน์พร้อมกันนี้จะต้องมีความพร้อมในแง่ของการเปิดเสรีเคลื่อนย้ายบุคลากร ซึ่งประเทศไทยควรจะต้องเร่งพัฒนาคนให้มากขึ้น เพราะมิเช่นนั้น หากเปิดเสรี AEC แล้วธุรกิจภาคบริการ อาทิ โรงแรม โรงพยาบาล อาจจะมีผู้บริหารเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งขณะเดียวกันยังต้องพัฒนาระบบการศึกษา และเทคโนโลยีให้สามารถแข่งขันกับประเทศในแถบอาเซียนได้ ทั้งนี้ คาดว่าในอนาคตจะมีการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยจะแบ่งเป็นกองทุนพัฒนาระบบราง ถนน โรงไฟฟ้า น้ำประปา ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน ระบบโทรคมนาคมและพลังงานทางเลือก ซึ่งจะเป็นการจูงใจให้ประชาชนเข้ามาเป็นส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและยังเป็นการลดงบประมาณของภาครัฐด้วย.
www.thairath.co.th
วิวัฒนาการความเเปลี่ยนแปลงของระบบบำเหน็จบำนาญในไทย
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้รู้จักกับเสาหลักความมั่นคงทางสังคม ของธนาคารโลกไปแล้วนะคะ ในสัปดาห์นี้จึงจะขอเล่าถึงวิวัฒนาการของระบบบำเหน็จบำนาญในประเทศไทย ซึ่งระบบบำนาญของประเทศไทยได้มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า “ราชการบ้านเมืองมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้จะเพิ่มเงินเดือนให้มากขึ้นก็ตาม แต่ข้าราชการมีหน้าที่ต้องรับราชการเต็มเวลา ไม่ใคร่ได้มีโอกาสที่จะสะสมทรัพย์ไว้เลี้ยงตนเมื่อแก่ชราหรือทุพพลภาพ” จึงได้กำหนดให้มีบำเหน็จบำนาญไว้เลี้ยงชีพสำหรับข้าราชการขึ้น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการตราพระราชบัญญัติเพื่อจ่ายเบี้ยบำนาญเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2444 เรียกว่า “พระราชบัญญัติเบี้ยบำนาญรัตนโกสินทร์ ศก 120” และมีการแก้ไขเพิ่มเติมจนเป็นพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 ต่อมาในปี พ.ศ. 2495 ในสมัยรัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีความประสงค์ที่จะส่งเสริมให้ประชาชนได้มีที่ดินและบ้านเรือนเป็นของตนเอง ประกอบสัมมาอาชีพและจัดเรื่องสงเคราะห์เพื่อคุ้มครองตนเองและครอบครัวให้ประสบความสุขมีหลักประกันในความเป็นอยู่แห่งชีวิต จึงได้นำเสนอร่างพระราชบัญญัติประกันสังคมครั้งแรกเมื่อ 27 ธันวาคม 2495 และในปี พ.ศ. 2497 ได้มีประกาศพระราชบัญญัติจัดตั้งกรมประกันสังคมขึ้น อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวถูกต่อต้านและคัดค้านจากประชาชนอย่างรุนแรง จนในปี 2501 พ.ร.บ. ดังกล่าวถูกยกเลิกและยุบกรมประกันสังคมไป จนกระทั่งในปี 2523 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ประกาศต่อผู้ใช้แรงงานถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะสนับสนุนการประกันสังคม โดยการส่งเสริมห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดกันทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่พนักงานเพื่อสร้างเงินออมในเชิงบังคับ และเป็นการสร้างสวัสดิการให้แก่พนักงาน จนได้มีพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 ขึ้น มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2530 และมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้นอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี 2533 ได้ปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2497 จนกลายมาเป็น พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 2533 เป็นต้นมา ในปี พ.ศ. 2534 คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ให้เป็นระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลาง (Central provident fund) เนื่องจากระบบบำเหน็จบำนาญตาม พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 รัฐไม่สามารถปรับปรุงอัตราเงินเดือนของข้าราชการที่ยังรับราชการอยู่ให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพที่แท้จริงได้ เพราะหากมีการปรับปรุงอัตราเงินเดือนของข้าราชการ ก็จะส่งผลให้รายจ่ายบำเหน็จบำนาญของข้าราชการเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับที่ผ่านมานั้นรัฐมีภาระผูกพันในการจ่ายบำเหน็จบำนาญ โดยการตั้งงบประมาณรายจ่ายรายปีตามแต่จะคำนวณภาระเงินได้ในแต่ละปีเท่านั้น ไม่มีการกันเงินสำรองไว้ล่วงหน้า ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักการบริหารการคลังที่ดี นอกจากนี้ยังขาดหลักประกันแก่ผู้รับบำนาญและข้าราชการปัจจุบัน ดังนั้นรัฐจึงได้เริ่มแนวคิดให้มีการปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญโดย ให้จัดตั้งในรูปแบบของกองทุน นอกจากนี้ยังมุ่งหวังให้กองทุนเป็นสถาบันเงินออมที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการจนในที่สุดได้ตราเป็นพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 และเป็นจุดกำเนิดของ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) นับแต่นั้นมา นอกจากนี้เพื่อให้ระบบการออมเพื่อการชราภาพครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะประชากรวัยแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการอิสระหรือแรงงานที่ไม่มีนายจ้าง กระทรวงการคลังจึงเสนอให้มีการจัดตั้ง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ขึ้น เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองจากหลักประกันทางสังคมเพื่อการชราภาพ มีช่องทางในการเก็บออมขั้นพื้นฐานของตนเองตั้งแต่วัยทำงานโดยได้รับเงินสมทบจากรัฐ เพื่อให้มีรายได้ในวัยชราในรูปบำนาญรายเดือนตลอดชีพ ภายใต้ พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554.
www.dailynews.co.th
อีกแล้ว! ตุ๊กตุ๊กตีหัวนักท่องเที่ยวดูไบเย็บ10เข็ม ที่ ภูเก็ต
วันนี้ (29 มิ.ย.) ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผวจ.ภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 1/2555 โดยมีนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเข้าร่วม เพื่อหาแนวทางและมาตรการในการดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ภายหลังเกิดเหตุการณ์คนร้ายก่อเหตุแทงนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียจนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในที่ประชุมนายไพบูลย์ต้องการให้ตำรวจสำรวจจุดเสี่ยงในพื้นที่ต่างๆ เพื่อจะได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดให้ครอบคลุม เนื่องจากปัญหาใน จ.ภูเก็ตเกิดขึ้นได้ตลอด โดยเฉพาะปัญหานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถูกทำร้ายร่างกาย ล่าสุดยังมีปัญหาคนขับรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างใช้วิทยุสื่อสารตีศีรษะนักท่องเที่ยวชาวดูไบจนได้รับบาดเจ็บเป็นแผลแตกเย็บ 10 เข็ม ดังนั้นทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการดูแลนักท่องเที่ยว
สำหรับเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวดูไบถูกทำร้ายเกิดขึ้น เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดย พ.ต.ต.พงศ์กานต์ บุญประคอง สวป.สภ.กะทู้ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งเหตุจากกลุ่มโชเฟอร์รถตุ๊กตุ๊ก คิวหน้าห้างจังซีลอน บริเวณ ท้ายซอยบางลา ถนนคนเดิน แหล่งบันเทิงนานาชาติหาดป่าตอง ว่าได้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัวชาวดูไบ จำนวน 8 คน มีปัญหากับคนขับรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างเรื่องค่าโดยสารที่ตกลงกันไม่ได้ จนเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ทำให้คนขับรถโมโหที่ถูกนักท่องเที่ยวชายดูไบด่าทอ จึงใช้วิทยุสื่อสารตีเข้าที่ศีรษะจนหัวคิ้วซ้ายแตก เลือดอาบใบหน้า
หลังรับแจ้งจึงนำกำลังไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบนายอาเหม็ด ทาฮา ทาฮา อายุ 34 ปี ชาวดูไบ นั่งประท้วงอยู่กลางถนนในสภาพศีรษะแตก เลือดอาบใบหน้า และไม่ยอมไปโรงพยาบาล ส่งผลให้การจราจรบริเวณนั้นติดขัดอย่างหนัก เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตต้องเข้าไปช่วยปฐมพยาบาลห้ามเลือด โดยนายอาเหม็ดซึ่งอยู่ในอาการโมโหอย่างหนัก เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำรถยนต์มารับตนเองและครอบครัวรวม 8 คน ไปส่งที่โรงแรมหาดกะรน โดยจะไม่ยอมเดินทางโดยรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างและไม่ยอมจ่ายค่าโดยสารอย่างเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำรถยนต์มาให้บริการนำครอบครัวของนายอาเหม็ดไปส่งยังที่พักโรงแรมหาดกะรนตามที่ร้องขอ ส่วนนายอาเหม็ด ผู้บาดเจ็บ ได้นำตัวส่ง รพ.เมืองป่าตอง ซึ่งแพทย์ได้เย็บแผลให้ 10 เข็ม
พ.ต.ต.พงศ์กานต์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากทั้งสองฝ่ายตกลงเรื่องค่าโดยสารไม่ลงตัว อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา นายวีระพงศ์ คงบุญ ประธานกลุ่มตุ๊กตุ๊กป่าตอง ได้นำตัวโชเฟอร์ที่ก่อเหตุมาขอโทษนักท่องเที่ยวรายนี้ รวมทั้งชดใช้ค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาลให้ด้วย ซึ่งทางนักท่องเที่ยวรายดังกล่าวก็ยินยอมไม่ติดใจเอาความ
ทางด้านนายภูริต มาศวงศา อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต กล่าวว่า เหตุการณ์นักท่องเที่ยวออสเตรเลียถูกชิงทรัพย์และถูกแทงเสียชีวิตนั้น ทางประเทศสิงคโปร์ได้นำเสนอข่าวว่าภูเก็ตเป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัย เต็มไปด้วยอาชญากรรม ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของภูเก็ตเป็นอย่างมาก ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเพราะภูเก็ตมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอ จึงน่าที่จะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้พอกับจำนวนประชากรและนักท่องเที่ยว ในการป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดปัญหา รวมทั้งจะต้องตีกรอบบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด.
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555
บุพการีกองทัพน่านฟ้าไทย 100 ปี
หากเอยถึงกิจการบินของไทย เริ่มต้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีชาวต่างประเทศ นำเครื่องบินมาแสดงให้ชาวไทย ได้ชมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2454 ทำให้ผู้บังคับบัญชา ระดับสูงของกองทัพในสมัยนั้นพิจารณาเห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเครื่องบินไว้ เพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ ในอนาคต ด้วยเหตุนี้กระทรวงกลาโหมจึงได้ตั้ง "แผนกการบิน" ขึ้นในกองทัพบก พร้อมทั้งได้คัดเลือกนายทหารบก 3 นายซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมไปศึกษาวิชาการที่ประเทศฝรั่งเศส คือ นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ นายพันตรี หลวงอาวุธสิขิกร และนายร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต
โดยเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2455 นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ได้ทำการฝึกบินตามหลักสูตรของสโมสรการบินพลเรือนฝรั่งเศสด้วยเครื่องบินเบรเกต์ ชนิดปีก2 ชั้น ณ โรงเรียนการบินเมืองวิลลา คูเบลย์ และนายพันตรี หลวงอาวุธสิขิกร ได้เริ่มทำการบินกับเครื่องบินนิเออปอรต์ ปีกชั้นเดียว ที่โรงเรียนการบินมูร์เมอลอง เลอกรองด์ ส่วนนายร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต ได้เริ่มฝึกบินด้วยเครื่องบินนิเออปอรต์ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2455 ในขณะที่นายทหารทั้ง2 นายกำลังศึกษาวิชาการบินอยู่นั้นทางราชการ ได้สั่งซื้อเครื่องบิน รวมทั้ง มีผู้บริจาคเงินร่วมสมทบซื้อด้วยเป็นครั้งแรก จำนวน 8 เครื่อง คือเครื่องบินเบรเกต์ปีก 2 ชั้น จำนวน 4 เครื่อง และ เครื่องบินนิเออปอรต์ปีกชั้นเดียว จำนวน 4 เครื่อง
ภายหลังสำเร็จการศึกษาบุคคลทั้งสามท่านได้กลับมาก่อตั้งกิจการด้านการบินของสยาม จนพัฒนาก้าวหน้ามาเป็น กิจการการบินทั้งทหาร และพาณิชย์ของประเทศไทย โดย ได้รับพระราชทานยศ และบรรดาศักดิ์ ตามลำดับ คือ พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ นาวาอากาศเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ และนาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต และกองทัพอากาศได้ยกย่องให้เป็น "บุพการีของกองทัพอากาศ" ประจักษ์มาร่วม 100 ปี กล่าวได้ว่ากำลังทางอากาศของไทย เริ่มต้นจากนักบินเพียง 3 คน และเครื่องบินอีก 8 เครื่องเท่านั้น
ในโอกาสนี้ทางกองทัพอากาศ จึงได้จัดนิทรรศการ “ครบรอบ 100 ปีการบินของบุพการีทหารอากาศ” การตั้งแสดงอากาศยาน การสวนสนามทางอากาศ และการแสดงการบิน การแสดงการบินของหน่วยงานต่าง ๆ ที่อาคารคลังสินค้า 3 ท่าอากาศยานดอนเมือง เปิดการแสดงนิทรรศการ การแสดงสมรรถนะการบินของเฮลิคอปเตอร์แบบ UH-60 BLACK HAWK ของกองทัพบก การสาธิตการค้นหาช่วยชีวิตของเฮลิคอปเตอร์แบบ BELL-212 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่งดการแสดงการบินผาดแผลงในส่วนของกองทัพอากาศมิตรประเทศ
พร้อมทั้งจัดการแสดง “ภารกิจพิชิตน่านฟ้า” ตอน Love is in the Air “รักสะท้านฟ้า” ซึ่งแสดงในวันที่ 29-30 มิ.ย. ที่ผ่านมา และวันที่ 2 ก.ค.2555 ประกอบด้วย องก์ที่ 1 “รักบุพการีเท่าน่านฟ้า” เป็นการแสดงเบิกน่านฟ้า ต่อเนื่องด้วยการยกย่อง เชิดชู บุพการีทหารอากาศ ที่วางรากฐานการบินของประเทศจนพัฒนาเป็นกองทัพอากาศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี จากนั้นเครื่องบินขับไล่แบบ F-16A จำนวน 2 เครื่อง ทำการบินผ่านพิธีเปิดงาน เครื่องบินโจมตีและธุรการแบบ AU-23A บินลากป้ายสัญลักษณ์งาน 100 ปีฯ หมู่บินสวนสนามบินผ่านพิธี ฯ ประกอบด้วย เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 A/B จำนวน 9 เครื่อง เครื่องบินโจมตีแบบ ALPHA JET จำนวน 4 เครื่อง เครื่องบินฝึกขับไล่แบบ L-39 จำนวน 6 เครื่อง เครื่องบินฝึกแบบ T-41 D จำนวน 4 เครื่อง เครื่องบินฝึกแบบ DA-42 จำนวน 4 เครื่อง เครื่องบินฝึกแบบ PC-9 จำนวน 4 เครื่อง
องก์ที่ 2 “รักนภาแห่งสยาม” เป็นการแสดงถึงความรักเกียรติและศักดิ์ศรีของชาติ ปกป้องน่านฟ้าไทยให้เป็นอธิปไตย มาถึงปัจจุบัน การป้องกันภัยทางอากาศ เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 A/B และเครื่องบินโจมตีแบบ ALPHA JET และเครื่องบินควบคุมแจ้งเตือนแบบ SAAB 340 AEW การบินโจมตีทางอากาศ ของเครื่องบินขับไล่แบบ F-16A/B การบินสนับสนุนกำลังภาคพื้นและเหล่าทัพอื่นๆ ของเครื่องบินโจมตีแบบ L-39 การค้นหาและช่วยชีวิตในพื้นที่การรบของเฮลิคอปเตอร์แบบ UH-1 H และเครื่องบินโจมตีแบบ ALPHA JET
องก์ที่3 “รักประชาทั่วเขตคาม” เป็นการแสดงการปฏิบัติภารกิจของกองทัพอากาศ ปฏิบัติหน้าที่แก่ประเทศชาติ และการแสดงภารกิจของกองทัพอากาศ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน การบินสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและกำลังภาคพื้นของเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H การบินปฏิบัติฝนหลวง และการปฏิบัติการควบคุมไฟป่า ของเครื่องบินลำเลียงแบบBT-67
องก์ที่ 4 “เทิดพระนามองค์พระมหากษัตริย์ไทย” เป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และเฉลิมพระเกียรติ 85 พรรษา มหาราชา การวิ่งขึ้นของเครื่องบินพระที่นั่ง และการบินผ่านของเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เครื่องบินลำเลียงแบบ ATR-72-500, AIRBUS 319 และ BOEING 737-800 การบินผ่านพิธีฯ ของเฮลิคอปเตอร์แบบ S-92 และเฮลิคอปเตอร์แบบ BELL-412 EP พร้อมกับการสวนสนามแปรขบวน ของวงดุริยางค์ทหารอากาศ และบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์
องก์พิเศษ “กองทัพอากาศไทย ก้าวไกลวิสัยทัศน์แห่งศตวรรษใหม่” เป็นการแสดงปิดท้ายด้วยความประทับใจ พร้อมทั้งแสดงถึงวิสัยทัศน์ความมุ่งหวังที่จะก้าวไปสู่กองทัพอากาศชั้นนำในภูมิภาค (One of The Best Air Forces in ASEAN) การบินเดี่ยวแสดงสมรรถนะของเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 A ซึ่งออกแบบสีลายพิเศษในโอกาส 100 ปีฯ การบินเดี่ยวแสดงสมรรถนะของเครื่องบินขับไล่แบบ GRIPEN 39 C การแสดงการบินผาดแผลงของหมู่บินผาดแผลง BLUE PHOENIX หมู่บินเครื่องบินฝึกแบบ CT-4E จำนวน 16 เครื่อง ทำการบินหมู่แปรอักษรตัวเลข “100” จากนั้นจะเป็นพิธีปิดด้วยการบินปล่อยควันสีธงชาติไทยของเครื่องบินโจมตีและธุรการแบบAU-23A
เวลา 100 ปีที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยคงจะได้รับรู้ศักยภาพของกองทัพอากาศไทยว่าไม่ด้อยไปกว่าชาติใดในเอเชียหรือประเทศอื่น ๆ ในโลกนี้.
ขยายเวลาการประชุม ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนู
ถ้าจะมีการขยายเวลาออกไป คงไม่เกี่ยวกับการมารองรับการแก้ไขรัฐธรรมนู แต่หากมีการขยายเวลาสมัยประชุม ก็เป็นเพราะเมื่อต้นสมัยประชุมเกิดวิกฤตอุทกภัย ทำให้การเปิดประชุมไม่สามารถทำได้เต็มที่
การเมืองในสภาขณะนี้เข้าสู่โหมด “พักร้อน-พักรบ” ชั่วคราวภายหลังมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติก่อนจะกลับไปโรมรันกันอีกครั้งหลังจากวันที่ 1 ส.ค.เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการเคาะระฆังยกใหม่ที่อาจทำให้อุณหภูมิการเมืองเดือดเพิ่มขึ้น
ย้อนกลับไปทบทวนเหตุผลการของการขอขยายสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติออกไปอีกกว่า 1เดือน (18เม.ย.-19 มิ.ย.) ทั้งที่ต้องสิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อวันที่18 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นเพราะต้องการผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการบริหาราชการราชแผ่นดินของรัฐบาล
“ถ้าจะมีการขยายเวลาออกไป คงไม่เกี่ยวกับการมารองรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากมีการขยายเวลาสมัยประชุม ก็เป็นเพราะเมื่อต้นสมัยประชุมเกิดวิกฤตอุทกภัย ทำให้การเปิดประชุมไม่สามารถทำได้เต็มที่ ส.ส.ต้องลงพื้นที่ไปดูแลประชาชน และการขยายเวลาออกไปจะช่วยให้การพิจารณาร่างกฎหมายของภาคประชาชนสามารถผลักดันได้ทันในสมัยประชุมนี้” เหตุผลหนึ่งจาก อุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล เพื่อขอขยายสมัยประชุม
แม้เหตุผลของการขยายสมัยประชุมของรัฐบาลจะพยายามอ้างว่าไม่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหลัก แต่เอาเข้าจริงกลับพบว่าเวลาที่ขยายสมัยประชุมเพิ่มเติมตั้งแต่วันที่ 18เม.ย.-19 มิ.ย. รวมเวลาเกือบ1เดือนเวลาของรัฐสภากลับหมดไปกับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ถึง 13วัน
ประกอบด้วย วันที่ 18-21 เม.ย.,24-25 เม.ย., 1พ.ค.-3พ.ค., 8 พ.ค.,10 -11 พ.ค.และ 14 พ.ค. แต่กระบวนการก็ต้องหยุดไว้แค่นั้นเพราะศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเบรกไม่ให้ลงมติวาระ3 ซึ่งกำหนดไว้วันที่ 5 มิ.ย.เนื่องจากได้รับคำร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เอาไว้
สาระสำคัญของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพียงเล็กน้อยแต่หลักการยังคงเดิมไม่แตกต่างตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอต่อรัฐสภาตั้งแต่วาระที่ 1 กล่าวคือ คงหลักการที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 99 คน แบ่งเป็น เลือกตั้งจังหวัดละ 1 คนรวม 77 คน และจากการแต่งตั้งของที่ประชุมรัฐสภา 22 คน
ทว่าที่ประชุมได้แก้ถ้อยคำในบางมาตราเกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตเลือกตั้งส.ส.ร.โดยให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้วินิจฉัยเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง จากเดิมกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ตามกฎหมายการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังใช้เวลาไปอีกประมาณ 1 วันครึ่ง คือ วันที่ 8 มิ.ย.และ 12 มิ.ย.(ในช่วงเช้า) อภิปรายคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ระงับการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 เนื้อหาของการประชุมในวันนั้นไม่ต่างอะไรกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่สุดท้ายรัฐสภาจะมีเสียงเพียง 318 เสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งจำนวน 322 เสียงทำให้ไม่สามารถพิจารณาญัตติเพื่อลงมติคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญได้
ยังดีที่รัฐสภายังพอกู้หน้าได้บ้างผ่านการเร่งให้ความเห็นชอบกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 จำนวน 8 ฉบับ ส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความร่วมมือของประเทศในภูมิภาคอาเซียน แต่ 6 ใน 8 ฉบับ เป็นการเห็นชอบในวันที่ 12 มิ.ย.หลังจากรัฐสภาต้องชะลอการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้
ขณะที่ สภาผู้แทนราษฎร ผลงานที่น่าจะได้เนื้อได้หนังมากที่สุด คือ การรับหลักการวาระที่ 1 ของร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2556 ระหว่างวันที่ 21-23 พ.ค.
ต่อมาวันที่ 30 -31 พ.ค.สร้างความฮือฮาด้วยการเสนอร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติถึง 4 ฉบับ
สาระสำคัญอยู่ที่การยกเลิกการกระทำตามคำสั่งคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นโมฆะ ไม่เว้นแม้กระทั่งการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 15 ก.ย.2548 - 10 พ.ค.2554 ให้ถ้อว่าไม่มีความผิดด้วย ถึงร่างพ.ร.บ.ปรองดองจะถูกเสนอต่อท้ายวาระการประชุมแต่ด้วยเสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยสามารถดันเรื่องนี้เข้ามาอยู่ในระเบียบวาระเรื่องด่วนที่ 1 ข้ามหัวร่างพ.ร.บ.ที่สภาฯเคยมีมติให้นำขึ้นมาพิจารณาก่อนซึ่งครม.เป็นผู้เสนอ จำนวน 6 ฉบับ ดังนี้
1.ร่างพ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในกระทรวงการคลัง)
2.ร่างพ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน (จัดตั้งสภาวิชาชีพสาธารณสุข)
3.ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต (กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติเทียบเท่ากรม)
4.ร่างพ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (แบ่งส่วนราชการใหม่ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อรองรับการยกฐานะของสำนักงานส่งเสริมฯ)
5.ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ (ให้มีคณะกรรมการกีฬาอาชีพเพื่อทำแผนแม่บทการพัฒนาและ
ตั้งกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ)
6.ร่างพ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค
ครั้งหนึ่งรัฐบาลได้ขอให้สภาฯเร่งดำเนินการร่างกฎหมายเหล่านี้ เพราะมีความสำคัญต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมาก แต่เมื่อมีการเสนอกฎหมายปรองดองเข้าสภาฯแบบเร่งด่วน ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านตามมามากมายนำมาสู่ความวุ่นวายครั้งประวัติศาสตร์ในสภาฯ
อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างพ.ร.บ.ปรองดองที่อยู่ในเรื่องด่วนที่ 1 เรียกได้ว่าจ่อคิวรอการพิจารณาไม่สามารถเดินหน้าไปได้โดยมีสาเหตุเพราะถูกดดันอย่างหนักจากนอกสภาทำให้ต้องนัดประชุมสภาฯเป็นกรณีพิเศษวันที่ 13-14 มิ.ย.แทนก่อนปิดสมัยประชุมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.
การประชุมทั้ง 2 วันที่ประชุมสภาฯได้รับหลักการร่างพ.ร.บ.รวดเดียวถึง 7 ฉบับ ดังนี้
1.ร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ให้ ปปง.มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการกำกับตรวจสอบความเสียหายของการฟอกเงินและการก่อการร้าย)
2.ร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (ให้ป.ป.ง.จัดทำบัญชีผู้ก่อการร้าย ภายใต้มติหรือประกาศของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ)
3.ร่างพ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน
4.ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
5.ร่างพ.ร.บ.ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม
6.ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ
7.ร่างพ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย (ตั้งองค์กร “การยางแห่งประเทศไทย” (กยท.) รับผิดชอบการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบ และโอนบรรดากิจการของกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางและองค์การสวนยางไปเป็นของ กยท.)
ภาพรวมของการขยายสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่ต่างอะไรกับเป็นเหรียญสองด้าน โดยด้านหนึ่งสามารถรับหลักการร่างพ.ร.บ.ได้ ถึง 7 ฉบับทั้งที่เพิ่มเวลาสมัยประชุมเพียง 1 เดือน แต่อีกด้านหนึ่งการรับหลักการของสภาฯทำให้เกิดข้อข้องใจว่าทำไปเพื่อแก้ตัวหลังจากกฎหมายปรองดองและรัฐธรรมนูญยังไม่ผ่านรัฐสภาหรือไม่
สุดท้ายอยู่ที่สังคมจะตัดสินใจว่า “ประเทศไทยได้อะไรจากการขยายเวลาสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ”
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ไทย ฟลิปปินส์ รับรางวัลโบรกเกอร์ยอดเยี่ยมจากนิตยสารไฟแนนซ์เอเซีย
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ ได้รับรางวัลโบรกเกอร์ยอดเยี่ยมจากนิตยสารไฟแนนซ์เอเซีย ซึ่งเป็นนิตยสารเศรษฐกิจชั้นนำระดับโลกที่เสาะหาสุดยอดสถาบันการเงินต่างๆ จากทั่วภูมิภาค
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย นับเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งมาติดต่อกัน 10 ปี นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทยได้รับรางวัลโบรกเกอร์ยอดเยี่ยมนี้จากไฟแนนซ์เอเซีย โดยปีนี้เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย มีแผนงานที่จะขยายธุรกิจและเครือข่ายโดยคาดว่าจะเปิดสาขาใหม่อีก 3 แห่ง ปัจจุบันมีทั้งหมด 45 สาขา และเจ้าหน้าที่การตลาดอีก 700 คนทั่วประเทศ บริษัทฯ คาดว่าจะเปิดบริการให้ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ 5 แห่ง อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา (NASDAQ & NYSE) ในปลายเดือนมิถุนายนนี้ และยังมุ่งขยายไปยังตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอื่นๆ อีกในอนาคต
ส่วนเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ฟิลิปปินส์ ได้รับรางวัลนี้นับเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน และมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ฟิลิปปินส์เมื่อปีที่แล้ว โดยบริษัทฯ มุ่งหวังการให้บริการด้วยธุรกิจใหม่ๆ จากกลุ่มเมย์แบงก์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจเพื่อสร้างบริการที่คุ้มค่าให้แก่ลูกค้า
นายเต็งกู ดาโต๊ะ ซาฟรูล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง กล่าวว่า “บริษัทฯ มุ่งมั่นในการให้บริการข้อมูลที่ถูกต้องถูกจังหวะและมอบทางเลือกที่ทันสมัยให้แก่ลูกค้าเพื่อเสริมสร้างประโยชน์จากศักยภาพของเอเซียให้แก่ลูกค้าของเรา”
“บริษัทฯ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากสำหรับรางวัลที่ได้รับ จากการคัดเลือกบริษัทหลักทรัพย์ดีเด่นจากบริษัทต่างๆ ในภูมิภาคนี้ การได้รับรางวัลนี้จะเป็นเครื่องผลักดันให้บริษัทฯ มุ่งมั่นในการนำเสนอบริการใหม่ๆ แก่ลูกค้าของกลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ต่อไปในอนาคต”
ซอฟต์แวร์พาร์ค จับมือผู้ประกอบการ จัดตั้งกลุ่มคลาวด์เทคโนโลยี เดินหน้าเข้าสู่อาเซียน
ซอฟต์แวร์พาร์ค ร่วมกับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ จัดตั้งกลุ่มคลาวด์เทคโนโลยี เพื่อร่วมผลักดันการให้บริการซอฟต์แวร์อย่างเป็นระบบ เตรียมเดินหน้าสู่ประชาคมอาเซียน 2015 นายธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์พาร์ค กล่าวว่า การก่อตั้งกลุ่มเครือข่ายผู้ให้บริการคลาวด์ในประเทศไทย หรือ Cloud Thailand Alliance (CTA) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยคลาวด์เทคโนโลยี หรือพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Software as a Service (SaaS) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ ในการสร้างความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่น เป็นที่ยอมรับและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ตลอดจนเป็นตัวเชื่อมคู่ค้าและพันธมิตรใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจซอฟต์แวร์ไทย และเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2558 หรือ AEC 2015 ผอ.ซอฟต์แวร์พาร์ค กล่าวต่อว่า ซอฟต์แวร์พาร์ค ร่วมกับผู้ให้บริการด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง ในประเทศไทยที่มีดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานระดับโลก อาทิ บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (ดีซีเอส)บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ จำกัด บริษัทเอนิส เอเซีย (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทคลาวด์ครีเอชั่น จำกัด และบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี และนานาชาติรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่ม Cloud Thailand Alliance (CTA) เพื่อร่วมกันส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิด SaaS อย่างมีมาตรฐานและเป็นศูนย์กลางในการติดต่อสื่อสารช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้ประกอบการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยคลาวด์เทคโนโลยี ในการพัฒนาระบบธุรกิจและลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการในประเทศไทย และเพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศไทยมีมาตรฐานระดับสากล โดยได้ให้ความรู้และความตระหนักทางด้านคลาวด์ฯ แก่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายๆ ด้าน และถือเป็นการตอบโจทย์ทั้งด้านความต้องการของผู้ใช้และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้นายหะริน อุปรา กรรมการผู้จัดการ บริษัทดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (ดีซีเอส) กล่าวว่า จะช่วยกันสนับสนุนให้กลุ่มผู้ผลิตซอฟต์แวร์คุณภาพจำนวนมาก ได้มีทางเลือกและโอกาสในการนำซอฟต์แวร์เหล่านั้นเข้าสู่การเป็น SaaS ที่มีความมั่นคงและยั่งยืนทางธุรกิจอย่างแท้จริง และดีซีเอสมีความพร้อมในการต่อยอดความต้องการทางธุรกิจสู่การให้บริการแบบ Cloud Computing ที่มี ISO 20000 (IT Service Management) และ ISO 27001 (Information Security Management) เป็นหัวใจหลักในการให้บริการ และศูนย์ข้อมูลคุณภาพที่ให้บริการตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยบุคลากรมืออาชีพของดีซีเอสที่ได้รับการอบรม และมีระบบงานสนับสนุนต่างๆ ที่ทำให้สามารถส่งมอบบริการที่วัดผลได้ และทางดีซีเอสก็จะช่วยผลักดันธุรกิจ SaaS ให้สามารถเกิดได้จริงและร่วมดูแลระบบงานเหล่านั้นให้เป็นบริการที่ยั่งยืนต่อไปนางสาวจันทนา เตชะศิรินุกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้มุ่งสนับสนุนซอฟต์แวร์เฮาส์ของคนไทยที่เข้าร่วมโครงการ ในการนำระบบซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารงานให้บริการผ่านระบบคลาวด์ฯ ของ ทีโอที IDC ทั้งเป็นการช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs สามารถประหยัดเงินลงทุนจากการนำระบบไอทีเพื่อช่วยการบริหารธุรกิจ โดยมีความพร้อมทั้งในด้านบริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และมีศูนย์บริการข้อมูลอินเทอร์เน็ต ที่ผ่านการรองรับมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2005 อาทิ ทีโอที สำนักงานใหญ่แจ้งวัฒนะ ชุมสายโทรคมนาคมกรุงเกษม และแหลมฉบัง เป็นต้น มีระบบรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต ที่พร้อมให้บริการ SaaS และที่สำคัญคือ ทีโอทีให้บริการไอซีทีแบบครบวงจร ICT Solution โดยมีศูนย์ NOC (Network Operation Center) พร้อมบุคลากรที่มีความสามารถให้คำแนะนำปรึกษาแก่เอสเอ็มอี รวมถึงการรับแจ้งเหตุขัดข้องผ่านคอลเซ็นเตอร์ หมายเลข 1100 ตลอด 24 ชม.ด้าน นายเจนวิทย์ คราประยูร ผู้จัดการทั่วไป บริษัททรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทจัดทำโครงการความร่วมมือกับซอฟต์แวร์พาร์คเพื่อสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์บนระบบคลาวด์คอมพิวติ้งมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการเฟ้นหานักพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบ SaaS บนคลาวด์คอมพิวติ้งรายแรกในไทย ในชื่อโครงการ ทรู คลาวด์ วินเนอร์ การจัดงานสัมมนาและจัดอบรมความรู้ด้านเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง รวมไปถึงการสนับสนุนให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้เรียนรู้และพัฒนาจริงบนบริการ True Cloud Services มาโดยตลอด นายสุพล ตันติศิริวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Anise Asia (Thailand) จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้มีแผนที่จะเปิดให้บริการในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มต้นในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ภายใต้ชื่อ Star Anise Cloud มาตั้งแต่ปลายปี 2554 และยังเชื่อมโยงกับ Joyent Public Cloud ซึ่งให้บริการในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และตะวันออกกลางมานานกว่า 6 ปี ส่วนในประเทศไทยนั้น เราร่วมมือกับ Internet Thailand Public Co., Ltd. (INET) ในการให้บริการ Public Cloud ซึ่งขณะนี้ได้เปิดให้ผู้ที่สนใจได้ทดลองใช้ระบบอยู่ และจะเริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือน ส.ค.นี้ขณะที่ นายวิศิษฏ์ วัฒนานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท Cloud Creation กล่าวว่า การสร้าง SaaS เพื่อให้บริการในรูปแบบ On demand services หรือการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง (pay-as-you-go model) คลาวด์ครีเอชั่นมุ่งเน้นในการส่งเสริมให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของไทยมีจุดเริ่มต้น พยายามให้มุ่งเน้นในเรื่องการเสริมจากธุรกิจหลัก หรือ Core Competency ของลูกค้า นักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องคิดให้ครบกระบวนการแบบครบวงจร โดยเฉพาะผู้ใช้งานเป็นลูกค้าขนาดเล็ก
www.thairath.co.th
แก้ปัญหา นักเรียนตีกัน แบบนี้ดีไหม?
เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สลดใจเมื่อนักเรียนอาชีวศึกษาต่างสถาบันยกพวกทำร้ายกันบนรถประจำทาง ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย รายแรกเป็นนักเรียนคู่อริ และอีกรายหนึ่งเป็นผู้โดยสารรถประจำทางที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สร้างความทุกข์โศกต่อญาติพี่น้องผู้สูญเสีย และสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงต่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เพิ่งเกิดมาครั้งหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้วในช่วงเปิดภาคการศึกษาใหม่ เพียงแต่ครั้งนั้นไม่มีผู้ใดเสียชีวิต และไม่ใช่โรงเรียนของคู่อริเดียวกับครั้งนี้และวันที่ 15 มิถุนายน 2555 ข่าวร้ายเดิมยังไม่ทันจางหาย ข่าวร้ายในลักษณะเดิมก็เกิดขึ้นอีกเป็นคำรบที่ 3 ผู้เขียนมีความเห็นว่า เหตุการณ์ความบาดหมางระหว่างโรงเรียนอาชีวศึกษามิใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกๆ ปี และบ่อยครั้งตามลำดับผู้เขียนก็เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่น่าตระหนกเช่นนี้ ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา เมื่อ 40 ปีเศษมาแล้ว ในขณะที่โดยสารประจำทางผ่านหน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นักเรียนอาชีวศึกษาในย่านปทุมวันพากันขว้างปาสิ่งของต่างๆ รวมทั้งมีดเล่มเก่าๆ ซึ่งเต็มไปด้วยสนิมเหล็กเข้ามาในรถประจำทางที่มีผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถ ซึ่งคาดว่าคงมีผู้โดยสารที่เป็นนักเรียนคู่อริปะปนอยู่ด้วยโชคดีที่ในยุคนั้นอาวุธปืนยังหาซื้อไม่ได้ง่ายเหมือนซื้อของจากร้านสะดวกซื้อดังเช่นทุกวันนี้ จึงไม่เกิดความสูญเสียถึงขั้นล้มตาย จะมีก็แค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ในวันนั้นพนักงานขับรถได้รีบขับรถออกจากป้ายรถประจำทางโดยเร็ว สร้างความโล่งอกแก่ผู้โดยสารบนรถประจำทางคันดังกล่าวที่พรรณนาความมาทั้งหมดเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักว่า นักเรียนอาชีวศึกษาเข่นฆ่าทำร้ายกันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นนานมากแล้ว แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมสักที ถ้าเรานิ่งนอนใจ สักวันหนึ่งผู้ที่ได้รับอันตรายจากการกระทำเช่นนี้อาจจะเกิดกับบุตรหลานหรือตัวของเราเองก็ได้ โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ความรุนแรงปรากฏขึ้นทุกๆ วัน เกิดขึ้นทุกหนแห่งและทุกระดับ จนไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธชาวพุทธเคยเป็นผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีให้ความช่วยเหลือเจือจานแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ปัจจุบันได้กลายเป็นคนโหดร้ายมุ่งทำร้ายห้ำหั่นซึ่งกันและกันก่อนที่จะกำหนดแนวทางของการแก้ไขปัญหา ผู้เขียนขอวิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาเสียก่อน เพื่อหาหนทางแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ให้ครบถ้วน ปัญหาทั้งหมดจึงจะถูกแก้ไขได้อย่างสิ้นเชิง เท่าที่ประมวลแล้วประกอบด้วย1.โรงเรียนอาชีวศึกษาที่เกิดข้อขัดแย้งกัน ล้วนมีที่ตั้งของสถานศึกษาใกล้กัน หรือเป็นจุดที่มีรถประจำทางสัญจรผ่าน ทำให้สร้างคู่อริที่เป็น "คู่กัด" เฉพาะแห่ง2.นักเรียนรุ่นพี่ที่ชักนำหรือปลุกระดมให้นักเรียนรุ่นน้องหรือนักเรียนน้องใหม่รู้สึกเกลียดชังโรงเรียนคู่อริ คือบุคคลเจ้าปัญหาที่เป็นระดับคีย์แมน (Key man) หรือ "หัวโจก"3.นักเรียนรุ่นน้องหรือน้องใหม่ผู้ลงมือทำร้ายนักเรียนต่างสถาบัน มักเกรงว่าจะเข้าหมู่ไม่ได้แม้ความรู้สึกลึกๆ ในใจอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธหรือทำตนให้แปลกแยกจากผู้อื่น4.การเรียนการสอนของนักเรียนอาชีวะทุกแห่งจะประกอบด้วยหลักสูตรที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือเป็นวิชาช่างแขนงต่างๆ ทั้งระดับ ปวช.และ ปวส.เหมือนๆ กัน5.ในส่วนของผู้เรียน จะรู้สึกว่าสติปัญญาของตนเองด้อยกว่าเพื่อนๆ ที่เรียนสายสามัญ ซึ่งจะเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ทำให้มองว่าอนาคตของเพื่อนจะก้าวหน้ามากกว่าตน จึงพยายามลบปมด้อยของตนด้วยการสร้างปมเด่นที่ผิดๆ เช่นการสร้างปัญหาในกรณีดังกล่าว เป็นต้น1.ตามหลักจิตวิทยาต้องใช้วิธีจูงใจให้เปลี่ยนทัศนคติเชิงลบที่เคยยึดถือทั้งหมดที่เรียกว่า "ปรับกระบวนทัศน์" (Paradigm Shift) และนำเอาทัศนคติเชิงบวกเข้ามาแทนที่ เช่น เคยมองตนเองว่าเรียนสายอาชีวะเป็นนักเรียนที่ไม่ฉลาด ด้อยค่า อนาคตจะไม่ก้าวหน้า ฯลฯ ให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า อาชีพสายอาชีวศึกษาก็เป็นสายอาชีพที่ดี มีเกียรติเช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ ถือเป็นแรงงานภาคฝีมือ (Skill Labors) ที่ตลาดแรงงานมีความต้องการอย่างสูง เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วรับรองว่ามีงานรองรับอย่างแน่นอนแรงงานที่ไปขุดทองแถบประเทศตะวันออกกลางก็ล้วนสำเร็จการศึกษาในวิชาชีพนี้ทั้งสิ้นนอกจากนี้ ความสามารถของพวกเขายังสามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย เนื่องจากเป็นความรู้ความสามารถเฉพาะอย่างที่ผู้ที่มิได้ศึกษาร่ำเรียนมาสามารถทำได้ เช่น ในวันหยุดต่อเนื่องอย่างวันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ ฯลฯ พวกเขาสามารถซ่อมแซมรถยนต์ที่เครื่องยนต์ขัดข้องจนไม่สามารถเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางให้เดินทางต่อไปได้ เป็นต้นการปรับกระบวนทัศน์เป็นหน้าที่ของศึกษานิเทศก์และผู้บริหารของแต่ละโรงเรียนที่ต้องทำความเข้าใจกับนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างความภาคภูมิใจในอาชีพของตนว่ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีไม่ด้อยกว่าอาชีพอื่น2.การแก้ไขปัญหาความแปลกแยกระหว่างโรงเรียนสาเหตุเกิดจากการปลุกระดมความคิดที่ผิดๆ แก่นักเรียนรุ่นน้อง โดยรุ่นพี่ระดับนำหรือ "หัวโจก" จะใช้ข้ออ้างต่างๆ นานา บ้างก็อ้างว่าโรงเรียนของเราก่อตั้งมาก่อน จึงมีศักดิ์ศรีดีกว่าบ้างก็อ้างว่าหลักสูตรของโรงเรียนของเราดีกว่า ทำให้มีรุ่นพี่ที่เก่งกว่า บางครั้งก็อ้างในแง่ลบว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนของเราเคยถูกนักเรียนจากโรงเรียนคู่อริทำร้ายจนเกือบปางตาย บางครั้งถึงขั้นเสียชีวิต ฯลฯ ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดจนถึงขั้นเจ็บแค้นให้แก่รุ่นน้องเป็นอย่างยิ่งผู้เขียนได้นำเหตุปัจจัยที่เป็นจุดอ่อนเพื่อหาจุดแข็งมาแก้ไขปัญหาในลักษณะ "หนามยอกเอานามบ่ง" ดังนี้2.1 การเรียน การสอนในลักษณะหลักสูตรที่คล้ายคลึงกัน ย่อมที่จะสามารถผสมผสานนักเรียนต่างสถาบันเข้าด้วยกันได้ โดยไม่เสียการเรียนแต่อย่างใด ประกอบกับที่ตั้งของสถานศึกษาที่เป็นปัญหาอยู่ไม่ห่างไกลกัน ย่อมไม่เป็นอุปสรรคในการเดินทาง2.2 นักเรียนระดับนำ หรือ "หัวโจก" ที่สร้างปัญหาให้ย้ายมาเรียนในโรงเรียนที่เป็นคู่อริ ความสอดคล้องของหลักสูตร แม้จะเคยเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 หรือปีที่ 4 ของโรงเรียนเดิม ก็สามารถเรียนต่อเนื่องกับโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งได้อย่างสนิทสนม2.3 นักเรียนหัวโจกของอีกโรงเรียนหนึ่งก็ให้ย้ายมาเรียนไขว้กันในลักษณะเดียวกัน วิธีการนี้เป็นการละลายพฤติกรรมอัตลักษณ์ของแต่ละโรงเรียนได้อย่างดียิ่ง เพราะเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนฝ่ายตรงข้าม และเมื่อได้เข้าไปเรียนรู้บรรยากาศการเรียนของโรงเรียนอีกฝ่ายหนึ่ง ความใกล้ชิดจะสร้างความเข้าใจได้ว่าไม่มีความแตกต่างอันใดเลย ความแปลกแยกที่เคยรู้สึกเป็นเพียงมายาภาพที่คิดขึ้นเองทั้งสิ้น2.4 การสลับสถานที่เรียนให้ดำเนินการเช่นนี้สัก 1-2 เทอม แล้วก็ให้ย้ายกลับมาเรียนโรงเรียนเดิมอีก โดยสามารถทำซ้ำได้อีกถ้าจำเป็น นับได้ว่าเป็นการละลายพฤติกรรมของความแปลกแยกได้อย่างดียิ่ง เนื่องจากความเข้าใจที่เกิดจากการได้เข้าไปสัมผัสด้วยตนเองจะดียิ่งเสียกว่าคำพร่ำสอนหรือการคาดโทษอย่างเทียบกันไม่ได้ผู้เขียนได้แนวคิดการแก้ไขปัญหานี้จากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ใช้หลักความเข้าใจ การเข้าถึง และการพัฒนา"ความเข้าใจ" เป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวที่ครูผู้สอนต้องคอยปรับทัศนคติของผู้เรียนว่า วิชาชีพอาชีวศึกษาก็มีคุณค่า น่าภาคภูมิใจ ไม่ด้อยไปกว่าอาชีพอื่น สามารถเลี้ยงชีพตนเอง และครอบครัวได้อย่างยั่งยืนตามอัตภาพส่วน "การเข้าถึง" ด้วยการแลกเปลี่ยนนักเรียนต่างโรงเรียนที่พวกเขาเคยหลงผิดว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ เมื่อได้มีโอกาสเข้าไปคลุกคลีตีโมงโดยใกล้ชิด ทำให้รู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันนั่นเอง เมื่อได้ "เข้าใจ" ถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองได้ "เข้าถึง" จิตใจของเพื่อนร่วมอาชีพต่างสถาบันแล้วพวกเขาจะได้ร่วมกันพัฒนาจรรโลงวิชาชีพของตนเองสืบไป เพราะในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานในสถานที่ทำงานเดียวกันก็เป็นได้ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขายังจะคิดทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพขณะอยู่ในวัยเรียนไปทำไมกัน?
www.matichon.co.th
บรรยายกาศ สีสันฟุตบอลยุโรป 2012
ประมวลเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในการแข่งขันครั้งนี้ ที่ประเทศโปแลนด์ บรรยากาศของแฟนบอลชาวโปแลนด์ ที่มาพร้อมใจเชียร์นักเตะเพื่อนร่วมชาติกันที่แฟนโซนกรุงวอร์ซอร์ ที่สามารถจุผู้ชมและแฟนบอลได้ถึง 1 แสนคน จนปรากฏสีขาวแดงเต็มพื้นที่ของแฟนโซนที่ใหญ่ที่สุดในศึกยูโร 2012 จากทั้งหมด 8 เมืองที่ใช้เป็นสังเวียนแข้ง ด้วยบรรยากาศการนั่งชมเกมสด ๆ ผ่านทีวีจอยักษ์ถึง 6 จอ และบูธจำหน่ายอาหารหลายสิบร้าน ทำให้แฟนบอลที่แต่งตัว เพนท์หน้า ด้วยลายธงชาติโปแลนด์ ได้ปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองอย่างเต็มที่ แม้ว่าโปแลนด์จะตกรอบแรกแบบน่าผิดหวังก็ตาม ส่วนเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างแฟนบอลก็เกิดขึ้นเช่นกัน หลังจบเกมระหว่างโปแลนด์ กับ รัสเซีย ที่เสมอกันไป 1 ประตูต่อ 1 ในกรุงวอร์ซอ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งตรงกับวันชาติของรัสเซีย หลังจากแฟนบอลชาวรัสเซียนับพันถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกมาชุมนุมเพื่อรำลึกถึงวันชาติ เนื่องจากกลัวเป็นการยั่วยุชาวโปแลนด์ ที่เคยถูกรัสเซียปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้ว่าตำรวจปราบจลาจลได้ตรึงกำลังโดยรอบสนามแข่งขันและตลอดเส้นทางกว่า 6,000 นาย แต่ก็ยังมีแฟนบอลโปแลนด์ ทำร้ายร่างกายแฟนบอลรัสเซีย จนมีผู้บาดเจ็บกว่า 10 คน และจับกุมผู้ก่อเหตุวุ่นวายได้กว่า 120 คน ปิดท้ายกันที่เรื่องเบา ๆ ของสัตว์จอมทำนายผลในการแข่งขันยูโรครั้งนี้ หลังจากศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ มีเจ้าหมึกพอล สร้างชื่อด้วยการทำนายผลการแข่งขันถูกไปถึง 8 นัด มาในครั้งนี้ เจ้าภาพร่วมทั้งโปแลนด์ ยูเครน รวมถึงอีกหลายชาติทั่วโลกรวมถึงไทย ก็ส่งสัตว์จอมทำนายผลลงชิงชัยเช่นกันทั้งแมวน้ำ หมู และแพนด้า โดยยูเครน มีเจ้าพังพอนเฟร็ด ส่วนโปแลนด์ ส่งพังชิตต้า วัย 33 ปีในสวนสัตว์เมืองคราคูฟ ทดสอบความแม่นยำในการทำนาย แต่ดูเหมือนจะไม่แม่นเท่ากับเจ้าหมึกพอล ตำนานสัตว์จอมทำนายของวงการฟุตบอล.
www.mcot.net
ทริสเรทติ้ง ประกาศคงอันดับเครดิตในระดับ “BBB+”
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะเงินทุนที่เข้มแข็ง ตลอดจนความแข็งแกร่งของฐานรายได้ที่มาจากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย รวมถึงความเป็นผู้นำในด้านการริเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงโอกาสและความสามารถของบริษัทในการนำประสบการณ์และความรู้ของกลุ่มเคจีไอในไต้หวันซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังมีความผันผวนอยู่มาก อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนที่เกิดจากการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบที่เริ่มต้นเมื่อเดือนมกราคม 2555 ทั้งนี้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดก็มีผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วย
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ได้และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารกองทุนของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ ได้ต่อไปแม้สภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ได้ และจะสามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 จะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบที่รุนแรงและฉับพลันต่อธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. เคจีไอมีแหล่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์มากนัก กล่าวคือ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วนเพียงไม่เกิน 50% ของรายได้รวมเท่านั้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่สูงกว่า 70% นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ. วรรณ ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 98% ด้วย ทั้งนี้ รายได้จากการบริหารจัดการกองทุนถือว่าเป็นแหล่งรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนและสม่ำเสมอเมื่อเทียบกับรายได้อื่น ๆ ของบริษัทหลักทรัพย์ ส่วนกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 23%-41% ของรายได้รวมมาจากธุรกรรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกิจการซื้อคืนภาคเอกชน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด ตลอดจนการลงทุนของบริษัทในตราสารหนี้และตราสารทุน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. เคจีไอจัดได้ว่าเป็นผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยมีความได้เปรียบจากการนำความรู้ทางวิศวกรรมการเงินตลอดจนประสบการณ์ของกลุ่มเคจีไอ ไต้หวัน ในตลาดการเงินของประเทศไต้หวันซึ่งมีการพัฒนามากกว่ามาใช้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ในประเทศไทย การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจะช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนที่มีความต้องการบริการที่แตกต่างเข้ามาเป็นลูกค้าของบริษัท บริษัทพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องก่อนคู่แข่งเพื่อจะมีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรที่สูงก่อนที่จะเกิดการแข่งขันมากขึ้นในตลาด ตัวอย่างเช่น บริษัทเป็นบริษัทหลักทรัพย์แห่งแรกที่ให้บริการธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำหลักทรัพย์ไปขายชอร์ตได้ไม่ว่าจะเพื่อการป้องกันความเสี่ยงหรือเพื่อการเก็งกำไร นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นรายแรกที่ออกจำหน่ายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ โดยออกจำหน่ายครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 8 เดือนก่อนที่จะเริ่มมีคู่แข่งเสนอขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ธุรกิจใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ของบริษัทถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยสร้างผลกำไรจำนวนมากให้แก่บริษัทในปี 2553-2554
อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารทุนลดลงในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 มาอยู่ที่ 3.8% (อันดับ 12) จาก 4.5% (อันดับ 9) ในปี 2554 และจาก 4.7% (อันดับ 4) ในปี 2553 นอกจากนี้ อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายตราสารทุนเฉลี่ยของบริษัทก็อยู่ในระดับต่ำกว่าคู่แข่ง โดยอยู่ที่ 0.14%-0.15% ในปี 2553 และ 2554 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 0.17%-0.18% การที่ บล.เคจีไอมีการพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่อยู่ค่อนข้างมากอาจมีส่วนทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาและการย้ายงานของเจ้าหน้าที่การตลาดมากกว่าคู่แข่งเนื่องจากลูกค้าเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูง การสร้างความสามารถในการแข่งขันและการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ท้าทายสำหรับบริษัทในอนาคต
บล. เคจีไอมีผลกำไรสุทธิ 535 ล้านบาทในปี 2554 เทียบกับ 753 ล้านบาทในปี 2553 โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 51% ในปี 2554 จาก 48% ในปี 2553 แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าคู่แข่ง การลดลงของผลกำไรสุทธิในปี 2554 เกิดจากการลดลงของกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ ซึ่งลดลงเป็น 798 ล้านบาทในปี 2554 จาก 948 ล้านบาทในปี 2553 แม้ว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทจะสร้างผลกำไรจำนวนมาก แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ส่วนในด้านความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์นั้น บริษัทมียอดการให้สินเชื่อคงค้างจำนวน 1.1 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555
ส่วนของผู้ถือหุ้นของ บล. เคจีไออยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ซึ่งทำให้บริษัทจัดอยู่ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่มีฐานเงินทุนขนาดใหญ่ 5 อันดับแรก อัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 2.2 เท่า ณ สิ้นปี 2553 มาอยู่ที่ 1.5 เท่า ณ สิ้นปี 2554 อันมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของเงินลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ภายใต้สภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มกลับขึ้นมาอยู่ที่ 2.2 เท่า ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2555 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอสำหรับการขยายกิจการ ณ สิ้นปี 2554 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 328% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ 7% ตามที่ทางการกำหนดไว้มาก
จับโจรอังกฤษ 2 ราย ใช้รถกระชากตู้เอที่เอ็มหวังฉกเงิน
รวบแล้ว 2 หนุ่มอังกฤษ ใช้รถกระชากตู้เอทีเอ็มธนาคารหวังฉกเงินหลายแห่งในจังหวัดชลบุรี สารภาพสิ้น หวังหาเงินมาเที่ยวเตร่ในประเทศไทย ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งอีก 1 ยังอยู่ระหว่างหลบหนี
เวลา 10.30.น.วันที่ 29 มิ.ย.ที่หน้า บก.ภ.จว.ชลบุรี พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.สุภธีร์ บุญครอง พ.ต.อ.สายเพชร ศรีสังข์ รอง.ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมตัวผู้ต้องหาลักทรัพย์ 2 คนประกอบด้วย นายอเล็กซ์ มิลเบิร์น (Mr.Alexander Milbourn) อายุ 25 ปี สัญชาติอังกฤษ และ นายชอน เอิดเวิร์ด เทรซี่ (Mr.Shaun Eward Tracy) อายุ 34 ปี สัญชาติอังกฤษ พร้อมของกลาง สายพานลาก 2 เส้น ตะขอเกี่ยวเหล็ก 4 ตัว รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนที่ใช้ก่อเหตุ 1 คัน รถยนต์เก๋งยี่ห้อนิสสัน เทียน่า สีบอรนซ์ทองทะเบียน ชป - 5354 กรุงเทพมหานคร 1 คัน รถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน นาวาร่า สีดำ ทะเบียน ผธ – 836 ชลบุรี 1 คัน และรองเท้าผ้าใบสีดำและสีขาวที่ผู้ต้องหาสวมใส่ในวันก่อเหตุจำนวน 4 คู่
โดย พล.ต.ท.ปัญญา แถลงว่าในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดเหตุคนร้ายก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดในตู้ เอทีเอ็มในพื้นที่ จ.ชลบุรีหลายครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.คนร้ายก่อเหตุตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพฯ สาขาบ่อวิน ต.บ่อวิน อ.ศรีรา จ.ชลบุรี ครั้งที่ 2 วันที่ 21 มิ.ย.ก่อเหตุตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาแหลมฉบัง หมู่ 9 ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และครั้งที่ 3 วันที่ 28 มิ.ย.ก่อเหตุตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากร่วม เลขที่ 310 / 9 ถนนสาย 331 ฉะเชิงเทรา – สัตหีบ หมู่ 3 ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี หลังเกิดเหตุได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ดูแลกำกับการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุให้ได้ กระทั่งสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ดังกล่าว
พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้ลงไปในพื้นที่เร่งรัดชุดสืบสวน สภ.แหลมฉบัง และ สภ.บ่อวิน ท้องที่เกิดเหตุระดมกำลังแยกย้ายกันออกค้นหาข้อมูลคนร้าย โดยได้เบาะแสจากกล้องวงจรปิดของธนาคารที่สามารถจับภาพคนร้ายลักษณะคนร้าย เป็นชาวต่างชาติและรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ รวมทั้งเบาะแสจากหลักฐานของกลางเช่นสายพานและตะขอที่คนร้ายทิ้งไว้ในที่เกิด เหตุ
โดยชุดสืบสวน สภ.แหลมฉบัง นำโดย พ.ต.อ.ศักดิ์รพี เพียวพานิช ผกก.สภ.แหลมฉบัง และ ร.ต.ท.ยุทธนา ประสพสุข มั่งดี รอง.สว.สส.สภ.แหลมฉบัง กับพวกได้ไปที่ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแห่งหนึ่งใน อ.ศรีราชา สอบถามถึงสายพานดังกล่าว ซึ่งเจ้าของร้านยืนยันว่า สายพานชนิดดังกล่าวมีขายที่ร้านของตนแห่งเดียว และมีชาวต่างชาติ 2 คนมาซื้อไป ต่อมาเวลาประมาณ 14.30.น.วันที่ 27 มิ.ย. เจ้าของร้านขายอุปกรณ์ร้านเดิมได้โทรศัพท์แจ้งชุดสืบสวนฯว่า มีชาวต่างชาติ 2 คนเดิม มาซื้อสายพานชนิดเดียวกับของกลางอีก จึงรีบรุดไปตรวจสอบปรากฏว่า 2 ชาวต่างชาติได้ออกจากร้านไปก่อนแล้ว ชุดสืบสวนจึงขอดูกล้องวงจรปิดจากร้านดังกล่าว พร้อมกับดูกล้องวงจรปิดของปั๊มน้ำมันที่ตั้งอยู่ติดกับร้านขายอุปกรณ์ ก่อสร้าง พบ 2 ชาวต่างชาติขับรถกระบะนิสสัน ตรงกับคันที่กล้องวงจรปิดของธนาคารจับภาพไว้ได้
จากนั้นชุดสืบสวนได้ไปตรวจสอบกองทะเบียนพบว่ารถกระบะคันดังกล่าวระบุชื่อ นายจอร์น เลสลี่ มิลเบิร์น อายุ 58 ปี สัญชาติอังกฤษ อยู่บ้านเลขที่ 31 / 17 หมู่ 6 ต.โป่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นผู้ครอบครอง และนายจอร์น เลสลี่ มิลเบิร์น ได้เดินทางกลับประเทศอังกฤษไปแล้ว ส่วนรถกระบะคันดังกล่าว นายอเล็กซ์ มิลเบิร์น ลูกชายนายจอร์น เป็นคนใช้โดยมี นายชอน เอิร์ดเวิร์ด เทรซี่ เป็นเพื่อนสนิทไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และสืบทราบจนแน่ชัดว่า นายอเล็กซ์ กับ นายชอน เป็นคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้ และได้เช่าบ้านไม่มีเลขที่อยู่ในซอยเทพประสิทธิ์ พัทยาใต้ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ชุดสืบสวน สภ.แหลมฉบัง จึงไปจับกุมตัวทั้ง 2 ได้ที่บ้านดังกล่าวพร้อมรถยนต์เก๋งนิสสัน และรถกระบะนิสัน ที่ใช้ก่อเหตุ 2 คัน ส่วนรถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ สีขาว อีกคันที่ใช้ก่อเหตุด้วยเป็นรถเช่ามาผู้ต้องหาได้นำส่งคืนเต๊นซ์รถไปก่อน หน้านี้แล้ว
พล.ต.ต.จำนงค์ กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 เข้ามาอยู่ที่พัทยา นานกว่า 10 ปีแล้วพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว รู้พื้นที่ทั่วไปเป็นอย่างดี เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว ไม่ได้ทำงานอะไร พอเงินหมดก็ร่วมกันวางแผนก่อเหตุ และจากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันก่อเหตุจริงโดยมี นายริชซี่ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง อายุประมาณ 30 กว่าร่วมด้วยแต่หลบหนีไปแล้ว ส่วนที่ก่อเหตุแล้วไม่สามารถเอาเงินจากตู้เอทีเอ็มได้ เนื่องจากไม่มีความรู้ในการเปิดตู้ ประกอบกับขณะก่อเหตุลากตู้ออกมาได้แล้ว แต่เกิดสัญญาณเสียงกริ๊งเตือนภัยดัง จนเกิดความตกใจจึงรีบพากันหลบหนี จึงแจ้งข้อหาว่าร่วมกันลักทรัพย์ ส่วนนายริชซี่ ผู้ต้องหาอีกคนที่หลบหนีได้สั่งให้ชุดสืบสวนออกติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ ได้
พล.ต.ต.จำนงค์ กล่าวฝากถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทย บางคนไม่ได้นำรายได้เข้ามาประเทศไทยอย่างเดียว มีบางคนบางกลุ่มเข้ามาเที่ยวแล้วพอเงินหมด ไม่มีงานทำก็หาเงินด้วยวิธีก่อเหตุในทางผิดกฎหมายต่างๆ รวมทั้งขอฝากบอกถึงผู้บริหารธนาคารต่างๆที่ตั้งตู้เอทีเอ็มอยู่ในพื้นที่ เปลี่ยวและมืด ควรปรับปรุงติดตั้งในที่ไม่เปลี่ยวและไม่มืดมีแสงสว่างเพียงพอ และติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อเกิดประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตาม คนร้ายหลังถูกก่อเหตุได้รวดเร็วขึ้น.
นิตยสารดังพากันแห่ทำสกู๊ป ''โจ ไบรอันท์'' ในไทย
อย่างไรก็ตาม สื่อเสียงของโจในฐานะพ่อของซูปอร์สตาร์ชื่อดังในวงการยัดห่วงเอ็นบีเอ อย่าง โคบี้ ไบรอันท์ ก็สามารถสร้างกระแสและความตื่นเต้นให้กับวงการ บาสเกตบอลในเมืองไทยได้ไม่น้อย นอกจากนั้น ชื่อของโจยังทำให้ข่าวคราวการแข่งขันระดับสโมสรของไทยและทั้งชื่อทีม แบงค็อก คอบร้าส์ ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก หลังจากที่ สปอร์ตส์ อิลลัสเตรท นิตยสารกีฬาชื่อดังของสหรัฐฯ ส่งนักข่าวบินข้ามโลกมาทำสกู๊ป เรื่องราวการคุมทีมของ โจ ไบรอันท์ ในประเทศไทย วงการบาสเกตบอลของไทยมีข่าวฮือฮาตั้งแต่ช่วงต้นปี เมื่อ แบงค็อก คอบร้าส์ ทีมน้องใหม่ในเอบีแอล ภายใต้การบริหารของสองเจ้าของทีมชาวอเมริกัน เจฟฟ์ พรีเมอร์ และ ทอม กริฟฟิน ทุ่มทุนจ้าง โจ ไบรอันท์ พ่อของโคบี้ ไบรอันท์ เข้ามาคุมทีมในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยมี พีเจ ดิ โรซาริโอ้ ผู้ช่วยโค้ชชาวอังกฤษ คอยช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ระยะที่โจเข้ามาทำทีมอาจจะน้อยเกินไป หลังจากที่ผลงานออกมาไม่น่าประทับใจมากนัก เมื่อคอบร้าส์มีสถิติชนะ 6 แพ้ 15 จบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 7 จากทั้งหมด 8 ทีม อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับไปเต็มๆ จากการเข้ามาคุมทีมของ โจ ไบรอันท์ คือชื่อเสียงและข่าวคราวเกี่ยวกับวงการบาสฯ ของไทย จะถูกพูดถึงมากขึ้นในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ เนื่องจากในวงการยัดห่วงแล้ว ชื่อของโคบี้ยังขายได้เสมอ และเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา ต้องถูกนำไปตีแผ่ ดังนั้นการที่พ่อของโคบี้บินข้ามโลกมาคุมทีมถึงเมืองไทย ก็สามารถเรียกความสนใจได้ไม่น้อย เช่นเดียวกับทาง สปอร์ตส์ อิลลัสเตรท นิตยสารกีฬาชื่อดัง ที่นอกจากจะตีพิมพ์หนังสือขายแล้ว ยังจับมือกับซีเอ็นเอ็น สำนักข่าวระดับโลก ทำเว็บไซต์ที่รู้จักกันอย่างดี และมีคอกีฬาทั่วโลกคอยติดตาม อย่าง เอสไอ ดอตคอม ได้ส่ง คริส บัลลาร์ด คอลัมนิสต์ชื่อดัง เดินทางมาสัมภาษณ์พร้อมติดตามชีวิตทั้งเรื่องความเป็นอยู่ และการคุมทีมของโจในช่วงเดือน เมษายนที่ผ่านมา เพื่อเปรียบเทียบว่าในขณะที่โคบี้ง่วนกับการแข่งขันเอ็นบีเอ รอบ เพลย์ออฟอยู่นั้น ความมุ่งมั่นและการไม่ยอมแพ้ของเขา น่าจะได้มาจากโจที่พยายามจะเข้ามาพัฒนาวงการยัดห่วงเมืองไทยให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นให้ได้ บัลลาร์ดมาเกาะติดการใช้ชีวิตของ โจ ไบรอันท์ ที่อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ กับ แพม ภรรยาของเขาหรือแม่ของโคบี้ ซึ่งแม้ว่ากีฬาบาสเกตบอลจะไม่ใช่กีฬายอดนิยมอย่าง ฟุตบอล แต่การปรากฏตัวของ โจ วัย 57 ปี ที่สูงถึง 6 ฟุต 9 นิ้ว ก็สามาถเรียกความสนใจจากคนได้ทุกที่ที่เขาไป และบางคนอาจจะไม่รู้จักเขา แต่ก็จำได้ว่าเขาคือพ่อของ โคบี้ และแน่นอนว่าเขามีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองไทย ผู้สื่อข่าวของ สปอร์ตส์ อิลลัสเตรท รู้ดีว่า กีฬายัดห่วงในเมืองไทยยังไม่ได้รับความนิยม เหมือนอย่างใน สหรัฐฯ หรือในยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี ซึ่งโจเคยไปเล่นอาชีพอยู่ที่นั้นหลายปี และเขาก็โด่งดังไม่แพ้ แมจิก จอห์นสัน หรือ คารีม อับดุล จับบาร์ ของ แอลเอ เลเกอร์ส เลย เช่นเดียว กับโคบี้ที่มีโอกาสพัฒนาฝีมือการเล่นบาสฯ ของเขาที่ อิตาลี และชอบที่จะลงเล่นกับผู้ใหญ่ในการแข่งขันนัดการกุศลที่โจเป็นผู้จัดอยู่เสมอ บัลลาร์ดรู้ดีว่าโคบี้เป็นผู้เล่นที่ทุ่มเทขนาดไหน และเชื่อว่าเขาน่าจะได้มันมาจากพ่อของเขา และในขณะที่โจพยายามที่ถ่ายทอดปรัชญาการเล่นแบบที่เขาต้องการให้กับผู้เล่น ในทีม แบงค็อก คอบร้าส์ เขาก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับเกี่ยวกับข้อจำกัดของผู้เล่นที่มีอยู่ ทั้งนี้การเข้ามาคุมสโมสร ''งูเห่าเจ้าพระยา'' แบงค็อก คอบร้าส์ ของ โจ ไบรอันท์ ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่การตลาด เนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่ายที่ระดับ ''บิ๊กเนม'' แบบนี้จะมาคุมทีมในไทย ดังนั้นหากว่ามีผู้เล่นหรือโค้ชชื่อดังเข้ามาทำทีมในเมืองไทยมากๆ เชื่อว่าข่าวคราววงการยัดห่วงของไทย จะได้รับความสนใจจากนานาชาติอย่างแน่นอน และ สปอร์ตส์ อิลลัสเตรท คงจะไม่ใช่เจ้าแรกและเจ้าเดียวที่จะเข้ามาทำข่าวหรือสกู๊ปแบบนี้
www.siamsport.co.th
คำป้อน เปิดตัว เอคโค่ จิ๋วก้องโลก แอนิเมชั่น 3 D ทะลุจอเรื่องแรกของไทย
คมภิญญ์ เข็มกำเนิด หรือ “คำป้อน” ผู้กำกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องดัง “ก้านกล้วย” และหนึ่งในทีมสร้าง Tarzan , Ice Age เปิดใจถึงแรงผลักดันภาพยนตร์ “เอคโค่ จิ๋วก้องโลก” แอนิเมชั่น 3D ทะลุจอเรื่องแรกของไทย
“จุดกำเนิดของหนังเรื่องนี้จริงๆ แล้วถูกเพาะขึ้นมาตั้งแต่สมัยเรียน เราสนใจวิถีการเกษตรแบบสมดุลคือมนุษย์ไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรกับธรรมชาติมากนัก ปล่อยให้พืชกับสัตว์ใช้ชีวิตเกื้อหนุนกันเอง พอเสร็จจากก้านกล้วย ก็ปรึกษากับ "คุณจาฤก" ผู้บริหารกันตนาถึงไอเดียต่างๆ สำหรับหนังแอนิเมชั่นเรื่องต่อไป หนึ่งในไอเดียที่เห็นตรงกันก็คือภาวะขาดสมดุลของโลก โลกกำลังเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าธรรมชาติกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับเราผ่านลม ป่าไม้ กระแสน้ำ และภัยพิบัติ ซึ่งระหว่างศึกษาข้อมูลเราพบแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจของชาวไทยภูเขาที่มีต่อธรรมชาติ เขาเชื่อว่าคนเรามีสามสิบเจ็ดขวัญ อยู่กับตัวคนเจ็ดขวัญ ที่เหลืออยู่กับสิ่งรอบๆ ตัว ความคิดนี้ได้ตอบคำถามการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน เพราะแทนที่จะคิดถึงแต่ตัวเองเราต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวเราด้วย ที่จริงแล้วเรากับธรรมชาติล้วนพึ่งพาอาศัยกัน...
แต่ความสนุกสนาน เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราคิดถึง คนดูจะเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวของตัวละครหลัก "จ่อเป" เด็กน้อยที่สามารถสื่อสารกับสัตว์ต่างๆ โดยการโขกหัว "หน่อวา" เด็กสาวชาวกะเหรี่ยงผู้เก่งกล้าที่แฝงความอ่อนโยนไว้ภายใน และ "แซม" เด็กหนุ่มแสบซนลูกชายประธานาธิบดีประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก รวมทั้ง สมเสร็จ "เฉโป" สัตว์เลี้ยงที่คอยสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดการผจญภัยในโลกของภัยพิบัติที่ถูกขยายให้ตื่นเต้นด้วยเทคนิคแอนิเมชั่น 3 มิติทะลุจอ Stereoscopic ....ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งผู้ชมได้รับคือคุณค่าที่แฝงอยู่ในความบันเทิง เราเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงที่ดีอาจเริ่มต้นขึ้นจากจุดเล็กๆ แต่สามารถสร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ได้”
พร้อมทัพนักแสดงที่มาสร้างสีสันให้เสียงการ์ตูนแอนิเมชั่นมากมากอาทิ หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ (ให้เสียงหน่อวา) , น้องมิกกี้-ด.ช. นพพันธ์ จันทรศร (ให้เสียงแซม) , กอล์ฟแก๊บ-ด.ช. อธิพิชญ์ ชุติวัฒน์ขจรชัย (ให้เสียงจ่อเป) , คงเดช จาตุรันต์รัศมี (ให้เสียงประธานาธิบดี) , ดีเจดาด้า-วรินดา ดำรงผล (ให้เสียงผู้สื่อข่าวหญิง) บริษัท กันตนา แอนนิเมชั่น สตูดิโอ จำกัด ผู้ผลิต , กำหนดพร้อมฉายในประเทศไทย 2 สิงหาคม 2555
UN ก็ได้มอบรางวัลจัดการความเสียงยอดเยี่ยม เมืองป่าตอง
นายชัยรัตน์ สุขบาล รองนายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง กล่าวว่า จากที่ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวถูกทำร้ายจนเสียชีวิตในพื้นที่ตำบลกะรน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต นั้น ตนเองในฐานะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เมืองป่าตองซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นห้องรับแขกใหญ่ของประเทศก็ได้มีการเตรียมความพร้อมดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวในทุกด้าน ล่าสุดจากการเอาใจใส่ทุกเรื่องเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวทาง UN ก็ได้มอบรางวัลการจัดการความเสี่ยงยอดเยี่ยมให้กับเทศบาลเมืองป่าตอง
รองนายกเทศมนตรีเมืองป่าตองกล่าวต่ออีกว่า การติดตั้งกล้อง CCTV ในแต่ละพื้นที่ถือเป็นเรื่องที่ดี สามารถช่วยในการเป็นข้อมูลจับคนร้าย การจราจร ภัยน้ำท่วม การอพยพเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่การลงทุนแต่ละครั้งของราชการไม่มีงบบำรุงรักษา ทำให้กรใช้ประโยชน์ไม่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ปี 2555 ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อาชญากรรมต่าง ๆ ก็คงเกิดเพิ่มขึ้น ฉะนั้นทุกองค์กร ทุกภาคส่วนอย่าทำเป็นไฟไหม้ฟาง ให้กระทำอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญตนเองเห็นด้วยกับรัฐบาลที่จะมีการติดตั้งกล้อง CCTV ในเมืองท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้เป็นอันดับ 1 ส่วนเทศบาลเมืองป่าตองก็ได้มีแผนติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มเติมเช่นกัน โดยปัจจุบันในเขตเทศบาลเมืองป่าตองได้มีการติดตั้งกล้อง CCTV แล้วจำนวน 30 ตัวโดยยังไม่รวมของเอกชนที่ติดตั้งตามโรงแรมและร้านอาหาร ซึ่งในการติดตั้งใหม่จะเน้นกล้องคุณภาพสูง สามารถซูมได้ และใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
อีกครั้ง สี่ล้อแดงหาดป่าตอง ทำร้ายนักท่องเที่ยวดูไบหัวแตก
งามหน้าไม่เลิก สี่ล้อเล็กหาดป่าตอง ภูเก็ต ทุบหัวนักท่องเที่ยวดูไบแตกเลือดอาบ ด้านพ่อเมืองภูเก็ตระดมมันสมองแก้ปัญหาท่องเที่ยว หลังถูกเพื่อนบ้านโจมตีไม่ปลอดภัย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. นายตรี อัครเดชา ผวจ.ภูเก็ตกล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต โดยมีหน่วยงานภาครัฐ-เอกชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดเข้าร่วม เพื่อหาแนวทางและมาตรการในการดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังเกิดเหตุคนร้ายแทงนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเสียชีวิตและบาดเจ็บ เมื่อกลางดึกวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่า ได้ให้มีการเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งได้มีการนำเสนอปัญหาการท่องเที่ยวของจังหวัด ทั้งนี้ได้เน้นย้ำกรณีรัฐบาลให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ทางจังหวัดจึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมหารือถึงปัญหาและแนวทางในการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยว ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้ประชุมมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว “อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้หารือถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวที่ยังไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแท็กซี่ป้ายดำ ปัญหาเจ็ตสกี รวมไปถึงปัญหาการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ปัญหาค่าโดยสารที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น ทั้งที่ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมานานแล้ว และหน่วยงานที่รับผิดชอบรับทราบปัญหามาโดยตลอด ขณะที่ภาคเอกชนมองว่าปัญหาการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เป็นเพราะหน่วยงานราชการไม่ได้จริงจังกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเสนอให้มีการติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มให้ครอบคลุมจุดเสี่ยงต่างๆ เพราะถือว่าเป็นประโยชน์ในการหาผู้กระทำผิดภายหลังเกิดเหตุ ซึ่งจังหวัดได้นำเสนอไปยังส่วนกลาง และได้รับการตอบรับโครงการดังกล่าวแล้วเช่นกัน” ด้านนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า หากเป็นไปได้ อยากจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสำรวจจุดเสี่ยงในพื้นที่ต่างๆ เพื่อที่จะได้ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดให้ครอบคลุม ซึ่งปัญหาต่างๆใน จ.ภูเก็ต เกิดขึ้นได้ตลอด ขณะเดียวกันปัญหานักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียถูกฆ่าตายยังไม่ทันจะจางหายไป พบปัญหาคนขับรถสี่ล้อเล็กรับจ้างในหาดป่าตอง อ.กะทู้ ใช้วิทยุสื่อสารทุบศีรษะนักท่องเที่ยวชาวดูไบแตกเลือดอาบอีก เมื่อคืนวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหากับนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการดูแลนักท่องเที่ยว ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ขณะที่นายภูริต มาศวงศา อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต กล่าวว่า เหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียถูกชิงทรัพย์และถูกแทงเสียชีวิตนั้น ประเทศสิงคโปร์ได้พยายามที่จะนำเสนอข่าวว่าเกาะภูเก็ตเป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัย เต็มไปด้วยอาชญากรรม ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ตเป็นอย่างมาก ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะ จ.ภูเก็ต มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอ น่าที่จะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้พอกับจำนวนประชากรและนักท่องเที่ยวในการ ป้องกัน-ป้องปรามไม่ให้เกิดปัญหาอาชญากรรมขึ้น รวมทั้งจะต้องตีกรอบบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด นายเมธี ตันมานะตระกูล ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้กล่าวว่า การวิ่งราวทรัพย์เกิดขึ้นทุกที่ในแหล่งท่องเที่ยว เมื่อเกิดขึ้นแล้วโอกาสที่ผู้เสียหายจะกลับมาชี้ตัวผู้ต้องหา เป็นไปไม่ได้ ทำให้ผู้ต้องหารู้ว่า 80% เหตุที่เกิดขึ้นไม่สามารถเอาผิดได้ ดังนั้นหากเป็นไปได้ อยากจะให้นักท่องเที่ยวทำเป็นหนังสือมอบอำนาจให้ทางโรงแรมที่พักเป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินคดี ซึ่งจุดนี้จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทยว่า เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือเพิกเฉย มีการติดตามคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายนายสรายุทธ มัลลัม กรรมการสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต กล่าวย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ตนั้น เกิดจากหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการแก้ ปัญหาเท่าที่ควร ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหัวหน้าส่วนราชการต้องการที่จะมารับราชการที่ จ.ภูเก็ตกันมาก แต่เมื่อมาแล้วกลับไม่ได้ทำหน้าที่อย่างจริงจัง ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอยากจะมาอยู่ที่ จ.ภูเก็ตกันเพื่ออะไร และหน่วยงานที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย ยกตัวอย่างตามชายหาดต่างๆ มีชาวต่างชาติตั้งตัวเป็นมาเฟียแล้วเที่ยวประกาศกับคนของประเทศตัวเองว่า สามารถเคลียร์เรื่องต่างๆ กับทุกหน่วยงาน เคลียร์กับตำรวจได้ ซึ่งก็เป็นจริง คนกลุ่มนี้ไม่กลัวตำรวจ ไม่กลัวเกรงกฎหมายบ้านเมืองของบ้านเรา เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะไม่ลงบันทึกประจำวัน ได้แต่ตักเตือน เพราะได้เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงสื่อมวลชนต่างชาติที่พยายามจะนำเสนอข่าวในทางลบกับการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต.
www.thairath.co.th
กรมอุตุฯ รายงานสภาพดินฟ้าอากาศ 29 มิถุนายน
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะนี้ ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังในช่วงวันที่ 29 มิ.ย.- 2 ก.ค. 2555
อนึ่ง พายุโซนร้อน “ด็อกซูหริ” (Doksuri) บริเวณหัวเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ กำลังเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน และคาดว่าพายุนี้จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณประเทศจีนตอนใต้ใกล้กับเกาะฮ่องกง ในวันที่ 30 มิถุนายน 2555 พายุนี้ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.
ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กำแพงเพชร พิจิตร
พิษณุโลก และเพชรบูรณ์
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์
ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร
อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง และพังงา
อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที
อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
วัดศรีชุม วัดพม่าในภาคเหนือที่ใหญ่ที่สุดในไทย
สถานที่อันเป็นที่สุดในไทยที่วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาไปทำความรู้จักวัดพม่าที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามแห่งหนึ่งของภาคเหนือ เป็นสถานที่รวมจิตใจของชาวลำปางมามากกว่า 100 ปี วัดศรีชุม จ.ลำปาง
วัดศรีชุม ตั้งอยู่ที่บ้านศรีชุม ต.สวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง ตามประวัติเล่าต่อกันมาว่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2436 โดยคหบดีชาวพม่าชื่อ อูโย ซึ่งเข้ามาทำงานป่าไม้ในประเทศไทยจนมีฐานะร่ำรวย จึงทูลขออนุญาตเจ้านครลำปางในสมัยนั้นสร้าง วัดศรีชุมขึ้นเพื่อเป็นการทำบุญครั้งใหญ่
นอกจากสถาปัตยกรรมที่สวยงามโดดเด่นแล้ว วัดศรีชุม ยังถือเป็นวัดพม่าที่มีความสมบูรณ์ขนานแท้ เพราะ พระวิหาร พระอุโบสถ พระธาตุเจดีย์ กุฏิและซุ้มประตู ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมแบบพม่าทั้งสิ้น และด้วยพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ทำให้ วัดศรีชุม ถือเป็น วัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เหนือวัดพม่าทั้งหมด 31 วัดในไทย โดยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและสะดุดตาที่สุดคงต้องยกให้ พระวิหาร ที่ตั้งอยู่พื้นที่ตรงกลางของวัด
พระวิหาร วัดศรีชุม มีลักษณะเป็นอาคารตึกครึ่งไม้แบบพม่า สร้างด้วยศิลปะการตกแต่งภายในผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนาและศิลปะพม่า มีหลังคาซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งยอดแหลมแกะสลักเป็นลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ภายในวิหารสวยงามไปด้วยจิตกรรมฝาผนัง เกี่ยวกับเรื่องพุทธประวัติและภาพจำลองแผนผังวัด แต่น่าเสียดายที่เมื่อปี พ.ศ.2535 เกิดเหตุเพลิงไหม้พระวิหารเกือบทั้งหลัง ทำให้ต้องมีการบูรณะขึ้นใหม่ ถึงแม้จะใช้รูปแบบเดิมในการสร้าง แต่ก็งดงามเทียบเท่าของเก่าไม่ได้ นอกจากพระวิหารแล้วที่วัดศรีชุมยังมีสถาปัตยกรรมงดงามมากมาย เป็นสิ่งดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวที่รักในการชมสถาปัตยกรรมโบราณเดินทางมาเยือน
วัดศรีชุม ตั้งอยู่ที่ ต.สวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง เดินทางจากถนนพหลโยธิน เมื่อถึงโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีชุม-แม่วะ ตรงไปประมาณ 100 เมตร ก็จะเห็นทางเข้าวัดอยู่ด้านขวามือ
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555
สยามคูโบต้า เตรียมวางแผนบุกตลาดรถขุดเล็ก ตั้งเป้า พัน คัน
บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด วางแผนบุกตลาดรถขุดขนาดเล็กขนาด 3 ตัน 5 ตัน และ 8 ตัน สำหรับงานก่อสร้างขนาดเล็ก ในโรงงานอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม โดยวางแผนให้ไทยเป็นศูนย์กลางเพื่อบุกตลาดอาเซียน ตั้งเป้าขายในไทยปีนี้ 1,000 คัน
นายจามรวุฒิ ตำนานจิตร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “สยามคูโบต้ามองเห็นโอกาสเติบโตของตลาดรถขุดขนาดเล็กในประเทศไทยที่ใช้สำหรับการก่อสร้างที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เช่น งานก่อสร้างบ้าน ขุดท่อวางระบบประปาหรือน้ำทิ้ง หรือใช้ในพื้นที่ก่อสร้างที่มีขนาดจำกัดที่รถขุดขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าทำงานได้ เป็นต้น และเนื่องจากเครื่องจักรกลส่วนใหญ่ในตลาดกลุ่มนี้ยังคงใช้รถขุดมือสองที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้ว ทำให้เครื่องจักรทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพจึงมีค่าบำรุงรักษาค่อนข้างสูง ต้องหยุดบำรุงรักษาบ่อย อีกทั้ง อะไหล่แท้หาซื้อยากและมีราคาสูง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ความต้องการรถขุดหรือเครื่องจักรใหม่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับความต้องการในการซ่อมแซมต่อเติมบ้าน โครงการในการป้องกันน้ำท่วม และโครงการก่อสร้างอื่น ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนที่มีเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ ทางสยามคูโบต้าเองจึงเชื่อว่าตลาดในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก”
รถขุดขนาดเล็กของคูโบต้ามียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของโลกในตลาดรถขุดขนาดเล็กโดยสยามคูโบต้าได้นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น จึงเชื่อมั่นได้ว่ารถขุดภายใต้แบรนด์คูโบต้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีสูง มีบริการหลังการขายที่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีบริการสินเชื่อจาก “สยามคูโบต้า ลีสซิ่ง” เป็นทางเลือกในการซื้อสินค้า และช่วยในการเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้รถขุดขนาดเล็กของคูโบต้ามีขีดความสามารถในการแข่งขันและน่าจะเป็นที่หนึ่งในการครองส่วนแบ่งตลาดรถขุดขนาดเล็กในประเทศไทยได้ไม่ยาก เพราะหลังจากที่ได้เข้ามาศึกษาและทดลองทำตลาดรถขุดขนาดเล็กในประเทศไทยกว่า 3 ปี ได้รับผลตอบรับเกินคาด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ในปีนี้ทางบริษัทฯ จึงเดินหน้าทำการตลาดอย่างเต็มที่ และมีแผนเพิ่มจำนวนดีลเลอร์จาก 50 เป็น 60 ราย เพื่อตอบสนองความต้องการในส่วนภูมิภาค โดยเป้าหมายการขายในปี 2555 ได้วางเป้าไว้ที่ 1,000 คัน และจะมีการเปิดตัวรถขุดรุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กที่สุดในตลาดรถขุดใหม่ของประเทศไทยในไตรมาส 3 ซึ่งจะนำมาจัดแสดงภายในงาน CONSTECH 2012 ในวันที่ 19 – 21 กันยายน 2555 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
โดยบริษัทฯ ได้เข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักของงาน CONSTECH 2012 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเครื่องจักรกลด้านการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้รับเหมา และนักลงทุนในวงกว้างมากขึ้น และมั่นใจว่าราคารถขุดขนาดเล็กของคูโบต้าจะเป็นอีกปัจจัยในการดึงดูดกลุ่มนักลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างได้อย่างแน่นอน
รถขุดขนาดเล็กของคูโบต้ามียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของโลก เนื่องจากมีความแข็งแกร่งทนทาน และคล่องตัว ในปัจจุบันมีขายอยู่ 5 รุ่นด้วยกัน ได้แก่
ข้อดีของรถขุดขนาดเล็ก คือ มีขนาดเล็กกระทัดรัด คล่องตัว และน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับงานก่อสร้างที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เช่น งานก่อสร้างบ้าน ขุดท่อ หรือใช้ในพื้นที่ก่อสร้างขนาดเล็กที่รถขุดขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าทำงานได้ เป็นต้น รวมถึงภายในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่จำกัดและต้องการความคล่องตัว และในภาคเกษตรกรรมที่ต้องการรถขุดขนาดเบา ไม่ทำให้ดินแน่น
แอลจี ประกาศเป็นผู้นำตลาดเครื่องซักผ้าต่อเนื่องปีที่ 11
บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จในการครองความเป็นผู้นำตลาดเครื่องซักผ้าต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ควบคู่ไปกับดีไซน์ที่โดดเด่น และความทนทานของผลิตภัณฑ์ที่วางใจได้ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างตรงจุด เตรียมส่งเครื่องซักผ้าที่มีถังซักขนาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดถึง 20 กิโลกรัม ทั้งรุ่นฝาบนและฝาหน้า รุกตลาดพรีเมียม พร้อมนำเทรนด์ระดับโลก “เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ” (Smart Appliances) สู่ผู้บริโภคชาวไทย วางเป้าหมายเติบโตด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 35% พร้อมมั่นใจครองแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ภายในปี 2555 นี้
คุณธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้แอลจีสามารถครองผู้นำตลาดได้อย่างต่อเนื่องถึง 11 ปีซ้อนว่า “แอลจีมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมสำรวจความคิดเห็นและความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ เราจึงสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด รวมถึงการให้ความสำคัญในการออกแบบที่สวยงาม คำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้งานเป็นหลัก ที่สำคัญ คือ ความสม่ำเสมอในการรักษาและปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เครื่องซักผ้าของแอลจีจึงมีความทนทานสูง โดยแอลจีเป็นแบรนด์แรกในตลาดที่กล้ารับประกันมอเตอร์นานถึง 10 ปี ด้วยเหตุนี้ แอลจีจึงได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมายาวนาน โดยได้รับการการันตีจากรางวัลแบรนด์เครื่องซักผ้าที่เชื่อมั่นได้ 5 ปีซ้อนจากนิตยสารรีดเดอร์ส ไดเจสท์ และเป็นแบรนด์เครื่องซักผ้าที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง ติดต่อกัน 11 ปีซ้อน จากจีเอฟเค”
จากการทำวิจัยเพื่อสำรวจความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้แอลจีสามารถพัฒนานวัตกรรมสำหรับเครื่องซักผ้าที่ก้าวล้ำและตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี อินเวอร์เตอร์ ไดเร็ค ไดร์ฟ ซึ่งมอเตอร์ต่อตรงเข้ากับตัวถังซัก ช่วยประหยัดค่าไฟสูงถึง 45% พร้อมลดการสั่นสะเทือนที่รุนแรงและยืดอายุการใช้งานของมอเตอร์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น เทคโนโลยีไอน้ำร้อนที่สามารถขจัดสารก่อภูมิแพ้ได้ถึง 99.99% และล่าสุดกับเทคโนโลยี ซิกส์ โมชั่น อินเวอร์เตอร์ ไดเร็ค ไดร์ฟ ซึ่งระบบถังซักสามารถเคลื่อนที่ได้ถึง 6 ทิศทาง จึงสามารถซักผ้าได้ทุกประเภทอย่างนุ่มนวลเสมือนการซักด้วยมือ และที่โดดเด่นอีกด้านคือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เน้นทั้งความสวยงาม เช่น การตกแต่งด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ จึงทำให้แอลจีสามารถเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านได้อย่างสวยงามลงตัว และอำนวยความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น การเลือกใช้ฝาปิดแบบใสเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นการทำงานของเครื่องได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ แอลจียังให้ความสำคัญกับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายที่รวดเร็ว ด้วยศูนย์บริการที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 160 แห่ง ทั่วประเทศ และแอลจี พริวิลเลจ เซอร์วิสที่ให้บริการโทรปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมให้บริการเครื่องสำรองทดแทนกรณีซ่อมแซมเกินสามวัน
คุณนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ของผู้บริโภคสำหรับปี 2555 นี้ว่า “ผู้บริโภค ชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานและการรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องซักผ้า แอลจีจึงเพิ่มรุ่นฝาหน้าของซิกส์ โมชั่น อินเวอร์เตอร์ ไดเร็ค ไดร์ฟ จาก 6 รุ่นเป็น 10 รุ่น และเพิ่มรุ่นฝาบน จาก 3 รุ่นเป็น 6 รุ่น เพื่อให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มได้สัมผัสกับนวัตกรรมนี้กันมากขึ้น และยังตอบรับความต้องการของผู้บริโภคด้วยซิกส์ โมชั่น อินเวอร์เตอร์ ไดเร็ค ไดร์ฟ ที่มีขนาดถังซักที่ใหญ่ที่สุดในตลาดถึง 20 กิโลกรัม ทั้งรุ่นฝาบนและฝาหน้า นอกจากนี้ แอลจียังได้ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำตลาดเครื่องซักผ้า โดยการนำเทรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Appliances) ระดับโลกมาสู่ผู้บริโภคชาวไทย ด้วยฟีเจอร์ล่าสุด สมาร์ท ไดแอกนอสซิส (Smart Diagnosis) ซึ่งช่วยวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาของเครื่องซักผ้า โดยผู้ใช้งานสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน หรือโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เตรียมนำอะไหล่ที่ถูกต้องมาซ่อมแซมได้ทันที จึงช่วยประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายและเวลาของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี”
ปัจจุบัน เครื่องซักผ้าของแอลจีมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 31% สำหรับเป้าหมายของปี 2555 คือการเพิ่มสัดส่วนเป็น 35% หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 5 พันล้านบาท แอลจีจึงได้เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ทั้งโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่นพิเศษหน้าร้าน รวมถึงการจัดโรดโชว์ทั่วประเทศไทย และเพื่อให้แอลจีก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ แอลจียังจับมือร่วมกับผงซักฟอกบรีสและน้ำยาปรับผ้านุ่มคอมฟอร์ท ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย อาทิ มอบผลิตภัณฑ์ การจัดบูธหน้าร้าน และสื่อสารผ่านทางสื่อออนไลน์ เพื่อตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญและความเป็นผู้นำในธุรกิจร่วมกัน
ลาซาด้า เปิดตัวเว็บไซต์ด้านอีคอมเมิร์ซ 5 ประเทศเเอเชียแปซิฟิก
ลาซาด้า ( Lazada ) หนึ่งในผู้ประสบความสำเร็จด้านอีคอมเมิร์ซตามหลังบรรดาเว็บไซต์ที่มีชื่อของ Rocket Internet GmbH อย่างเช่น Groupon, Zalando, Iconic หรือแม้แต่ Glossybox เปิดตัวเว็บไซต์ด้านอีคอมเมิร์ซใน 5 ประเทศแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ ลาซาด้า ” เดียวกัน พร้อมตั้งเป้าเป็นเจ้าตลาดในทุกประเทศ
นาย โจฮานเนส ฟรีดดริค ฟอน รัวร์ ซีอีโอ บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด รับผิดชอบการทำตลาดอีคอมเมิร์ซของ เว็บไซต์ Lazada.co.th ในประเทศไทย เปิดเผยว่า เว็บไซต์ของ ลาซาด้า มีคอนเซ็บต์เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ โดยมีการคัดเลือกสินค้าที่ดี มีคุณภาพ คุ้มค่าราคาจากทั่วโลกมาจัดจำหน่ายในราคาพิเศษ วันนี้ ลาซาด้า ได้เข้ามาเพื่อพลิกโฉมหน้าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ด้านอีคอมเมิร์ซที่มีมากว่า 10 ปีและจากการทำเว็บไซต์ที่มีศักยภาพสูงของกลุ่ม Rocket Internet ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วกว่า 200 บริษัททั่วโลก
“ จุดเด่นของ ลาซาด้า คือ การนำสินค้าหลากหลายหมวดหมู่มาให้ลูกค้าได้เลือกซื้อแบบไม่รู้จบในที่เดียว เสมือนยกห้างสรรพสินค้ามาไว้หน้าจอให้ลูกค้าได้เลือก บวกกับความพยายามอย่างหนักในการทำความเข้าใจและปรับปรุงระบบเพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของคนไทย เช่น ลด แลก แจก แถม ชิงโชค คัดแต่ของดี ราคาถูก หรือแม้แต่การเพิ่มความปลอดภัยในการชำระเงิน และทางเลือกเสริมด้วยบริการเก็บเงินปลายทาง การชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่เซเว่น อีเลฟเว่น การรับประกันคืนเงินในกรณีสินค้ามีปัญหา รวมไปถึงการบริการจัดส่งฟรีถึงบ้าน เป็นต้น สิ่งต่างๆเหล่านี้จะถูกแฝงด้วยระบบบริหารจัดการที่เป็นเลิศจากทีมงานเบื้องหลัง ทำให้ต่อไปนี้การซื้อสินค้าออนไลน์ของคนไทยเป็นเรื่องสนุกและง่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ” ผู้บริหารกล่าว
โดยในช่วงแรกของการเปิดตัวเว็บไซต์ ลาซาด้า เข้าสู่ประเทศไทยในครั้งนี้ ยังมีโปรโมชั่นพิเศษลดราคาสินค้า 20% และกิจกรรมโปรโมทเว็บไซต์โดยกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ โดยการทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลในการทำการตลาดออนไลน์ด้วยเทคนิคใหม่ๆ ด้วยความมุ่งหวังว่าจะทำให้เว็บไซต์ ลาซาด้า เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะแหล่งช้อปปิ้งที่คนไทยจะนึกถึงเป็นอันดับแรกของการช้อปปิ้งออนไลน์
ทั้งนี้ ลาซาด้า ยังได้เปิดตัวเว็บไซต์อีก 4 ประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก นอกจากประเทศไทย พร้อมกัน ภายใต้ คอนเซ็บต์ เดียวกัน ซึ่งจะทำให้ในอนาคต เว็บไซต์ ลาซาด้า จะเป็นเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่ สามารถเชื่อมโยงการซื้อขายออนไลน์ครอบคลุมทั้งเอเชียแปซิฟิก ประกอบกับกระแสของ เออีซี ที่จะเปิดการค้าขายเสรีระหว่างกัน รวมถึงอัตราภาษีที่เป็นศูนย์ ยิ่งส่งผลดีต่อการซื้อขายสินค้ากันในกลุ่มเอเซียแปซิฟิกมากยิ่งขึ้น รวมถึงการซื้อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ต้องเติบโตตามขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับ ลาซาด้า ในประเทศไทย ได้เปิดเว็บไซต์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำแห่ง อีคอมเมิร์ซ ของประเทศไทย
ตีสิบ โชว์คลิปอำแรงคู่รักก่อนแต่งงาน ทำชาวเน็ตวิจารณ์ไปทั่ว
ตกเป็นกระแสทอล์คออฟเดอะทาวน์ ชั่วข้ามคืน เมื่อรายการตีสิบ คืนวันอังคารที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้นำเสนอคลิปวิดีโอตัวหนึ่งที่ไปเจอมาในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่กำลังจะแต่งงานได้สร้างสถานการณ์เพื่อพิสูจน์ความรักของอีกฝ่าย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็สะเทือนความรู้สึกของฝ่ายชายที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ทางครอบครัวของคุณภาคภูมิ วงศ์ภูมิ หรือ โอ๋ ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง ทั้ง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, แฝด, สี่แพร่ง, ห้าแพร่ง ได้สร้างสถานการณ์ขึ้น เพื่อหลอกคุณภูมิพงศ์ วงศ์ภูมิ หรือ อ๊อบ น้องชายของคุณภาคภูมิซึ่งเป็นเจ้าบ่าว ด้วยหวังจะพิสูจน์ความรักของเขาที่มีต่อว่าที่เจ้าสาว ซึ่งจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วัน
งานนี้ คุณโอ๋ได้เตรียมงานกับเพื่อน ๆ และคุณนลินพรรณ ศรีคำเลิศ หรือ "นิค" เจ้าสาวของคุณอ๊อบนานนับเดือน รวมทั้งพ่อแม่ของคุณอ๊อบก็ขอร่วมสนุกด้วย นอกจากนี้ คุณโอ๋ยังเช่าโรงพยาบาลไว้เป็นสถานที่ถ่ายทำ พร้อมกับไปซื้อกล้องปากกามาซ่อนไว้ตามมุมต่าง ๆ ทั้งในรถ ตรงบันไดเลื่อนที่โรงพยาบาล และห้องต่าง ๆ เพื่อจะเก็บภาพให้ได้ครบทุกมุม
แผนการณ์ครั้งนี้ก็คือ คุณโอ๋จะแกล้งชวนคุณอ๊อบ ขับรถไปดูสถานที่ถ่ายทำพรีเวดดิ้งกับเขา แต่ระหว่างทางจะให้นางพยาบาลโทรมาบอกว่า "นิค" ว่าที่เจ้าสาว ประสบอุบัติเหตุรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อดูว่า คุณอ๊อบจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ซึ่งเมื่อคุณอ๊อบทราบข่าวก็ตกใจจริง ๆ แถมคุณแม่และเพื่อน ๆ ที่สวมรอยเป็นตำรวจก็ร่วมวงแกล้งอำคุณอ๊อบด้วย ทำให้คุณอ๊อบเชื่อสนิทใจ และปล่อยโฮกลางโรงพยาบาล
แต่เมื่อคุณอ๊อบเปิดประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เพื่อที่จะเข้าไปเยี่ยมคุณนิค ทันทีที่เปิดม่าน เขากลับได้พบหน้าคุณนิคและเพื่อน ๆ เต้นเพลง Nobody ของสาว ๆ วง Wonder Girl เพื่อเซอร์ไพรส์คุณอ๊อบ ก่อนที่จะได้รู้ว่า นี่คือการอำกันนั่นเอง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง และฝ่ายเจ้าสาวก็ได้รู้ว่า ว่าที่เจ้าบ่าวรักเธอจริง ๆ
ทั้งนี้ คุณอ๊อบ คุณนิค พร้อมด้วย คุณโอ๋ พี่ชายผู้วางแผนการณ์ทั้งหมด ก็ได้มาพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการตีสิบด้วย โดย คุณอ๊อบ บอกว่า ตอนที่รู้ความจริงว่า เจ้าสาวไม่ได้ประสบอุบัติเหตุ เขารู้สึกชาไปหมด แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งราวกับตื่นจากฝันร้ายที่คุณนิคไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่เขาคิด และไม่ได้รู้สึกโกรธเลย เพราะความรู้สึกดีใจมันมากลบไปหมด
อย่างไรก็ตาม หลังจากรายการจบลง ก็ได้มีชาวโลกไซเบอร์ตั้งกระทู้พูดคุยถึงประเด็นนี้กันอย่างมากมาย พร้อมกับตั้งคำถามว่า การพิสูจน์รักด้วยการแกล้งอำกันเช่นนี้รุนแรงเกินไปหรือไม่ และหากเป็นตัวเองจะรับได้หรือเปล่า ซึ่งก็มีคนเข้ามาตอบ พร้อมกับแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่บอกว่า หากเป็นตัวเองก็คงโกรธมากที่มาล้อเล่นกับความรู้สึกแบบนี้
ขณะที่ชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งก็มองว่า รายการตีสิบไม่ควรนำเรื่องราวของคนอื่นที่ถูกแกล้งเหมือนกับเป็นตัวตลกมาออกอากาศต่อสาธารณะ เพื่อสร้างกระแสให้รายการ เพราะคนที่โดนกับตัวเองก็คงขำไม่ออกเช่นกัน หรือเป็นเพราะรายการไม่มีอะไรจะนำเสนอแล้ว กระปุก ดอท คอม
www.khaosod.co.th
อสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ป รุกหน้าทำตลาดด้วยตัวเอง มีพันธมิตรในไทยสองราย
“แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ป”ผู้พัฒนาโปรแกรมตระกูล"Aspen Graphics" ซึ่งเป็นโปรแกรมวิเคราะห์หุ้นชั้นนำของโลก แถลงความร่วมมือกับพันธมิตรในการเสริมศักยภาพAspen Graphicsเผยตัดสินใจเดินหน้ารุกตลาดด้วยตัวเองโดยมีพันธมิตรในไทยสองราย ได้แก่“อินโฟเควสท์ซึ่งให้การสนับสนุนด้านข้อมูล และไทยเควสท์ซึ่งให้การสนับสนุนด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ ตั้งเป้าครองมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับหนึ่งในทุกตลาดของไทยกลางปี 56 ก่อนขยายตลาดเข้าสู่เอเชียแปซิฟิก
นายจอห์น เพรโทเรียส ประธานแอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ป เปิดเผยถึงการตัดสินใจเข้ามาทำการตลาดตรงในเมืองไทย เพราะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มดี มีศักยภาพสูงและมีความโดดเด่นเฉพาะตัวเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค
โปรแกรมที่แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปทำตลาดเองในไทยเวอร์ชั่นนี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถต่างๆ โดย บริษัท ไทยเควสท์ จำกัด ซึ่งมีทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง และได้รับการสนับสนุนด้านข่าวสาร ตลอดจนข้อมูลการเงินการลงทุนทั้งในและต่างประเทศจาก บริษัท อินโฟเควสท์ จำกัด โดยพันธมิตรทั้งสองนี้มีประสบการณ์ที่ยาวนานและเข้าใจความต้องการของนักลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างดี
“มืออาชีพในวงการธนาคาร หลักทรัพย์ บริษัทจัดการลงทุน ในประเทศไทยเป็นหมื่นๆ คนได้ใช้งานโปรแกรมของแอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปมากว่า 20 ปีแล้วโดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโปรแกรมดังกล่าวถูกทำตลาดในประเทศไทยผ่านตัวแทนของแอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปในชื่อ Apex แต่ในครั้งนี้ เมื่อเราได้เป็นพันธมิตรกับไทยเควสท์และอินโฟเควสท์ ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้าใจตลาดประเทศไทยและทำงานเข้ากันกับเราได้ดีมาก ช่วยให้เราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น เราจึงมั่นใจที่จะเข้ามาทำการตลาดโดยตรง” นายจอห์น เพรโทเรียส กล่าว
Aspen Graphicsได้รับการแนะนำเข้าสู่ตลาดประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ภายใต้ชื่อบริการเอเพ็กซ์ (Apex) โดยมีบริษัท บิสนิวส์ (มหาชน) จำกัด ของนายชาลทอง ปัทมพงศ์เป็นตัวแทน ต่อมา ใน พ.ศ. 2540 บริษัท บิสนิวส์ (มหาชน) จำกัด ได้โอนขายกิจการนี้ให้กับรอยเตอร์ ซึ่งได้มีการโอนต่อไปยังบริษัท บิสนิวส์ เอเอฟอี (ประเทศไทย) จำกัด อีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 2547
Aspen Graphicsเป็นโปรแกรมวิเคราะห์หุ้นที่มีจำนวนผู้ใช้งานระดับมืออาชีพมากที่สุดในประเทศตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อเร็วๆ นี้ แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปได้นำเสนอโปรแกรมใหม่อีกตัวหนึ่งที่สามารถใช้งานผ่านบราวเซอร์ มีกลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมายเป็นนักลงทุนรายบุคคล ซึ่งโปรแกรมตัวใหม่นี้จะทำให้แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปสามารถขยายเข้าสู่ตลาดผู้ใช้งานทั่วไปได้ แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปได้เริ่มทำการตลาดโดยตรงด้วยตนเองตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และหลังจากสัญญาตัวแทนกับบิสนิวส์เอเอฟอีสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556 แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปจะเป็นผู้ทำการตลาดภายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ด้วยความมุ่งมั่นที่มีต่อประเทศไทย แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ป ได้จัดตั้งสำนักงานประจำประเทศไทย มีเจ้าหน้าที่การตลาด และ ฝ่ายบริการลูกค้า เพื่อทำงานร่วมกันกับพันธมิตรในการลงพื้นที่เพื่อพบปะกลุ่มลูกค้าโดยตรง ตลอดจนแนะนำการใช้งานพร้อมรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับปรุงคุณภาพและพัฒนาโปรแกรมฯให้ตรงใจผู้ใช้บริการได้ดียิ่งขึ้น
“เราจะไม่เพิกเฉยกับความต้องการและข้อเสนอแนะของลูกค้า และจะปรับปรุงพัฒนาโปรแกรมตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้แอสเพนเป็นโปรแกรมข้อมูลหุ้นเรียลไทม์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย ภายใต้โครงสร้างอัตราค่าบริการที่สมเหตุสมผลที่สุด” นายจอห์น เพรโทเรียส กล่าว
สำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้น แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปได้นำเสนอโปรแกรมแอสเพน ซึ่งมี 2 แพลตฟอร์ม คือ Aspen for Windows เพื่อรองรับการใช้งานของกลุ่มโบรกเกอร์และนักลงทุนมืออาชีพ และ Aspen for Browser เพื่อรองรับการใช้งานของกลุ่มนักลงทุนรายย่อย โดยในปัจจุบัน มีโบรกเกอร์ที่ใช้โปรแกรมแอสเพนแล้วกว่า 10 ราย เช่น บมจ.หลักทรัพย์กรุงศรี บจ.หลักทรัพย์เกียรตินาคิน บมจ.หลักทรัพย์คันทรี่กรุ๊ป บมจ.หลักทรัพย์ซีไอเอ็มบีอินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) บจ.หลักทรัพย์ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บจ.หลักทรัพย์ทรีนิตี้ บจ.หลักทรัพย์ทิสโก้ บมจ.หลักทรัพย์ธนชาต บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง บมจ.หลักทรัพย์เมย์แบงก์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) บมจ. หลักทรัพย์ โอเอสเค (ประเทศไทย) เป็นต้น
แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปตั้งเป้าว่าภายในกลางปี 2556 Aspen Graphicsจะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดและมีจำนวนผู้ใช้งานผ่านการให้ไลเซนส์โดยตรงจากบริษัทฯ มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในทุกกลุ่มผู้ใช้งานในประเทศไทย และได้วางแผนให้สำนักงานในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางประจำภูมิภาค เพื่อทำการขยายตลาดไปสู่เอเชียแปซิฟิกต่อไป
ความสัมพันธ์ระหว่างแอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปกับกลุ่มบริษัทไทยเควสท์และอินโฟเควสท์
ความร่วมมือในครั้งนี้เกิดขึ้นจากสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างนายจอห์น เพรโทเรียส เจ้าของแอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ป กับ นายชาลทอง ปัทมพงศ์ ประธานกลุ่มบริษัทไทยเควสท์และอินโฟเควสท์ ที่รู้จักสนิทสนมกันมานานกว่า 25 ปี และนายชาลทองได้มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนนายจอห์นและบริษัทฯ โดยนายชาลทองเป็นลูกค้ารายแรกจากทั่วโลกของแอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ป
บริษัท แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ป จำกัด มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทชั้นนำที่มีความชำนาญในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถในการสร้างกราฟเพื่อการวิเคราะห์ทางเทคนิคและรองรับข้อมูลข่าวสารแบบเรียลไทม์สำหรับนักลงทุนมืออาชีพซอฟต์แวร์ชั้นนำระดับโลกที่มีชื่อว่า Aspen Graphics ซึ่งพัฒนาโดยแอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปนั้น เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างมากในกลุ่มนักลงทุนมืออาชีพและสถาบันการเงินทั่วโลก โดยมีการนำไปใช้ร่วมกันกับข้อมูลและข่าวสารของผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารชั้นนำ เช่น ธอมสัน รอยเตอร์ และ บลูมเบิร์ก เป็นต้น
แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปเป็นผู้พัฒนาและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ใช้กับบริการ Apex ของบริษัท บิสนิวส์ เอเอฟอี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งใช้กันอยู่ในกลุ่มโบรกเกอร์หลักทรัพย์และสถาบันการเงินในประเทศไทย แต่ขณะนี้ แอสเพนรีเสิร์ชกรุ๊ปได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่มีต่อประเทศไทยด้วยการร่วมมือกับบริษัท อินโฟเควสท์ จำกัด ในการเสนอบริการข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจ หุ้น การเงิน และการลงทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับโบรกเกอร์หลักทรัพย์และสถาบันการเงินในประเทศไทยได้มีเครื่องมือประกอบการตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าโปรแกรมของผู้ให้บริการรายอื่น ในราคาย่อมเยากว่า ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนการดำเนินงานให้แก่โบรกเกอร์และสถาบันการเงินอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัท ไทยเควสท์ จำกัด ดำเนินธุรกิจทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี เพื่อบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยความรวดเร็ว ได้คิดค้น ออกแบบ และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ThaiQuest Enterprise Search ซึ่งเป็นเสิร์ชเอ็นจิ้นที่มีจุดเด่นด้านการค้นหาข้อมูลภาษาไทย/อังกฤษ สามารถรองรับการจัดเก็บข้อมูลได้แบบไม่จำกัด และสืบค้นข้อมูลได้ภายในเสี้ยววินาที ไทยเควสท์มีทีมงานวิจัยและพัฒนาเป็นของตนเอง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบระบบงานที่ซับซ้อน และการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ทำให้ผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งจากในประเทศ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยได้รับรางวัลจากเวทีประกวดซอฟต์แวร์ต่างๆ อาทิเช่น รางวัลเจ้าฟ้าไอที, TICTA, APICTAและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั้งภาคเอกชนและราชการมากว่า 10 ปี
บริษัท อินโฟเควสท์ จำกัด เป็นสำนักข่าวและผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารชั้นนำในประเทศไทย เริ่มดำเนินการให้บริการข้อมูลข่าวสารออนไลน์เมื่อปี พ.ศ. 2543 ในปัจจุบัน อินโฟเควสท์มีพนักงานกว่า 200 คน โดยมีผู้บริหารและพนักงานที่มีประสบการณ์ในธุรกิจข้อมูลข่าวสารออนไลน์มายาวนานกว่า 28 ปี มีทีมบรรณาธิการข่าวและทีมพัฒนาข้อมูลเป็นของตนเอง ผลิตข่าวแบบเรียลไทม์ออนไลน์ ครอบคลุมหมวดข่าวเศรษฐกิจ หุ้นและการเงิน ตลอดจนข่าวการเมืองและข่าวทั่วไปที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นและการเงิน และข้อมูลอื่นๆ
นอกเหนือไปจากการผลิตข่าวด้วยตนเองแล้ว อินโฟเควสท์ยังเป็นผู้รวบรวมข้อมูลข่าวสารจากแหล่งต่างๆ กว่า 300 แหล่ง จัดข่าวสารข้อมูลเหล่านั้นเป็นแพ็คเกจเพื่อนำเสนอเป็นบริการที่หลากหลาย ได้แก่ บริการศูนย์รวมข่าวสารชื่อ นิวส์เซ็นเตอร์ (NEWSCenter) บริการคลิปปิ้งข่าวออนไลน์ ชื่อ ไอคิวนิวส์คลิป (iQNewsClip) บริการผ่านทางมือถือ ได้แก่ บริการ iQStock (WAP) และบริการ iQStockAlert (SMS) และบริการข้อมูลข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์ ได้แก่ www.ryt9.com และ โดยอินโฟเควสท์ยังมีบริการ iQMediaLink ซึ่งเป็นบริการเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ทั่วโลกอีกด้วย
ปัจจุบันผู้ใช้งานมืออาชีพและนักลงทุนในประเทศไทยนับหมื่นคนได้ใช้บริการข้อมูลทางการเงินและการลงทุนจากอินโฟเควสท์ โดยในขณะนี้บริการข้อมูลของอินโฟเควสท์ได้ปรากฎอยู่บนหน้าจอบริการข้อมูลกว่า 7,500 จอทั่วประเทศ
บทความที่ได้รับความนิยม
-
นายเปรมชัย ใจกว้าง ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจอิเล็กทรอนิคส์ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า กสท ได้พัฒนาการบริการรูปแบบใหม่ &quo...
-
ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี อนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน วุฒิสภา เปิดเผยในการเสวนาประชาชนสัญจรครั้งที่ 11 "ขุมทรัพย์น้ำมันไท...