วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สัมมนาวิชาการ การเปิดเสรีอาเซียน โดยมหาวิทยาลัยรังสิต


ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ เรื่อง "การเปิดเสรีอาเซียน : การเตรียมกำลังคนด้านสุขภาพของประเทศไทย" ซึ่งจัดโดย กลุ่มวิทยาลัยแพทยศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยรังสิตว่า หลายประเทศกำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ( AEC ) จึงมีการเร่งพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว เพื่อหาช่องทางตักตวงผลประโยชน์จากประชาคมอาเซียน ทั้งนี้เห็นว่าระบบสาธารณสุขและธุรกิจด้านสุขภาพของประเทศไทย มีความพร้อมสำหรับเวทีอาเซียนและเวทีโลก เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งในหลายด้าน ทั้งด้านการผลิตอาหาร ด้านการท่องเที่ยว ด้านความคิดสร้างสรรค์ และด้านสาธารณสุข การที่ไทยจะรักษาจุดแข็งเหล่านี้ จำเป็นต้องสร้างบุคลากรให้มีความพร้อมและมีความสามารถมากขึ้น

อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า หากเปิดประชาคมอาเซียนจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานแบบเสรีในหลายวิชาชีพ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนั้นประเทศสมาชิกอาเซียนจึงเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อวางแผน ใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีให้มากที่สุด แต่ในประเทศไทยกลับพบว่าที่ผ่านมามีปัญหา การวางนโยบายสาธารณสุขและการศึกษาที่สับสน เพราะนโยบายส่วนใหญ่ขัดแย้งกับแนวทางที่ปฏิบัติจริง เห็นได้จากที่ภาครัฐและภาคประชาชนมองว่า ระบบสาธารณะสุข คือ สิทธิของประชาชนในการเข้ารับการรักษาและไม่ใช่กิจการค้ากำไร แต่ในขณะเดียวกันผู้บริหารประเทศกลับตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจสุขภาพหรือเมดิคัลฮับ

ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า เห็นได้จากการที่สถานศึกษาด้านการแพทย์ของรัฐ มุ่งเน้นที่จะพัฒนาแพทย์เพื่อรองรับธุรกิจดังกล่าว แต่ขณะนี้โรงพยาบาลรัฐและเอกชน กลับประสบปัญหาขาดแคลนแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบปัญหาจากการที่ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ประกาศปรับลดอัตราบรรจุพยาบาลจบใหม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้ทำลายขวัญและกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์อย่างรุนแรง พยาบาลเป็นจำนวนมากลาออก ไปทำงานกับสถานพยาบาลเอกชน

"ผมคิดว่าปัญหาเกิดจากนโยบายที่สับสน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ผู้บริหารประเทศและกระทรวงสาธารณสุขและภาคการศึกษา ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อให้ทุกฝ่ายทำงานสอดคล้องกัน ซึ่งผมเชื่อว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพเพียงพอ ต่อการเป็นเมดิคัลฮับอย่างแน่นอน" ดร.อาทิตย์ กล่าว



breakingnews.nationchannel.com

กรณีนายสุชาติ จงศิริการค้า อายุ 53 ปี เจ้าของร้านทองเจริญไทย เลขที่ 14-14

กรณีนายสุชาติ จงศิริการค้า อายุ 53 ปี เจ้าของร้านทองเจริญไทย เลขที่ 14-14/1 ถนนมุขศาลา ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ แจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.ชวนันท์ ม่วงมิตร พนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.ตาก เพื่อดำเนินคดีกับนายเกียรติวงษ์ ศรายุทธ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34 หมู่ที่ 2 ต.ท่าเสา อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ผู้จัดการธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาตาก ปลอมแปลงเอกสาร ยักยอกทรัพย์ ลักทรัพย์ในบัญชีเงินฝาก 52 ล้านบาทนั้น

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นายสุชาติในฐานะผู้เสียหายได้กล่าวว่า หลังมีข่าวออกทางหนังสือพิมพ์ไปแล้ว ทางธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ยังไม่มีการติดต่อกลับมาว่าจะคืนเงิน 28 ล้านบาท ตามที่รับปากหรือไม่ หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารสำนักงานใหญ่มาตรวจสอบแล้วแจ้งว่าจะคืนเงินเพียงจำนวนดังกล่าวให้ อ้างว่าจากการตรวจสอบสมุดบัญชีฝากถอน 2 เล่มของตนที่โดนยักยอกเงินไปนั้น มีเพียง 28 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่รับผิดชอบให้ไปฟ้องเรียกค่าเสียหายเอง แม้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้จัดการสาขาตาก แต่สำนักงานใหญ่จะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ ต้องแสดงความรับผิดชอบโดยคืนเงินทั้งหมด 52 ล้านบาท จะให้ลูกค้าไปหาหลักฐานได้อย่างไร เพราะการฝากเงินถอนเงินทุกรายการของลูกค้า ธนาคารสาขามีหลักฐานและต้องส่งรายงานให้สำนักงานใหญ่อยู่แล้ว

"สำนักงานใหญ่พยายามโต้แย้งโดยอ้างพยานหลักฐานบางอย่างไม่ตรงกัน ส่วนที่ผู้บริหารธนาคารกล่าวว่า สมุดบัญชีของผมบันทึกข้อมูลรายละเอียดฝากถอนที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเคาน์เตอร์ธนาคาร ถือเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นโดยจะไม่รับผิดชอบ สำนักงานใหญ่รู้ว่าความจริงคืออะไร กลับไม่มองว่ากระบวนการตรวจสอบของธนาคารหละหลวม พนักงานธนาคารสาขาตากทั้งหมดรู้ว่าลายมือผู้เบิกเป็นการปลอมแปลงขึ้นของผู้จัดการ แต่กลับปล่อยให้เบิกเงินออกไป และมีใครเกี่ยวข้องบ้าง ทำไมไม่แจ้งสำนักงานใหญ่ และเจ้าของเงิน แสดงให้เห็นว่ามีการกระทำเป็นขบวนการภายในธนาคารสาขาตาก" นายสุชาติ กล่าว และว่า เสียใจที่ญาติของนายเกียรติวงษ์ออกมาปกป้อง โดยเบี่ยงเบนว่าญาติของตนถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ญาตินายเกียรติวงษ์น่าจะรู้ดีที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวตัวเอง ทำไมนายเกียรติวงษ์ไม่ซื่อสัตย์กับลูกค้า ทุจริตต่ออาชีพตัวเอง หากญาติรู้ว่านายเกียรติวงษ์อยู่ที่ใดก็ควรบอกให้ออกมารับผิดชอบ และบอกสังคมว่าเกิดอะไรขึ้น หากนำเงินไปก็ควรนำกลับมาคืน

"ก่อนหน้านี้ผมกับธนาคารสนิทกันดี เวลาต้องการยอดเงินก็มาขอร้องให้นำเงินไปฝาก ปัจจุบันผมนำเงินไปฝากกว่า 90 ล้านบาท แต่เมื่อเกิดเรื่องกลับไม่มีเจ้าหน้าที่มาพูดคุยหรือให้ความร่วมมือในการติดตามผู้จัดการสาขาตากมาดำเนินคดีและนำเงินคืนผม เมื่อไม่ให้ความร่วมมือ ผมจะปิดทุกบัญชีที่นำเงินฝากไว้กับธนาคารทหารไทย แล้วไปฝากที่ธนาคารแห่งอื่น ผมเสียความรู้สึกมาก เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ทำไมไม่แจ้งให้ทราบ แต่กลับไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายเกียรติวงษ์แล้วนำหมายมาแจ้งให้ผมไปเป็นพยาน"

นายสุชาติกล่าวต่อว่า ไม่มั่นใจว่าจะมีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร จึงต้องว่าจ้างทนายความยื่นฟ้องเอง อยากเรียกร้องให้สำนักงานใหญ่แสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ เพราะไม่จริงใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น และอยากฝากถึงธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ทุกวันนี้ ธนาคารกำลังทำเรื่องผิดระเบียบการปฏิบัติต่อลูกค้า เพราะลูกค้าต้องการถอนเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ธนาคารไม่มีเงิน โดยให้เซ็นชื่อในใบถอนเงินทิ้งไว้ พอก่อนปิดเวลาทำการ เจ้าหน้าที่ธนาคารจะก็โทรศัพท์มาแจ้งให้ไปรับเงิน ซึ่งมารู้ภายหลังว่าเหตุที่ธนาคารไม่ยอมให้เงินถอนทันที เนื่องจากต้องรอลูกค้านำเงินมาฝากก่อน และไปเปิดตู้เอทีเอ็มตามจุดต่างๆ มาให้ลูกค้า อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยช่วยตรวจสอบและดูแลให้ธนาคารปฏิบัติให้ถูกต้องด้วย" นายสุชาติกล่าว

แหล่งข่าวจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถทราบจำนวนเงินความเสียหายที่ชัดเจนหรือผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ เนื่องจากต้องรอให้ทางตำรวจได้ตัวของอดีตผู้จัดการสาขามาก่อนถึงจะสามารถสืบหาข้อเท็จจริงต่อไป โดยให้ทางตำรวจออกหมายจับตัวอดีตผู้จัดการสาขาก่อน ธนาคารยังยืนยันว่าเมื่อได้ตัวผู้กระทำผิดได้แล้ว ธนาคารพร้อมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ หากผลการสอบสวนของธนาคารและพนักงานสอบสวนสามารถสรุปได้ว่าพนักงานของธนาคารเป็นผู้กระทำความผิดและเป็นเหตุให้ลูกค้าได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่าใด ธนาคารจะได้พิจารณาเกี่ยวกับการชดใช้คืนเงินให้แก่ลูกค้าต่อไป

www.khaosod.co.th

สถานการณ์น้ำในเขื่อนอยู่ในเกณฑ์ปกติ

กฟผ.เผยสถานการณ์น้ำในเขื่อนอยู่เกณฑ์ปกติ พร่องน้ำเตรียมรับน้ำฤดูฝน

นายกิตติ ตันเจริญ ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำในเขื่อนอยู่ในเกณฑ์ปกติ กฟผ.พร่องน้ำเตรียมช่องว่างรับน้ำฤดูฝน และประโยชน์ด้านการเกษตร รวมถึงได้ลดการระบายน้ำในเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังพื้นที่ลุ่มน้ำยม

นายกิตติเปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ กฟผ.ว่า ปัจจุบัน (14 มิ.ย.55 เวลา 24.00 น.) มีปริมาณน้ำในอ่างฯ กฟผ.ทั้งหมดร้อยละ 55 ของความจุ หรือ 33,933 ล้าน ลบ.ม. น้อยกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันร้อยละ 3 หรือ -1,187 ล้าน ลบ.ม. โดยอ่างเก็บน้ำในภาคเหนือ (เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์) มีปริมาณน้ำร้อยละ 47 หรือ 10,743 ล้าน ลบ.ม. น้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 14 หรือ -1,782 ล้าน ลบ.ม.

อ่างเก็บน้ำในภาคตะวันตก (เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนท่าทุ่งนา และเขื่อนวชิราลงกรณ) มีปริมาณน้ำในอ่างฯ ร้อยละ 62 หรือ 16,466 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าปีที่แล้วร้อยละ 6 หรือ 887 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนน้ำพุง เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนห้วยกุ่ม) มีปริมาณน้ำในอ่างฯ ร้อยละ 40 หรือ 1,906 ล้าน ลบ.ม. น้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 11 หรือ -238 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำในภาคใต้ (เขื่อนรัชชประภาและเขื่อนบางลาง) มีปริมาณน้ำในอ่างฯ ร้อยละ 69 หรือ 4,878 ล้าน ลบ.ม. น้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 1 หรือ -55 ล้าน ลบ.ม.

"ในช่วงสัปดาห์นี้ปริมาณฝนอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนัก ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนอยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด เนื่องจากอ่างเก็บน้ำทุกแห่งได้พร่องน้ำเตรียมช่องว่างในอ่างฯ ไว้มากพอสมควร"นายกิตติ กล่าว

ปัจจุบัน เขื่อนภูมิพลมีปริมาตรน้ำ 6,197 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 46 น้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 16 หรือ -1,155 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำใช้งานได้ 2,397 ล้าน ลบ.ม. มีช่องว่างรองรับน้ำได้อีก 7,265 ล้าน ลบ.ม. ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน 93 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 13 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ระบายน้ำ 59 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 8 ล้าน ลบ.ม.

เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำ 4,546 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 48 หรือ น้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 12 หรือ -626 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำใช้งานได้ 1,696 ล้าน ลบ.ม. มีช่องว่างรองรับน้ำได้อีก 4,964 ล้าน ลบ.ม. ม. ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน 85 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 12 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ระบายน้ำ 168 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 24 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้ ช่องว่างสำหรับรองรับน้ำในช่วงฤดูฝนของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์รวมกันอยู่ที่ 12,229 ล้าน ลบ.ม. และปริมาณน้ำใช้งานได้ของทั้งสองเขื่อนรวมกัน 4,093 ล้าน ลบ.ม.



www.posttoday.com

ทธ.ยก“ผาชัน-สามพันโบก”เป็นอุทยานธรณีแห่งแรกของไทย

วันนี้ (15 มิ.ย.) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรมทรัพยากรธรณี (ทธ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) จัดการประชุมเรื่อง “ อุทยานธรณี: มิติใหม่ของการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ” เพื่อรายงานความคืบหน้าของการดำเนินการพิจารณาและจัดตั้งแหล่งอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ 4 จังหวัดเป็นอุทยานธรณี ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของการอนุรักษ์ธรณีในประเทศไทย

โดยนายนิทัศน์ ภู่วัฒนกุล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่า การจัดตั้งอุทยานธรณีเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2553 แต่เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่สำหรับกรมทรัพยากรธรณีการดำเนินการจึงล้าช้าไปบ้าง ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาทางกรมทรัพยากรธณีได้ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นศึกษา วิจัย สำรวจและประเมินสภาพทรัพยากรธรณีในท้องถิ่นที่ยื่นเสนอขอจัดตั้งอุทยานธรณี โดยจะพิจาณาจากองค์ประกอบต่างๆ ที่ทางองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)เป็นผู้กำหนด อาทิ แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา แหล่งโบราณคดี แหล่งนิเวศวิทยา และแหล่งวัฒนธรรมประเพณี แล้วรัฐบาลจะยื่นเสนอต่อยูเนสโกพิจารณาประกาศเป็นอุทยานธรณีระดับโลก ทั้งนี้ประเทศไทยเตรียมจัดตั้งอุทยานธรณีใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย อุทยานธรณีผาชัน –สามพันโบก จ.อุบลราชธานี อุทยานธรณีละงู – ทุ่งหว่า-ตะรุเตา จ.สตูล พื้นที่จ. เลย และขอนแก่น


นายมนตรี เหลืองอิงคะสุต ผอ.สำนักธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่า อุทยานธรณีฯ จะกลายเป็นแหล่งความรู้ที่มีความสำคัญด้านวิทยาศาสตร์เป็นมิติใหม่ของการอนุรักษ์ธรณีวิทยาโดยถ่ายทอดความรู้ผ่านการท่องเที่ยวซึ่งจะส่งผลให้แหล่งอนุรักษ์ธรณีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสังคมโลก ทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่นจึงกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างประโยชน์ในทุกด้าน

“ ในส่วนของ จ.อุบลราชธานีได้ยื่นเสนอขอจัดตั้งอุทยานผาชัน-สามพันโบก โดยอุทยานฯ ดังกล่าวจะกินพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.ศรีเมืองใหม่ อ.โพธิ์ไทร และ อ.โขงเจียม โดยในพื้นที่ประกอบด้วยแหล่งอนุรักษ์สำคัญจำนวนมาก อาทิ แหล่งซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ อุทยานน้ำตกผาหลวง สามหมื่นรู ถ้ำปาฏิหาริย์ และถ้ำมืด อุทยานแห่งชาติผาแต้ม โดยพื้นที่ดังกล่าวผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรม ภายใต้คณะกรรมการอนุกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ขณะนี้กำลังรอการพิจาณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อประกาศเป็นอุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก จ.อุบลราชธานี ส่วนพื้นที่อื่นอยู่ในระหว่างการประเมินแหล่งอนุรักษ์ในพื้นที่เพื่อดำเนินการจัดตั้งอุทยานธรณีต่อไป ” ผอ.สำนักธรณีวิทยา กล่าว

ด้านนายสุรพล สายพันธ์ ผวจ. อุบลราชธานี กล่าวว่า ทางจังหวัดเห็นว่าการจัดตั้งอุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบกจะสร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่และสืบสานไปยังคนรุ่นใหม่รวมทั้งสังคมโลกได้รู้จัก ส่วนกรณีพื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแต้มและอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชนั้น คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะอุทยานธรณีเป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น พื้นที่ใดอยู่ในความรับผิดชอบของใครก็ดูแลกันไป ส่วนพื้นที่ใดไม่มีผู้ดูแลเราก็จะใช้กฎเกณฑ์ของกรมทรัพยากรธรณีเข้าไปควบคุมดุแล ซึ่งทางจ. อุบลฯ มีความพร้อมอย่างมากในการจัดตั้งอุทยานธรณีนี้ รอเพียงการอนุมัติจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเท่านั้น ทางจังหวัดจะดำเนินการต่อทันที



www.dailynews.co.th

ไอเอ็มเอฟ ขอตั้งสำนักที่ปรึกษาถาวรในประเทศไทย

นายชาญชัย บุญยฤทธิ์ไชยศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายช่วยงานบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการ ธปท. เปิดเผยว่า ในการประชุมนัดพิเศษของคณะกรรมการฯ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของ นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการ ธปท. มีการหารือในประเด็นการขอตั้งสำนักงานที่ปรึกษาของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนที่ได้เลื่อนการพิจารณามาจากการประชุมวาระปกติของเดือน พ.ค.

โดยสาเหตุที่ต้องเร่งพิจารณาวาระนี้ เนื่องจากต้องดำเนินกระบวนการขออนุญาตซึ่งหลังจากผ่านการเห็นชอบของคณะกรรมการ ธปท. แล้ว จะต้องเสนอเรื่องให้กระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ให้เรียบร้อยก่อนการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธาน IMF ในวันที่ 11-12 ก.ค. 2555 นี้

นายชาญชัย กล่าวว่า สำนักงานที่ปรึกษาไอเอ็มเอฟในประเทศไทยนี้ ถือเป็นสำนักงานที่ปรึกษาถาวรแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน หลังจากก่อนหน้านี้มีเฉพาะสำนักงานชั่วคราวและยกเลิกไปแล้ว โดยครั้งนี้ถือว่าประเทศไทยได้รับเกียรติอย่างสูงที่ IMF เลือกไทยเป็นศูนย์กลางในการเข้ามาตั้งสำนักงานที่ปรึกษานี้

ทั้งนี้ จะมีการเลือกบุคคลซึ่งจะนั่งเป็นตัวแทนที่ปรึกษาประจำของสำนักงานในประเทศไทย ที่จะทำงานควบคู่กับตัวแทนไอเอ็มเอฟจากต่างประเทศ ซึ่งคาดว่ามีความเป็นได้สูงว่า IMF จะเลือกตัวแทนเป็นคนไทย

“การเข้ามาตั้งสำนักงานที่ปรึกษาฯ เพราะ IMF ต้องการเข้ามาดูแลภูมิภาคอาเซียนโดยจะเป็นที่ปรึกษาให้หลายประเทศไม่ใช่ไทยประเทศเดียว โดยจะมีการช่วยเหลือทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ กฎหมาย และการที่เขาเลือกเราเป็นการยกฐานะของประเทศว่ามีศักยภาพเพียงพอ”นายชาญชัยกล่าว

www.matichon.co.th

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ภาครัฐฯดันของชำร่วยไทย ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป

ภาครัฐฯดันของชำร่วยไทย ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปกรมส่งเสริมการส่งออก เตรียมจัดเต็มข้อมูลเชิงลึก ชี้สินค้ากลุ่ม Premium gifts ยังมีแนวโน้มสดใส แม้หลายฝ่ายกังวลวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป เชื่อส่งออกเอาอยู่

 

 

นางสาวกาญจนา เทพารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ตลาดสหภาพยุโรปถือได้ว่าเป็นตลาดส่งออกหลักของประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าส่งออกประเภท ของขวัญและของชำร่วย ที่ตอนนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ซึ่งแม้ว่าขณะนี้หลายฝ่ายกำลังวิตกกังวลเรื่องของวิกฤติเศรษฐกิจยูโรโซนที่เริ่มลุกลามไปในหลายๆประเทศ อาทิ กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี สเปน และล่าสุดฮังการี

ทั้งนี้จากมาตราการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของประเทศยูโรโซน ทำให้หลายชาติมองว่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้อาจจะคลี่คลายไปในทางที่สดใสมากขึ้น ซึ่งในส่วนของภาคการส่งออกของไทยก็มีสัญญาณตอบรับที่ดี โดยตัวเลขการส่งออกสินค้าของขวัญ ของชำร่วยและของตกแต่งบ้าน เดือนมกราคม-มีนาคม ที่ผ่านมามีมูลค่า 75.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.19 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2554 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.39 ของเป้าหมายส่งออกในปี 2555

อย่างไรก็ตามเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ส่งออกสินค้าของขวัญ ของชำร่วยและของตกแต่งบ้าน ของไทยที่ยังสนใจส่งสินค้าไปตลาดยุโรป โดยเฉพาะประเทศเยอรมนี ทางสถาบันฯจึงกำหนดจัดสัมมนาเรื่อง “Successful on European Market” ในวันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2555 ผู้สนใจสามารถโทรสอบถามได้ที่ โทร. 02 – 513-1909 ต่อ 604, 665 หรือดาวน์โหลดใบสมัครได้จากลิ้งค์นี้


www.newswit.com

วันคลิก ไทยแลนด์ เปิดบริการให้คำปรึกษาด้านการจัดการธุรกิจ และ

บริษัท วันคลิก มีเดีย แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการจัดการธุรกิจ และพัฒนาศูนย์การค้าแบบครบวงจร ประเมินแนวโน้มการขยายตัวธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทยยังสูงต่อเนื่อง จากแผนขยายตัวของยักษ์ใหญ่ เซ็นทรัลพัฒนา สยามพิวรรธน์ และ บริษัท สยาม รีเทล ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด รวมถึงผู้พัฒนาศูนย์การค้ารายใหม่ๆ แต่วงการศูนย์การค้ากลับขาดบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนา บริหารและการขายพื้นที่เช่า (Leasing) “วีณา อรัญญเกษม” มืออาชีพด้านการบริหารศูนย์การค้าในประเทศไทย รุกตั้งบริษัทใหม่ “วันคลิก” ให้บริการด้านที่ปรึกษาการพัฒนา-บริหารจัดการศูนย์การค้า แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อตอบสนองการขยายตัวดังกล่าว

 

 

นางวีณา อรัญญเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันคลิก มีเดีย แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ด้านการบริหารศูนย์การค้ามานานเกือบ 10 ปี ในประเทศไทย ประกอบกับแนวโน้มการขยายตัวของศูนย์การค้าทั่วประเทศและการแข่งขันของศูนย์การค้าประเภท “คอมมูนิตี้ มอลล์” ที่มีมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะการขาดแคลนบุคลากรที่มีประสบการณ์ด้านค้าปลีก จึงได้ตัดสินใจเปิด บริษัท วันคลิก เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจศูนย์การค้า โดยจะทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการลงทุนในธุรกิจค้าปลีก คอมมูนิตี้ มอลล์ และให้บริการด้านบริหารจัดการ กลยุทธ์ทางธุรกิจ การตลาดและการสร้างแบรนด์

ธุรกิจค้าปลีกประเภทศูนย์การค้าขนาดเล็ก หรือ คอมมูนิตี้ มอลล์ 1,000 – 5,000 ตร.ม.และขนาดกลาง 6,000 – 30,000 ตร.ม.ในประเทศไทย ยังคงมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่อง จากวิถีชีวิตของคนเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปัจจุบันพบว่า มีคอมมูนิตี้ มอลล์ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ มากกว่า 100 โครงการ และในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30 % คิดเป็นสัดส่วนอัตราการเกิดใหม่ของคอมมูนิตี้ มอลล์ ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง แต่หากสำรวจจริงจัง จะทราบว่าศูนย์การค้าขนาดเล็กหรือ Community Mall ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ จากปัจจัยและปัญหา อาทิ ขาดความหลากหลายของสินค้าและบริการ ปัญหาจำนวนที่จอดรถและทางเข้าออกไม่สะดวก ขาดการทำการตลาดและจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เป็นต้น ดังนั้น ด้วยประสบการณ์ของตัวเองและทีมงาน ดิฉันเชื่อว่าจะสามารถให้คำปรึกษา หากบริษัทใดสนใจอยากทำ Community Mall หรือศูนย์การค้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง

บริษัท วันคลิก มีเดีย แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำร่องเปิดบริการอย่างไม่เป็นทางการไปตั้งแต่เดือนกันยายน 2554 ที่ผ่านมา โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริหาร และองค์กรต่างๆ จึงถือโอกาสประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ซึ่งนับเป็นบริษัทที่ปรึกษารายแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย ที่มุ่งเน้นบริการแบบครบวงจร โดยเฉพาะด้านการพัฒนาโครงการศูนย์การค้า ประกอบด้วย การให้คำปรึกษาเบื้องต้นแก่นักลงทุน ก่อนการตัดสินใจลงทุน การวิเคราะห์การลงทุนรูปแบบการลงทุน การศึกษาความเป็นไปได้พร้อมความต้องการของลูกค้า การวางแผนการพัฒนาโครงการตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนเปิดโครงการ พร้อมบริการด้านการจัดหาลูกค้าและการจัดเช่าพื้นที่ ด้วยคอนเซ็ปการให้บริการแบบเข้าใจได้ง่ายๆ และลงมือปฏิบัติได้จริง โดยทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ตรงร่วมทำงานเคียงคู่กับลูกค้าแบบ hand-on approach

“การตัดสินใจตั้งบริษัทฯ นี้ มาจากความพร้อมและประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่เก็บเกี่ยวจากการทำงานกับองค์กรระดับโลก ทั้งด้านการตลาดและบริหารธุรกิจแขนงต่างๆ ทั้งด้านมีเดีย สินค้าอุปโภค-บริโภค การค้าปลีก และการพัฒนาศูนย์การค้า โดยได้ร่วมงานกับบริษัทต่างๆ อาทิ ดีเคเอสเอช (ดีทแฮล์ม), เป๊ปซี่-โค, เนสท์เล่, แอค มีเดีย, เฮอร์บาไลฟ์ และเทสโก้ โลตัส ในฐานะนักบริหารมืออาชีพคนเดียวของเมืองไทยในการบริหารและพัฒนาศูนย์การค้าขนาดเล็กและกลางให้กับเทสโก้ โลตัสมาแล้วกว่า 80 แห่งในช่วงระยะเวลา 9 ปี สามารถสร้างรายได้ธุรกิจศูนย์การค้าอันดับ 1 ในกลุ่มบริษัทเทสโก้ และสามารถช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับองค์กรได้สูงถึง 40% ของกำไรทั้งหมดของเทสโก้ โลตัส ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2545 - 2553 นอกจากนี้ยังเป็นผู้ริเริ่มในการเปิดโครงการ Community Mall เพื่อเจาะย่านชุมชนใหม่ ๆ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พาร์ค, ดิ โอเอซิส และเดอะ การ์เด้น โดยยังเป็นผู้ริเริ่มโครงการศูนย์การค้า ภายใต้ชื่อ Plus Mall ไลฟ์สไตล์ มอลล์ สำหรับคนรุ่นใหม่ในรูปแบบของ Neighborhood Shopping Mall รวมทั้งการให้คำปรึกษา และการเป็นวิทยากรที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริหารหลากหลายองค์กร” นางวีณากล่าวพร้อมให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า

“ดิฉันตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนบุคลากรมืออาชีพที่จะมาช่วยกันพัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าให้เติบโตและตอบสนองวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ จึงอยากนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของตนเองมาถ่ายทอดให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุน รวมทั้งน้องๆ ที่ทำงานด้านค้าปลีกเพื่อเพิ่มศักยภาพและความเติบโตให้กับอุตสาหกรรมโดยรวม ภายใต้วิสัยทัศน์ขององค์กร คือ ความมุ่งมั่นสู่การเป็นบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดด้วยบริการแบบมืออาชีพในการให้คำปรึกษาและความรู้ที่เข้าใจง่ายและปฏิบัติได้จริงทั้งทางด้านการค้าปลีก การทำศูนย์การค้า และ การจัดการธุรกิจทั้งด้านกลยุทธ์และการวางแผน ซึ่งลูกค้าพึงพอใจ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ การสร้างความเติบโต และผลกำไรแก่ลูกค้าทุกราย”

“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมจัดงานสัมมนา Shopping Mall Seminar เป็นครั้งแรกของเมืองไทยระหว่าง 26-27 ก.ค. นี้ How to Develop a Successful Shopping Mall and Make Money หรือ การพัฒนา Shopping Mall ให้ประสบความสำเร็จและได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ ที่สมาคมธรรมศาสตร์ โดยมีวิทยากรมืออาชีพที่มีชื่อเสียงด้านการบริหารศูนย์การค้าร่วมสัมมนา อาทิ คุณแคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ จาก เมกา บางนา, คุณวิชา หาญอมรรุ่งเรือง จากสยามพารากอน โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับความรู้จากประสบการณ์ตรงของวิทยากรในการพัฒนาศูนย์การค้าตั้งแต่เริ่มต้นและทราบวิธีการตลอดจนเทคนิคในการทำให้ประสบความสำเร็จและมีกำไร โดยกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้สนใจในธุรกิจศูนย์การค้า เจ้าของที่ดินและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้บริหารงานเช่าซื้อพื้นที่ศูนย์การค้า รวมทั้งเจ้าของศูนย์การค้า” บัตรราคา 19,600 บาท หรือจองล่วงหน้า (Early Bird) บัตรราคา 17,000 บาท เท่านั้น สามารถติดต่อขอรายละเอียดได้ที่ คุณกนกวรรณ 02 617 9992, 081 703 4710 หรือคุณภูริตา 085 066 0500” นางวีณากล่าวในที่สุด



www.newswit.com

"เคเอฟซี" โต้ข่าวไข่แมลงวันในไก่ทอด-ยันได้มาตรฐาน

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ยัม! ประเทศไทย ในฐานะเจ้าของร้านอาหารบริการด่วน เคเอฟซี แจงถึงมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยของอาหารและภายในร้าน หลังมีกระแสข่าวเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตว่ามีผู้ซื้อไก่ทอดจากร้านเคเอฟซีแล้วพบไข่แมลงวันอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก โดยทางบริษัทระบุว่า

 

ในกระบวนการจัดเตรียมวัตถุดิบและปรุงอาหารนั้น ยัม! ประเทศไทย ได้ใช้วัตถุดิบคุณภาพจากผ่านซัพพลายเออร์รายใหญ่ของประเทศไทย ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และบริษัทในเครือเบทาโกร ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์จากหน่วยงานภาครัฐ นำมาปรุงอาหารโดยให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดทุกขั้นตอน


ส่วนอาหารแต่ละเมนูนั้นจะมีกระบวนการปรุงอาหารที่สด ใหม่ตลอดทั้งวันและปลอดภัยทุกขั้นตอน นอกจากนี้ อาหารในแต่ละเมนู เมื่อปรุงออกมาแล้วจะมีระยะเวลาในการจำหน่าย หากเกินกว่าเวลาที่กำหนด จะถูกนำไปทิ้งอย่างเป็นระบบ เพื่อรักษาคุณภาพของอาหาร

 

หากทำการวิเคราะห์ตามหลักการวิทยาศาสตร์ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการรับไก่สดและการจัดเก็บนั้นในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิทในห้องเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส การหมักไก่ในเครื่องหมักที่ปิดสนิทและจัดเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทในห้องเย็น ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส รวมทั้งการปรุงสุกด้วยการทอดไก่ในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 170 องศาเซลเซียส และจัดเก็บในตู้ร้อนที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 74 องศาเซลเซียสเพื่อให้ชิ้นไก่มีอุณภูมิคงที่อยู่ที่ 60 องศาเซลเซียส และจัดเก็บสินค้าไม่เกินระยะเวลาที่กำหนด ภายใต้อุณหภูมิเช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่ไข่แมลงวันจะสามารถมีชีวิตอยู่ และพร้อมฟักตัวได้ รวมทั้งแมลงวันไม่สามารถทนอยู่ในสภาพอุณหภูมิที่สูงกว่า 35 องศาและฟักไข่ได้


ทั้งนี้ หลังจากทีมงานได้ทราบเรื่องของลูกค้าที่พบไข่แมลงวันในชิ้นน่องไก่ทอดของเคเอฟซีนั้น เบื้องต้นเคเอฟซีได้ดำเนินการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลตรวจสอบร้านเคเอฟซีสาขาดังกล่าว ไม่มีประวัติตรวจพบแมลงแต่อย่างใด เพื่อให้มั่นใจว่าภายในร้านถูกสุขลักษณะ และสามารถให้บริการกับลูกค้าทุกท่านได้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

 

อย่างไรก็ดี การตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจะนำมาสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการวางไข่ของแมลงวันเกิดขึ้นที่ใด เวลาใด ด้วยแมลงวันจะใช้เวลา 6-8 ชม. ในการฟักจากไข่ไปเป็นตัวหนอน แต่สำหรับขั้นตอนการวางไข่นั้น จะใช้เวลาเพียงไม่นาที ซึ่งในภาพที่แสดงยังเป็นลักษณะระยะไข่ที่ยังไม่ฟักตัว

 

ทั้งนี้ หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น ได้มีหลากหลายกระแสความคิดเห็นของผู้บริโภค และมุมมองที่แตกต่างในเรื่องของความเป็นไปได้ เคเอฟซีขอความกรุณาลูกค้าที่เป็นเจ้าของเรื่องโปรดให้ข้อมูลติดต่อกลับ เพื่อพิจารณาข้อมูลร่วมกัน และเรายินดีให้เข้ามาเยี่ยมชมกระบวนการปรุงอาหารและการควบคุมความสะอาดของเคเอฟซี

 

ดังนั้นหากมีความชัดเจนในการพิจารณาหาข้อเท็จจริงร่วมกันระหว่างเคเอฟซีกับ ลูกค้าที่กรุณาแจ้งเรื่องร้องเรียนเข้ามาและพบว่า เคเอฟซีมีความบกพร่องในมาตรฐานอาหารปลอดภัย เคเอฟซีพร้อมที่จะขออภัยและน้อมรับผิดชอบในทันที

 

 



www.khaosod.co.th

บทเรียน ศึกระหว่าง แกรมมี่และทรูวิชั่นส์

ในช่วงรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่มีกระแสข่าวไหนจะฮิตติดชาร์ตเท่ากับกระแสข้อพิพาทระหว่างแกรมมี่และทรูวิชั่นส์ เพราะตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มฤดูกาลแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ก็เริ่มมีปัญหาจอดำเกิดขึ้น หลักๆ โดนเต็มๆ ก็ลูกค้าของทรูวิชั่นส์ เนื่องจากแกรมมี่ไม่สามารถปล่อยสัญญาณถ่ายทอดสดให้กับทางทรูวิชั่นส์ได้ จนกว่าจะได้รับการอนูญาตจากยูฟ่า
เป็นเรื่องเป็นราวโยนกันไปโยนกันมาเกือบสัปดาห์ และเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา เรื่องก็มีความกระจ่างชัดขึ้น เมื่อแกรมมี่โชว์หนังสือชี้แจงจากยูฟ่าว่าปฏิเสธให้ให้ทรูวิชั่นส์ถ่ายทอดการแข่งขันยูโร 2012 เนื่องจากทรูวิชั่นส์ไม่ได้อยู่ในระบบฟรีทีวี
และปัจจุบันยูฟ่าก็มีความพึงพอใจกับการถ่ายทอดผ่านช่อง 3, 5 และ 9 ซึ่งเป็นการถ่ายทอดโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบอนาล็อก (terrestrial analog signal) จึงไม่มีเหตุผลที่จะอนุญาตให้ทรูวิชั่นส์ซึ่งมีสถานะเพย์ทีวี หรือการเป็นโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกให้สิทธิ์ในการถ่ายทอดได้อีก
หลังจากมีหนังสือยืนยันออกมาชัดเจนว่ายูฟ่าไม่อนุญาตให้ทรูวิชั่นส์ถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2012 ค่ายแกรมมี่พยายามออกมาแสดงตัวว่าก่อนหน้านี้ได้ให้ความช่วยเหลือทรูวิชั่นส์อย่างเต็มที่ ด้วยการพยายามอย่างสุดความสามารถในการประสานงานกับทางยูฟ่า เพื่อให้ทรูวิชั่นส์ได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสด
ด้านฝั่งทรูวิชั่นส์เองก็ออกมาแถลงข่าวชี้แจงในวันเดียวกัน พร้อมออกมาขอโทษและรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถให้ผู้ชมได้รับชมการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ในระบบของทรูวิชั่นส์ได้ และไม่สามารถออกอากาศตามคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ เนื่องจากเจ้าของลิขสิทธิ์คือยูฟ่า ไม่ให้สิทธิ์ทรูวิชั่นส์ในการออกอากาศ เพราะตีความว่าทรูวิชั่นส์เป็นเพย์ทีวี
งานนี้เลยเศร้ากันไปทั้งผู้ชมและเจ้าของธุรกิจ
แม้ว่าทุกอย่างจะมีความชัดเจน แต่ก็มีปัญหาค้างคาใจใครหลายคนในกรณีที่ว่าแกรมมี่ชี้แจงกับยูฟ่าว่า ทรูวิชั่นส์เป็นทีวีสถานะไหน การถ่ายสดผ่านสัญญาณดาวเทียม ซึ่งบ้านที่กล่องรับสัญญาณของจีเอ็มเอ็มแซท สามารถดูได้ ต่างจากจานดาวเทียมของทรูวิชั่นส์อย่างไร ทำไมยูฟ่าถึงไม่อนุญาต
ช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีกลิ่นไม่ค่อยดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2012 ทำให้บรรยากาศอื่นๆ พลอยชะงักงั้นไปด้วย ซึ่งผู้บริหารของจีเอ็มเอ็มแซทก็ออกมายอมรับเองว่าไม่คึกคักอย่างที่คาด แต่ก็ถือว่าเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งความแรงจะมาในช่วงรอบท้ายๆ ของการแข่งขัน
แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ค่ายแกรมมี่หวาดวิตกแต่อย่างใด เพราะยอดการขายกล่องจีเอ็มเอ็มแซทช่วงเดือน พ.ค.จนถึงขณะนี้ ทะลุไปแล้ว 600,000 กล่อง เบ็ดเสร็จรวมยอดขายกล่องจนถึงขณะนี้ก็ปาเข้าไป 700,000-800,000 แสนกล่องแล้ว เป้าหมาย 1 ล้านกล่องเมื่อจบบอลยูโร 2012 ไม่น่าไกลเกินเอื้อม แม้แว่วว่าการได้ลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร 2012 อาจมีการขาดทุนเล็กน้อย แต่ถ้าเอามาถูๆ ไถๆ กับยอดการขายกล่อง ก็ถือว่ายังมีกำไร
ใครมีกำไรใครขาดทุนไม่รู้แน่ชัด แต่ที่ชัดเลยตอนนี้ก็น่าจะเป็นยอดการขายเสาอากาศ ก้างปลา เพราะมีข่าวออกมาว่าก้างปลาแถวคลองถมขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะคอบอลจริงๆ ยังง้ายยังไงก็ต้องสรรหาวิธีการรับสัญญาณการถ่ายทอดสดให้จงได้
นอกจากเสาอากาศก้างปลาแล้ว ที่ชาร์จแบตมือถือยี่ห้อโนเกียก็สามารถเอามาเสียบต่อสายอากาศด้านหลังทีวีก็ดูได้แล้ว เจ้าของไอเดียดังกล่าวแนะนำไว้ว่า นำสายชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย (หัวสายชาร์จแบบหัวเล็ก หรือรูเล็ก) เสียบเข้ากับช่องต่อสายอากาศด้านหลังทีวี ก็สามารถรับชมสัญญาณช่องฟรีทีวีที่ถ่ายทอดยูโร 2012 ได้แล้ว โดยระดับคุณภาพสัญญาณอยู่ราวๆ 70-80%
ใครไม่เข้าใจก็สามารถเข้าไปดูวิธีการติดตั้งได้ในยูทูป ระยะเวลาในการติดตั้งเป็นตัวอย่างก็อยู่ที่ประมาณ 2 นาทีเศษๆ ได้ผลจริงหรือไม่ อันตรายหรือเปล่า แต่เท่าที่เป็นข่าวเป็นคราวว่าสายชาร์จแบตโนเกียใช้แทนเสาก้างปลาได้ ก็ยังไม่มีข่าวภาพของอันตรายเกิดขึ้น อ่านแล้วใช้วิจารณญาณในการเชื่อก็แล้วกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับการได้รับสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2012 ในครั้งนี้ ถ้ามองย้อนกับไป ทุกครั้งที่มีการนำลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลจากยูฟ่ามาถ่ายทอดในเมืองไทย ล้วนมีปัญหาตามมามากมายให้ผู้ได้รับสิทธิ์แก้ไขปัญหา ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งบทเรียนให้ผู้ที่ได้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลจากต่างประเทศในครั้งต่อไป ได้นำมาปรับใช้เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีก.

www.thaipost.net

เตรียมความรู้สู่ธุรกิจไอทีใน AEC

ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่การร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี พ.ศ. 2558 จากแหล่งข่าวหลายสำนักระบุว่า ประเทศไทยมีการตื่นตัวต่อการเตรียมตัวเกี่ยวกับเออีซี อยู่ในอันดับรั้งท้ายในกลุ่มประเทศสมาชิก

หากมองผลกระทบต่าง ๆ เพื่อกำหนดสิ่งที่ควรต้องเตรียมพร้อมกัน ทั้งในแวดวงบุคลากรทางการศึกษาทางด้านไอทีและการทำงานของวิศวกรไอที คงต้องเริ่มกันที่ I ในคำว่า IT หรือสารสนเทศซึ่งปัจจุบันพัฒนาจากสารสนเทศหรือข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว เข้าสู่ยุคองค์ความรู้หรือ โนว์เลดจ์ หรือสารสนเทศข่าวสารที่ก่อเกิดประโยชน์นำไปใช้งานกันได้แล้ว

สำหรับอาเซียนก็คงจะไม่ผิดซึ่งองค์ความรู้ที่ “จำเป็น” สำหรับทั้งการศึกษา และธุรกิจด้านวิศวกรรมไอทีนั้นประกอบด้วย 4 ด้านหลักคือ องค์ความรู้ศาสตร์และวิทยาการ, เศรษฐกิจ, สังคม และแนวปฏิบัติที่ทำกันมาที่สั่งสมเป็นภูมิปัญญา ซึ่งธุรกิจด้านวิศวกรรม หรือนวัตกรรมใดก็ตามโดยเฉพาะไอที จะต้องนำองค์ความรู้ 4 อย่างนี้ไปออกแบบ พัฒนา ก่อสร้าง ผลิต ตรวจสอบ ติดตั้ง สินค้า บริการ นวัตกรรมทางไอที ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ ระบบ หรือบริการบุคลากร โดยมองเงื่อนไข ข้อจำกัด ด้านต่าง ๆ เช่น ทรัพยากรในท้องถิ่น สังคม กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ พื้นที่ ภูมิอากาศ นิสัยใจคอของบุคลากร ที่หลากหลายมากขึ้น

ยังมีโจทย์ ปัญหา ความท้าทายใหม่ ในระดับภูมิภาค ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น อาเซียนแบ่งเป็นกลุ่มประเทศที่เป็นผืนแผ่นดิน และกลุ่มประเทศเกาะ โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีที่เหมาะสมจะไม่เหมือนกัน อาเซียนมีภัยพิบัติเฉพาะภูมิภาคน่าจะเป็นโอกาสของระบบไอทีเตือนภัยที่ต่างจากภูมิภาคอื่น หรือการรับมือกับโรคเฉพาะภูมิภาค ประเภทเวชศาสตร์เขตร้อน ซึ่งต้องใช้ความรู้ไอทีเข้าไปพัฒนาสินค้าหรือบริการไอทีที่ตอบสนองธุรกิจระดับภูมิภาค

ปัจจัยที่ทำให้สามารถขยายตัวเองเข้าสู่ระดับสากลได้สำเร็จ บริษัท ตัววิศวกร หรือนิสิตนักศึกษา จะต้องปรับตัวให้เข้ากับความหลากหลายและแตกต่างได้ ซึ่งแนวทางปรับตัวมีวิธีการพื้นฐาน 3 ขั้นตอนคือ

อันดับแรก “การประเมิน” ตนเอง ทั้งระดับองค์กร, บริษัท, กลุ่มหน่วยงานย่อย หรือตัวบุคคล เพื่อรับรู้สภาพปัญหา หรือ “องค์ความรู้” ในระดับภูมิภาคหรือสากลที่เรายังขาด ยังไม่ชำนาญ โดยเน้นองค์ความรู้ 4 ด้านที่กล่าวไว้ คือศาสตร์และวิทยาการเทคโนโลยีที่ใช้ ซึ่งในวงการไอทีเป็นวงการสากลอยู่แล้วประเทศไทยจึงอยู่ที่ประเมินว่า “ทันสมัย” หรือไม่, มีความรู้และสามารถดำเนินธุรกิจในเศรษฐกิจ การเงินการธนาคารระดับภูมิภาคอาเซียนหรือไม่, ด้านสังคม รวมไปถึงรู้จัก “ภาษา” วิธีการสื่อสาร วัฒนธรรมองค์กรความเชื่อกฎหมาย ศาสนาของอาเซียนที่มีผลต่อธุรกิจหรือยัง และรู้แนวปฏิบัติหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นของอาเซียนที่เราจะไปติดต่อค้าขายด้วย เช่น วิธีทำการตลาดของสินค้าไอทีแต่ละประเทศ แต่ละภูมิภาคก็จะแตกต่างกัน

ขั้นตอนที่สองคือ “เรียนรู้แสวงหา” องค์ความรู้ใหม่ที่เราขาดไป ติดตามข่าวสาร ยอมรับความต่างของสิ่งที่ไม่คุ้นเคย วิธีที่ไม่คุ้นเคย เครื่องมือ ศาสตร์ ภาษา วิธีการทำงาน ระเบียบ กฎที่ไม่คุ้นเคยได้ โดยตั้งหลักในความถูกต้อง (จากหลักของประเทศไทยสู่ถูกต้องระดับอาเซียน) ซึ่งองค์ความรู้ด้านศาสตร์และวิทยาการจะไม่เป็นอุปสรรคเพราะมีความเป็นสากลอยู่แล้วจะมีความแตกต่างในด้านความทันสมัย ส่วนด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และ ค่านิยมต่าง ๆ นั้นต้องอาศัยการยอมรับและปรับตัวให้เรียนรู้ได้รวดเร็ว แล้วนำองค์ความรู้ที่เรียนรู้ หรือซื้อหามาไปใช้แทน หรือประยุกต์กับองค์ความรู้เดิมที่ใช้ระดับประเทศ

ขั้นตอนสุดท้ายคือต้อง “พัฒนา” การ ทำงาน สินค้า บริการ การเรียนรู้ใหม่ซึ่งทักษะสำคัญที่ต้องทำให้ได้ 4 ทักษะ โดยทักษะแรกคือสามารถทำงานร่วมกันแบบกระจายงานให้ได้ เน้นทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน การทำงานร่วมกันจากเดิมในกลุ่มในทีม ระหว่างบริษัทในประเทศ แต่เมื่อเข้าสู่ยุคเออีซี จะกระจายในระดับประเทศซึ่งการติดต่อสื่อสารจะทำได้ยากขึ้นต้องทำงานผ่านเทคโนโลยี ไอที ทำให้เกิดข้อจำกัด เช่น เวลา งบประมาณ ภาษา ซึ่งทำให้อาจจะต้องเพิ่มต้นทุนให้กับตัวกลางหรือหน่วยงานกลางในระดับธุรกิจ หรือ ส่วนบุคคลต้องสร้างทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีมข้ามชาติ ของตนเองโดยเน้นทักษะด้านภาษาและความรู้ด้านวัฒนธรรม

ทักษะต่อมาคือ ทุกองค์กร หรือทุกคนในวงการไอทีควรสามารถอธิบาย หรือเข้าถึงข้อมูลธุรกิจไอทีของอาเซียนให้ได้ เช่น การตลาด ผู้บริโภค ผู้จ้างงาน บริษัท แหล่งรายได้ในอาเซียน ซึ่งอาจจะต้องอาศัยทักษะด้านภาษาและวัฒนธรรม และเข้าถึงแหล่งความรู้เหล่านี้

ทักษะที่สามคือ ต้องเข้าใจและสามารถปรับตัวกับการควบรวมกิจการ องค์กร บริษัท ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแทบทุกวงการโดยเฉพาะไอที เพราะเป็นกลวิธีทางธุรกิจพื้นฐานในการขยายการเติบโต ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงาน เช่น องค์กรแปลงไปเป็นอีกองค์กร หรือยังคงอยู่แต่ต้องปรับให้เข้ากับระบบใหม่ ตัววิศวกรไอทีหรือบุคลากรต้องสามารถปรับตัวได้ รวมทั้งบริษัทไทยเองก็อาจจะเป็นผู้ไปควบรวมกิจการในอาเซียนซึ่งต้องคำนึงถึงการผนวกองค์ความรู้ทั้ง 4 ด้านของไทยเข้ากับองค์กรในประเทศนั้น

ทักษะสุดท้ายคือสามารถวิเคราะห์ “ข้อดี” หรือ “โอกาส” ของสินค้าและบริการเฉพาะพื้นที่ในภูมิภาคให้ได้ เช่น เพิ่มฟังก์ชั่นการออกแบบสินค้า หรือบริการไอทีที่เฉพาะภูมิภาค หรือประเทศนั้น (เช่นมองด้านกฎหมาย หรือการเงิน) ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งทางธุรกิจ, มองโอกาสที่เพิ่มขึ้น ช่องทางที่เพิ่มให้สิ่งที่ออกแบบมีมูลค่าเพิ่ม เช่น ต้องมีวิธีการใช้งานเฉพาะประเทศนั้น ๆ เช่น มีหน้าจอการใช้งานที่ใช้ภาษาประเทศนั้น มีการใช้สีสัน รูปแบบเฉพาะกลุ่ม และคิดค้นหาวิธียุบรวมให้เหลือสินค้า บริการ การทำงานต่าง ๆ ที่ตอบสนองเรื่องเดียวกัน, ความต้องการแบบเดียวกันให้เหลือน้อย เป็นมาตรฐาน แต่ให้สามารถพัฒนาปรับไปใช้งานได้กับภาษาอื่น หรือพัฒนาเพิ่มความเป็นท้องถิ่นแทรกได้ เป็นต้น เช่น โปรแกรมที่เปลี่ยนหน้าจอได้ อุปกรณ์ที่ปรับปุ่ม สีสันภายนอกได้ หรือแม้แต่คู่มือการทำงานที่ปรับให้เหมาะกับประเทศนั้นได้ เป็นต้น

การเปิดอาเซียนหรือเออีซีจริง ๆ แล้วไม่ใช่สิ่งใหม่แต่เป็นเรื่องเดิมที่ขยายเพิ่มขึ้น หากมองว่าเราก็ต้องมีการปรับตัวจากสิ่งที่ทำในบ้านให้เข้ากับที่ทำงาน ที่โรงเรียน ต้องปรับให้เหมาะกับบริษัทที่ไปทำงานใหม่ หรือแม้แต่จากเมืองหลวงกับชนบทซึ่งล้วนแล้วแต่ใช้หลักการของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้ของตนเข้ากับคนอื่น ต้องมีการ
ยอมรับปรับตัว อาศัยแนวปฏิบัติ 3 ขั้นตอนที่กล่าวมาใครที่ปรับตัวเก่งก็น่าจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จแต่ที่สำคัญคือการช่วยเหลือเกื้อกูลให้กับผู้อื่นให้ก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่มีความสุขกันให้ได้ครับ.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิษณุ คนองชัยยศ
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



www.dailynews.co.th

เจมี ไดมอน เสียใจและขอโทษ

นิวยอร์ก : นายเจมี ไดมอน ประธานและผู้บริหารสูงสุดของเจพีมอร์แกน เชส วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ แถลงต่อกรรมาธิการการเงินของวุฒิสภา หลังธนาคารขาดทุนถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ว่าเจพี มอร์แกนฯ สร้างความผิดหวังให้กับประชาชนและผู้ถือหุ้น เขารู้สึกเสียใจและขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายไดมอนยอมรับว่า การขาดทุนมหาศาลครั้งนี้เกิดจากการวางแผนผิดพลาดของการทำธุรกิจเทรดดิ้ง โดยยืนยันว่าบรรดาผู้บริหารธนาคารจะแสดงความผิดชอบด้วยการคืนเงินเดือนบางส่วนให้ธนาคารเมื่อต้นเดือนที่แล้ว นอกจากนี้เจพี มอร์แกนฯ ยอมรับว่าธนาคารขาดทุนอย่างไม่คาดคิดจากการทำธุรกิจเทรดดิ้งเป็นวงเงินทั้งสิ้น 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการเก็งกำไรที่ผิดพลาดในตราสารอนุพันธ์

อิตาลีต้องปฏิรูป

แฟรงก์เฟิร์ต : นายโวลฟ์กัง ชอยเบิล รัฐมนตรีคลังเยอรมนี ระบุอิตาลีต้องเดินหน้าปฏิรูปตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีมาริโอ มอนติ กำหนดไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นประเทศต่อไปที่จะเผชิญกับความเสี่ยงจากการลุกลามของวิกฤตยูโรโซน รัฐมนตรีคลังเยอรมนีเผยหลังการพบหารือกับนายมอนติที่กรุงเบอร์ลินว่า สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีเริ่มไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ หลังจากที่อิตาลีประมูลขายพันธบัตรอายุ 1 ปี ระดมเงินทุนได้ 6,500 ล้านยูโร แต่ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรให้กับผู้ลงทุนอยู่ที่ 3.97% ซึ่งพุ่งขึ้นจากระดับ 2.34% ในการประมูลครั้งก่อนหน้าเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ตัวเลขดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่านักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในฐานะการเงินของอิตาลี แม้รัฐบาลของนายมอนติจะดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นตลอด 7 เดือนที่ผ่านมาก็ตาม



www.dailyworldtoday.com

สุรพงษ์ เยือนสหรัฐฯตามคำเชิญ ฮิลลารี

สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนสหรัฐฯ ตามคำเชิญของฮิลลารี คลินตัน ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับเจ้าหน้าที่ด้านเอเชียตะวันออก ขอให้สนับสนุนเรื่องการจัดลดลำดับไทย ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

ในการหารือกับนางคลินตัน ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างกันทั้งทางด้านความมั่นคง การค้า การลงทุน ความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาค อาทิ การก่อการร้าย อาชญกรรมข้ามชาติ สถานการณ์ในเมียนมาร์ และสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ เป็นต้น โดยนายสุรพงษ์ ได้ย้ำถึงคำเชิญของนายกรัฐมนตรีที่เชิญประธานาธิบดีสหรัฐฯ เยือนไทยในช่วงก่อนหรือหลังการประชุม East Asia Summit (EAS) ที่กรุงพนมเปญในเดือนพ.ย.นี้ และความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมตรีจะเดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในเดือนก.ค. หรือส.ค.นี้

ในเรื่องเมียนมาร์ นายสุรพงษ์ ได้อธิบายถึงบทบาทของไทยในการสนับสนุนพัฒนาการต่าง ๆ ใน เมียนมาร์ และขอให้สหรัฐฯ พิจารณายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อเมียนมาร์ นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงความเป็นไปได้ที่จะส่งเสริมความร่วมมือ 3 ฝ่าย (ไทย สหรัฐฯ เมียนมาร์) ในการดำเนินโครงการความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่อเมียนมาร์อีกด้วย 

สำหรับการหารือกับนายจิม เว็บบ์ วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต มลรัฐเวอร์จิเนีย และนายเจมส์ อินฮอฟ วุฒิสมาชิก พรรครีพับลิกัน มลรัฐโอกลาโฮมา ประธานและรองประธานคณะอนุกรรมาธิการการต่างประเทศด้านเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ตามลำดับนั้น นายสุรพงษ์ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาค และขอให้วุฒิสมาชิกสนับสนุนเรื่องการจัดลดลำดับไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ในประเทศต่างๆ ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯด้วย 

ส่วนการหารือกับสมาชิกสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐฯ (U.S. – ASEAN Business Council - USABC) และสภาหอการค้าของสหรัฐฯ (U.S. Chamber of Commerce - USCC) มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาค การเพิ่มการลงทุนของบริษัทสหรัฐฯ ในไทย และความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจข้ามแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership)

ต่อด้วยการพบปะกับข้าราชการทีมประเทศไทย ที่ประจำการในสหรัฐฯ (กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานข้าราชการพลเรือน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) นายสุรพงษ์ รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับโครงการสำคัญและแนวทางการดำเนินงานของทีมประเทศ ตลอดจนได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการทำงานอย่างบูรณาการ เพื่อส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน.

www.thairath.co.th

นักเรียน หรือ นักเลง จะต้องตายกันอีกกี่ศพ


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย!! กับโศกนาฏกรรมฝีมือ นักเรียน นักเลง...

หากนึกย้อนไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตีกันของนักเรียน-นักเลงเหล่านี้ หลายครั้งผู้เกี่ยวข้องก็จุดเป็นกระแสสังคมให้หลายฝ่ายลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานรัฐบาล และอาจารย์ของแต่ละสถาบัน

ทว่าผลที่ตามมาคือ เหตุการณ์ตีกันของเหล่านักเรียน-นักเลงก็ยังคงดำรงอยู่ ค่านิยมของการฆ่าคู่อริ และชิงเอาศักดิ์ศรีจอมปลอมเหล่านั้นก็ยังไม่หายไป แม้จะเติมแต่งเหตุผลถึงความคะนองของช่วงวัยรุ่นและความเป็นสังคมช่างกลที่ “เราไม่ทำเขา เขาก็ทำเรา” เส้นแบ่งระหว่างความคะนองของวัยรุ่น กับความบ้าคลั่งของอาชญากร ยังเป็นปัญหาซ้ำซากที่ยังแก้ไข้ไม่ได้เสียที

ย้อนระทึก- สถิติความรุนแรง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาช่างกลตีกันเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ปีต่อปีที่ความเสียหายทิ้งเป็นบาดแผลไว้ให้ผู้โชคร้าย จนไม่รู้จะนับเริ่มต้นที่จุดไหน แค่ลองย้อนไปดูในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ความรุนแรงหลายครั้งก็ถูกตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงมาตรการแก้ปัญหาที่ไม่เคยได้ผลเสียที

ตั้งแต่ในปี 2551 มีสถิติการแจ้งเหตุนักเรียนทะเลาะวิวาทรวม 639 ครั้ง โดยหนึ่งในเหยื่อความรุนแรงของปีนั้นคือน้ำผึ้ง กล่ำเพ็ชร หรือพลอย อายุ 31 ปี ผู้จัดการบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ถูกกระสุนปืนลูกหลงที่ยิงขึ้นมาบนรถโดยสารสองแถวจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา

ในปี 2552 แม้หลายฝ่ายจะออกมาย้ำถึงมาตรการแก้ไข แต่ปัญหาช่างกลตีกันยังรุนแรงมากขึ้นกว่าปีก่อน มีตัวเลขรับแจ้งเหตุพุ่งสูงถึง 2,619 ครั้ง เหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความตื่นตระหนกและเย้ยกฎหมายบ้านเมืองอย่างอุกอาจคือเหตุการณ์ฟันผิดตัวที่ ประเสริฐ ระไวกลาง หนุ่มโรงงานวัย 45 ปี ถูกรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นกะโหลกร้าว ซี่โครงหัก เพราะใส่เสื้อช็อปอย่างที่ช่างทั่วไปใส่กัน

ปี 2553 เท่าที่ปรากฏตัวเลขพบว่าเพียงครึ่งปีมีการแจ้งเหตุวิวาทของนักเรียนเข้ามาถึง 881 ครั้ง และเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความเศร้าสลดให้กับผู้คนในสังคมเป็นอย่างมาก เมื่อเหยื่อที่ถูกลูกหลงคือ ด.ช.จตุพร ผลผกา หรือน้องเทียน เด็กนักเรียนชั้นป.3 อายุ 9 ขวบ โดยถูกกระสุนปืนลูกซองเข้าที่ใบหน้าและลำคอเสียชีวิต ผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายออกมาเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

ปี 2554 มีการทำสถิติตลอดทั้งปีไว้ว่ามีคนตายถึง 26 ศพ จากเหตุการณ์นักเรียนตีกันทั้งผู้บริสุทธิ์และเหล่านักเรียนอันธพาล มีเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือ ช่างกลถล่มรถเมล์สาย 45 ขณะจอดป้ายฝั่งตรงข้ามอุดมสุขปากซอยสุขุมวิท 101/1 ฝั่งขาเข้า โดยนักเรียนกว่า 100 คนกรูเข้าปิดถนน และล้อมรถเมล์ก่อนขว้างปาสิ่งของต่างๆ และยิงปืนจนสภาพรถเมล์หลังเกิดเหตุแทบจะไม่เหลือชิ้นดี กิตติโชค แบ่งส่วน คนขับรถเมล์คันดังกล่าวเผยถึงวินาทีเฉียดตายว่า ถูกจี้ด้วยปืนพร้อมมีดดาบพาดอยู่ที่คอก่อนตัวเองจะอาศัยช่วงชุลมุนเอาชีวิตรอดมาได้

และเมื่อต้นปี 2555 เหยื่อคนแรกที่เป็นข่าวก็คือ จักรพันธ์ โคตรจักร อายุ 51 ปี พนักงานขับรถเมล์สาย 131 ถูกกระสุนเข้าที่ชายโครงขวาหนึ่งนัด จากนักเรียนที่ขับมอเตอร์ไซค์ประกบเพื่อยิงคู่อริที่อยู่บนรถเมล์ โดยโอภาท เพชรมุณี ผู้อำนวยการ ขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร(ขสมก.) เผยถึงความเสียหายจากเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดกับขสมก.ว่า ในปี2553 เกิดเหตุ 128 ครั้ง เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 4 คนและในปี 2554 เกิดเหตุ 106 ครั้ง เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 2 คน และปีนี้เกิดเหตุไปแล้ว 28ครั้ง เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 1 คนและเสียชีวิต 1 คน

ผักชีโรยหน้า

จากหลายกรณีข่าวที่เกิดขึ้น มาตรการแก้ไขปัญหาที่มาจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานรัฐอย่างกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงอาจารย์ของแต่ละสถาบันที่จับมือกันแก้ไขปัญหา โดยมาตรการที่ดูจะเป็นรูปธรรมที่สุดเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ของน้องเทียนปี 2553 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) มีมาตรการตั้งแต่การดูแลจุดเสี่ยง โดยจะตั้งศูนย์ป้องกันการทะเลาะวิวาทของเยาวชน และติดกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(ซีซีทีวี) รวมถึงการจัดกิจกรรมให้นักเรียนจากสถาบันอาชีวศึกษามาร่วมกันทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในช่วงปิดภาคเรียน ที่วังตระไคร้ จังหวัดนครนายก แต่ก็ไม่ได้มีการจัดค่ายอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังเคยมีความคิดที่จะปิดสถาบันการศึกษาเหล่านี้เป็นการถาวร แต่ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง มีเพียงช่วงปี 2554 ที่เกิดเหตุวิวาทใหญ่ในวันเดียวกันถึงสองครั้ง ทำให้ชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ในตอนนั้นได้สั่งการให้คณะกรรมสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) ปิดโรงเรียนที่ก่อเหตุเป็นเวลา 7 วัน

ล่าสุดหลังเหตุการณ์ยิงคนขับรถเมล์ ศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เผยถึงมาตรการแก้ไขหลังประชุมกับอาจารย์ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้แทนจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) โดยจะมีการติดกล้องซีซีทีวี ด้านซ้ายของรถประจำทางสายที่สุ่มเสี่ยงซึ่งวิ่งผ่านวิทยาลัยอาชีวะกลุ่มเสี่ยงกว่า 10 แห่ง โดยเชื่อว่านักเรียนที่ก่อเหตุจะกลัวกล้องวงจรปิด!!

มาตรการเหล่านี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นตามกระแสเหตุการณ์เท่านั้น ในมุมมองของธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เห็นว่าการจะแก้ไขปัญหานี้ได้ จำเป็นต้องมีมาตรการออกมาอย่างเป็นระบบ และทำอย่างต่อเนื่องเป็นระยะยาวเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสร้างค่านิยมใหม่ให้กับเยาวชน

“เรื่องนักเรียนตีกันมีมานานมากแล้ว มีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในโรงเรียนด้วยกัน หรือในชุมชน ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เป็นไปตามวัยตามหลักจิตวิทยาวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงวัยที่ต้องการการยอมรับ จนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะหันมาคิดกันว่า ทำอย่างนั้นไปได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องทำคือลดจำนวนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด และต้องลดความรุนแรงของเหตุการณ์ด้วย”

ในฐานะที่ทำงานกับเยาวชนมาตลอด แม้นักเรียนอาชีวะมากมายจะสร้างชื่อเสียงในทางที่ดี และมีหนทางที่เป็นแบบอย่างที่ดีอยู่ ทว่าวัยรุ่นนั้นเป็นวัยต่อต้าน เขาเห็นว่า การสั่งให้วัยรุ่นทำตามที่บอกนั้นเป็นวิธีการที่ยังไม่เหมาะสมนัก

“ต้องเน้นกระบวนการมีส่วนร่วม ตั้งกระทู้ให้เขาได้คิดเองว่าชีวิตควรเลือกเดินไปทางไหน”

โดยวิธีการหนึ่งที่เขายกตัวอย่าง จากกรณีที่เคยเกิดขึ้นมานานแล้วก่อนมีโรงเรียนเตรียมทหาร นักเรียนตำรวจ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศก็เคยยกพวกตีกันมาก่อน แต่เมื่อมีโรงเรียนเตรียมทหารที่ทำให้นักเรียนทั้งสี่เหล่ารู้จักกันมาก่อนและทำให้ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก

“ถ้าให้ทำแบบนั้น ปีหนึ่งมารวมกันหมด มันคงทำไม่ได้เพราะสถาบันสอนอาชีวะมีเยอะมาก สิ่งที่ทำได้คือการจัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อวางรากฐานให้เด็กรู้จักกัน ทำรุ่นต่อรุ่น สร้างกิจกรรมทำประโยชน์ให้กับสังคม ต้องทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพื่อให้เกิดค่านิยม วัฒนธรรมใหม่ ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน”

ต่อเรื่องผลเสียหายของเยาวชนที่เสียคน ธวัชชัยเล่าถึงงานวิจัยเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นว่า เงินที่ใช้ให้การทำให้เด็กพวกนี้กลับมาต้องใช้จ่ายเป็นเจ็ดเท่าของเงินที่ให้ป้องกันเด็กเหล่านี้

“การลงทุนให้การวางรากฐานป้องกันไม่ให้เด็กพวกนี้เสียคน ใช้เงินน้อยกว่าการนำเด็กพวกนี้กลับมา นั่นคือเราควรเริ่มต้นป้องกันในระยะยาวได้แล้ว”

แต่ปัจจุบันสิ่งที่ขาดก็คือมาตรการที่ลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เป็นระบบ และต่อเนื่อง เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วการแก้ไขปัญหาที่ฝังรากมาอย่างยาวนานจึงเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หลายคนได้ยินคำว่า ขอให้เป็นคนสุดท้ายต่อกรณีเหล่านี้มาจนชาชินแล้ว และดูเหมือนเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับความไร้ระเบียบของสังคม ความบ้าคลั่งของวัยคะนอง และความล้มเหลวของการแก้ไขปัญหานี้ยังคงจะมีต่อไป

10 จุดเสี่ยงภัยที่ควรระวัง
ถนนเพชรเกษม / บางกะปิ / พระโขนง / ถนนพหลโยธิน / เมืองเอก / สุขุมวิท / แยกบางนา / มีนบุรี / เซียร์รังสิต / บางแค

news.hunsa.com

สะพานติณสูลานนท์ หริอ สะพานติณ สะพานที่เป็นที่สุดของไทย

สถานที่อันเป็นที่สุดของประเทศไทยซ่อนตัวอยู่มากมายตามภูมิภาคต่างๆ วันนี้  อยากจะขอแนะนำ สะพานติณสูลานนท์ จ.สงขลาซึ่งเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความอัศจรรย์ที่สุดในไทยและความงดงามที่มนุษย์สรรสร้างขึ้น

สะพานติณสูลานนท์ หรือที่ชาวสงขลาเรียกว่า สะพานติณ และสะพานเปรม สร้างขึ้นในสมัย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสำคัญของจังหวัดสงขลา มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศและเก็บภาพความประทับใจมากมาย สะพานติณสูลานนท์ มีจุดประสงค์หลักเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว และแบ่งเบาจำนวนรถในการข้ามแพขนานยนต์ เพราะยิ่งเวลาผ่านไปปริมาณรถยนต์ที่มาใช้บริการก็เพิ่มขึ้นทำให้การเดินทางต้องใช้เวลานาน

หลังจากที่สร้างสะพานเสร็จแล้ว ชาวสงขลาก็มีสถานที่เป็นที่สุดในไทยเกิดขึ้น เพราะสะพานติณสูลานนท์ถือเป็น สะพานข้ามทะเลสาบที่ยาวที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย ในสมัยนั้น สะพานเป็นแบ่งเป็น 2 ช่วง โดยเชื่อมเกาะยอทั้ง 2 ด้าน ช่วงแรกเชื่อมระหว่างชายฝั่ง บ้านน้ำกระจาย อ.เมืองสงขลา กับตอนใต้ของเกาะยอ ความยาว 940 เมตร ช่วงที่สองเชื่อมระหว่างตอนเหนือของเกาะยอกับชายฝั่ง บ้านเขาเขียว อ.สิงหนคร ความยามว 1,700 เมตร รวมทั้งสองตอนมีความยาว 2,640 เมตร

นอกจากจะใช้เป็นเส้นทางคมมาคมที่มีความสำคัญของ จ.สงขลาแล้ว สะพานติณสูลานนท์ ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมากมายและมีวิวทะเลสาบที่มองเห็นได้สุดลูกหูลูกตาเป็นตัวดึงดูดความสนใจนักเดินทางเป็นอย่างยิ่ง




www.dailynews.co.th

Chernobyl Diaries – ทัวร์นรกเมืองนิวเคลียร์

ที่มาหรือจุดเริ่มต้นของหนังสักเรื่องก่อนที่จะสร้างขึ้นมานั้น จำเป็นต้องมีเรื่องราวที่จะนำมาบอกเล่า และหากเรื่องราวที่จะนำมาบอกเล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงใน ประวัติศาสตร์ ความน่าสนใจของตัวหนังก็จะมีมากยิ่งขึ้นและฝ่ายการตลาดของหนังก็จะสามารถทำ การประชาสัมพันธ์หนังได้ง่ายขึ้นด้วย เช่นเดียวกับเรื่อง Chernobyl Diaries ที่ได้นำเหตุการณ์จริงในอดีตที่เคยเกิดขึ้นที่มีชื่อเรียกว่า โศกนาฏกรรมที่เชอร์โนบิล (Chernobyl Disaster) มาเป็นจุดขาย!

Chernobyl Diaries กำกับโดย แบรดลี่ย์ พาร์คเกอร์ (Bradley Parker) อดีตผู้กำกับกองสองของ Let Me In (2010) ที่ได้รับโอกาสขึ้นมาเป็นผู้กำักับหนังเต็มตัวเป็นครั้งแรก เรื่องราวเิริ่มต้นเมื่อกลุ่มนักท่องเที่ยว คริส (เจสซี่ แมคคาร์ทนี่ย์)และแฟนสาวนาตาลี (โอลิเวีย เทย์เลอร์ ดัดลี่ย์) พร้อมด้วยเพื่อน อแมนด้า (เดวิน เคลลี่ย์) ที่เดินทางไปทั่วยุโรปจนมาถึงเมืองเคียฟ ประเทศยูเครน เพื่อพบกับ พอล (โจนาธาน ชาโดวสกี้) พี่ชายของคริส ซึ่งพอลก็เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยการแนะนำทัวร์สุดพิเศษ เมืองพริพยาท (Prypiat) อันเป็นส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลที่ตอนนี้กลายสภาพเป็น เมืองร้าง โดยการนำของ ยูริ (ดิมิทรี่ เดียทเชนโก้) หัวหน้าทัวร์เจ้าถิ่น ซึ่งพวกเขาหารู้ไม่ว่าการตัดสินใจไปทัวร์ในครั้งนี้อาจเป็นการออกทัวร์ครั้งสุดท้ายในชีวิต!

ย้อนอดีตกันสักนิด! วันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 หรือเมื่อ 26 ปีก่อน นิคมเชอร์โนบิล ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ใกล้เมือง พริเพียต ทางตอนเหนือของ ยูเครน ใกล้ชายแดน เบลารุส ซึ่งในขณะนั้นยูเครน และ เบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของ สหภาพโซเวียต ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้นที่โรงไฟฟ้าโรงที่ 4 ได้ระเบิดขึ้น เกิดไฟไหม้อย่างต่อเนื่องหลายวันและมีการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีที่ มากเกินกว่าจะควบคุม มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่าครึ่งร้อย และต้องอพยพผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้น สุดท้ายพื้นที่ดังกล่าวได้กลายสภาพเป็นเมืองร้าง ปัจจุบันบางพื้นที่ได้ถูกปรับสภาพจนสามารถอาศัยอยู่ได้ แต่บางส่วนนั้นยังคงเป็นพื้นที่หวงห้ามเนื่องจากยังมีสารกัมมันตรังสีตก ค้างอยู่เป็นจำนวนมหาศาล เหตุการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและเป็นระยะเวลายาวนาน และมีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก โดยเมื่อปี 2005 สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA : International Atomic Energy Agency) และ องค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization) ได้ประมาณการว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดโดยตรงมากกว่า 600,000 คน มีผู้เสียชีวิตทันทีจากการระเบิด 56 คน และมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีกว่า 4,000 คน

เมื่อพิจารณากับเหตุการณ์ข้างต้นก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเรื่องราวของเชอร์โน บิลถึงได้มีเสน่ห์ และถูกนำมาเสริมเติมแต่งสร้างเรื่องราวในหลายรูปแบบโดยเฉพาะเกมคอมพิวเตอร์ ที่หากใครเคยเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลมา ก่อนเมื่อเห็นตัวอย่างหนังก็พอจะเดาเนื้อเรื่องได้เลย! อย่างไรก็ตามเพียงแค่ตัวอย่างหนังที่ออกมาให้ชม ก็นับว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ทำตัวอย่างออกมาได้น่าสนใจดีทีเดียว แม้จะรู้สึกว่าเรื่องราวคล้ายๆ กับเกมบ้างก็เถอะ แต่ก็หวังว่าใน Chernobyl Diaries จะมีอะไรที่มากกว่าตัวอย่างหนังมี เมื่อได้ โอเรน เพลี่ (Oren Peli) ผู้สร้างไตรภาคสุดหลอน Paranormal Activity มาดูแลงานสร้างและร่วมเขียนบทภาพยนตร์

ช่วงแรกของหนังปูเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครไว้น่าสนใจ ทั้งเรื่องของคริสที่หวังจะขอแฟนสาวนาตาลีแต่งงานที่มอสโก จึงได้แวะมาบอกพี่ชายที่จากบ้านไปนาน ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคริสและพอลที่รู้สึกว่าพอลจะเคยทำอะไรไว้ไม่ดี กับครอบครัวจนต้องออกมาใช้ชีวิตคนเดียวเพียงลำพัง ที่พอลดูจะพยายามแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นพี่ที่พึ่งพาได้ และการสานสัมพันธ์ของพอลที่มีต่อสาวอแมนด้าที่แม้ว่าฝ่ายหญิงดูจะไม่มีใจแต่ ทั้งคู่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน หนังวางให้ผู้ชมเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปทัวร์ด้วยกัน ฉะนั้นการทำความรู้จักให้เราทราบที่มาที่ไปของตัวละครก็นับว่าเป็นสิ่งที่ ถูกต้อง ซึ่งช่วงแรกของทัวร์เป็นไปด้วยความสนุกสนาน แม้จะมีสิ่งที่เป็นลางบอกเหตุไม่ดีอยู่บ้างก็ตาม จนทำให้นึกไปว่าเรากำลังจะได้ดูหนังเขย่าขวัญชั้นดีอีกเรื่อง แต่นั่นคือความเข้าใจที่ผิด!

หนังมาพร้อมกับลูกเล่นๆ เดิม มุมกล้องเดิมๆ ซึ่งจะตอบสนองได้ดีต่อผู้ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูหนังประเภทนี้ แต่หากเป็นคนที่เคยดูหนังแนวนี้มาก่อนจะไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับวิธีการ เล่าเรื่อง และถึงแม้เป็นแบบนั้นหนังก็ยังทำได้ดีในระดับหนึ่ง ในการสร้างเงื่อนไขมาบีบคั้นต่อสถานการณ์ในเรื่อง เมื่อพื้นที่โดยรอบเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ยังคงมีสารกัมมันตรังสีตก ค้างอยู่ที่สามารถสร้างอันตรายต่อผู้ที่เข้าใกล้ เมืองร้างซึ่งอยู่ในเขตหวงห้ามที่ห่างจากความช่วยเหลือจากโลกภายนอก และความมืดมิดที่สร้างความไม่น่าไว้วางใจให้หนักข้อขึ้นไปอีก และด้วยการที่เรื่องราวโฟกัสไปที่กลุ่มทัวร์เพียงจุดเดียวก็เป็นอีกเงื่อนไข หนึ่งที่ทำให้ผู้ชมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าเท่าๆ กับที่ตัวละครในเรื่องรู้ ซึ่งนั่นยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นให้มากขึ้นไปอีกว่าสิ่งที่มาโจมตีตัว ละครนั้นมันคืออะไร? เป็นซอมบี้ วิญญาณ หรือคนที่กลายสภาพหลังจากได้รับสารกัมมันตรังสี!

ด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้เราสามารถติดตามการหลบหนีออกจากโรงไฟฟ้า และพยายามเอาใจช่วยให้มีใครสามารถรอดออกไปได้บ้าง แต่ด้วยความสมเหตุสมผลที่ Chernobyl Diaries ดูจะมีปัญหา! พลอยทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อหนังในช่วงต้นค่อยๆ ลดลงเมื่อเข้าสู่กลางเรื่องและแทบไม่เหลือเมื่อฉากสุดท้ายได้จบลง อันเรื่องจากการกระทำของตัวละครดูไร้สติเกินไป เพียงแค่เสียงแปลกๆ ที่ได้ยินก็ทำให้ตัวละคร 2 ตัว เลือกที่จะออกจากสถานที่ปลอดภัย ไปเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไรข้างนอกท่ามกลางความมืดมิด และรอดกลับมาเพียง 1 คน แถมบาดเจ็บสาหัสเป็นตัวถ่วงของทีมไป หรืออีกเหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดถึงความไร้สติการที่กลุ่มตัวละครได้แผนที่ของ โรงไฟฟ้าแต่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้เลย ทุกคนต้องการที่จะหนีออกจากที่แห่งนี้แต่สุดท้ายกลายเป็นถลำลึกเข้าเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว (ได้ยังไง?) นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ยิบย่อยอีกพอสมควรที่หากเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียว กับตัวละครคงรู้ถึงอันตรายและไม่มีทางทำแน่ๆ

กลายเป็นว่าสิ่งที่ดีที่สุดใน Chernobyl Diaries คือ เรื่องราวที่หยิบจับขึ้นมาทำหนัง ตัวอย่างหนังและช่วงแรกของเรื่อง ที่พอจะให้้เรารู้สึกตื่นเต้นวนติดตาม แต่หลังจากนั้นจนไปสู่บทสรุปในตอนท้าย…ลืมมันไปเถอะ!! เมื่อดูจบแล้วเกิดความรู้สึกหดหู่ หดหู่ในที่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชะตาของตัวละครในเรื่อง แต่หดหู่กับวิธีการนำเสนอของหนังที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างไปกับการสร้าง เสียงกรีดร้องและความน่าสะพรึงกลัวที่ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่านั่นคือความ บันเทิง! และเลือกที่จะละเลยองค์ประกอบดีๆ ที่สร้างขึ้นมาเอง ทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครที่พอมีอะไรให้จับต้อง รายละเอียดที่สามารถเติมแต่งให้ได้กับสิ่งมีชีวิตปริศนาในโรงไฟฟ้าเชอร์โน บิล และสุดท้ายความลึกลับของตัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลที่ถูกทิ้งร้างนั้น เบื้องหลังมีอะไรซุกซ่อนอยู่ ที่เมื่อจบแล้วพบแต่ความว่างเปล่าคงเหลือแต่คำถามที่ไม่ได้คำตอบเช่นเดียว กับสารกัมมันตรังสีที่ตกข้างอยู่ในโรงไฟฟ้า!

Chernobyl Diaries ผมให้ 1 ดาว (เต็ม 5)

โดย Charthree
http://charthree.wordpress.com



movie.mthai.com

คนไทยเจ๋ง สร้างรถสะเทินน้ำสะเทินบก

จากเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วมในปลายปี 2554 ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก ทั้งที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน รวมทั้งทรัพย์สินอันมีค่าอื่นๆ จนมิอาจสามารถประเมินความเสียหายได้ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต่างพยายามช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้น แต่ยานพาหนะที่จะเดินทางไปช่วยเหลือขนส่งอาหาร และสิ่งจำเป็นสำหรับดำเนินชีวิต รวมทั้งการขนย้ายประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัยนั้นมีเพียงรถของทหาร หรือเรือเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถเข้าไปได้ทั่วทุกพื้นที่

 

 

จากเหตุผลข้างต้น นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ตระหนักถึงภารกิจในการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนในช่วงที่มีอุทกภัย ทั้งยังมีนโยบายในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อาชีวศึกษาไทยก้าวสู่อาเซียน

“หลังเกิดเหตุการณ์อุทกภัย จึงต้องการให้ความสนใจในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทั่วถึง และไม่ว่าในปี 2555 นี้จะเกิดเหตุการณ์อุทกภัยอีกหรือไม่ แต่เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือเหตุการณ์ในอนาคตที่เราไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้มีความพยายามคิดค้นประดิษฐ์ยานพาหนะที่สามารถวิ่งได้ทั้งบนบกและผิวน้ำ นอกจากนี้ยังต้องการให้อาชีวศึกษามีการพัฒนาในด้านที่ 3 คือ การสร้างสิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ดีในไทย เก่งผลิตค้าผลิตขายในอาเซียน ศิษย์/ครูอาชีวะต้องสร้างอัตลักษณ์แห่งตน ผลผลิตแห่งการเรียน เก่งปฏิบัติ ต้องคิดเก่ง ทำเก่ง ออกมาเป็นชิ้นงานที่สามารถทำเงินได้หรือสร้างมูลค่าเพิ่ม ผลิตเชิงพาณิชย์ และในมาตรฐานที่ 5 คือ ด้านนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ งานสร้างสรรค์ งานวิจัย ด้วยการนำอุปกรณ์ในท้องถิ่นมาประดิษฐ์เป็นชิ้นงาน” นายศักดา กล่าว

สำหรับรถสะเทินน้ำสะเทินบกที่ประดิษฐ์ขึ้นนั้น เป็นรถต้นแบบสามารถวิ่งได้ทั้งบนบกและบนผิวน้ำ จำนวน 1 คัน ตัวถังของรถทำจากไฟเบอร์กลาส มีล้อข้างละ 4 ล้อ รวม 8 ล้อ มีเครื่องยนต์แก็สโซลีนขนาด 850 ซีซี ขับเคลื่อนโดยระบบเกียร์และโซ่ ส่วนการขับเคลื่อนบนผิวน้ำจะใช้ใบจักรเรือ สามารถบรรทุกคนได้ 5 คน หรือรับน้ำหนักได้ถึง 300 กิโลกรัม

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรถสะเทินน้ำสะเทินบกได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โทร. 0-2281-5555 หรือทาง www.vec.go.th



www.newswit.com

ญาติรับศพเหยื่อนร.ช่างยิงรถเมล์สาย59

ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุนักเรียนช่างยิงปืนใส่รถเมล์สาย 59 เข้ารับศพไปประกอบพิธีทางศาสนาแล้ว ฝากหันหน้ามาเป็นมิตรกันดีกว่า แนะผู้เกี่ยวข้องเข้ามาดูแล

นายเริงชัย ไพรโสภา และนางยุพิน ถนอมนุ่ม สามีและพี่สาวฝาแผดของนางยุพา พลายงาม เดินทางมารับศพนางยุพา ผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตจากการโดนลูกหลง จากเหตุนักเรียนใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดไล่ยิงคู่อริ ต่างสถาบัน บนรถประจำทางสาย 59 บริเวณป้ายรถโดยสารประจำทางริมถนนวิภาวดีขาออกมุ่งหน้ารังสิต เมื่อวานที่ผ่านมา


โดย นางยุพิน ถนอมนุ่ม พี่สาว ฝาแฝดของ นางยุพา พรายงาม กล่าวทั้งน้ำตา ว่าน้องสาวเป็นคนดี ทำมาหากินโดยสุจริตมาโดยตลอด และรู้สึกเสียใจ ซึ่งไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทั้งนี้ตนอยากจะให้ปิดโรงเรียนทั้งสองคู่กรณีดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครต้องตกเป็นเหยื่อ หรือโดนลูกหลง ในเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้อีก


ขณะที่ นายเริงชัย ชัยโสภา สามีผู้เสียชีวิต เล่าว่า ภรรยาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่บริษัทสินทรัพย์ และใช้บริการรถเมล์สาย 59 อยู่เป็นประจำ โดยตนได้คอยเตือนภรรยาให้ระวังตัวอยู่เสมอ เนื่องจากเส้นทางนี้มักเกิดเหตุเด็กนักเรียนตีกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับครอบครัวตัวเอง อย่างไรก็ตามตนไม่ได้อยากเรียกร้องสิ่งใดๆกับใคร เพียงแค่อยากได้ชีวิตของภรรยากลับคืนทั้งนี้ตนเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดของโรงเรียนแต่อยู่ที่ตัวเด็กที่เป็นคนก่อเหตุ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากฝากไปถึงกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในวัยคึกคนองให้เลิกค่านิยมที่ผิดๆเช่นนี้ พร้อมกับฝากไปยังผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องให้ช่วยเข้ามาดำเนินการขั้นเด็ดขาดด้วย

ขณะที่ ด.ต.วน ทองสองแก้ว ผบ.หมู่ปราบปราม สภ.ธัญบุรี พร้อมด้วยนางอัฉรียา หยาดน้ำ ภรรยา ก็เดินทางมารับศพของนายวันชัย ทองสองแก้ว นักศึกษาปวส.ปี 1ลูกชาย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมเล่าว่า ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ลูกชายของตนเคยเรียนที่ไทยวิจิตรศิลป์ เมื่อตอนอยู่ชั้น ปวช.ปี 1- 3 และย้ายไปเรียนที่ม.อีสเทิน เอเซีย ก่อนจะย้ายกลับมาเรียนที่ไทยวิจิตรศิลป์ อีกครั้งได้เพียง 3 วันก่อนเกิดเหตุ ซึ่งตนก็พึ่งจะทราบ โดยก่อนหน้านี้ลูกชายก็ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ปกติจะขับรถจักรยานยนต์ไปเรียนเอง แต่ในวันเกิดเหตุได้จอดรถไว้ที่ห้างฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต ก่อนที่จะขึ้นรถเมล์สาย 59 และเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น


สำหรับการติดตามความคืบหน้าของคดีนั้น ด.ต.วน กล่าวว่าขณะนี้ตนยังไม่ได้เข้าไปดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด คงต้องรอให้จัดงานศพของลูกชายเสร็จก่อน แต่ขอฝากไปยังวัยรุ่นทุกสถาบันให้หันหน้ามาเป็นมิตรกันดีกว่า เพื่อไม่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งตนก็พร้อมที่จะอโหสิกรรมให้กับคนก่อเหตุด้วย ก่อนจะนำศพลูกชายไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดนาบุญ เพื่อทำพิธีทางศาสนาต่อไป

ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของนางยุพา แพทย์ระบุว่า กระสุนปืนทำลายสมองทำให้เสียชีวิตทันที ส่วน สาเหตุการเสียชีวิตของ นายวันชัย ทองสองแก้ว นักศึกษาปวส. ชั้นปีที่ 1 โรงเรียนไทยวิจิตรศิลป์ ผู้ เสีบชีวิตอีกรายหนึ่ง แพทย์ระบุว่า กระสุนปืนทำลาย ปอดและหัวใจ ทำให้เสียชีวิต



www.posttoday.com

นิทรรศการเดี่ยวของศิลปิน สาวชาวเยอรมัน Nora Rochel

อัตตาแกลเลอรี่ภูมิใจนำเสนอนิทรรศการเดี่ยวของ One Piece by Nora Rochel19 มิถุนายน-14 กรกฎาคม 2555

อัตตาแกลเลอรี่ (ATTA Gallery) แกลเลอรี่เฉพาะทางแห่งเดียวในประเทศไทยที่นำ เสนองานเครื่องประดับศิลป์ร่วมสมัย มีความภูมิใจนำเสนอนิทรรศการเดี่ยวของศิลปิน สาวชาวเยอรมัน Nora Rochel ระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน - 14 กรกฎาคม 2555 โดยจะมีงานเปิดนิทรรศการในวันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2555 ระหว่างเวลา 18:30 -20:30 น.

 

 

Nora Rochel เกิดในปี คศ. 1979 ที่เมือง Heidelberg ประเทศเยอรมันนี โดยมี คุณพ่อเป็นชาวเยอรมัน และ คุณแม่เป็นชาวเกาหลี เธอจบการศึกษาทางด้านการ ออกแบบเครื่องประดับในปี คศ. 2009 จาก University of Applied Science ในเมือง Pforzheim ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆในยุโรปทางด้านการออกแบบเครื่อง ประดับ ระหว่างนั้นเธอยังได้เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ Kookmin University ประเทศเกาหลีอีกด้วย

ในขณะที่งานเครื่องประดับของเธอนั้นมีการนำเสนอดอกไม้ที่แสดงออกถึงคุณลักษณะของความเป็นหญิง (femininity) เป็นจุดเด่น แต่ผลงานของเธอนั้นยังสามารถ สื่อให้เห็นถึงร่องรอยของการแสดงออกถึงความเป็นชาย (masculinity) ที่เป็นจุดเด่น ของเทคนิดการหล่อที่เธอใช้ในการสร้างชิ้นงานอีกด้วย ผลงานของเธอนั้นได้รับการ ยอมรับผ่านการจัดแสดงนิทรรศการ การประกวดผลงาน และ หนังสือเกี่ยวกับ การออกแบบเครื่องประดับระดับสากลหลายเล่ม Nora เคยจัด การแสดง นิทรรศการในทวีปเอเชียมาแล้ว แต่นี้เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้นำเสนอผลงาน ที่น่าสนใจ ของเธอในประเทศไทย

ผลงานชุดใหม่ของ Nora Rochel ที่มีชื่อว่า Once Piece นั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ เทคนิกการหล่อที่เป็นเทคนิกที่มีมาแต่โบราณ กาล และ เป็นการให้ความหมายใหม่ กับคำว่า One Piece โดยการนำต้น แบบที่เป็นแว๊กซ์ ของเธอนั้นไปหล่อให้ออกมาเป็นชิ้นเดียว โดยที่ไม่ต้องเอาชิ้นส่วน ต่างๆ นั้นมาประกอบกันด้วยเทคนิกอื่นๆ เช่นการเชื่อม เป็นต้น นอกจากนั้น เธอยังมองเห็นถึงมุมมองที่แอบขบขันที่ว่าเสื้อ และ กระโปรงนั้น สามารถถูกมองว่า เป็นชิ้นส่วนของงานแยกชิ้น ที่ถ้านำมาหล่อเข้าด้วยกันให้เป็นชิ้นเดียวก็จะกลายเป็น ชุดหนึ่งชุด ดังนั้นเธอจึงได้นำเอาองค์ประกอบบางอย่างของการตัดเย็บเสื้อผ้า และ องค์ประกอบของลวดลายของผ้าลูกไม้ มาผสมผสานกับสวนดอกไม้ของเธอในแง่มุม ที่คาดไม่ถึง

อัตตาแกลเลอรี่ ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2553 โดยบริษัท เอ. ที. ดีไซน์แอนด์จิวเวลรี่ จำกัด และ มีอตินุช ตันติวิท ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารแกลเลอรี่

อัตตาแกลเลอรี่จัดแสดงและขายงานของศิลปินและนักออกแบบทั้งชาวไทย และ ต่าง ชาติโดยมีจุดประสงค์ที่จะสนับสนุนการแสดงออกถึง “อัตตา” หรือ ตัวตนของศิลปิน ในการสร้างานศิลปะที่สามารถสวมใส่ได้ อัตตาแกลเลอรี่ มีการจัดนิทรรศการแสดงงาน 6-8 ครั้งต่อปี นอกจากนั้นแล้ว อัตตาแกลเลอรี่ยังมีงานของศิลปินในสังกัดให้ชม และ เลือกซื้อได้ตลอดทั้งปี

อัตตาแกลเลอรี่เปิดให้บริการในวันอังคาร ถึง วันเสาร์ เวลา 12:00-19:30 และ ในวันอาทิตย์ เวลา 13:00-18:30 หรือ ตามนัด โดยมีวันหยุดประจำ ของแกลเลอรี่คือทุกวันจันทร์ และวันอาทิตย์สุดที่สามของเดือน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยว กับศิลปิน และนิทรรศการแสดงงานสามารถดูได้ที่ www.attagallery.com



www.newswit.com

งานเทศกาลภาพยนตร์ “มูฟวิมูฟ – อิตาเลี่ยน 2012” เปิดชมฟรี

สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ร่วมกับมร.กอฟเฟรโด เบตตินี สมาชิกวุฒิสภาอิตาลี และโรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า เตรียมส่ง 15 ภาพยนตร์แดนมักกะโรนี และ5 ภาพยนตร์ไทย ในงานเทศกาลภาพยนตร์ “มูฟวิมูฟ – อิตาเลี่ยน 2012” เปิดชมฟรี!!! พร้อมบรรยายไทยตลอดงาน

 

 

สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ร่วมกับมร.กอฟเฟรโด เบตตินี สมาชิกวุฒิสภาอิตาลี และโรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า จัดงานแถลงข่าว เทศกาลภาพยนตร์มูฟวิมูฟ – อิตาเลี่ยน 2012 (Moviemov – Italian Film Festival 2012) โดยคัดสรร 20 ภาพยนตร์คุณภาพ หลากหลายอรรถรส แบ่งเป็น 7 ภาพยนตร์คลาสสิก และ 8 ภาพยนตร์ร่วมสมัยจากแดนมักกะโรนี พร้อม 5 ภาพยนตร์ผลงานการกำกับของผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย เปิดฉายให้ชมฟรี!!! พร้อมบทบรรยายไทย – อังกฤษ ทุกเรื่องทุกรอบ ระหว่างวันที่ 4 – 7 กรกฎาคมนี้ ที่โรงภาพยนตร์เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยงานนี้ยังชวนคุณเอกชัย เอื้อครองธรรม ผู้กำกับภาพยนตร์และละครเวทีมากความสามารถแฟนพันธุ์แท้ภาพยนตร์อิตาเลี่ยน และคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศไทย เจ้าของผลงานภาพยนตร์เรื่อง “ไม่ได้ขอให้มารัก” และนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศไทย ร่วมการันตีความครบเครื่องของภาพยนตร์ในเทศกาลนี้อีกด้วย

ความโดดเด่นของเทศกาลในครั้งนี้คือการรวบรวมภาพยนตร์คุณภาพเยี่ยมหลากหลายแนว ทั้งภาพยนตร์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของสังคม วัฒนธรรมความเป็นอยู่โดยเน้นให้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมไปถึงสุนทรียภาพทางทัศนียภาพอันงดงามของประเทศอิตาลี ผ่านตัวละครที่โลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์ม ทั้งสิ้น 15 เรื่อง แบ่งเป็นภาพยนตร์คลาสสิกที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากมายทั้งสิ้น 7 เรื่อง และภาพยนตร์ร่วมสมัยที่มีเนื้อหาน่าสนใจ และยังไม่เคยฉายในประเทศไทยมาก่อนทั้งสิ้น 8 เรื่อง และเพื่อให้การจัดงานเทศกาลภาพยนตร์เป็นเสมือนเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนศิลปะการถ่ายทำภาพยนตร์ แนวคิด วัฒนธรรมอย่างแท้จริง จึงได้คัดสรรภาพยนตร์จากฝีมือผู้กำกับภาพยนตร์ไทยทั้งสิ้น 5 เรื่อง ได้แก่ ไม่ได้ขอให้มารัก, เจ้านกกระจอก, ลุงนิ่วไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน, สิ้นเมษาฝนตกมาปรอยปรอย และปาดังเบซาร์ ให้ร่วมฉายในเทศกาล “Moviemov in Rome 2012” ประเทศอิตาลีอีกด้วย

เทศกาลภาพยนตร์มูฟวิมูฟ – อิตาเลี่ยน 2012 (Moviemov – Italian Film Festival 2012) จัดโปรแกรมฉายเพื่อเอาใจคนรักหนังโดยเฉพาะให้ได้ชมภาพยนตร์คุณภาพกันแบบฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมบรรยายไทย - อังกฤษ ทุกเรื่องทุกรอบ ระหว่างวันที่ 4 – 7 กรกฎาคม 2555 สำหรับผู้สนใจร่วมชมภาพยนตร์ในเทศกาลนี้สามารถติดต่อรับบัตรชมภาพยนตร์ได้ที่บูธเเทศกาลภาพยนตร์มูฟวิมูฟ – อิตาเลี่ยน 2012 ก่อนรอบฉายจริง 30 นาที ที่ชั้น 7 โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น!!! โดยเริ่มต้นเทศกาลฯ วันที่ 4 – 6 กรกฎาคม 2555 จัดฉายทั้งสิ้น 3 รอบ ตั้งแต่เวลา 16.00 – 21.00 น. และในวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2555 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลฯจัดฉายทั้งสิ้น 4 รอบ ตั้งแต่ 12.30 – 22.00 น. โดยเฉพาะภาพยนตร์รอบสุดท้ายเป็นภาพยนตร์ 3 มิติเรื่องเดียวในเทศกาลฯนี้ ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่อง Dracula ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ ทั้งนี้สามารถสอบถามรอบฉายภาพยนตร์ หรือรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมที่ SF Call Center และ www.sfcinemacity.com



www.newswit.com

ไฮเออร์ ฉลอง 10 ปี กวาดรายได้ทะลุ 800 ล้าน

ไฮเออร์ประเทศไทยบุกหนัก กวาดรายได้ 5 เดือนแรกปี 55 ทะลุกว่า 800 ล้านบาท จัดงาน Haier Simply Care ฉลองก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ยกสินค้าเปิดตัวเปิดตัวมากมาย “แคร์ ซีรี่ส์” หวังเพิ่มฐานลูกค้า เน้นย้ำการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า ให้เป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า คาดสิ้นปีรายได้แตะตัวเลขกว่า 1,630 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน

 

 

มร. อู๋ หย่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเออร์ อิเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ เปิดเผยว่า ตลอดที่ผ่านมา ไฮเออร์ได้สร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์และพัฒนาสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นสุดยอดเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลกตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ยังคงมีคู่แข่งทางการตลาดสูง ซึ่งในปีนี้คาดว่าตลาดน่าจะขยายตัวเติบโตเกือบเท่าตัว โดยรายได้สินค้าไฮเออร์ทั้งหมดตั้งแต่ มกราคม-พฤษภาคม ที่ผ่านมาตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท

“ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ไฮเออร์ประเทศไทยได้ทำตลาดในเมืองไทยก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 และในโอกาสนี้จึงได้จัดงาน “Haier Simply Care” ใส่ใจ ให้คุณ ให้โลก ซึ่งเป็นการเปิดตัวสินค้ารุ่น “แคร์ซีรี่ส์” กับตู้เย็นไซด์บายไซด์ซีรี่ส์ใหม่ และมีการแสดงสินค้าไฮเออร์มากกว่า 50 รุ่น ด้วยการพัฒนาศักยภาพของแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์(R&D) และทีมงานทั้งหมดของไฮเออร์ที่มีความเข้มแข็ง จึงเป็นสิ่งที่การันตีได้อย่างดีว่าผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของไฮเออร์ โดยเฉพาะสินค้ารุ่น “แคร์ซีรี่ย์”นั้น เกิดจากการวิจัยและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย จนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด เพื่อตอบสนองนวัตกรรมที่อยู่บนพื้นฐานความต้องการของผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคในทุกๆ ด้าน รวมทั้งสินค้ารุ่นนี้ยังเน้นด้านการใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยชิ้นส่วนอุปกรณ์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง และเพื่อเป็นการใส่ใจผู้บริโภคอีกทาง เรายังคงยึดมั่นการรับประกันอะไหล่นานถึง 3 ปี”

มร. อู๋ หย่ง กล่าวว่าการจัดงานและเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดในครั้งนี้ สินค้าตู้เย็น ยังคงเน้นในเรื่องของฟังก์ชั่นและดีไซน์ที่ดูทันสมัย ซึ่งเมื่อปีที่แล้วไฮเออร์มียอดขายตู้เย็นประมาณหนึ่งแสนกว่าตู้ จากการเปิดตัวตู้เย็นแคร์แอนด์คูลไปเมื่อต้นปี และในครึ่งปีแรกปีนี้(มกราคม-พฤษภาคม 2555) ตู้เย็นมียอดจำหน่ายทั้งหมด 350 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งคาดว่าหลังจากการเปิดตัวสินค้า “แคร์ซีรี่ส์” โดยเฉพาะตู้เย็น แคร์แอนด์คูล ซีรี่ส์ใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 17.7Q และ 19Q และมีที่กดน้ำอยู่ด้านนอก อีกทั้งปีนี้ยังมีการเปิดตัวตู้เย็นไซด์บายไซด์ ซีรี่ส์ใหม่ ที่มีดีไซด์ใหม่ทันสมัยกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้ยอดขายตู้เย็นสิ้นปี 2012 เพิ่มขึ้นแน่นอน

“สำหรับเครื่องปรับอากาศ ได้เน้นในเรื่องการสร้างภาพลักษณ์และความรับผิดชอบต่อสังคมในเรื่องของการประหยัดพลังงานและวัสดุที่ใช้ รวมถึงการรับประกันคุณภาพของสินค้าถึง 3 ปี โดยในปีนี้เครื่องปรับอากาศได้มีการเปิดตัวสินค้าซีรี่ส์ใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “แคร์”คือรุ่น แคร์แอนด์โคซี่ ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบหรู โดดเด่นเน้นความคลาสสิก เทคโนโลยีความเงียบและประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยมโดยผ่านการรับรองมาตรฐานประหยัดไฟเบอร์ 5 ใหม่สำหรับปี 2555 ซึ่งต้องมีค่าประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน Energy Efficiency Ratio(EER) ไม่ต่ำกว่า 11.6 ซึ่งไฮเออร์เป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง ซึ่งมาพร้อมกับสโลแกนที่ว่า “เลือกแอร์มาตรฐานใหม่ เลือกไฮเออร์” ซึ่งในครึ่งปีแรกปีนี้(มกราคม-พฤษภาคม 2555)เครื่องปรับอากาศมียอดจำหน่ายกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 35% ของยอดขายทั้งหมด”

มร.อู๋ หย่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าเครื่องซักผ้า ยังคงเน้นคุณสมบัติของสินค้าที่เด่นในเรื่องของฟังก์ชั่น สิ่งที่เน้นมากที่สุดก็คือเรื่องของ Consumer Insight คือจะทำอย่างไรเพื่อจะตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ ซึ่งในงานนี้ได้เปิดตัวเครื่องซักผ้าหนึ่งในสินค้า แคร์ซีรี่ส์ คือรุ่น “แคร์แอนด์คลีน” ที่ได้เปิดตัวโฆษณาใหม่ล่าสุดและออกอากาศตามช่องฟรีทีวีต่างๆ แล้ว และด้วยเทคโนโลยี 3D Water Spray พลังละอองน้ำจากเครื่องซักผ้าไฮเออร์ ทำให้ผงซักฟอกเข้าทำงานล้ำลึกยิ่งขึ้น ฟังก์ชั่น Air Dry ช่วยให้ผ้าหมาดกว่าที่เคย แห้งเร็วกว่าเดิม เพื่อเพิ่มความมั่นใจในความสะอาดฟังก์ชั่นการทำงานน้ำไหลอย่างต่อเนื่องขณะล้างผงซักฟอก ไร้ฟองตกค้าง และโปรแกรมอัตโนมัติ 8 แบบ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปรับระดับน้ำ 8 ระดับ เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อผ้าทุกประเภท อีกทั้ง ตัวเครื่องและอะไหล่รับประกัน 3 ปี และมอเตอร์รับประกันตลอดระยะเวลาถึง 5 ปี ณ ปัจจุบันได้เข้าสู่หน้าฝน ซึ่งเป็นฤดูที่มีการจำหน่ายและการแข่งขันในตลาดเครื่องเครื่องซักผ้าสูง ซึ่งจะทำให้เครื่องซักผ้าไฮเออร์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีของตลาดในรุ่นใหม่ๆ ซึ่งในครึ่งปีแรกปีนี้(มกราคม-พฤษภาคม 2555)เครื่องซักผ้ามียอดจำหน่ายถึง 120 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 15% ของยอดขายทั้งหมด

สำหรับในปี 2012 นี้เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ ได้ตั้งยอดขายโดยประมาณอยู่ที่ 1,630 ล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยรายได้ทั้งหมดน่าจะเติบโตอยู่ที่ 30% จากยอดขายทั้งหมด ทั้งเครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และตู้แช่ เมื่อสิ้นปี 2012 กรรมการผู้จัดการไฮเออร์กล่าว

ไฮเออร์ คือ ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ตลอดจนเป็นผู้ผลิตสินค้าไอที เช่น โน๊ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองชิงเต่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2527 ผลิตภัณฑ์ของไฮเออร์ขณะนี้ มีวางจำหน่ายในประเทศหลักๆ ทั้งในทวีปอเมริกาและในทวีปยุโรปและมีโรงงานผลิตตั้งอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน จอร์แดน ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีมาตรฐานโรงงานที่ทันสมัยที่สุด คลอบคลุมทุกขั้นตอนการผลิต โดยที่สหรัฐอเมริกา มีการจัดตั้งศูนย์กลางการออกแบบที่ ลอสแองเจลลิส โดยมีศูนย์กลางการจัดจำหน่ายที่นิวยอร์ก และศูนย์กลางการผลิตอยู่ที่รัฐเซาท์ แคโรไลนา

โรงงานไฮเออร์ในประเทศไทยตั้งอยู่ที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี โรงงานแห่งนี้ผลิตตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศและตู้แช่สำหรับจัดจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ รวมถึงออสเตรเลียอีกด้วย

ไฮเออร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่มียอดขายตู้เย็น เครื่องซักผ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมากเป็นอันดับ 1 ของโลกจากการจัดอันดับของยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในปี พ.ศ.2551, 2552, 2553 และ 2554



www.newswit.com

ข่าวสาร สโมสรแวดวงกีฬา

ฟุตบอล ยูโร 2012 วันนี้ รอบแรกนัดที่  2 ของ กลุ่ม C คู่แรก อิตาลี พบกับ โครเอเชีย เวลา 23.00 น. และคู่ที่ 2  สเปน พบกับ ไอร์แลนด์ 01.45 น.

ในกรณี ที่เกิดขึ้นกับการบล็อกสัญญาณ ซึ่งไม่เพียงแต่ ฟุตบอลยูโร เท่านั้น คู่มวยโลกระหว่าง แมนนี ปาเกียว กับ ทิโมธี  แบรด-ลีย์ ทาง ช่อง 7 สี เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เช่นเดียวกัน เหตุการณ์ทำนองนี้ยังเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ
เป็นที่น่าแปลกใจเหมือนกันที่ทำไมไม่มีใครพูดถึงความรับผิดชอบของสถานีฟรีทีวีทั้งหลายเลย นอกจากรับเงินมหาศาลจากค่าโฆษณาในทุกวันแล้ว ใครจะรับสัญญาณอย่างไร รับได้มากน้อยแค่ไหน ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ ฟรีทีวี จะรับผิดชอบกันแล้ว ต่อให้ไปเสาะหา ก้างปลา หนวดกุ้ง มาได้ ภาพที่รับได้ก็เหมือนฝนตกซ่าไปหมดทั้งจอ ถึงเวลาที่ กสทช.จะต้องสังคายนาเรื่องนี้กันบ้าง ไม่ใช่ไปเที่ยวลงโทษปรับใครมั่วๆ โดยไม่ดูว่าสาเหตุเริ่มแรกมันมาจากเรื่องอะไรกันแน่ 

จอดำ หรือจะ จอฟ้าถ้ายังมีให้เห็นอยู่ ถึงกระนั้นวงการโฆษณา ก็จะเริ่มตื่นขึ้นมาพบกับความจริงว่า การถ่ายทอดสดกีฬานัดสำคัญๆ แต่ละครั้งนั้น คนดูส่วนมากได้หายไปเพราะไม่สามารถรับชมได้ และถ้าถึงวันนั้น เจ้าของลิขสิทธิ์เองนั่นแหละที่จะเป็นผู้เสียหายเพราะขายโฆษณาไม่ได้
 

วอลเลย์บอลหญิงเวิลด์กรังด์ปรีซ์ รอบคัดเลือก กลุ่มเอฟ เริ่มวันพรุ่งนี้ (15 มิ.ย.) ที่เมือง โคมากิ ของ ญี่ปุ่น  ไทย จะลงสนามพบกับ เปอร์โตริโก เป็นคู่แรก เวลา 13.30 น. (เวลาไทย) นัดที่  2  16 มิ.ย. ไทย พบกับ โดมินิกัน 13.30 น. และนัดสุดท้ายพบกับญี่ปุ่น เวลา 16.00 น. กีฬาไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตามอาฆาต หรือตามล้างแค้นกัน แต่งานนี้ช่วยตบสั่งสอนสาวญี่ปุ่น ซักหน่อยว่า “ทีหลังอย่าทำ ทีหลังอย่าทำ”

นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย  มีคะแนนอยู่ในอันดับที่ 6 จากจำนวนทั้งหมด 16 ทีม ในสัปดาห์แรกที่ผ่าน และจะต้องชิงกันเป็น 1 ใน 6 ทีม เพื่อเข้ารอบสุดท้ายซึ่งตอนนนี้ จีน ในฐานะเจ้าภาพก็ได้เข้ารอบโดยอัตโนมัติไปแล้ว 1 ทีม การเป็น 1 ใน 5 ที ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก แต่ที่สำคัญเราต้องส่งกำลังใจให้สาวไทยสู้กันต่อไป 

เริ่มวันนี้เช่นกัน เอเชียนทัวร์ กลับมาอีกครั้งหลังหยุดพักไปเกือบ 2 เดือนด้วยการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน “ควีนส์คัพ” ที่สันติบุรี สมุยคันทรีคลับ 14-17 มิ.ย.เช่นกัน “โปรช้าง” เชาวลิต ผลาผล แชมป์เก่านำทัพนักกอล์ฟไทยหลายสิบคนลงสู้ในการแข่งขันครั้งนี้ โดยมีสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ส เป็นสปอนเซอร์ของการแข่งขันเหมือนเช่นทุกปี 

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับนักเตะ ฟุตซอลทีมชาติไทย ที่ได้ รองแชมป์เอเชีย ค่ำวันนี้ เวลา 18.30 น. ที่ อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชน กทม. (ไทย-ญี่ปุ่น)

 



www.thairath.co.th

กระตุ้นความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนหลังน้ำท่วม

 

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง กล่าว “การซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมาและการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนว่าประเทศไทยจะสามารถป้องกันภัยพิบัติน้ำท่วมถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ”

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้สัมภาษณ์กับอ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป (OBG: Oxford Business Group) บริษัททำรายงานวิจัย จัดพิมพ์ และเป็นบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ว่าการใช้จ่ายในการซ่อมแซมหลังน้ำท่วมประมาณอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท หรือ 44.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้นและมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายกิตติรัตน์เชื่อมั่นว่าแผนการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำในช่วงสองปีข้างหน้าที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ได้ออกมาถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

นายกิตติรัตน์ กล่าว "การพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำเช่นเดียวกับการฟื้นฟูน้ำท่วมถือเป็นประเด็นหลักของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.)" พร้อมเสริม "การดำเนินการตามนโยบายบางอย่างเช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต้องล่าช้าออกไปเล็กน้อยจากเดือนมกราคมเป็นเดือนเมษายน 2555 เพื่อให้ภาคธุรกิจ ได้มีระยะเวลาเพื่อการฟื้นตัวหลังจากที่น้ำท่วม แต่อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากแผนการพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำควรจะส่งผลกระตุ้นในเชิงบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ"

บทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง จะปรากฏในรายงาน : ประเทศไทยปี 2555 (The Report: Thailand 2012) ซึ่งเป็นคู่มือเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศและโอกาสในการลงทุนฉบับใหม่ จัดพิมพ์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) หลักทรัพย์ธนชาต บริษัทติลลิกี่ แอนด์ กิบบินส์ และบีดีโอ ถือเป็นรายงานฉลองครบรอบสามปี ที่นำเสนอรายละเอียดเป็นหมวดหมู่ให้แก่นักลงทุนชาวต่างชาติ พร้อมทั้งประกอบกับบทสัมภาษณ์ของผู้นำที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมือง เศรษฐกิจ และทางธุรกิจ

นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวถึง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่จะเริ่มในปี 2558 ที่จะส่งผลดีให้แก่นักลงทุนเป็นอย่างมาก รวมถึงการเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้นและฐานการผลิตที่เพิ่มขึ้น

และยังกล่าวต่ออีกว่า ประเทศไทยได้สร้างจุดแข็งของตัวเองขึ้นมา ซึ่งรวมถึงยุทธศาสตร์ที่ตั้งและชื่อเสียงในเรื่องศูนย์กลางอุตสาหกรรมในภูมิภาค เพื่อเตรียมการรวมกลุ่มประเทศอาเซียนที่เต็มรูปแบบ "การรวมตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคจะเป็นผลดีทั้งในเรื่องของสินค้า การให้บริการและการดึงดูดคนให้เข้ามาในภูมิภาครวมทั้งประเทศไทยมากขึ้น" พร้อมเสริม "เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการนี้ รัฐบาลจึงได้มีการวางแผนในะปรับโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรวมกลุ่มอาเซียน."

มร. พอเลียช คูซินาส (Paulius Kuncinas) บรรณาธิการฝ่ายภูมิภาค บริษัท อ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป มีความเห็นเช่นเดียวกับการเปิดพรมแดนทางเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งถือเป็นโอกาสทองที่ดีของประเทศไทยในการเติบโตในระดับภูมิภาค พร้อมกล่าว "ถึงแม้ว่าบางภาคธุรกิจ เช่น การธนาคารและโลจิสติกอาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น แต่เราคิดว่าภาพรวมของการรวมกลุ่มอาเซียนจะเป็นผลดีที่ทำให้มีประสิทธิภาพและการผลิตเพิ่มมากขึ้น"

มร. พอเลียช เสริมว่ารายงาน: ประเทศไทย 2555 จะพิจารณาจากการเรียนรู้จากน้ำท่วมในประเด็นหลัก เช่น การจัดการน้ำ การประกันภัย การก่อสร้างและโลจิสติก และยังรวมถึงการปรับตัวของธุรกิจในช่วงเวลาที่ท้าทายอีกด้วย

"อีกทั้งความเสี่ยงทางการเมืองแล้ว ภาคเอกชนถือว่ามีการดำเนินงานได้ในสภาวะที่ยากลำบากและยังได้เปรียบทางการแข่งขันภายใต้การเติบโตในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจการเกษตร อิเล็กทรอนิกส์และภาคยานยนต์" พร้อมกล่าว "แม้ว่าการเติบโตของประเทศไทยในปีที่แล้วเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่เราเชื่อมั่นว่าประเทศไทยสามารถอยู่บนทิศทางในการเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีเสถียรภาพทางระบบเศรษฐกิจมากที่สุด"

รายงาน : ประเทศไทยปี 2555 (The Report: Thailand 2012) มีการเตรียมการทำวิจัยในประเทศมากกว่าหกเดือน โดยทีมงานของนักวิเคราะห์จากโอบีจี รายงานฉบับนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและเป็นแนวทางที่สำคัญในหลายแง่มุมของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจมหภาค โครงสร้างพื้นฐาน การธนาคารและการพัฒนาภาคการผลิต นอกจากนี้ยังนำเสนอรายละเอียดเป็นหมวดหมู่ให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ ประกอบกับบทสัมภาษณ์ของผู้นำที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมือง เศรษฐกิจ และธุรกิจ โดยรายงานฉบับนี้มีทั้งรูปแบบตีพิมพ์และออนไลน์



www.newswit.com

ณัฐวุฒิ วิเคาระปัญหาญัตติล่มในสภา

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวถึง การที่รัฐสภาไม่สามารถลงมติแสดงความเห็นว่าคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญไม่มีผลผูกพันรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการโต้แย้งกันของ 2 ความคิด ซึ่งตนคิดว่าในการต่อสู้นั้นเป็นไปเพื่อปกป้องประชาธิปไตยที่ไม่สามารถนำมาก้าวก่ายกันได้ อธิบายว่าถ้าเราไม่ได้โหวตก็เท่ากับสร้างความชอบธรรมให้กับศาลรัฐธรรมนูญ แล้วจะกระทบกับประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ที่เอาใจช่วยรัฐบาลมาได้โดยตลอด อีกทั้งไม่มีใครคาดเดาผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหลังการไต่สวนได้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้แจ้งว่าไม่ได้ขัดทุกอย่างก็เดินหน้า แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าขัด คราวนี้ก็จะเกิดวิกฤตทางการเมืองอย่างแน่นอน

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่าเสริมอีกว่า แต่อีกแนวคิดหนึ่ง บอกว่าพิจารณาสถานการณ์รอบด้านในข้อมูลเชิงลึก ที่รัฐบาลเผชิญสถานการณ์อยู่ในความเป็นจริงนั้น ก็เห็นว่าควรชะลอการโหวตออกไปก่อน เพราะถ้าลงมติวาระ 3 รัฐธรรมนูญบัญญัติว่านายกรัฐมนตรี ต้องนำขึ้นทูลเกล้าภายใน 20 วัน ฝ่ายตรงข้ามก็จะนำผลโหวตไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แล้วถ้าไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ อาจจะมีคำสั่ง เช่น ให้ชะลอการยื่นทูลเกล้าฯเพราะเห็นว่ายังเป็นปัญหาอยู่ มองกันว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เป็นอันตราย นายกรัฐมนตรีและครม. ก็จะถูกหมากบังคับเข้าไปสู่อันตราย.


www.dailyworldtoday.com

ประชาคมอาเซียนในไทย

ในห้วงช่วงนี้ ผมอาจจะวกมาเรื่องของประชาคมอาเซียนบ่อยหน่อย เพราะประชาคมอาเซียนจะมีส่วนเกี่ยวดองหนองยุ่งกับปากท้องของคนไทยทั้งประเทศในอนาคตอีกไม่เกิน 3 ปี แต่คนไทยยังรับรู้เรื่องของประชาคมอาเซียนกันน้อยไปหน่อย

ผมท่องอินเตอร์เน็ตเจอข่าวสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทยเปิดเผยผลวิจัยว่า คนกรุงเทพฯและปริมณฑลรู้เรื่องการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนใน พ.ศ.2558 เพียง 49% ส่วนผู้คนอีก 51% ยอมรับว่าไม่เคยได้ยินและไม่เข้าใจคำนี้

ที่น่าตกใจก็คือ กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 25-49 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มหลักในการขับเคลื่อนประเทศ กลายเป็นช่วงอายุของคนที่ทราบรายละเอียดของเออีซีกันน้อยกว่าคนช่วงอายุอื่น

ถึงแม้กลุ่มคนที่รู้เรื่องเออีซี พวกนี้ส่วนใหญ่ก็ยังรู้อย่างกระจัดกระจาย ผิวเผิน ไม่ลึกซึ้ง 21% ของคนที่ตอบแบบสอบถามบอกว่า ตนทราบแต่เพียงว่าเออีซีเป็นการรวมตัวของประชาชนในเขตเอเชียเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าเท่านั้น

ผลการวิจัยของสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทยยังมีอีกเยอะครับ อ่านแล้วก็เกิดความตระหนกตกใจในความรู้ความเข้าใจของคนไทยเกี่ยวกับเออีซีที่มีน้อยมาก

ผมชอบอ่านผลวิจัยเพราะเป็นวิทยาศาสตร์ และมีทฤษฎีรองรับอย่างถูกต้อง แต่นอกเหนือจากงานการวิจัย ผมก็นึกถึงเรื่องความรู้เรื่องภาษา วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของคนในประเทศกลุ่มอาเซียนด้วยกัน

ยกตัวอย่างเช่น ในแต่ละปีมีคนพม่าเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นแสนคน ตัวเลขของแรงงานพม่าที่เคยผ่านเมืองไทยสะสมมาในห้วงช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผมว่าน่าจะเกิน 5 ล้านคน คนพม่าที่เคยผ่านประเทศไทยเหล่านี้เข้าใจภาษาไทย วัฒนธรรมประเพณีไทย วิถีชีวิตของคนไทย และแม้แต่วิธีคิดของคนไทย เพราะแรงงานเหล่านี้ไม่ได้พำนักพักอยู่แต่ในห้องพักและทำงานตามโรงงานเท่านั้น แต่จำนวนหนึ่งได้ไปอยู่ในครอบครัวของคนไทยผู้เป็นนายจ้าง

ไม่ใช่เฉพาะคนพม่าเท่านั้นนะครับ คนเขมร ลาว และญวน ต่างก็เคยผ่านประเทศของเราเป็นล้านคนเช่นกัน เมื่อเปิดประชาคมอาเชียนอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม 2558 คนเหล่านี้จะได้เปรียบจากการรู้จักประเทศไทย คนไทย เศรษฐกิจไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง

อีกอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เราเสียเปรียบ ผมเห็นว่าสถานศึกษาของไทยมีนักศึกษาของเพื่อนบ้านมาเรียนอยู่จำนวนไม่น้อย แต่นักศึกษาไทยที่ไปเรียนในสถาบันการศึกษาของเพื่อนบ้านกลับมีน้อยมาก นี่แหละครับ เมื่อเปิดประชาคมอาเซียนเราเสียเปรียบในมิติของความรู้ความเข้าใจ ความคุ้นเคยกับเพื่อนบ้านอย่างแน่นอน

เขียนถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ขอเอาคำถามของท่านผู้อ่านที่ค้างอยู่มารับใช้กันหน่อยครับ ท่านถามถึงธุรกิจที่ไทยจะได้เปรียบหลังจากการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์

อันดับแรกเลย ผมคิดว่าเราได้เปรียบในเรื่องของธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพราะภาพลักษณ์ของประเทศไทยทางด้านนี้เรามีสูง เดิมเราแพ้สิงคโปร์ แล้วก็มาเท่ากัน แต่ปัจจุบันทุกวันนี้เราชนะสิงคโปร์เกินเท่าตัว

ผู้อ่านท่านที่เคารพ แต่ละปีมีคนไข้ต่างประเทศเดินทางมารักษาพยาบาลในเมืองไทยเกิน 1.4 ล้านครั้ง ส่วนสิงคโปร์มีคนเข้ามาแค่ 6 แสนครั้งต่อปี ในขณะที่มาเลเซียมีเพียง 3 แสนครั้ง นี่แหละครับ อันดับ 1 อันดับ 2 และอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน หลังจาก 1 มกราคม 2558 ตัวเลขของคนไข้ที่จะเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย สิงคโปร์ และมาเลเซียจะสูงกว่านี้มาก

อีกอย่างหนึ่งซึ่งเราน่าจะได้เปรียบก็คือ การออกไปทำเกษตรกรรมในประเทศเพื่อนบ้านที่มีทรัพยากรที่ดินอุดมสมบูรณ์ และมีแรงงานถูกอย่างพม่า กัมพูชา หรือลาว

อันดับสอง ผมคิดว่าเราได้เปรียบในธุรกิจการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเข้าไปดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง

การท่องเที่ยวจะบูมตูมตามจากนักท่องเที่ยวภายในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันเอง 600 ล้านคน และจากนักท่องเที่ยวโลกที่จะเข้ามาเที่ยว 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน หากเราสามารถทำให้ประเทศกลุ่มอาเซียนเป็นซิงเกิล เดสติเนชั่น ได้อย่างแท้จริง

ผมอยากให้ไทยและอีก 9 ประเทศดำเนินการเรื่องซิงเกิลวีซ่าให้สำเร็จ ผมหมายถึงทำวีซ่าเข้ามาในกลุ่มอาเซียนประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวเทียวไปในอีก 9 ประเทศของกลุ่มประเทศอาเซียนโดยที่ไม่ต้องไปทำวีซ่าซ้ำซ้อนนั่นเองครับ.

 



www.thairath.co.th

ควอลิตี้ เฮ้าส์ จัดตั้ง กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท

“ควอลิตี้ เฮ้าส์” ดึง 3 โครงการคุณภาพในเครือเซนเตอร์พอยต์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ จัดตั้ง กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท เผยเป็นการลงทุนในกรรมสิทธิ์โครงการ เซนเตอร์พอยต์ เพชรบุรี – โครงการเซนเตอร์พอยต์ สุขุมวิท และลงทุนในสิทธิการเช่าอายุ 14 ปี โครงการเซนเตอร์พอยต์ หลังสวน ชูจุดเด่นทำเลใจกลางเมือง เดินทางสะดวกด้วยสาธารณูปโภคครบครัน อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและย่านศูนย์กลางทางธุรกิจ สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเป้าหมายที่เป็นนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อมีโอกาสเติบโตจากการให้บริการใน 2 รูปแบบที่ผสมผสานระหว่างเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์และโรงแรม ที่ทำให้รายได้มีความแน่นอน มั่นใจการบริหารจัดการภายใต้แบรนด์ “เซนเตอร์พอยต์” ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปีและเป็นหนึ่งในผู้นำในการบริหาร Hotel and Residence Chain ในประเทศไทยจะสร้างผลการดำเนินงานที่พอใจ

 

 

นางสุวรรณา พุทธประสาท กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งจะลงทุนใน 3 โครงการเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์และโรงแรมใจกลางเมือง ประกอบด้วย ลงทุนกรรมสิทธิ์โครงการเซนเตอร์พอยต์ เพชรบุรี และโครงการเซนเตอร์พอยต์ สุขุมวิท และลงทุนสิทธิการเช่าอายุ 14 ปีในโครงการเซนเตอร์พอยต์ หลังสวน ซึ่งทั้ง 3 โครงการอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

สำหรับ โครงการเซนเตอร์พอยต์ เพชรบุรี ตั้งอยู่บนถนนเพชรบุรี 15 เป็นอาคารขนาด 28 ชั้น และอาคาร ที่จอดรถขนาด 5 ชั้น ซึ่งสถานที่ตั้งของโครงการอยู่ในเขตประตูน้ำ ซึ่งเป็นสถานที่ชอปปิ้งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ในกลุ่มนักท่องเที่ยว เพราะแวดล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิเช่น ห้างมาบุญครอง ห้างแพลตตินัม พันธุ์ทิพย์พลาซ่า เซ็นทรัลเวิลด์ เกสรพลาซ่าและสยามพารากอน โดยสถานที่ตั้งมีความสะดวกสบายไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าราชเทวี และรถไฟเชื่อมสนามบินสถานีพญาไท ทำให้ผู้ที่เข้าพักไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ขณะเดียวกัน โครงการยังได้รับการออกแบบและตกแต่งเพื่อให้มีบรรยากาศอบอุ่น สบาย แต่หรูหรา พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันทั้งภายในห้องพักและส่วนกลาง

ในส่วนของ โครงการเซนเตอร์พอยต์ สุขุมวิท ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 10 เป็นอาคารที่พัก 28 ชั้นและ อาคารที่พักขนาด 5 ชั้น โดยโครงการตั้งอยู่ในสิ่งแวดล้อมเงียบสงบใจกลางย่านสุขุมวิททำให้ได้รับความนิยมจากกลุ่ม ผู้เช่าทั้งนักธุรกิจและครอบครัว ขณะที่สถานที่ตั้งโครงการมีความสะดวกสบายอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสถานีอโศกและนานา โดยผู้เช่าสามารถใช้บริการรถรับส่งของโครงการเพื่อเดินทาง ทำให้ผู้เช่าสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมกันนี้ ภายในโครงการยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องประชุม รวมถึงห้องน้ำชากลางแจ้งที่เหมาะสำหรับผู้พักอาศัยระยะยาวอีกด้วย นอกจากนี้ โครงการยังได้รับผลดีจากการเปิดตัวของโครงการศูนย์การค้า เทอร์มินัล 21 ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย

ขณะที่ โครงการเซนเตอร์พอยต์ หลังสวน ตั้งอยู่บริเวณซอยหลังสวน 1 เป็นอาคารที่พักอาศัย 24 ชั้น อาคารที่จอดรถ 4 ชั้น ล้อมรอบด้วยสภาพแวดล้อมพื้นที่สีเขียวที่สงบเหมาะสำหรับการพักผ่อนใกล้สวนลุม ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ใจกลางเมือง ย่านธุรกิจหรือห้างสรรพสินค้าได้อย่างสะดวก โดยโครงการอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าชิดลมและสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสีลม รวมทั้งโครงการยังจัดให้มีบริการ รถรับส่งทำให้ผู้พักอาศัยได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง ในส่วนของห้องพักก็มีขนาดหลากหลายตั้งแต่สตูดิโอ ไปจนถึงขนาด 1-3 ห้องนอน โดยภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องประชุม ห้องสมุด สระว่ายน้ำและห้องซ้อมกอล์ฟ เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการเซ็นเตอร์พอยต์ หลังสวนเพิ่งได้รับการปรับปรุงภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ (Major Renovation) แล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2554 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่คาดว่าจะเติบโตในอนาคต

“นอกจากจุดเด่นด้านทำเลแล้ว โครงการทั้ง 3 แห่งยังมีจุดเด่นอยู่ที่การผสมผสานการให้บริการในรูปแบบของเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์และโรงแรม เนื่องจากโครงการเป็นเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม ซึ่งในส่วนของบริการเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์นั้น จะมีฐานลูกค้าเช่าพักระยะยาวที่ช่วยลดความผันผวนด้านรายได้ ในขณะเดียวกัน การรับลูกค้าเช่าพักระยะสั้นในรูปแบบโรงแรมทำให้สามารถคิดค่าเข้าพักได้ในอัตราที่สูงกว่า และสามารถจับกลุ่มลูกค้าได้ทั้งชาวต่างชาติที่เข้าพักอาศัยในประเทศไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย นอกจากนี้ โครงการทั้งสามแห่งยังดำเนินการมามากกว่า 15-22 ปี มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในอดีตพิสูจน์แล้วอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องและสามารถเพิ่มอัตราค่าเช่าพักได้เช่นกัน” นางสุวรรณากล่าว

ขณะเดียวกัน การบริหารจัดการภายใต้แบรนด์ “เซนเตอร์พอยต์” ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการบริหารและจัดการโครงการเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์มาอย่างยาวนานเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในผู้นำในการบริหาร Hotel and Residence Chain ในประเทศไทย ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากที่สุดใน ประเทศไทยมากถึง 2,500 ยูนิตจากจำนวน 11 โครงการ ทำให้มั่นใจได้ถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ

กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ กล่าวด้วยว่า มั่นใจว่า โครงการทั้งสามแห่งจะได้รับผลดีจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในอนาคต ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีปัญหาการเมืองในประเทศเกิดขึ้น นอกจากนี้ จากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้โครงการ “เซนเตอร์พอยต์” ทั้ง 3 โครงการได้รับผลดีโดยตรงจากการที่ลูกค้าต่างชาติซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะเข้ามาทำงานและหาที่พำนักในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งด้วยศักยภาพทางทำเล รูปแบบของโครงการ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี



www.newswit.com

บทความที่ได้รับความนิยม