วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
นิสสัน เทียน่า 2012 หรูหราได้อีก
ล่าสุด บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว เทียน่า รุ่นใหม่ เป็นการปรับโฉมแบบไมเนอร์เชนจ์ แต่ยังคงจุดเด่นในด้านความหรูหราสะดวกสบายไว้ค่อนข้างเหนียวแน่น
ไม่ว่าจะเป็นขนาดห้องโดยสารใหญ่ เหมาะสำหรับผู้บริหารหรือผู้ที่ต้องการรถหรูหรา นั่งสบาย ในประเด็นนี้เชื่อว่า เทียน่า สามารถแข่งขันกับรถหรูจากค่ายยุโรปตัวล่างๆ ได้สบาย
การไมเนอร์เชนจ์ของเทียน่า มีทั้งภายนอกและภายใน เช่น โคมไฟหน้า เป็นแบบไบซีนอนใหม่ พร้อมโปรเจ็กเตอร์เลนส์ พร้อมฟังก์ชั่นปรับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติตามการเลี้ยวของรถ (Adaptive Front-lighting System : AFS) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ขณะเข้าโค้งยามค่ำคืน เพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยกระจกมองข้างปรับอัตโนมัติขณะถอยหลัง ให้ความสะดวกขณะถอยจอด
นอกจากนี้ ยังปรับโคมไฟท้าย ไฟตัดหมอก กระจังหน้า กันชนหน้า ปรับเปลี่ยนลายล้ออัลลอย สไตล์สปอร์ต มากขึ้น ภายในของรถออกแบบหน้าปัดให้เรืองแสง แผงคอนโซลหน้าและวิทยุดีไซน์ใหม่ทรงรีมากขึ้น และให้โทนเป็นสีครีม และโทนสีดำ พร้อมลายไม้สีดำ (Sport Series)
ส่วนเครื่องยนต์ เทียน่า ยังคงติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน VQ มีจุดเด่นในเรื่องความเงียบแต่ทรงพลัง เพราะวางสูบรูปตัว V จำนวน 6 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร กำลังสูงสุด 182 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 228 นิวตันเมตร ที่4,400 รอบต่อนาที
แถมยังมีขุมพลัง ขนาด 2.0 ลิตร ให้เลือก เป็นเครื่อง 4 สูบแถวเรียง MR20DE 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบต่อนาที
ทั้งคู่ใช้ ระบบเกียร์ เอ็กซทรอนิก ซีวีที (XTRONIC CVT) กุญแจและระบบสตาร์ตอัจฉริยะ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) และสัญญาณเตือนกะระยะด้านหลัง 4 จุด
ส่วนภายใน เบาะหนัง 2 โทนสีให้เลือกทั้งโทนสีครีมหรูในรุ่นสแตนดาร์ด (Standard) และโทนสีดำเข้มสไตล์สปอร์ตที่มาพร้อมกับลายไม้สีดำในรุ่น สปอร์ต ซีรีส์ (Sports Series)
นิสสัน เทียน่า สแตนดาร์ด ราคาเริ่มต้นในรุ่น 200XL 1,246,000 บาท รุ่น 250 XV-V6 ราคา 1,600,000 บาท รุ่น XV-V6 มีซันรูฟ 1,583,000 บาท รุ่น 250 XV-V6 มีซันรูฟ ราคา 1,583,000 บาท หากต้องการเพิ่มระบบนำทาง (Navigation System) พร้อมกล้องมองหลัง และช่องต่อ VTR เพิ่มอีก 1 แสนบาท
ส่วนรุ่นสปอร์ต ซีรีส์ รุ่น 200XL ราคาเริ่มต้น 1,263,000 บาท รุ่น 200XL สปอร์ต ซีรีส์ เนวี่ 1,263,000 บาท และรุ่น 250 XV สปอร์ตซีรีส์ เนวี่ มีซันรูฟ 1,600,000 บาท สำหรับ 2 รุ่นหลังนี้ หากต้องการเพิ่มระบบนำทาง พร้อมกล้องมองหลัง และช่องต่อ VTR เพิ่มอีก 1 แสนบาท เช่นกัน
อย่างที่บอก นิสสัน เทียน่า เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรถเก๋งไซซ์ค่อนข้างใหญ่ เน้นความหรูหรา สะดวกนั่งสบาย ภายในเงียบ มีอุปกรณ์ต่างๆ ค่อนข้างครบ ประเภท อาเสี่ย อาซ้อ น่าจะชอบ
www.matichon.co.th
พธม.เสนอร่างหลักการปกครอง ระดมพลค้านพรบ.ปรองดอง
ด้านพล.ต.จำลอง กล่าวว่า ทั้งนี้ในที่ประชุมของกลุ่มพธม.ยังมีมติเป็นเอกฉันท์ในเรื่องการที่จะเคลื่อนมวลชนเพื่อยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล เพื่อคัดค้านและขอให้หยุดยั้งและระงับการพิจารณา พ.ร.บ.ปรองดอง โดยมีการนัดหมายกันในวันที่ 30 พ.ค. 2555 ที่หน้าลานพระบรมรูปทรงม้าในเวลา 09.00 น. ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวนั้นมีผลทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพวกพ้นผิด เพราะศาลได้มีคำสั่งตัดสินให้จำคุกไปแล้ว และจะขอให้ผู้ที่เสนอพ.ร.บ.ดังกล่าวได้เสนอถอนวาระด้วย
"หากรัฐบาลยังมีท่าทีที่เพิกเฉยในการที่จะดำเนินการดังกล่าว ทางพธม.เองก็จะมีการประชุมเพื่อหารือขอความเห็นในการดำเนินการต่อไปอีกครั้ง ขอยืนยันว่า พธม.ไม่ได้มีเจตนาที่จะนิ่งเฉยอย่างแน่นอน" พล.ต.จำลอง กล่าว.
www.thairath.co.th
เจ๋ง...! จัดกิจกรรม 'เติมฝันเด็กน้อย' พาล่อง 'เรือยอชต์ ดำน้ำ ดูปะการัง'
สานต่อกิจกรรม "SOS ทริปเติมฝันเด็กน้อย" ด้วยการพาเด็กๆ จากหมู่บ้านเด็กโสสะฯ กว่า 300 ชีวิต ไปทัศนศึกษาที่ภูเก็ตและระยอง เปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยการล่องเรือยอชต์ ที่โรงแรมเคปพันวา ภูเก็ต ดำน้ำ ดูปะการัง เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และไหว้พระ พร้อมเดินหน้าขยายโครงการนี้ให้ครอบคลุมต่อไป
โรงแรมในเครือเกษมกิจ โฮเทลส์ ร่วมกับมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดกิจกรรม "SOS ทริป เติมความฝันให้กับเด็กน้อย" พาเด็กจากหมู่บ้านเด็กโสสะหาดใหญ่และหนองคาย ของมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ กว่า 300 ชีวิต แบ่งเป็น 5 กลุ่ม เพื่อไปทัศนศึกษา 2 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต และ ระยอง โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้แก่เด็กที่ขาดบิดามารดา ไร้ญาติมิตร เพื่อให้เด็กๆ ได้พักผ่อนอย่างมีความสุข สนุกสนาน และทัศนศึกษาในช่วงเวลาปิดเทอมภาคฤดูร้อนในคราวเดียวกัน
นายภูมิภัทร นาวานุเคราะห์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ในเครือเกษมกิจ โฮเทลส์ กล่าวว่า โรงแรมเคปพันวา ซึ่งตั้งอยู่ที่แหลมพันวา จ.ภูเก็ต และโรงแรมในเครือเกษมกิจ โฮเทลส์ (เคป โฮเทล คอลเลกชั่น, แคนทารี คอลเลกชั่น และ คามิโอ คอลเลกชั่น) ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการคืนกำไรแก่สังคม หรือการช่วยเหลือสังคมอยู่เสมอ ตามนโยบายของ คุณธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์ กรรมการบริหาร บริษัท เกษมกิจ จำกัด โดยที่ผ่านมาแต่ละโรงแรมในเครือ ได้ให้ความช่วยเหลือ หรือร่วมกิจกรรมกับองค์กร หรือหน่วยงานส่วนท้องถิ่นเสมอมา การร่วมสนับสนุนมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
"ที่ผ่านมา เรามีการร่วมสนับสนุนมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการบริจาคสิ่งของให้กับทางมูลนิธิฯ เพื่อนำไปใช้ในหมู่บ้านเด็กโสสะในจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 5 แห่ง คือ ภูเก็ต เชียงราย หนองคาย สงขลา และสมุทรปราการ มีเด็กในการเลี้ยงดูประมาณ 650 คน เราได้ริเริ่มพาเด็กๆ ไปทัศนศึกษา โดยเริ่มจากพาเด็กๆ จากหมู่บ้านเด็กโสสะภูเก็ต ไปทัศนศึกษาที่เกาะตะเภาน้อย จ.ภูเก็ต เมื่อปลายปี 2553 ต่อมาในปี 2554 เราได้พาเด็กๆ จากหมู่บ้านเด็กโสสะบางปู จ.สมุทรปราการ ไปทัศนศึกษาที่ จ.ระยอง รวมทั้งพาเด็กๆ จากหมู่บ้านเด็กโสสะเชียงราย ไปทัศนศึกษาที่ จ.ชลบุรี มาในปีนี้ เราได้พาเด็กๆ จากหมู่บ้านเด็กโสสะหาดใหญ่ไปทัศนศึกษาที่ จ.ภูเก็ต โดยเข้าพักที่โรงแรมเคป พันวา ภูเก็ต และพาเด็กๆ จากหมู่บ้านเด็กโสสะหนองคายไปทัศนศึกษาที่ จ.ระยอง เข้าพักที่โรงแรมแคนทารี เบย์ ระยอง" นายภูมิภัทร กล่าว
การจัดกิจกรรมทัศนศึกษาครั้งนี้ เป็นการพาน้องๆ จากหมู่บ้านเด็กโสสะฯ จากหนองคายและหาดใหญ่ จำนวนกว่า 300 คน เดินทางไปทำกิจกรรมที่ จ.ภูเก็ต และ จ.ระยอง เพื่อสัมผัสธรรมชาติ เล่นน้ำทะเล เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ และไปไหว้พระในจังหวัดนั้นๆ นอกจากนี้ ยังจัดงานเลี้ยงตอนค่ำที่โรงแรมให้กับเด็กทุกกลุ่ม โดยแบ่งเด็กๆ ออกเป็น 5 กลุ่ม ทั้งนี้ ทางเกษมกิจ โฮเทลส์ จะขยายการจัดกิจกรรมนี้ไปยังหมู่บ้านเด็กโสสะในจังหวัดอื่นๆ โดยจะพาเด็กไปทัศนศึกษาตามจังหวดต่างๆ ที่เรามีโรงแรมเปิดให้บริการอยู่ต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.นรวัฒน์ เจริญรัชต์ภาคย์ ประธานกรรมการอำนวยการมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (SOS Children Foundation of Thailand Under The Royal Patronage of H.M. The Queen) มูลนิธิที่ดำเนินการช่วยเหลือเด็กไทยที่สูญเสียบิดามารดา ขาดญาติมิตร กล่าวว่า ในนามของมูลนิธิเด็กโสสะฯ รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจและความตั้งใจอย่างแท้จริงของผู้บริหารทุกท่านของบริษัท เกษมกิจ จำกัด ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดการสร้างเสริมประสบการณ์สำหรับเด็กที่เคยสูญเสียโอกาสที่จะได้เติบโตขึ้นอย่างเปี่ยมสุข ในครอบครัวของตนเอง เพื่อให้เด็กๆ เหล่านี้ได้เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ในทิศทางที่เหมาะสม ทั้งนี้ ผู้สนใจร่วมบริจาค หรือร่วมแบ่งปันแก่หมู่บ้านเด็กโสสะแห่งประเทศไทย 5 แห่ง สามารถติดต่อที่มูลนิธิเด็กโสสะฯ ได้ในเวลาทำการ.
m.thairath.co.th
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง » ไทยรับเจ้าภาพเทนนิสชิงแชมป์
นายอานิล คานน่า ประธานสหพันธ์เทนนิสแห่งเอเชีย (เอทีเอฟ) ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการจัดตั้งสำนักงานเอทีเอฟ ซึ่งย้ายจากฮ่องกง มาอยู่ในบริเวณเดียวกับศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งเอเชีย (เอทีซี) และลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม โดยมี ดร.ชาติชาย พุคยาภรณ์ อุปนายกลอนเทนนิสสมาคมฯ, พล.ท.ธีระ ไกรพานนท์ เลขาธิการลอนเทนนิสสมาคมฯ และคณะกรรมการอำนวยการลอนเทนนิสสมาคมฯ ให้การต้อนรับ
ประธานเอทีเอฟ กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์บริหารงานของเอทีเอฟที่ประเทศไทย มีจุดประสงค์ให้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาวงการเทนนิสของเอเชีย ซึ่งที่นี่มีความพร้อมทั้งหอพัก สนามแข่งขันที่ได้มาตรฐาน ตามที่นายฟรานเชสโก ริคชี บิตตี ประธานสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ไอทีเอฟ) ได้เคยมาเยี่ยมชมเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และมองว่ามีความพร้อมสูงมาก สำหรับเอทีเอฟจะสนับสนุนงบประมาณในปีนี้ จำนวน 3 ล้านบาท เพื่อให้นักเทนนิสเยาวชนใน 20 ประเทศของเอเชีย ได้มีโอกาสมาเก็บตัวฝึกซ้อมที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งเอเชีย ภายในลอนเทนนิสสมาคมฯ ด้วย และในอนาคตจะเพิ่มเป็น 4-5 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้เอทีเอฟได้เลือกให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเทนนิสชิงแชมป์เอเชีย 2012 ระหว่างวันที่ 1-8 ธ.ค. ที่ลอนเทนนิสสมาคมฯ ชิงเงินรางวัลรวม 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.6 ล้านบาท) แบ่งเป็นรางวัลประเภทชาย 1.8 ล้านบาท และหญิง 1.8 ล้านบาท โดยจะเป็นการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังจากครั้งล่าสุดจัดที่ประเทศอุซเบกิสถาน เมื่อปี 2549 และกำลังจะขอไอทีเอฟว่า แชมป์ในรายการนี้จะได้ไวลด์การ์ดไปแข่งขันแกรนด์สแลม "ออสเตรเลียน โอเพ่น" รอบเมนดรอว์ทันที นอกจากนั้นจะให้ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเทนนิสเยาวชนเอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี จำนวน 2 ทัวร์นาเมนต์ ในเดือน ก.ย.-ต.ค.
ประธาน เอทีเอฟ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับรายการชิงแชมป์เอเชียนั้น ได้หารือกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกลอนเทนนิสสมาคมฯ แล้ว และมีความเห็นร่วมกันว่าจะขอพระราชทานถ้วยรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยจะเปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น "คิงส์คัพ" และ "ควีนส์คัพ" ในอนาคต นอกจากนั้น นายสุวัจน์ ยังได้เตรียมให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันเทนนิสดับเบิลยูทีเอ แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งเป็นรายการสุดท้ายของปีที่จะเอานักเทนนิสหญิง 8 คนที่ดีที่สุดของโลกในปีนั้นมาแข่งขันกันที่ไทยด้วย
www.banmuang.co.th
สืบสาวเรื่องราวมาจาก นายกรัฐมนตรี โยชิฮิโกะ โนดะ ของญี่ปุ่น ได้พบปะกับ นายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์...
สืบสาวเรื่องราวมาจาก นายกรัฐมนตรี โยชิฮิโกะ โนดะ ของญี่ปุ่น ได้พบปะกับ นายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของไทย เมื่อ 7 มีนาฯ ซึ่งได้มีการพูดคุยหนุงหนิงทั่วๆไปตามลำดับความสำคัญ
ไปถึงการออก วีซ่าแบบ Multiple เพื่อการพักผ่อนระยะสั้นให้กับบุคคลที่ถือสัญชาติไทย ที่พำนักในประเทศไทยและเคยไปเหยียบแผ่นดินเขามาแล้วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้นแหละ
คุณก็จะได้รับโอกาสขอยื่นสิทธิวีซ่าน้องใหม่นี้ เพื่อมีโอกาสเที่ยว-ชม-ช็อป เยี่ยมญาติ/ เซอร์ไพรส์เพื่อน/คนสนิท/รู้จัก/ไม่รู้จัก ได้หมดทุกมุมเหนือจดใต้ของดินแดนอาทิตย์อุทัย อยู่นานสูงสุด 90 วัน/ครั้ง อายุใช้งานได้ไม่เกิน 3 ปี
ซึ่งสิ่งที่ปลื้มหน้าอกพองฟูภูมิใจยิ้มกริ่มฮิฮิเป็นนักหนาสำหรับวีซ่า Multiple ที่สุด คือเป็นวีซ่าประเภทที่ทำเพื่อคนไทยเพียงชาติเดียวในกลุ่มประเทศอาเซียน!!!
พยายามไม่คิดว่าเค้าคงใช้ 2 มาตรฐานไม่เป็นเหมือนเราหรอกมั้ง...แต่ขนาดประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจพุ่งอ้วกแตกอ้วกแตนอย่างจีน ยังเพิ่งได้วีซ่าเช่นเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ประมาณเดือนกรกฎาฯ...เฉพาะจังหวัดโอกินาวา ภาคใต้ ของญี่ปุ่นที่เดียว เหตุผลก็ไม่มีอะไรซ่อนเงื่อนค่ะ...โปรโมตท่องเที่ยวเพียวๆ ที่อื่นยัง say no
เพราะจากการสนทนาผ่านล่ามกับ มร.คิโยชิ อิโตอิ ที่ปรึกษาและกงสุล สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย เมื่อวันวาน ก็ทำให้กระจ่างเนตร สมองเคลียร์ได้ว่า "อาโน...แนวคิดวีซ่ามัลติเพิ้ลนี้นั้น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นต้องการส่งเสริมเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวไทย ประกอบกับการอำนวยความสะดวก ขั้นตอนไม่ยุ่งขิงสำหรับการประกอบกิจการ ดำเนินธุรกิจจะได้รูดปื๊ดๆ และตบท้ายด้วยเหตุผลตามประสาสาลิกาลิ้นทองว่าเพื่อเป็นการดูดซับความสัมพันธ์ระหว่างสองเราให้ชุ่มชื้นยิ่งขึ้น...เดสึ"
หากผลตอบรับดีถึงดีมากในระดับญี่ปุ่นเริ่มยิ้มเห็นฟันขั้นสำราญได้ก็อาจตีตราให้มีวีซ่านี้เป็นการถาวรในอนาคต เช่นเดียวกับประเทศอื่นต่อๆไป...ใครที่เริ่มกระดิกทริปซึ่งจะ เริ่ม 1 มิถุนาฯนี้ ยังกังขาเช็กถามเพิ่มเติมได้ตาม เว็บไซต์ th.emb–japan.go.jp
ไม่ต้องห่วงเรื่องการสื่อสาร เพราะเขามี ภาคภาษาไทยเอาใจให้ลึกถึงตับไตกันไป...
www.thairath.co.th
เนื่องในโอกาสที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้เปิดให้บริการด้านการแพทย์ การรักษาพยาบาลอย่างครบครัน...
เนื่องในโอกาสที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้เปิดให้บริการด้านการแพทย์ การรักษาพยาบาลอย่างครบครัน เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย มาเป็นระยะเวลามากกว่า 4 ทศวรรษ โดยปีนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพได้จัดกิจกรรมปันน้ำใจสู่สังคมในงาน "41 ปีแห่งความผูกพัน…ที่เราดูแลกันตลอดมา" โดยในงานได้มีการบริจาครถเข็นวีลแชร์จำนวน 41 คัน ให้กับเด็กพิการ และทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ โดยเชิญดาราศิลปินคนดัง อาทิ นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์, อ๋อม-อรรคพันธุ์ นะมาตร์ มาร่วมกันแบ่งปันสิ่งดีๆ
น.พ.กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล รองประธานคณะผู้บริหาร ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพและผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการจากเจตนารมณ์ในการสร้างสถาบันทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการบริการที่มีคุณภาพควบคู่กับคุณธรรมดังปณิธานดั้งเดิมในการก่อตั้งที่ว่า "ณ สถานที่แห่งนี้ คือ สถานที่ซึ่งวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ และความเมตาปรานีมาบรรจบกัน" เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยให้มีสุขภาพที่ดี โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยในการรักษาพยาบาล ประกอบกับความทันสมัยของเครื่องมือทางการแพทย์และการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลกรุงเทพได้รับความไว้วางใจ และเป็นที่ยอมรับจากผู้มาใช้บริการทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติเลือกใช้บริการตรวจวินิจฉัย รักษา และฟื้นฟูสุขภาพด้วยดีตลอดมา จวบจนได้รับการรับรองมาตรฐานการรักษาพยาบาลและการจัดการระดับสากล ด้านคุณภาพและความปลอดภัย และการรับรองมาตรฐานการดูแลรักษาพยาบาลเฉพาะโรค พร้อมกันถึง 6 โรค (Clinical Care Pathway Certifications) จากสถาบันรับรองคุณภาพโรงพยาบาล Joint Commission International (JCI) องค์กรกำกับมาตรฐานด้านการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกจากสหรัฐอเมริกา และรางวัล TEMOS Certificate จากเครือข่ายดูแลมาตรฐานคุณภาพระดับสูงในการรักษาพยาบาล จากประเทศเยอรมัน ศูนย์กลางเครือข่ายการแพทย์ของเราคือ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้ป่วยที่มอบความไว้วางใจให้กับเรามาตลอด 41 ปี โรงพยาบาลจึงขอขอบคุณลูกค้า ด้วยการมอบรางวัลให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการในโรงพยาบาล ด้วยตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-มัลดีฟส์ 4 ที่นั่ง ตั๋ว Flying Limousine ชมวิวทั่วกรุงเทพฯ กับเฮลิคอปเตอร์ 1 รอบ ชุดตรวจสุขภาพเพื่อสุขภาพแข็งแรงทั้งครอบครัว และชุดตรวจสุขภาพทั่วไปจำนวนรวมกว่า 30 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 800,000 บาท และนอกจากนี้ทางโรงพยาบาลยังได้ดำเนินงานในด้าน CSR ในการช่วยเหลือและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อตอบแทนสังคมเสมอมา หนึ่งในโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมในปีนี้ ทางโรงพยาบาลกรุงเทพได้ร่วมมือกับสถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพปากเกร็ด และศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค มอบรถเข็นวีลแชร์จำนวน 41 คัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมอบการรักษาพยาบาล และการดูแลผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด โรงพยาบาลกรุงเทพยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในการพัฒนางานบริการทางการแพทย์และคุณภาพการรักษาพยาบาลให้มีประสิทธิภาพและมีความทันสมัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจการบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลแห่งเอเชีย และพร้อมที่จะดูแลสุขภาพของคุณตลอดไป…
www.banmuang.co.th
เมื่อเอ่ยถึง “มะเร็งช่องปาก”...
เมื่อเอ่ยถึง "มะเร็งช่องปาก" ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนไทยเมื่อเทียบกับมะเร็งปอดหรือมะเร็งปากมดลูก ที่คนไทยจะมีความรู้เรื่องมะเร็งต่างๆ เหล่านี้ได้ดี นอกจากนี้ข้อมูลทางวิชาการพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งช่องปากจะมาพบแพทย์ก็ต่อเมื่อป่วยระยะสุดท้ายแล้ว ขณะที่ สิงห์อมควันเสี่ยงเป็นมะเร็งช่องปากมากกว่าคนไม่สูบถึง 3.16 เท่า
"ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ปีละกว่า 4 หมื่นราย บุหรี่เป็นภาระโรคที่สำคัญลำดับต้นๆ เป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น มะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง และมะเร็งช่องปาก ฯลฯ ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภาระค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ได้ศึกษาถึงความเสี่ยงสัมพัทธ์ของโรคมะเร็งช่องปาก พบผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งช่องปากมากกว่าผู้ไม่เคยสูบบุหรี่ 3.16 เท่า สสส. จึงได้สนับสนุนเครือข่ายทันตแพทย์ เพื่อร่วมส่งเสริมป้องกันโรคด้วยการตรวจคัดกรองวินิจฉัยรอยโรคก่อนเกิดมะเร็งในช่องปากในระยะเริ่มต้นช่วยลดการเกิดโรคได้" ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. กล่าว
จากคำกล่าวข้างต้นสอดคล้องกับข้อมูลทางวิชาการของ รศ.ทพ.วรนัติ วีระประดิษฐ์ อาจารย์ประจำภาควิชาพยาธิวิทยาช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าโครงการศึกษาวิจัยเรื่องค่าใช้จ่ายรักษาผู้ป่วยมะเร็งช่องปากในประเทศไทย (Costs of Care for Oral Cancer in Thailand) ที่พบว่า จากงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ โรงพยาบาล 5 แห่ง คือ รพ.ราชวิถี, รพ.รามาธิบดี, รพ.ชลบุรี, รพ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น พบผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก 858 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มีถึง 91% ในจำนวนนี้อยู่ในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 59.73 % ดังนั้น ผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรค
สำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งช่องปาก เฉลี่ยอยู่ที่ 80,454 บาทต่อราย หรือคิดเป็น 64.1% ของรายได้ต่อปี โดยครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมีอาการเข้าสู่ระยะที่ 4 มีค่ารักษาอยู่ที่ 100,883 บาทต่อราย ผู้ป่วยที่ต้องจ่ายค่ารักษาสูงสุดอยู่ที่ 131,124.27 บาท ดังนั้น การค้นพบโรคในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีและลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาได้
ด้าน น.พ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า มะเร็งช่องปากเป็นมะเร็งที่สามารถวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มแรก และสามารถรักษาหายขาดได้ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลง แต่กลับพบว่าอัตรารอดชีวิต 5 ปีของผู้ป่วยมะเร็งช่องปากมีเพียงประมาณ 30% เมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูกที่พบอัตรารอดชีวิต 5 ปี สูงถึง 60% ทั้งที่เป็นมะเร็งที่สามารถตรวจพบระยะเริ่มแรกได้เช่นเดียวกัน สาเหตุที่ทำให้อัตรารอดชีวิตน้อย เกิดจากการพบรอยโรคช้า เนื่องจากขาดความรู้ในการสังเกตอาการตนเองในกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง สูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุราเป็นประจำ ควรจะหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่องปากอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นประชาชนจึงควรพบทันตแพทย์ อย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน และร้องขอให้ทันตแพทย์ตรวจหามะเร็งช่องปากด้วย
"พบว่า คนภาคใต้ป่วยด้วยโรคมะเร็งช่องปากสูงกว่าภาคอื่น และบริเวณที่พบมะเร็งช่องปากมากที่สุดในเพศชาย คือ โคนลิ้น เพศหญิง คือ กระพุ้งแก้ม" ผอ.สถาบันมะเร็งกล่าว
น.พ.ธีรพล โตพันธานนท์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า วิธีสังเกตมะเร็งช่องปากระยะแรก ได้แก่ มีแผลเรื้อรังในช่องปากไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ มีรอยโรคสีขาว สีแดง หรือสีขาวปนแดงบริเวณเนื้อเยื่อในช่องปาก ขอบลิ้น ขอบริมฝีปาก หรือตำแหน่งอื่นๆ ในช่องปากที่มีลักษณะแข็งเป็นไต ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บ มักพบบริเวณด้านข้างของลิ้น ใต้ลิ้น บริเวณด้านหลังของฟันซี่สุดท้าย และเพดานปาก กลุ่มเสี่ยงคือคนอายุ 40 ขึ้นไป พบในเพศชายมากกว่าหญิง มีปัจจัยเสี่ยง คือ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ช่องปากไม่สะอาด กินหมาก ผู้ทำงานกลางแจ้ง จะเสี่ยงเป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก หรือมีคนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นมะเร็งที่ทางเดินอาหารส่วนบน และผู้ติดเชื้อไวรัส HPV
ทั้งนี้ โครงการกลยุทธ์วิชาชีพทันตแพทย์ในการควบคุมการบริโภคยาสูบ โดยการสนับสนุนจาก สสส. ได้สนับสนุนให้สถานทันตกรรมทุกแห่งของรัฐ จัดบริการตรวจวินิจฉัยรอยโรคและมะเร็งช่องปากในระยะเริ่มต้นให้กับกลุ่มเสี่ยงทุกราย ควบคู่กับการให้คำแนะนำเลิกบุหรี่ โดยผู้ป่วยบัตรทองตรวจฟรี เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและให้การรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ปัจจุบันมี 14 จังหวัดที่จัดบริการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปาก เช่น จ.พิษณุโลก แพร่ สุพรรณบุรี ฯลฯ ล่าสุด คือ จ.สมุทรปราการ และคาดว่าสิ้นปี 2555 ในภาคตะวันออกจะเป็นภาคแรกที่จัดบริการตรวจคัดกรองได้ครบทุกจังหวัด
"มะเร็งช่องปาก" จัดได้ว่า เป็นภัยร้าย ภัยเงียบ ที่น่ากลัว โดยคุกคามคนไทยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะคนไทยส่วนมากจะละเลยเรื่องของช่องปาก เพื่อความไม่ประมาทประชาชนทุกคนจึงควรหันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพปากตั้งแต่เสียเนิ่นๆ ดีกว่าเป็นแล้วค่อยมารักษา
www.banmuang.co.th
ไบโอเนท-เอเชีย ก้าวสู่การผลิตวัคซีนไวรัสตับอักเสบ บี
บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ที่เน้นการวิจัย พัฒนาและผลิต และกระจายวัคซีน ได้ซื้อเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี ที่มีเป้าหมายสูงสุดในการผลิตวัคซีนชนิดนี้ในประเทศไทย
นายวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด กล่าวย้ำถึงที่มาของโครงการนี้ว่า บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ได้ตัดสินใจซื้อเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของนโยบายรัฐที่ให้ความสำคัญในการผลิตวัคซีนชนิดนี้ในประเทศมากกว่าการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์ “โครงการนี้ นอกจากจะเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศด้วยเนื่องจากวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี นี้ได้จัดอยู่ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ ทั้งนี้มีหลายหน่วยงานได้ดำเนินการวิจัยเพื่อผลิตวัคซีนชนิดนี้ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการผลิตในประเทศไทยเลย ดังนั้นเราจึงได้ให้ความสำคัญสูงสุดสำหรับโครงการผลิตวัคซีนชนิดนี้ โดยในช่วงนี้ทางบริษัทฯ ได้ส่งทีมนักวิจัยไปฝึกอบรมที่ทวีปยุโรป ขณะเดียวกันกำลังประเมินหาสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาการผลิตวัคซีน batch แรกในครึ่งปีหลังนี้” แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด เลือกที่จะริเริ่มความร่วมมือและจัดตั้งโครงการด้านวัคซีนหลายโครงการ โดยได้เปิดรับนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเพื่อรองรับโครงการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเพื่อดูแลโครงการผลิตวัคซีนขั้นอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ด้วย
“การผลิตวัคซีนต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เราได้รับการติดต่อจากธนาคารหลายแห่งสำหรับเงินกู้ระยะยาว อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ 10 ปีจะกำหนดอนาคตของบริษัทเนื่องจากธุรกิจด้านการพัฒนาวัคซีนใดๆ ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยง นี่เป็นเหตุผลให้ทำไมบริษัทฯ ถึงคาดหวังการสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่องจากรัฐบาล ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์ของบริษัทที่บรรจุอยู่ในวาระแห่งชาติด้านวัคซีน อย่างไรก็ตามขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบอย่างเร่งด่วนที่จะสนับสนุนการนำเข้าวัคซีนเข้มข้นมากกว่าการวิจัย พัฒนาและผลิตภายในประเทศ การตัดสินใจของรัฐบาลครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ และมากกว่าผลกระทบของน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นบริษัทฯ จึงปรับแผนฯ โดยพิจารณาการนำเข้าวัคซีนเข้มข้นเพื่อมาบรรจุในประเทศไทยด้วย” ดร. ฟาม ฮอง ไทย บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนของโครงการนี้
“อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่ได้ย่อท้อ แต่จะพยายามชี้แจงต่อหน่วยงานราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ถึงความสำคัญในการให้ความสนับสนุนการวิจัยและผลิตวัคซีนจากต้นน้ำในประเทศ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เราได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ซึ่งหน่วยงานนั้นๆ ก็ได้ริเริ่มที่จะสร้างเสริมองค์ความรู้ด้านวัคซีนในประเทศไทย ในประเทศอื่นๆ การพึ่งตนเองด้านวัคซีนนี้จัดเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของชาติ ดังนั้นประเทศไทยของเราไม่ควรล้าหลัง ในขณะที่ทศวรรษนี้ได้ถูกประกาศให้เป็นทศวรรษแห่งการวิจัย พัฒนาและกระจายวัคซีนของโลก” นายวิฑูรย์ กล่าวเสริม
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับสิทธิบัตรชั่วคราวสำหรับเชื้อแบคทีเรีย pertussis ที่ดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งกำลังเทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทต่างๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด น่าจะเป็นบริษัทฯ เดียวในโลกที่สามารถผลิตวัคซีนได้ทั้งวัคซีนป้องกันโรค ไอกรนชนิดไร้เซลล์และวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี จากเชื้อจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม
“เราคาดหวังว่าหน่วยงานของรัฐจะให้การสนับสนุนการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี จากเชื้อดัดแปลงพันธุกรรมที่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณที่เข้มแข็งว่าได้เกิดสังคมเทคโนโลยีชีวภาพด้านวัคซีนในประเทศแล้ว และยังเป็นการส่งเสริมให้บริษัทฯ ยังคงที่จะพัฒนาโครงการวิจัยวัคซีนชนิดอื่นๆ ต่อไป เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก รวมทั้งการนำเข้าทั้งด้านความเชี่ยวชาญองค์ความรู้ และเทคโนโลยีมาสู่ประเทศไทยต่อไป” ดร. จัง เดวิด ปีเตอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด กล่าวสรุป
eureka.bangkokbiznews.com
นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส...
นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ให้ข้อมูลการเติบโตของสมาร์ทดีไวส์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่าจะมีจำนวนกว่า 117 ล้านเครื่องภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ในประเทศไทยปัจจุบันมีมากกว่า 10 ล้านเครื่องแล้ว และปีนี้คาดว่าจะมีเพิ่มอีก 5 ล้านเครื่อง นอกจากนี้ยังมีการสำรวจว่าภายในอีก 12 เดือนข้างหน้าผู้บริโภค 30% ต้องการซื้อสมาร์ทโฟน และ 20% มีความต้องการใช้งานแท็บเล็ต
"เมื่อเห็นตัวเลขการเติบโตเหล่านี้ทางเอไอเอสในฐานะเซอร์วิสโพรไวเดอร์ จึงต้องทำการขยายอีโคซิสเต็มส์จากการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ มาเป็นทำงานร่วมกับเหล่านักพัฒนาโดยตรง จากเดิมที่มีคอนเทนต์โพรไวเดอร์ราว 250 − 300 บริษัท ก็จะขยายไปสู่หลักพันจนถึงหลักหมื่นรายในอนาคต"
สิ่งที่เหล่านักคิดผู้มีไอเดีย และเหล่านักพัฒนาที่มีฝีมือจะได้จากการเข้าร่วมในโครงการนี้คือ และผ่านการคัดเลือกคือฐานลูกค้าของเอไอเอสที่ปัจจุบันมีมากกว่า 34 ล้านคน ยังไม่นับรวมในเครือสิงเทลอีก 412 ล้านราย รวมถึงในกลุ่มที่พร้อมจะตอบรับแอปพลิเคชันเข้าไปสู่ในระดับภูมิภาค และจนถึง SingTel innov8 ซึ่งเป็นบริษัทที่รวมกลุ่มนักลงทุนในเครือของสิงเทลที่จะช่วยเข้ามาเป็นต้นทุนในการพัฒนาแอปฯจนผลิตออกมาสู่ตลาด
แนวคิดง่ายๆของโครงการ 'AIS The StartUP' คือการเปิดพื้นที่ให้เป็นเหมือนโรงเตี้ยม ให้เหล่าผู้ใช้ และนักพัฒนาได้เข้ามาพบปะแลกเปลี่ยนกัน โดยมีขั้นตอนตั้งแต่การสอนพัฒนาแอปฯ ให้เครื่องมือในการพัฒนาครอสแพลตฟอร์ม การเลือกใช้เครื่องมือในการผลิต การเข้าถึงอินฟราสตรัคเจอร์ ร่วมกันปรับปรุงแก้ไข เมื่อเสร็จแล้วก็พร้อมวางจำหน่ายให้แก่ลูกค้าของเอไอเอส และกลุ่มพันธมิตรในเครือ
โดยนักคิดและนักพัฒนาที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถนำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจผ่านหน้าเว็บไซต์ http://www.ais.co.th/thestartup/ เมื่อได้รับการคัดเลือกก็จะนัดเข้ามาพูดคุยกับทีมงานของเอไอเอส ซึ่งในส่วนนี้ถ้าทางทีมงานเห็นว่าเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ นอกจากการหาแนวทางการร่วมธุรกิจกับทางเอไอเอสแล้ว ยังเปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาได้นำไอเดียไปเสนอแก่นักลงทุนผ่านเครือข่ายของเอไอเอสด้วยเช่นกัน
นายปรัธนา กล่าวยืนยันในส่วนของการพัฒนาแอปฯว่า มีหลากหลายแนวทางความร่วมมือทางธุรกิจให้เลือก ตามความพึ่งพอใจ เพียงแต่เมื่อมีการร่วมทุนกันแล้วทางเไอเอส ก็ต้องพยายามรักษาสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าในการใช้งาน เช่น อาจจะได้ใช้งานก่อนใคร มีฟีเจอร์พิเศษเฉพาะลูกค้าเอไอเอส แต่จะไม่จำกัดสิทในการขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป
"โครงการนี้คือคาดว่าจะมีผู้เข้าเสนอผลงานสัก 200 − 300 ผลงาน และตั้งเป้าว่าถึงสิ้นปีน่าจะมีผลงานที่สำเร็จ 2-3 ชิ้น ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแล้ว ซึ่งถ้าถามว่ารายได้จากส่วนนี้ของเอไอเอสคืออะไร ก็คงหนีไม่พ้นรายได้ในการให้บริการดาต้าแก่ลูกค้าอยู่เช่นเดิม หรืออาจจะมีรูปแบบการทำตลาดอื่นๆในอนาคตก็เป็นได้"
manager.co.th
“การกู้ชีวิตขั้นพื้นฐานในสนามกีฬา” ป้องกันวิกฤตินักกีฬาเสียชีวิตกลางสนาม
นายแพทย์ไพศาล จันทรพิทักษ์ ประธานฝ่ายแพทย์สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวถึงที่มาและวัตถุประสงค์การของการอบรมเชิงปฏิบัติการการกู้ชีวิตขั้นพื้นฐานว่า “ที่ผ่านมามีข่าวช็อกวงการกีฬาฟุตบอลติดๆ กัน เกี่ยวกับนักฟุตบอลล้มฟุบลงคาสนามกะทันหันโดยไม่ได้มีการปะทะกับใคร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สาเหตุเกิดจาก “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ดังนั้นการเข้าถึงการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยกู้ชีวิตของนักกีฬาได้ การจัดฝึกสัมมนาเชิงปฏิบัติการการกู้ชีวิตขั้นพื้นฐานในสนามกีฬา ถือเป็นโอกาสที่ดีในการช่วยส่งเสริมให้บุคลากรทางด้านกีฬา ได้เรียนรู้เทคนิคและสามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางเตรียมพร้อมรับมือ หากเกิดภาวะวิกฤติในสนามขึ้นจริง
นายแพทย์อี๊ด ลอประยูร ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ และผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกายกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ (Bangkok Academy of Sports and Exercise Medicine (BASEM) กล่าวว่า เวชศาสตร์การกีฬาเป็นเวชศาสตร์เชิงรุกที่สำคัญ ซึ่ง FIFA ต้องการให้นักฟุตบอลทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั้งการรักษาและการป้องกัน เมื่อเกิดการบาดเจ็บขึ้นต้องรักษาอย่างไร และฟื้นตัวกลับมาเล่นกีฬาให้เร็วที่สุด โดยไม่อันตรายหรือบาดเจ็บเพิ่มเติมเพื่อให้มีความฟิตเล่นต่อไปได้อีกนาน
ดังนั้น FIFA จึงได้กำหนดมาตรฐานที่ดีที่สุดร่วมกันทั่วโลก ในการป้องกันการบาดเจ็บ การดูแลรักษา ฟื้นฟู เมื่อเกิดการบาดเจ็บ โภชนาการ จิตวิทยาทางการกีฬา การป้องกันการใช้สารกระตุ้น (Anti-doping) โดยทีมแพทย์หลายสาขา เพื่อร่วมกันดูแลนักฟุตบอลให้ครอบคลุมและครบวงจร ซึ่งสถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกายกรุงเทพได้พัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และองค์ประกอบต่างๆ ในการดูแลนักกีฬาฟุตบอลให้ได้มาตรฐานในความเป็นเลิศ จนได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FIFA เป็น FIFA Medical Centre of Excellence ซึ่งเป็นที่แรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นมาตรฐานเดียวกันกับสถาบันที่ FIFA
ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการนี้ ทางโรงพยาบาลกรุงเทพซึ่งมีความพร้อมและมีความเชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพของนักกีฬา ได้จัดทีมแพทย์และพยาบาลเพื่อมาฝึกปฏิบัติจริงให้กับผู้เข้าร่วมการอบรมซึ่งมาจากสโมสรฟุตบอลทีมต่างๆ ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ความรู้ให้การปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
นายแพทย์ไพศาลกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในแวดวงกีฬาให้มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเท่ากับต่างชาติ จึงจัดให้มีการอบรมครั้งนี้โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะและมีมาตรฐาน ทั้งทีมแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน แพทย์เวชศาสตร์การกีฬา ทีมพยาบาลวิชาชีพ โดยเนื้อหาของการอบรมแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในเรื่องสาเหตุสำคัญและอาการของหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน การปฏิบัติการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน รวมไปถึงขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้นพร้อมการปฏิบัติการ.
www.thaipost.net
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
‘2012 อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์’
อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. จับมือสโมสรฟุตบอลอินทรีเพื่อนตำรวจ หนุนแข้งเยาวชนไทยสัมผัสประสบการณ์ลูกหนังโลก กับโครงการ ‘2012 อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์’
อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. จับมือสโมสรฟุตบอลอินทรีเพื่อนตำรวจ ต่อยอดความสำเร็จโครงการ ‘อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์’ เป็นปีที่ 2 เปิดโอกาสให้เยาวชนชายไทยอายุ 14-16 ปี ทดสอบความสามารถเพื่อเป็น 2 ตัวแทนของประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ ‘2012 อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์’ ร่วมกับเยาวชนจาก 20 ประเทศทั่วโลก ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี เป็นเวลา 5 วัน โดยเยาวชนไทยจะได้ฝึกทักษะการเล่นฟุตบอลโดยคณะผู้ฝึกสอนของทีมบาเยิร์น มิวนิค และโอกาสกระทบไหล่นักเตะดาวรุ่งของทีม เข้าชมเบื้องหลังสนามอลิอันซ์ อารีน่าและสโมสรบาเยิร์น มิวนิค พร้อมทัศนศึกษาเมืองมิวนิค และร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเพื่อนเยาวชนต่างชาติทั่วโลก แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
นายสรรค์ชัย ลาภสัมปันน์ชัย ประธานสายงานบริหารช่องทางขายผ่านตัวแทน บมจ. อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต เปิดเผยว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่จะเป็นปัจจัยหลักแห่งความมั่นคง คุ้มครองทุกครอบครัวไทย นอกจากการขับเคลื่อนธุรกิจผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ แล้ว ยังตระหนักถึงการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางรากฐานความรู้แก่เยาวชนไทยที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต ภายใต้แนวคิด ‘ปันความรู้สู่เด็กไทย โดย อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.’ ทั้งนี้ จากการแข่งขันฟุตบอลลีกต่างๆ ในประเทศไทยที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และมีกระแสเรียกร้องให้พัฒนาฟุตบอลไทยไปสู่มาตรฐานระดับโลก จึงเป็นโอกาสดีที่อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ได้เข้ามาสนับสนุนวงการฟุตบอลไทยอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการพัฒนาเยาวชนที่รักในกีฬาฟุตบอล ผ่านโครงการ อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์ ร่วมกับสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา
และจากความสำเร็จเกินความคาดหมายในปีที่แล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากเยาวชนที่สมัครเข้ารับการคัดเลือกกว่าพันคนจากทั่วประเทศ ทุกคนมีทักษะความสามารถและมีใจรักในกีฬาฟุตบอล ทั้งยังมีฝีเท้าในระดับที่ใช้ได้ แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวและความสนใจของเยาวชนไทยที่พร้อมจะพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้อีก ดังนั้นในปีนี้ เราจึงเปิดช่องทางการรับสมัครและคัดเลือกเยาวชนเข้าโครงการผ่านช่องทางที่เปิดกว้างมากขึ้นทุกภาคทั่วประเทศ พร้อมทั้งยังเปิดเว็บไซต์ www.FootballForLifeThailand.com เพื่อเป็นสื่อกลางสำหรับเยาวชนไทยในการแลกเปลี่ยนความรู้และอัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องกีฬาฟุตบอล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์ และการรับสมัครคัดเลือกตัวเยาวชนเข้าร่วมโครงการ โดยคาดว่าจะมีเยาวชนสมัครเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 1,300 คนในปีนี้
“ที่สำคัญ คือ กลุ่มอลิอันซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทฯ เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ทีมดังแห่งบุนเดสลีกา ทั้งยังเป็นเจ้าของสนาม อลิอันซ์ อารีน่า ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลที่มีความสวยงามและยิ่งใหญ่อันดับ 1 คู่เมืองมิวนิค และเป็นสนามสำหรับนัดชิงชนะเลิศฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ระหว่างทีมบาเยิร์น มิวนิค กับทีมเชลซี ในวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมานี้ด้วย โดยสนามดังกล่าวสร้างขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้เป็นสนามฟุตบอลแห่งโลกอนาคต ดังนั้นการจัดทำโครงการนี้ร่วมกับสโมสรฟุตบอลอินทรีเพื่อนตำรวจ จึงถือเป็นการเชื่อมโยงที่ดีในการพัฒนาฟุตบอลของไทยไปสู่การพัฒนาในระดับสากลอย่างเป็นรูปธรรม” นายสรรค์ชัย กล่าว
ด้าน พลตำรวจเอก วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษา (สบ.10) รองประธานสโมสรฟุตบอลอินทรีเพื่อนตำรวจ กล่าวว่า ความสำเร็จของโครงการในปีที่ผ่านมาถือเป็นนิมิตหมายที่ดีแก่วงการลูกหนังไทย เป็นการจุดประกายความหวังให้แก่เยาวชน และจากการสอบถามตัวแทนเยาวชนทั้งสองคน ต้องบอกว่าการได้เดินทางไปร่วมโครงการอลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์ ที่ประเทศเยอรมนี ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิต ที่จะได้พบกับเยาวชนจากประเทศอื่นๆ ที่รักฟุตบอลเหมือนกัน แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเด็กไทยที่เรียกว่าไม่แพ้ชาติใดในโลก และหากได้รับการสนับสนุนที่ดีอนาคตจะต้องสดใสอย่างแน่นอน
สำหรับโครงการ ‘2012 อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์’ ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 เปิดโอกาสให้เยาวชนชายไทยอายุ 14-16 ปี (เกิดปี พ.ศ. 2539 - 2541) เข้ารับการทดสอบความสามารถ เพื่อรับสิทธิเป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ ‘2012 อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์’ ร่วมกับเยาวชนจาก 20 ประเทศทั่วโลก ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี เป็นเวลา 5 วัน รับการฝึกทักษะการเล่นฟุตบอลโดยคณะผู้ฝึกสอนของทีมบาเยิร์น มิวนิค และโอกาสกระทบไหล่นักเตะดาวรุ่งของทีม เข้าชมเบื้องหลังสนามอลิอันซ์ อารีน่าและสโมสรบาเยิร์น มิวนิค พร้อมทัศนศึกษาเมืองมิวนิค และร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเพื่อนเยาวชนต่างชาติทั่วโลก
“เราหวังอย่างยิ่งว่าโครงการ ‘2012 อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์’ ในปีนี้จะประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นเช่นเคย เพราะเป็นโครงการที่หยิบยื่นโอกาส และเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเยาวชนไทย ได้สัมผัสประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิต ซึ่งจะได้รับการฝึกทักษะจากผู้ฝึกสอนมืออาชีพระดับโลก แล้วนำมาต่อยอดพัฒนาฝีเท้าตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น จนไปสู่ระดับที่สามารถสร้างฝันให้เป็นจริงได้ ทั้งนี้ เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบสุดท้าย 50 คนจะได้รับสิทธิเข้าร่วมเรียนรู้กับโครงการ ‘อินทรีเพื่อนตำรวจ อะคาเดมี’ ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการเล่นฟุตบอลเพื่อเป็นนักฟุตบอลอาชีพในอนาคตอีกด้วย” นายสรรค์ชัย กล่าวทิ้งท้าย
โครงการ ‘2012 อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์’ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2555 ทางเว็บไซต์ www.FootballForLifeThailand.com หรือสมัครด้วยตนเอง ณ วันคัดเลือกภาคสนาม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.FootballForLifeThailand.com หรือโทร. 086-355-1340 และ 02-986-8808 ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.
www.newswit.com
ศธ.ขอไฟเขียวเอ็มโอยูยูเนสโกฟื้นกศน.กรุงเก่า
ศธ.เล็งชงเรื่องให้ ครม.ไฟเขียวลงนามเอ็มโอยูกับยูเนสโก ในการช่วยฟื้นฟู ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนฯ ของ กศน.ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุภัยพิบัติน้ำท่วม
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ในการประชุม ครม.วันที่ 29 พ.ค. 2555 กระทรวงศึกษาธิการ เสนอเรื่องการจัดทำความตกลงโครงการพัฒนาว่าด้วยการฟื้นฟูศูนย์การเรียนรู้ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในประเทศไทยและการลดความเสี่ยงจากภัย พิบัติ ระหว่างองค์การยูเนสโกกับรัฐบาลไทย โดยขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงโครงการพัฒนาว่าด้วยการฟื้นฟู ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในประเทศไทยและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ระหว่างองค์การยูเนสโกกับรัฐบาลไทย
ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงดังกล่าว ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ ศธ. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้นๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในความตกลงดัง กล่าวและให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจ (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศธ. รายงานว่า ความตกลงโครงการพัฒนาว่าด้วยการฟื้นฟูศูนย์การเรียนรู้ชุมชนฯ เป็นข้อตกลงระหว่างองค์การยูเนสโกกับรัฐบาลไทย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดรายละเอียดของโครงการดังกล่าว ที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้เงินสนับสนุนผ่านยูเนสโก จำนวน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยกำหนดพันธกรณีของรัฐบาลไทยและยูเนสโกเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ
โครงการฯ ดังกล่าว มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฟื้นฟูความเสียหาย และจัดหาสื่อการเรียนการสอนที่จำเป็น รวมถึงอุปกรณ์การเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนที่เกิดจากภัยน้ำท่วมในประเทศไทย ส่งเสริมความเข้มแข็งของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภายหลังประสบภัยพิบัติ และเสริมสร้างสมรรถนะของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนและเจ้าหน้าที่ศูนย์การเรียน รู้ชุมชนให้มีความรู้เกี่ยวกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม และเขตพื้นที่เสี่ยงภัยของประเทศไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะร่วมประชุมหารือ เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานพร้อม ทั้งติดตามความคืบหน้าของโครงการต่อไป.
www.thairath.co.th
รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ประกาศรางวัลแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ ครั้งที่ 14 ประจำปี 2555
บริษัท รีดเดอร์ส ไดเจสท์ เอเชีย จัดงานประกาศรางวัลการสำรวจแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ครั้งที่ 14 ประจำปี 2555 หรือ Trusted Brand 2012 เผยผลการสำรวจ คนไทยมีความเชื่อมั่นและภักดีต่อแบรนด์สินค้าในประเทศมากที่สุดในเอเชีย ส่งผลให้แบรนด์สินค้าของประเทศไทยได้รับรางวัลถึง 38 แบรนด์จาก 59 แบรนด์และปีนี้ยังได้เพิ่มประเภทสินค้าและบริการในการสำรวจแบรนด์อีก 2 หมวดได้แก่ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider) และโทรศัพท์มือถือ/สมาร์ทโฟน (Smart Phone) เพราะเป็นธุรกิจที่กำลังมีการแข่งขันในตลาดสูง ผู้บริโภคจึงต้องการข้อมูลที่เชื่อมั่นได้สำหรับการอ้างอิงและตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการดังกล่าว ทั้งนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่ผู้บริโภคว่าผลการสำรวจรางวัลแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ หรือ Trusted Brand ได้รับความเชื่อมั่นมากที่สุดในเอเชีย
ซู คาร์นีย์ บรรณาธิการอำนวยการเอเชียแปซิฟิกของนิตยสารรีดเดอร์ส ไดเจสท์ กล่าวในงานประกาศรางวัลแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ ครั้งที่ 14 ประจำปี 2555 ว่า การสำรวจแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้เป็นงานสำคัญของรีดเดอร์ส ไดเจสท์ ในฐานะบริษัทผลิตสื่อและการตลาดระดับโลก ซึ่งมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ความรู้ ความบันเทิงและเชื่อมโยงผู้อ่านทั่วโลก ตลอดจนใช้ทักษะด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมแบรนด์สินค้าที่มีความโดดเด่นในตลาดของแต่ละประเทศให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น
“การสำรวจแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ เป็นการสำรวจความนิยมของผู้บริโภคโดยตรงจาก 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน อินเดีย จีน และฟิลิปปินส์ จำนวนประเทศละ 1,000 คนรวม 8,000 คน ที่ดำเนินการสำรวจโดยบริษัทอิปซอสส์ ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยชั้นนำของโลกบริษัทหนึ่งโดยดำเนินการสำรวจด้วยวิธีการถามผ่านทางโทรศัพท์และไปรษณีย์ ซึ่งเป็นวิธีการที่โปร่งใสและสามารถพิสูจน์ได้ จึงทำให้ผลการสำรวจดังกล่าวเป็นที่ยอมรับในภูมิภาคเอเชีย โดย 83 % ของผู้ตอบแบบสอบถามในเอเชียลงความเห็นว่า ผลการสำรวจมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขา และ 64 % มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อแบรนด์ที่ได้รับรางวัลแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ของรีดเดอร์ส ไดเจสท์”
สำหรับการสำรวจในปีนี้ ซู คาร์นีย์ เปิดเผยว่า คำถามที่ใช้ในการสำรวจเน้นเรื่องแบรนด์สินค้าในประเทศกับแบรนด์สินค้าต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคให้ตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนสินค้าภายในประเทศ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนคำถามที่เกี่ยวกับฉลากสินค้าซึ่งแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้พิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ
“สำหรับผลการสำรวจเกี่ยวกับแบรนด์สินค้าและบริการ 82% ของผู้ตอบแบบสอบถามในทวีปเอเชียยอมรับว่า การสนับสนุนสินค้าภายในประเทศจะช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศเติบโต โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับแรกที่ 96% ตามด้วยฟิลิปปินส์ 94% และไต้หวัน 85% สำหรับคำถามเกี่ยวกับโอกาสในการซื้อสินค้าในประเทศทดแทนสินค้าต่างประเทศ มีการเปลี่ยนแปลงอันดับเล็กน้อย แต่ประเทศไทยยังคงเป็นอันดับแรกที่ 73% ตามด้วยฟิลิปปินส์ที่ 68% และมาเลเซียที่ 53% ไต้หวันอันดับสี่ที่ 51%
ขณะที่ผลการสำรวจในหัวข้อเดียวกันในอินเดีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และฮ่องกง ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 50% เห็นว่าการสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นจะช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศมีการพัฒนาเติบโตขึ้น แต่มีน้อยกว่า 40% ที่เห็นว่าการซื้อสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าต่างประเทศไม่ใช่ประเด็น”
จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นคนไทย จำนวน 1,000 คน แสดงให้เห็นว่า คนไทยมีความเชื่อมั่นและภักดีต่อแบรนด์สินค้าในประเทศสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย โดยสามารถอธิบายได้จากผลการสำรวจรางวัลแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้เช่นเดียวกัน เพราะปรากฏว่ามีแบรนด์สินค้าไทยได้รับคะแนนโหวตให้เป็นแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ถึง 59 แบรนด์ อาทิ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ซึ่งได้รับรางวัลประเภทโกลด์ จากหมวดบริการทางการเงิน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับรางวัลประเภทโกลด์ ในหมวดบริการ และโรงพยาบาลยันฮีรับรางวัลประเภทโกลด์ ในหมวดสถานเสริมความงามและลดน้ำหนัก เป็นต้น
“ การประกาศผลรางวัลสำรวจแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ มี 2 ประเภทได้แก่ ระดับโกลด์ ซึ่งมอบให้แก่แบรนด์สินค้าที่มีคะแนนมากกว่าแบรนด์อื่นในประเภทเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดเจน และระดับแพลทตินั่ม มอบให้แก่แบรนด์สินค้าที่ได้รับคะแนน 2 หรือ 3 เท่าของแบรนด์ระดับโกลด์ โดยมีคะแนนเชิงคุณภาพเฉลี่ยตั้งแต่ 4 ขึ้นไป ในปีนี้มีแบรนด์สินค้าที่ได้รับรางวัลประเภทโกลด์ ทั้งสิ้น 46 แบรนด์ และประเภทแพลทตินั่ม ทั้งสิ้น 13 แบรนด์ ประกอบด้วยแบรนด์สินค้าในประเทศ 38 แบรนด์ และแบรนด์สินค้าต่างประเทศ 21 แบรนด์ “
นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ว่ามีปัจจัยหรือพิจารณาจากอะไรเป็นสำคัญ อาทิ วัตถุดิบที่มาจากท้องถิ่น วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วิธีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การบรรจุหีบห่อสินค้าที่ลดการสูญเสียน้อยที่สุด ชิ้นส่วนที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ โครงการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดี
ผลการสำรวจข้อนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ให้การสนับสนุนในการจัดซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเรียงลำดับ 3 ประเทศแรก คือ ไทย ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการพิจารณาคือการรีไซเคิลของส่วนประกอบต่างๆ 83% วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 81% การบรรจุหีบห่อสินค้าที่ลดการสูญเสียน้อยที่สุด 81% และโครงการหรือการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี 81%และสุดท้าย ผลการสำรวจพบว่า ก่อนซื้อสินค้า ข้อมูลที่ผู้บริโภคนิยมอ่านบนฉลากผลิตภัณฑ์เป็นอันดับแรกคืออะไร โดยมีตัวเลือก คือส่วนผสม ข้อมูลโภชนาการ ข้อมูลผู้ผลิต ที่มาของส่วนผสม ผลสำรวจคือส่วนผสม ซึ่งประเทศที่ได้อันดับสูงสุดคือ จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน มาเลเซียและไทยตามลำดับ
1. ในจำนวนผู้ที่ได้รับรางวัล 59 แบรนด์ของการสำรวจแบรนด์ที่เชื่อมั่นได้ โดยรีดเดอร์ส ไดเจสท์ ในประเทศไทยมี แบรนด์ของประเทศไทยจำนวน 38 แบรนด์
2. ผู้บริโภคชาวไทย 96 % ยอมรับว่า การสนับสนุนสินค้าภายในประเทศจะช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศเติบโต โดยมี73% คิดว่ามีโอกาสในการซื้อสินค้าในประเทศทดแทนสินค้าต่างประเทศ
3. การสำรวจปีนี้ได้เพิ่มประเภทสินค้าและบริการในการสำรวจแบรนด์อีก 2 หมวดได้แก่
3.1 ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider) โดยบริษัท ทรู คอปอเรชั่น (มหาชน) จำกัด ได้รับรางวัลระดับแพลทตินั่ม และ 3BB ได้รับรางวัลระดับโกลด์
3.2 โทรศัพท์มือถือ/สมาร์ทโฟน (Smart Phone) เพราะเป็นธุรกิจที่กำลังมีการแข่งขันในตลาดสูง โดยซัมซุง ได้รับรางวัลระดับโกลด์
www.newswit.com
ฟิทช์ประกาศคงอันดับบลจ. ไทยพาณิชย์ที่ ‘M2+(tha)’
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับบริษัทจัดการกองทุนภายในประเทศ (National Scale Asset Manager Rating) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) ที่ ‘M2+(tha)’
การประกาศคงอันดับบริษัทจัดการกองทุนของ SCBAM สะท้อนถึงการที่บริษัทมีชื่อเสียงที่ดีและเป็นที่รู้จักในธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนในประเทศไทย การมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูง รวมถึงการที่บริษัทได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิต ‘AA(tha)’/แนวโน้มมีเสถียรภาพ/‘F1+(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายเดียวของบริษัท โดย SCBAM ได้รับประโยชน์จากการที่ธนาคารไทยพาณิชย์มีสาขาเป็นจำนวนมาก ซึ่งกองทุนรวมภายใต้การจัดการของ SCBAM ส่วนใหญ่ได้ถูกขายผ่านทางสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากการโอนสายงานด้านการบริหารจัดการความเสี่ยง ด้านการกำกับและควบคุม และด้าน IT ไปยังธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งมีความพร้อมสูงทั้งทางด้านบุคคาลกรและทรัพยากรในสายงานดังกล่าว
อันดับบริษัทจัดการกองทุนยังพิจารณาถึงการที่บริษัทมีผู้บริหารระดับสูง และบุคลากรทางด้านการจัดการการลงทุนที่มีประสบการณ์ ถึงแม้ว่าจะมีการลาออกของอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนฝ่ายจัดการการลงทุนตราสารทุน รวมถึงกระบวนการลงทุนในส่วนตราสารหนี้ที่ค่อนข้างคงที่ และผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่องของแผนก asset allocation นอกจากนี้ SCBAM ได้ทำการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ IT ในส่วนของการปฏิบัติงานส่วนกลางและส่วนหลัง (middle to back office) ซึ่งถึงแม้จะเกิดความล่าช้า แต่ในปัจจุบันโครงการดังกล่าวก็ได้มีการดำเนินการแล้วเสร็จเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้คุณภาพของระบบ IT ในส่วนของพอร์ตโฟลิโอการลงทุน และการคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุนมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ปัจจัยท้าทายหลักของ SCBAM คือความพยายามในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและขนาดสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ(AuM) ในขณะที่การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น ความจำเป็นในการลดอัตราการเปลี่ยนแปลงพนักงานในสายการจัดการการลงทุนตราสารทุนและการปรับปรุงผลการดำเนินงานของกองทุนตราสารทุน ปัจจัยท้าทายอื่นของบริษัทยังรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพทางด้าน IT ในส่วนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ให้เกิดความล่าช้าหรือเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน
SCBAM ได้รับประโยชน์จากการที่มีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นรายเดียว ซึ่งทางธนาคารได้ให้ความสำคัญต่อธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนและให้การสนับสนุนทั้งทางด้านการปฏิบัติงานและทางด้านการเงิน ถึงแม้ว่ากองทุนส่วนใหญ่ของ SCBAM จะเป็นกองทุนตราสารหนี้และกองทุนตราสารทุน บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในปี 2555 โดยการเสนอขายกองทุนที่ลงทุนในตราสารมากกว่า 1 ประเภท (multi asset class) ซึ่งรวมถึงกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ กองทุนผสมที่ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และกองทุนที่สะท้อนถึงระดับความเสี่ยงที่รับได้ของผู้ลงทุนแต่ละประเภท (risk target funds) นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นกลยุทธ์ customer centric โดยการยึดเอาความต้องการของลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลางในการเสนอผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้าสถาบันประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล ในด้านบุคลากร SCBAM มีบุคลากรที่มีประสบการณ์ถึงแม้ว่ามีอายุงานกับบริษัทค่อนข้างสั้น ฟิทช์ยังมีข้อสังเกตว่าบริษัทมีอัตราการเปลี่ยนแปลงพนักงานในสายการจัดการการลงทุนตราสารทุนที่สูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
กรอบนโยบายการบริหารจัดการและการควบคุมความเสี่ยงของ SCBAM อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งกรอบนโยบายดังกล่าวสนับสนุนให้บริษัทสามารถทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของ SCBAM และฝ่ายบริหารความเสี่ยงของธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกันบริหารความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงานและความเสี่ยงด้านการจัดการการลงทุน ฟิทช์ยังได้พิจารณาถึงการกำกับดูแลทั้งก่อนและหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท แม้ว่าในส่วนการกำกับดูแลก่อนการซื้อขายหลักทรัพย์ยังต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ IT ในบางขั้นตอน
จากการที่มีข่าวว่าอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนฝ่ายจัดการการลงทุนตราสารทุน และอดีตเจ้าหน้าที่ค้า หลักทรัพย์ของบริษัท อยู่ในระหว่างการถูกตรวจสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม SCBAM ได้ชี้แจงว่าทางบริษัทได้จัดให้มีการสอบทานการปฏิบัติงานของอดีตเจ้าหน้าที่ดังกล่าวและไม่พบหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติของรายการ โดยอดีตเจ้าหน้าที่ทั้งสองมีอายุงานที่บริษัทประมาณ 6 เดือน ในขณะเดียวกัน ทาง SCBAM ได้เพิ่มความเข้มงวดในการปฏิบัติงานของฝ่ายจัดการการลงทุน ซึ่งสะท้อนถึงมาตรการส่วนหนึ่งที่ทาง ก.ล.ต. จะออกบังคับใช้กับบริษัทจัดการกองทุนในกลางปีนี้
กระบวนการจัดการการลงทุนของ SCBAM ที่ผสมผสานระหว่างวิธีการวิเคราะห์แบบ top down และ bottom up อยู่ภายใต้การดูแลของประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน 2 ท่านและคณะกรรมการการลงทุน ฟิทช์มองว่าบริษัทมีกระบวนการวิเคราะห์เครดิตที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตามจำนวนบุคลากรในฝ่ายยังมีไม่เพียงพอ นอกจากนี้ SCBAM ยังให้ความสำคัญต่อการวัดผลการดำเนินงานกองทุนโดยผู้บริหารระดับสูงและผู้จัดการกองทุนได้ทำการติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ในความเห็นของฟิทช์ บริษัทยังคงต้องปรับปรุงในส่วนของความต่อเนื่องในกระบวนการลงทุนส่วนตราสารทุน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงพนักงานในส่วนของสายงานดังกล่าว รวมถึงการปรับปรุงผลการดำเนินงานของกองทุนตราสารทุน เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานของกองทุนได้ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 1 ปี 2555
บริษัทมีการเปิดเผยข้อมูลในรายงานที่เผยแพร่แก่ลูกค้า ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ภายใต้กฎข้อบังคับของธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนในประเทศไทยและใกล้เคียงกับการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจัดการกองทุนอื่น ในปี 2555 SCBAM มีแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารและการให้ข้อมูลแก่ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทมีการทำการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของกองทุนในเชิงลึก เช่น การแยกผลการดำเนินงานตามส่วนงาน การวัดตัวบ่งชี้ความเสี่ยง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว SCBAM ใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นการภายใน
ในด้าน IT บริษัทได้รับประโยชน์จากการที่ธนาคารไทยพาณิชย์มีทรัพยากรทางด้าน IT จำนวนมาก SCBAM ได้ทำการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ IT ในส่วนของการปฏิบัติงานส่วนกลางและส่วนหลัง ซึ่งช่วยรองรับการลงทุนในตราสารที่มีความซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น ในปี 2555 บริษัทมีแผนที่จะทำการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ IT ในส่วนของการปฏิบัติงานส่วนหน้า (front office) ซึ่งจะทำให้โครงการหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ IT เสร็จสมบูรณ์
SCBAM จัดตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 2535 และเป็นบริษัทจัดการกองทุนในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ สินทรัพย์ทั้งหมดภายใต้การจัดการของบริษัทมีมูลค่ารวม 583 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 SCBAM มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ในอันดับที่ 2 ของธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนในประเทศไทย สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของบริษัทส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ในประเทศและครอบคลุมหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยประมาณร้อยละ 67 เป็นหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้และตราสารตลาดเงิน
อันดับบริษัทจัดการกองทุนที่ ‘M2+(tha)’ ของ SCBAM มีพื้นฐานมาจากคะแนนของปัจจัยต่างๆ ในการจัดอันดับที่แสดงไว้ด้านล่าง โดยคะแนนเริ่มจาก 1 ถึง 5 ซึ่ง 1 เป็นคะแนนที่สูงที่สุด
บริษัทจัดการกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับภายในประเทศในหมวด ‘M2(tha)’ แสดงถึงการที่บริษัทมีความเสี่ยงต่ำต่อความล้มเหลวในการจัดการด้านการปฏิบัติการและการลงทุน เมื่อเทียบกับบริษัทจัดการกองทุนอื่นในประเทศไทย
อันดับบริษัทจัดการกองทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากปัจจัยที่ใช้ในการจัดอันดับข้างต้นมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทั้งนี้ การเบี่ยงเบนที่มีสาระสำคัญของปัจจัยที่ใช้ในการจัดอันดับจากหลักเกณฑ์ของฟิทช์ อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับบริษัทจัดการกองทุนได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของหลักเกณฑ์ในการจัดอันดับ สามารถดูได้จากรายงานที่แสดงไว้ข้างล่างซึ่งสามารถหาได้จากเว๊บไซด์ของ ฟิทช์
www.newswit.com
กรณีปลาบู่ชนเขื่อน กับ เศรษฐกิจ "ฟื้นตัว" ใต้ธง "ยิ่งลักษณ์"
มิใช่เพราะปรากฏการณ์ "ปลาบู่ชนเขื่อน"
หากแต่เป็นเพราะการประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งภาคเอกชนอย่าง นายชาตรี โสภณพนิช บอสใหญ่จากแบงก์กรุงเทพ และภาครัฐอย่าง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ว่า เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
"ราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นช่วงนี้ไม่ได้มีปัญหาต่อเศรษฐกิจเนื่องจากค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นแต่รายได้ของประชาชนก็เพิ่มขึ้นด้วย ถือว่าเป็นการปรับที่มีการสมดุลกัน"
เป็นบทสรุปสั้นกระชับจาก นายชาตรี โสภณพนิช
เมื่อประสานเข้ากับบทสรุปจากที่ประชุมในการจัดทำรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ทำให้การไล่จี้จากพรรคประชาธิปัตย์ต้องคลายมนต์ขลัง
เหมือนอาการนะจังงัง เงียบสนิท ไม่ว่าจะมาจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ไม่ว่าจะมาจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นลูกคู่ให้กับพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่อง
นะจังงังในความขลังของธนาคารแห่งประเทศไทย
ในความเห็นของ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ขณะนี้เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยชัดเจนทั้ง 4 ด้าน ทั้งด้านการผลิต การใช้จ่าย การลงทุนและการส่งออก
โดยด้านการอุปโภคบริโภคและการลงทุน ตัวเลขล่าสุดขยายตัวสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดอุทกภัย ขณะที่การส่งออกและการผลิตกำลังฟื้นตัว ทำให้เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกและเชื่อว่าน่าจะยังขยายตัวได้ดีในระยะต่อไป
สอดรับกับ นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท.
การประเมินภาพเศรษฐกิจล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไปยังขยายตัวได้ดีกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ไว้ เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะขยายตัวได้ในระดับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณการคือ ประมาณร้อยละ 6
ยิ่งกว่านั้น สำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยังระบุเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2555 ขยายตัวอย่างอ่อนๆ แค่ร้อยละ 0.3
นี่ย่อมส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งไปยังประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย
นี่ย่อมทำให้พรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตรอย่างเช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต้องเงียบเสียงลง
ยิ่งกว่าอาการของ "ปลาบู่ชนเขื่อน" หลายเท่า
ถึงแม้ว่าในความเห็นของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระหว่างอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 จะถือว่า
เป็น "ภาพลวงตา"
แต่ภาพลวงตานี้ก็ได้รับการยืนยันจากบอสใหญ่แบงก์กรุงเทพ ได้รับการยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ยิ่งกว่านั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยก็เกิดการขยับตัว
เพราะว่าธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณการเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2555 ว่าจะขยายตัวติดลบร้อยละ 1.7 เมื่อสำนักงานคณะกรรมการสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า ขยายตัวร้อยละ 0.3
"จึงจำเป็นต้องมีการประเมินประมาณการใหม่"
ถามว่าที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพราะอะไร เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรปกระนั้นหรือ
หรือเพราะว่า 1 รากฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วขณะเดียวกัน 1 เพราะนโยบายกระตุ้นและการริเริ่มเพื่อสร้างความมั่นใจ
เป็นความมั่นใจภายในห้วงเวลา 9 เดือน
ความสำเร็จจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไตรมาส 1 เช่นนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องโชคช่วย
ยากเหลือเกินที่พรรคประชาธิปัตย์จะยอมรับ ยากเหลือเกินที่นักวิชาการเสื้อเหลืองจะยอมรับ ยากเหลือเกินที่หอการค้า และสภาอุตสาหกรรมจะยอมรับด้วยความเต็มใจ
เต็มใจว่าเป็นฝีมือของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี
www.matichon.co.th
กสทช.เลือก “ระบบยุโรป” ทำทีวีดิจิตอล
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท) เปิดเผยภายในงาน Go Digital Thailand ถึงความคืบหน้าการดำเนินการเปลี่ยนผ่านไปสู่การแพร่ภาพโทรทัศน์ด้วยระบบดิจิตอลของประเทศไทยว่า ล่าสุดบอร์ด กสท ได้ประกาศกำหนดให้ใช้มาตรฐาน DVB-T2 ซึ่งเป็นระบบยุโรป เป็นมาตรฐานระบบโทรทัศน์ดิจิตอลภาคพื้นดินของประเทศไทย ซึ่งเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแล้วในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี การเลือกระบบการออกอากาศทีวีดิจิตอลนั้นได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการ และเป็นมติ กสทช.ครั้งที่ 16/2555 โดยเห็นว่าเป็นระบบที่มีความเหมาะสมทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การใช้คลื่นความถี่ที่มีประสิทธิภาพ จำนวนช่องที่มากพอในการจัดสรรให้การประกอบการแต่ละประเภท คุ้มค่าในกระบวนการผลิตที่ทำให้ต้นทุนไม่สูงมากจนส่งผลกระทบต่อประชาชน
ส่วนราคากล่องรับสัญญาณ (Set Top Box) ของทีวีดิจิตอลระบบนี้ เบื้องต้นราคาอยู่ที่ประมาณ 25-30 เหรียญสหรัฐ
"กสทช.จะเร่งผลักดันให้เกิดทีวีดิจิตอลประเภทบริการสาธารณะเริ่มออกอากาศในปีนี้แน่นอน พร้อมคาดจะมีการทดลองออกอากาศประเภทอื่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน"
ขณะที่สาเหตุที่เลือกระบบ DVB-T2 เนื่องจากเป็นระบบที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพในการใช้คลื่นความถี่ดีที่สุดทำให้มีช่องรายการเพียงพอสำหรับการจัดสรรให้หน่วยงานรัฐ และภาคประชาชนที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีสัดส่วนสำหรับชุมชน 20% และยังเป็นมาตรฐานที่กลุ่มประเทศอาเซียนรับรองให้เป็นมาตรฐานรวม ซึ่งในปัจจุบัน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และเวียดนาม ได้ประกาศจะใช้ระบบนี้ ทำให้อุปกรณ์เครื่องรับมีราคาไม่แพงและมีแนวโน้มที่จะถูกลงเรื่อยๆ
สำหรับขั้นตอนต่อไปจะเริ่มการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโครงสร้างพื้นฐาน ใบอนุญาตการประกอบกิจการโครงข่าย และใบอนุญาตประกอบกิจการบริการสาธารณะภายในสิ้นปีนี้ ส่วนการออกใบอนุญาตประกอบกิจการธุรกิจจะเริ่มในเดือนสิงหาคม 2555 และการออกใบอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชนจะเริ่มในเดือนธันวาคม ปีหน้า
อย่างไรก็ดี คาดว่าประเทศไทยจะมีระบบดิจิตอลทีวีเต็มรูปแบบในปี 2558 เพื่อเริ่มต้นกระบวนการยุติการออกอากาศด้วยระบบแอนะล็อกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
Company Relate Link :
กสทช.
manager.co.th
สถาบันสอนภาษาอังกฤษ วอลล์สตรีท (WSE)...
กรุงเทพฯ, 24 พฤษภาคม 2555: สถาบันสอนภาษาอังกฤษ วอลล์สตรีท (WSE) ประกาศข่าวดีขึ้นแท่นสถาบันสอนภาษาอังกฤษสุดฮ็อตที่มีสถิติการเติบโตรวดเร็วและมีสาขามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เตรียมจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในโอกาสครบรอบ 40 ปี ล่าสุดทีมผู้บริหารระดับสูงเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีฉลองใหญ่เปิดสาขาที่ 450 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ประเทศไทย ซึ่งนับเป็นสาขาแรกที่สร้างความแตกต่างด้วยคอนเซ็ปต์ "Executive School" ที่เน้นการเรียนภาษาอังกฤษแบบเอ็กคลูซีฟตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนระดับวีไอพี ผู้บริหาร นักธุรกิจ
มร.มิเชล เลอ เคอเลค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท ประเทศไทย กล่าวว่า สถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท สาขาเซ็นทรัลเวิลด์แห่งนี้ เปิดตัวขึ้นมาบนความภาคภูมิใจของวอลล์สตรีทเพราะสถาบันแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถาบันลำดับที่ 450 ของโลก อีกทั้งในปีนี้ยังเป็นปีที่ครบรอบ 40 ปีของวอลล์สตรีท นับตั้งแต่การเปิดสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีทแห่งแรก ณ ประเทศอิตาลี เมื่อปี 1972 และเพื่อเป็นการฉลองโอกาสพิเศษเช่นนี้ จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท เซ็นทรัลเวิลด์ ที่ถือเป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มาใน คอนเซ็ปต์สุดเอ็กคลูซีฟในบรรยากาศการเรียนการสอนที่เหนือระดับแห่งแรกในประเทศไทย
สถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท สาขาเซ็นทรัลเวิลด์แห่งนี้ เกิดขึ้นด้วยเป้าหมายสำคัญในการสร้างประสบการณ์ใหม่ของการเรียนภาษาอังกฤษ ในรูปแบบ "Executive School" เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนระดับวีไอพี ผู้บริหาร นักธุรกิจ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนักธุรกิจชั้นนำที่มีความมั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อต่อยอดความสำเร็จ โดยชูจุดเด่นสำคัญ คือ หลักสูตรผสมผสาน Blended Method เอกสิทธิ์เฉพาะของวอลล์สตรีทที่สร้างความสำเร็จให้กับนักเรียนมาแล้วกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก และเหนือระดับด้วยการสอนแบบ VIP One-on-One Executive Program (หนึ่งต่อหนึ่ง) เพื่อให้ทุกชั่วโมงของการเรียนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมด้วยที่ปรึกษาส่วนตัวที่จะร่วมวางแผนการเรียนและออกแบบตารางเรียนเพื่อให้ผู้เรียนทุกคนสามารถบรรลุเป้าหมายของการเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้ทุกข้อจำกัด
"กลุ่มนักเรียนระดับวีไอพีคือกลุ่มเป้าหมายหลักของ สถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท สาขาเซ็นทรัลเวิลด์แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักธุรกิจ ผู้บริหาร ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อนำไปต่อยอดความสำเร็จ ซึ่งเราพบว่า นักเรียนในกลุ่มนี้มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและบริการที่เหนือระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดเวลาเรียนที่มีประสิทธิภาพเพื่อไม่กระทบภารกิจหลักของผู้เรียน"มร.มิเชล กล่าวเสริม
โดย มร.มิเชล ได้กล่าวย้ำถึงความมั่นใจในการเปิดตัวสถาบันแห่งใหม่นี้ว่า ที่ผ่านมาวอลล์สตรีท ถือได้ว่าเป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำทั้งระดับโลกและระดับประเทศ ให้ดำเนินการสอนภาษาอังกฤษแก่บุคคลากรของแต่ละองค์กรในรูปแบบ Corporate School อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์, กระทรวงพาณิชย์, การท่าเรือแห่งประเทศไทย, บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นต้น จึงเป็นที่มาของการสั่งสมประสบการณ์ในการสอนภาษาอังกฤษเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับนักธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทย ซึ่งพบว่าผู้เรียนในกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"กระแสความตื่นตัวสู่การเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นความต้องการในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจ เพราะความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษและทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพคือกุญแจสำคัญของการทำธุรกิจทั้งสำหรับในวันนี้และในอีก 3 ปีข้างหน้า..."
มร.มิเชล เลอ เคอเลค กล่าวเสริมว่าจากประสบการณ์ของการสอนผู้บริหารและบุคลากรในองค์กรชั้นนำทั่วประเทศของวอลล์สตรีท เราพบว่ามีผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจจำนวนมากที่ต้องการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของตนเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษ และก็พบว่าข้อจำกัดในการเรียนมักจะเกิดจากการจัดสรรเวลา และความรู้สึกเขินอายที่จะกลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้ง...ทั้งๆ ที่จริงแล้วการพัฒนาศักยภาพและการเรียนรู้เป็นสิ่งที่เราต้องทำตลอดชีวิต...นี่จึงเป็นที่มาของสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีทสาขาเซ็นทรัลเวิลด์แห่งนี้"
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ด้านการลงทุนของสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท สาขาเซ็นทรัลเวิลด์แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่บริเวณชั้น 3 ทาวเวอร์โซน ฝั่งดิออฟฟิศเซส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ใช้งบประมาณในการเปิดสาขาทั้งสิ้นกว่า 30 ล้านบาท ตกแต่งในบรรยากาศเรียบหรู มีระดับ ด้วยประกอบไปด้วยพื้นที่ 3 ส่วน คือ Speaking Center สำหรับได้ฝึกทักษะการฟังและออกเสียง Encounter Class สำหรับการเรียนกับอาจารย์เจ้าของภาษาแบบหนึ่งต่อหนึ่ง และ Social Club Area พื้นที่กิจกรรมเพื่อฝึกการใช้ภาษา รวมเจ้าหน้าที่และครูผู้สอนกว่า 26 คน และเพื่อการดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึงจึงเปิดรับนักเรียนเพียงแค่ 30 คนเท่านั้น" มร.มิเชล เลอ เคอเลค กล่าว
อนึ่ง สถาบันสอนภาษาอังกฤษ วอลล์สตรีท เป็นหนึ่งในสถาบันสอนภาษาชั้นนำระดับโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 1972 (พ.ศ.2515) ด้วยสถิติสอนนักเรียนกว่า 2 ล้านคนจากทั่วโลกกว่า 40 ปี และมี 450 แห่งใน 27 ประเทศทั่วโลก ในแต่ละปีมีผู้สนใจเข้าเรียนกับภาษาอังกฤษกับทางวอลล์สตรีทกว่า 2 ล้านคน โดยล่าสุด ในปี 2010 กลุ่มบริษัท เพียร์สัน ซึ่งเป็นองค์กรด้านการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้ซื้อธุรกิจของสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท จากกลุ่มบริษัท คาร์ไลส์ หลังดำเนินการมากว่า 40 ปี สำหรับ สถาบันสอนภาษาอังกฤษ วอลล์สตรีท ประเทศไทย ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 9 แห่ง ตั้งอยู่บนทำเลที่ไปมาสะดวกทั้งสาขาสีลม สยามดิสคัฟเวอร์รี่ ยูเนี่ยนมอลล์ ลาดพร้าว เมเจอร์ ปิ่นเกล้า ซีคอน สแควร์ แฟชั่น ไอส์แลนด์ ฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต เมกาบางนา และเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมด้วยสถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับลูกค้าองค์กรอีกหลายแห่งในองค์กรชั้นนำในประเทศไทย ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ทาง www.wallstreet.in.th
www.prachachat.net
ปธ.เจโทรเตือนอุตสาหกรรมไทยอาจมีปัญหา ยังขาดแรงงานมีฝีมือ
ประธานเจโทรเตือนธุรกิจ-อุตสาหกรรมในไทยใช้แรงงานเยอะ ประเภทรถยนต์-เครื่องใช้ไฟฟ้า เข้าสู่เออีซีมีปัญหาแน่ แนะต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศแรงงานถูก อย่างกัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์และพม่า ชี้ไทยยังขาดแรงงานมีฝีมือ หยอดคำหวานไทยยังครองความได้เปรียบในอาเซียน
นายเซ็ทซึโอะ อิอูจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น( เจโทร) กรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นวิทยากรในงานTPA Internationnal Forum 2012 จัดโดยสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปุ่น) ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เมื่อเร็งๆนี้ ที่สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ซอยพัฒนาการ 37 กทม. เกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ว่า ปัจจุบันการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยและอาเซียนมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจของประเทศอาเซียนโดยรวมเติบโตสูง และมีความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันอาเซียนก็เป็นฐานการผลิตสำคัญของโลก เมื่อเป็นเออีซีก็จะสร้างความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะการแบ่งงานในอาเซียนก็มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ถ้าอาเซียนไปทำเอฟทีเอกับประเทศอื่นๆก็จะประสบความสำเร็จด้วยดี
นายเซ็ทซึโอะกล่าวว่า ในส่วนของไทย มีการลงทุนจากต่างประเทศรวมถึงญี่ปุ่นค่อนข้างมาก เห็นชัดว่ามากกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ ทำให้ไทยมีฐานทางอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง และมีการสะสมประสบการณ์มากมาย เมื่อเป็นเออีซีไทยก็จะได้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของไทยที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของโครงสร้างการผลิตอุตสาหกรรมใหญ่ๆอย่างรถยนต์หรือเครื่องไฟฟ้า หรือถ้าเป็นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมบางส่วนที่ใช้แรงงานมาก อาจมีความจำเป็นที่จะต้องย้ายไปประเทศอื่นๆที่มีค่าแรงงานถูกกว่า ขณะเดียวกันประเทศไทยจะต้องเน้นการผลิตในส่วนอื่นที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
" ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้อยู่แล้ว เมื่อเป็นเออีซี มีการแบ่งแยกงานกัน ประเทศไหนทำงานที่เป็นโลว์สกิล(แรงงานไร้ฝีมือ) ประเทศไหนที่ทำงานเป็นไฮสกิล(แรงงานที่มีทักษะสูง) ซึ่งโดยศักยภาพของประเทศไทยนั้นต้องมุ่งไปสู่ประเภทที่มีไฮสกิลเลเบอร์มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรื่องค่าจ้างแรงงานเราสู้เขาไม่ได้ ไทยต้องฉวยโอกาสตรงนี้ ทำให้เกิดโครงสร้างทางสาธารณูปโภค เช่นระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศให้เกิดความราบรื่น ให้การขนส่งสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาประเทศไทยจะทำได้ง่ายขึ้น พิธีการทางภาษีศุลกากรต่างๆก็ต้องทำให้ราบรื่นยิ่งขึ้น เพื่อจะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุด"นายเซ็ทซึโอะกล่าวและว่า ประเทศที่ยังมีค่าแรงงานที่ต่ำอยู่ก็มีกัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์และพม่า
ประธานเจโทรระบุอีกว่า ผลพวงปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมาหลายบริษัทของญี่ปุ่นก็ยังคงทำธุรกิจต่อไป แต่จะไม่ขยายธุรกิจลงในที่เดิม อาจจะขยายไปในที่อื่นในประเทศไทย ที่คิดว่าเป็นอันตรายน้อยกว่า สาเหตุที่ยังคงทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย เพราะไทยมีสิ่งอำนวยความสะดวกดีทั้งเรื่องไฟฟ้า ถนนหนทางสะดวก รวมทั้งการสื่อสาร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ดี และไทยมีการสะสมประสบการณ์มีศักยภาพที่สูง อย่างการหาวัตถุดิบหรือจัดหาชิ้นส่วนก็สามารถทำได้แน่นอน และมีความสะดวก นักธุรกิจญี่ปุ่นจึงยังไม่ไปไหน
"จากนี้ไป เราต้องไปแข่งขันกับประเทศอื่นอย่างอินโดนีเซียหรือเวียดนาม ซึ่งเขาก็มีบีโอไอที่พยายาม ชักชวนนักธุรกิจญี่ปุ่นให้ไปลงทุน ฉะนั้นรัฐบาลไทยก็ต้องให้ความมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมเป็นครั้งที่สอง แม้หลักการนโยบายจะมีแล้วก็ตาม แต่การดำเนินการจริงต้องเริ่มโดยเร็วเพื่อเป็นการให้สัญญาณว่าจะสามารถป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้"
นายเซ็ทซึโอะย้ำว่า ในการเข้าสู่เออีซีนั้น ในส่วนของประเทศไทยนั้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะไทยอยู่ในตำแหน่งที่ดีทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ และในเรื่องของการแข่งขันที่มีศักยภาพการแข่งขันที่สูง ดังนั้นไทยควรมีมาตรการที่จะเข้าร่วมอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่มองประเทศไทยอย่างเดียว ต้องมองไทย และมองประเทศเพื่อนบ้านว่าจะไปแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆได้อย่างไร สำหรับ จุดอ่อนของประเทศไทยอย่างหนึ่งคือยังขาด แรงงานที่มีทักษะจำนวนมาก ควรจะสร้างบุคลากรพวกนี้ให้มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความไทยไม่มีช่างฝีมือหรือวิศวกร เป็นเพราะอุตสาหกรรมเติบโตเร็วกว่า ประเทศไทยสร้างคนไม่ทำ
" เมื่อเป็นเออีซี การแบ่งงานในประเทศต่างๆมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นสามารถมองชัดเจนได้ว่าจะลงทุนที่ไหนดีไม่ดี จะมองภาพนี้ได้ง่ายขึ้น การลดต้นทุนก็จะทำได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองคืออินโดนีเซีย แต่พูดถึงอัตราการเติบโตอินโดนีเซียจะสูงกว่า ตามด้วยเวียดนามและกัมพูชา"
www.matichon.co.th
มาสด้าเสริมทัพชุดใหญ่ส่งมาสด้า3 ใหม่ 1.6ลิตร เจเนอเรชั่นใหม่ดีไซน์ สปอร์ต
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศศักดาเดินหน้าลุยตลาดรถยนต์นั่งแบบเต็มพิกัด ผนึกรวม 2 พลังสายพันธุ์สปอร์ต พร้อมส่งรุ่นพี่มาสด้า3 ใหม่ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เสริมทัพทั้งแฮ็ชต์แบ็ค 5 ประตู และซีดาน 4 ประตู ชูความโดดเด่นด้านดีไซน์ความเป็นสปอร์ตโฉบเฉี่ยวเหนือระดับ ซึ่งรถมาสด้า3 เจเนอเรชั่นใหม่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมาสด้าภายใต้คอนเซ็ปต์ "MAKE YOUR MARK" ปฏิเสธ...ทุกความธรรมดา ที่จะทำให้ประสบการณ์ของการขับขี่ไม่ธรรมดาอีกต่อไป พร้อมกันนี้ยังเตรียมกวาดยอดขายในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือบีคาร์ด้วยการปรับโฉมรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 ด้วยการเพิ่มออฟชั่นเบสต์อินคลาสและใส่อุปกรณ์มาตรฐานหลายรายการเพื่อเพิ่มความโดดเด่นและความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ตอบสนองลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย คาดปีนี้ยอดขายทะลุ 60,000 คัน
นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ของประเทศไทยกำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่หลังจากที่สถานการณ์ต่างๆ ได้คลี่คลายไปมากแล้ว ทั้งตลาดรถปิกอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก รวมถึงตลาดคอมแพ็คคาร์ที่กำลังแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในปี 2554 ที่ผ่านมานั้นตลาดรถยนต์นั่งมียอดขายสูงถึง 354,000 คัน โดยเฉพาะตลาดคอมแพ็คคาร์มียอดขายสูงถึง 95,000 คัน หรือเกือบหนึ่งแสนคัน ซึ่งถือเป็นเซ็กเม้นต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของรถยนต์นั่ง ซึ่งในปีที่ผ่านมามาสด้ามีผลิตภัณฑ์คือมาสด้า3 รุ่น 2.0 ลิตรเพียง 2 รุ่น แต่สามารถทำยอดขายในกลุ่มนี้ไปได้ถึง 5,476 คัน สำหรับการเสริมทัพในรุ่น 1.6 ลิตรใหม่ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่จะทำให้เราสามารถบรรลุตามเป้าหมายในครึ่งปีหลังของปีนี้ที่เราตั้งไว้ที่ 5,000 คัน อย่างแน่นอน
"ตลาดรถยนต์นั่งคอมแพ็คคาร์ หรือ ซี-คาร์ เป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากมีคู่แข่งในตลาดจำนวนมากที่สุด ซึ่งรถยนต์ในกลุ่มนี้จะแบ่งออกเป็นกลุ่มเครื่องยนต์ระดับ 1600-1800 ซีซี. และอีกกลุ่มคือเครื่องยนต์ 2000 ซีซี. ซึ่งมาสด้า3 เครื่องยนต์ 2.0ลิตรใหม่ ได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว ด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดกลุ่มนี้มายาวนาน และสามารถทำให้มาสด้ามีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มสูงถึง 40% แต่เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเครื่องยนต์ 1600-1800 ซีซี มีสัดส่วนที่สูงมากและเป็นตลาดที่ใหญ่มีโอกาสที่เราจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าที่มีความคาดหวังค่อนข้างสูง ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ดีไซน์ สมรรถนะการขับขี่ ความคุ้มค่าคุ้มราคา อุปกรณ์ที่เพิ่มความหรูหราสะดวกสบาย คุณภาพของวัสดุที่นำมาประกอบ และระบบความปลอดภัยที่มีให้มากพอตามความต้องการ รวมถึงความประหยัดทั้งค่าบำรุงดูแลรักษาและการประหยัดน้ำมัน และมีระดับราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย แต่สำหรับมาสด้า3 ใหม่นั้นกลับมีความโดดเด่นกว่ารถอื่นในคลาสเดียวกัน คือ ความสวยงามของดีไซน์ ความสปอร์ต ซึ่งแตกต่างมาจากรถในกลุ่มคอมแพ็คที่มักเน้นแต่ความหรูหราเพียงอย่างเดียว ซึ่งจุดขายนี้โดนใจลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยมผู้รักรถสปอร์ตหรู การส่งมาสด้า3 ใหม่ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เข้าสู่ตลาดในครั้งนี้จะส่งผลให้รถยนต์มาสด้าสามารถมียอดขายและเป็นที่ยอมรับในตลอดอย่างรวดเร็ว" นายโชอิชิ กล่าว
อีกปัจจัยที่จะส่งผลให้มาสด้าประสบความสำเร็จอย่างมาก นั่นคือ แนวทางการออกแบบและพัฒนารถยนต์มาสด้า3 ใหม่ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ยังคงเน้นไปที่รูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ตสวยงามสะดุดทุกสายตา สะท้อนภาพลักษณ์ที่น่าชื่นชม บ่งบอกสถานะทางสังคมที่เป็นที่ยอมรับ และมีบุคลิกความเป็นตัวของตัวเองอย่างเด่นชัด นอกจากแพ็คเกจภายนอก-ภายในที่โดดเด่นแล้วยังมาพร้อมกับสมรรถนะของการขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจตามสไตล์ ซูม-ซูม ของมาสด้า รวมถึงอุปกรณ์ความปลอดภัยที่มั่นใจได้ ฟังก์ชั่นการใช้งานครบครันและคุ้มค่า อุปกรณ์เสริมความสะดวกสบายต่างๆ มากมาย เบาะนั่งหนังทรงสปอร์ตบัคเก็ตซีท (Sport Bucket Seat) มาพร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้ายขวา ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ 4-Beam พร้อมไฟตัดหมอกแต่งด้วยดีฟิวเซอร์ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi Information Display) พร้อมปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย ล้ออัลลอยด์ลายสปอร์ต 16 นิ้ว วัสดุที่ใช้เน้นคุณภาพและความหรูหรา รวมถึงวัสดุที่เลือกใช้เหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบที่ทันสมัยและการลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นบนตัวรถ ส่งผลให้สมรรถนะของรถถูกขับออกมาได้เต็มเปี่ยม เพราะรถไม่มีอาการแบกน้ำหนัก มาสด้า3 ใหม่ 1.6ลิตร มีให้เลือกถึง 3 รุ่น พร้อมราคาจำหน่ายที่สุดคุ้ม
นายโชอิชิ กล่าวว่า "รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 ถือเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่สามารถพลิกสถานการณ์ครั้งประวิติศาสตร์การขายรถของมาสด้า พร้อมทั้งมียอดขายสะสมถึงปัจจุบันนี้ถึง 35,000 คันเฉพาะในประเทศไทย และกว่า 3,000,000 คัน จากทั่วโลก ซึ่งการเปิดตัวมาสด้า3 ใหม่ ในครั้งนี้ถือเป็นเจเอนเรชั่นที่สอง และเป็นเจ้าของรางวัลคุณภาพจากทั่วโลกแล้วกว่า 133 รางวัล รวมทั้งผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ทั้งของอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งมาสด้าเชื่อมั่นว่า ความสำเร็จของมาสด้า3 ใหม่ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้มาสด้าเติบโตอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย โดยเฉพาะในปีนี้มาสด้าตั้งเป้ายอดขายไว้สูงถึง 60,000 คัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งตั้งเป้าไว้สูงถึง 40,000 คัน และรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 โปร อีกจำนวน 20,000 คัน"
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า ในขณะที่ตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน มาสด้าได้ปรับเสริมกลยุทธ์อีกครั้ง เพื่อเพิ่มความสดใหม่ให้กับรถยนต์มาสด้า2 มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเพิ่มออฟชั่นให้เหนือกว่าแบบ“เบสต์อินคลาส” ให้แก่การใช้งานในฟังก์ชันต่างๆ ให้มีความคุ้มค่าคุ้มราคามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในครั้งนี้มาสด้าได้ปรับเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานหลากหลายรายการเพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวรถ ทั้งเรื่องของดีไซน์ทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้การใช้งานที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย การปรับโฉมครั้งนี้ทำให้รถมาสด้า2 มีคาแรกเตอร์และฟังก์ชั่นของรถสปอร์ตซิตี้คาร์อย่างชัดเจนกว่ารถบีคาร์อื่นๆ ในตลาด อุปกรณ์เพิ่มเติมทำให้โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบฮาโลเจน แบบ 4-Beam โปรเจคเตอร์ ล้ออัลลอยด์สปอร์ตลายใหม่ ขนาด 16 นิ้ว ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง มาตรวัดดีไซน์ใหม่สีดำสปอร์ต เบาะและแผงประตูหุ้มหนัง เบาะผ้าลายใหม่ วิทยุ ซีดี เอ็มพี3 พร้อมตกแต่งด้วยสีดำเปียโนแบล็ก แผงสวิตช์ควบคุมที่พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ ช่องเชื่อมต่อ USB/AUX มาพร้อมเฉดสีใหม่ สีฟ้าอควาติกบลู และสีขาวอาร์คติกไวท์ มีให้เลือกทั้งสปอร์ตแฮชต์แบ็ค 5 ประตู และเอลิแกนซ์ ซีดาน 4 ประตู ที่สำคัญมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยรอบคันทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบเบรก 4W-ABS และรับกระจายแรงเบรก EBD ในทุกรุ่น
ที่สำคัญการสื่อสารข้อมูลของตัวโปรดักซ์หรือผลิตภัณฑ์ไปยังผู้บริโภคนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับรถยนต์นั่งมาสด้า2 ทั้ง 2 รุ่น มาสด้ายังคงเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงสถานะตัวตนที่แท้จริง และสามารถสื่อสารได้โดยตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งในครั้งนี้เราได้ทำการต่อสัญญากับ 2 พรีเซ็นเตอร์ดาราหนุ่มซูเปอร์สตาร์สุดฮ็อตของเมืองไทย โดย ณเดชน์ คูกิมิยะ เป็นพรีเซ็นเตอร์ของมาสด้า2 เอลิแกนซ์ ซีดาน 4 ประตู และ เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ ในรุ่นสปอร์ต แฮ็ชต์แบ็ค 5 ประตู สุรีทิพย์ กล่าวเพิ่มเติม
รายละเอียดของรถยนต์นั่งสปอร์ต All New Mazda3 ใหม่ 1.6ลิตร มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ประกอบไปด้วย สีขาว อาร์กติกไวท์ สีดำแบล็กไมก้า สีบรอนซ์เงินไฮไลท์ซิลเวอร์ สีเทาเมโทรโพลิตัลเกรย์ สีแดงทรูเรด สีน้ำเงินออโรร่าบลู และสีทองสปาคกลิ้งโกลด์ นอกจากนี้มาสด้ายังเปิดราคาสุดคุ้มค่าเริ่มต้นเพียง 755,000 บาท
Mazda3 1.6 Spirit Sports แฮ็ชต์แบ็ค 5 ประตู เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค ภายในสีดำ เบาะหุ้มหนังสีดำ ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว ราคาจำหน่าย 869,000 บาท
นอกจากนี้มาสด้ายังมีมาสด้า3 รุ่นเครื่องยนต์ 2000 ซีซี. เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค 5 สปีด ที่ให้ความสปอร์ตทั้ง 4 ประตู และ 5 ประตู จำหน่ายในราคาเดียวกันคือ 1,064,000 บาท
สำหรับราคาจำหน่ายรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 รุ่นปรับโฉมใหม่ปี 2012 โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 550,000 บาทเท่านั้น และรุ่นท็อปสุดเบาะหนังราคาเพียง 705,000 บาทเท่านั้น โดยมีให้เลือกทั้งสปอร์ตแฮ็ชต์แบ็ค 5 ประตู และเอลิแกนซ์ ซีดาน 4 ประตู พร้อมกันนี้ยังรับสิทธิการขอคืนภาษีรถคันแรกเต็ม 100,000 บาท อีกด้วย
ทั้งนี้ลูกค้ามาสด้าทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสการในการเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 รุ่นปรับโฉมใหม่ปี 2012 รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 2.0 และ 1.6 ลิตรใหม่ รถปิกอัพฮีโร่ มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ และยานยนต์สายพันธ์สปอร์ตจากมาสด้าที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ที่เร้าใจ สมรรถนะเป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในความปลอดภัยอบอุ่นใจตลอดการเดินทางพร้อมรับข้อเสนอและเงื่อนไขสุดพิเศษจากมาสด้า ทั้งนี้รถยนต์มาสด้าทุกรุ่นรับประกันคุณภาพนานถึง 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
เชิญสัมผัสและทดลองขับรถสปอร์ตมาสด้า2 สปอร์ต และมาสด้า2 เอลิแกนซ์ รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 ใหม่ รถปิกอัพฮีโร่ มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ รถสปอร์ตโรดสเตอร์มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 และรถสปอร์ตครอสโอเวอร์หรู 7 ที่นั่ง มาสด้า ซีเอ็กซ์-9 ได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 135 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ (02) 664-4888 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข1-800-226-408
www.newswit.com
ลูกค้าฮอนด้า"เฮ "แจ๊ซ ไฮบริด" จ่อผลิตในไทยแล้ว
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในญี่ปุ่น อย่างฮอนด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ที่กำลังวางแผนผลิตรถยนต์ซับคอมแพ็กต์ "ฟิต ไฮบริด" ในประเทศไทยแล้ว ซึ่งจะเป็นการผลิตรถยนต์ขนาด 1.3 ลิตร ครั้งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในเร็ว ๆ นี้ นับเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกที่ผลิตนอกประเทศญี่ปุ่น โดยจะใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศไทยเช่นเดียวกันกับฮอนด้า "แจ๊ซ" ซึ่งเป็นชื่อเรียกของรถยนต์รุ่นดังกล่าวในประเทศไทย
ผลิตที่โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ในประเทศไทย ซึ่งโรงงานดังกล่าวได้ถูกปรับปรุงและมีการลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ หลังจากผ่านวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และเพิ่งมีการเปิดตัวรถยนต์ซีวิค ใหม่ ขนาด 1.8 และ 2.0 ลิตร ในประเทศไทยไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
หนังสือพิมพ์นิเคอิ ประเทศญี่ปุ่น รายงานว่า การผลิตรถยนต์ "ฟิต ไฮบริด" หรือในไทยภายใต้ชื่อ "แจ๊ซ ไฮบริด" รถไฮบริดที่ผสมผสานการทำงานของเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร และไอเอ็มเอ มอเตอร์ (Integrated Motor Assist) ที่เป็นรูปแบบเดียวกันกับฮอนด้า อินไซท์ (Insight) และซีอาร์-แซด (CR-Z) โดยแจ๊ซ ไฮบริด มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 1 ลิตรต่อ 22.7 กิโลเมตร
จะจำหน่ายให้กับลูกค้าในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของฮอนด้า ที่ผลิตรถยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ซึ่งมีกำลังการผลิต 240,000 คันต่อปี ที่หยุดการผลิตตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงมีนาคม รวมกว่า 6 เดือน จากผลกระทบของน้ำท่วม
ซึ่งการย้ายฐานการผลิตดังกล่าว เพื่อเป็นการลดต้นทุน และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการใช้รถยนต์ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีราคาจำหน่ายที่ดึงดูดใจลูกค้า ต่างจากรถยนต์ไฮบริดในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังมีราคาสูง โดยชิ้นส่วนสำคัญอย่างมอเตอร์และแบตเตอรี่นั้นจะถูกส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนพาร์ตอื่น ๆ ใช้ในประเทศไทย
ที่ผ่านมา ฮอนด้าได้นำรถนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดด้านอัตราภาษี ทำให้การย้ายฐานการผลิตรถยนต์รุ่นดังกล่าวมาในประเทศไทย จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ นอกจากนี้ในอนาคต ฮอนด้ามีแผนจะผลิตรถยนต์ไฮบริดในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีความสำคัญอีกแห่งด้วย
จนถึงปัจจุบัน รถยนต์ฟิต ไฮบริด ที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น มียอดขายจนถึงสิ้นสุดปีที่ผ่านมา ด้วยยอดขาย 86,000 คัน จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป และได้เริ่มแนะนำรถยนต์รุ่นดังกล่าวแล้วในเอเชีย คือประเทศมาเลเซีย และจะเปิดตัวในประเทศไทยต่อไป
www.matichon.co.th
กสทช.เลือก DVB-T2 เป็นมาตรฐานทีวีดิจิตอลไทย
คกก.กระจายเสียงของ กสทช. ฟันธงเลือก DVB-T2 เป็นมาตรฐานระบบโทรทัศน์ดิจิตอลภาคพื้นดินของประเทศไทยแล้ว ชี้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการใช้คลื่นความถี่ดีที่สุด สอดคล้องกับการเปลี่ยนระบบ PAL อนาล็อกไปสู่ดิจิตอลแบบที่ยุโรปใช้...
พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวในงาน "GO DIGITAL THAILAND" ถึงความคืบหน้าการดำเนินการเปลี่ยนผ่านไปสู่โทรทัศน์ระบบดิจิตอลของประเทศไทย ว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนไปสู่โทรทัศน์ระบบดิจิตอลประสบความสำเร็จ คือ การกำหนดมาตรฐานโทรทัศน์ระบบดิจิตอลของประเทศไทย เพื่อให้สถานีวิทยุโทรทัศน์ทุกแห่งใช้เป็นมาตรฐานในการออกอากาศ และภาคอุตสาหกรรมใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการผลิตอุปกรณ์เครื่องรับโทรทัศน์ของประเทศไทย การกำหนดมาตรฐานโทรทัศน์ระบบดิจิตอลของประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่ กสทช.เสนอแล้ว ครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญมาก ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านตามนโยบายรัฐบาล และตามแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ของ กสทช.
ประธาน กสทช. กล่าวต่อว่า กสทช.มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนนำประเทศไทยก้าวไปสู่ยุคแห่งการรับส่งวิทยุโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ด้วยการส่งเสริมการใช้คลื่นความถี่อันเป็นทรัพยากรของชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก
ด้านนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน "GO DIGITAL THAILAND" ว่า การเปลี่ยนผ่านของระบบโทรทัศน์มีความสำคัญมาก เนื่องจากโทรทัศน์เป็นสื่อ หรือช่องทางการรับรู้ข่าวสารของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้น การปรับปรุงคุณภาพ รวมถึงเนื้อหาของรายการโทรทัศน์ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสังคมไทยโดยรวม ในการให้ความรู้ ให้ข้อมูล เป็นช่องทางการแสดงออกของภาคประชาชนที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้ และเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิตอลของกิจการโทรทัศน์แล้ว ต่อไปก็จะเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิตอลของกิจการวิทยุกระจายเสียง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคสื่อสารมวลชนในระบบดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ ทัดเทียมนานาประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากโทรทัศน์ระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2555 มีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ตามที่สำนักงาน กสทช.เสนอ โดยมอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นหน่วยงานหลักของรัฐบาลในการทำงานร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุน และผลักดันการเปลี่ยนผ่านระบบการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล ที่สามารถถือเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อคราวการประชุมวันที่ 20 พ.ค. 2555 ที่ผ่านมา ได้มีมติรับทราบมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ครั้งที่ 16/2555 ที่รับรองให้มาตรฐาน DVB-T2 เป็นมาตรฐานการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ระบบดิจิตอลภาคพื้นดิน (Digital Terrestrial Television) ของประเทศไทย ตามที่ กสทช. เสนอ ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย และการดำเนินการที่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงไว้
ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บอร์ดกระจายเสียง) ได้ประกาศกำหนดให้มาตรฐาน DVB-T2 เป็นมาตรฐานระบบโทรทัศน์ดิจิตอลภาคพื้นดินของประเทศไทย โดยมีกรอบในการพิจารณาเลือกมาตรฐานจากความก้าวหน้าในเชิงเทคโนโลยี และความจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบโทรทัศน์ในอนาคต เพื่อรองรับกับการพัฒนาของเทคโนโลยี อันอาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน เรื่องการใช้ความถี่อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน จำนวนช่องรายการโทรทัศน์ควรมีมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนาในกิจการโทรทัศน์ของประเทศ
ประธานกรรมการ กสท. กล่าวต่อว่า จำนวนช่องรายการต้องมีมากเพียงพอที่จะจัดสรรให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน มีช่องทางในการประกอบกิจการสื่อสารมวลชน สามารถรองรับการรองรับบริการได้หลากหลาย รวมถึงบริการที่มีความคมชัดมาตรฐาน และบริการที่มีความคมชัดสูง มีการใช้บริการมากพอที่จะส่งผลให้ราคาของอุปกรณ์รับสัญญาณ และเครื่องรับโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลมีราคาที่เหมาะสมและไม่เกิดภาระแก่ประชาชน สอดคล้องกับวิทยุโทรทัศน์ระบบอนาล็อกเดิม ทั้งนี้ แผนความถี่ใหม่จะต้องไม่เกิดการรบกวนกับวิทยุโทรทัศน์ระบบอนาล็อก และต้องไม่รบกวนคลื่นความถี่กับประเทศเพื่อนบ้าน สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ พันธกรณีระหว่างประเทศ และความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน
พ.อ.นที กล่าวอีกว่า มาตรฐาน DVB-T2 เป็นมาตรฐานระบบโทรทัศน์ดิจิตอลภาคพื้นดินที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการใช้คลื่นความถี่ดีที่สุด สามารถมีช่องรายการโทรทัศน์จำนวนมากเพียงพอสำหรับการจัดสรรให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และการเปลี่ยนผ่านจากระบบโทรทัศน์อนาล็อกในระบบ PAL ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบันไปสู่ระบบดิจิตอล DVB-T2 ที่เป็นมาตรฐานยุโรปเหมือนกัน สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ปัจจุบันมีประเทศที่ใช้มาตรฐาน DVB-T2 อยู่ประมาณ 38 ประเทศทั่วโลก อาทิ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ทั้งยังเป็นมาตรฐานที่กลุ่มประเทศอาเซียนรับรองให้เป็นมาตรฐานรวมของอาเซียน โดยประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และเวียดนามเองก็ได้มีการประกาศจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบ DVB-T2 ในส่วนราคาของอุปกรณ์ Set-Top-Box ของมาตรฐานนี้ไม่ทำให้ราคาอุปกรณ์เครื่องรับมีราคาแพงจนเกินไป และมีแนวโน้มที่จะถูกลงในอนาคต
ประธานกรรมการ กสท. กล่าวด้วยว่า การกำหนดมาตรฐานโทรทัศน์ระบบดิจิตอลของประเทศไทยนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนากิจการโทรทัศน์ของประเทศไทย โดยขั้นตอนต่อไปภายในเดือนธันวาคมปีนี้ จะเป็นการดำเนินการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโครงสร้างพื้นฐาน ใบอนุญาตประกอบกิจการโครงข่าย และใบอนุญาตประกอบกิจการบริการสาธารณะ สำหรับปีหน้า (2556) เดือน ส.ค. จะเป็นการดำเนินการออกใบอนุญาตประกอบกิจการทางธุรกิจ ส่วนในเดือน ธ.ค. จะเป็นการดำเนินการออกใบอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชน.
www.thairath.co.th
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง » ถึงเวลาภาครัฐและผู้ประกอบการ
ในปี 2558 นี้ ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคนไทยและภาคธุรกิจทุกแขนง ต้องตื่นตัว และเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนด้วยกันให้มากขึ้น เพื่อเป็นการเปิดโลกกว้าง และเป็นจุดเริ่มต้นการเตรียมความพร้อมก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคต
ดร.ทักษิณ ปิลวาสน์ นายกสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ท็อปฮิต ทัวร์ กล่าวว่า "ในปี 2558 ที่ไทยจะเปิดประตูสู่การค้าเสรีอาเซียน ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและภาครัฐต้องมีการเตรียมความพร้อมให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมในเรื่องการให้ความรู้กับประชาชน เรื่องการค้าเสรีสู่อาเซียนในภาพรวมทั่วประเทศ ส่วนภาคธุรกิจก็ต้องศึกษาอีกเยอะว่ามีผลดี ผลเสียอย่างไร ที่สำคัญต้องเริ่มปลูกฝังเยาวชนให้เรียนรู้เรื่องอาเซียนตั้งแต่วันนี้ เพราะประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียนด้วยกันตอนนี้ ได้เริ่มสอนนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัยแล้ว โดยชี้ให้เห็นว่าการเข้าสู่อาเซียนเป็นยังไง ฉะนั้นการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือ ต้องให้ความสำคัญและเริ่มจากสถานที่ศึกษาก่อนเป็นอันดับแรก โดยสถาบันการศึกษาทุกระดับ ควรจัดให้มีการเรียนการสอนด้านสังคม ภูมิศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และภาษาของประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน เพื่อสร้างจุดแข็งให้แก่แรงงานไทย รวมถึงรองรับการทำงานในประชาคมอาเซียนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการเปิดเสรีอาเซียนนั้น จะต้องพัฒนาบุคลากรภายในประเทศ โดยมุ่งแก้ปัญหาจุดอ่อนของบุคลากร เช่น องค์กรธุรกิจควรร่วมมือกับสถาบันการศึกษาพัฒนาศักยภาพด้านภาษาอังกฤษ และภาษาของชาติในอาเซียนให้กับแรงงานฝีมือระดับกลาง เพราะแรงงานระดับกลางของไทยมีความสามารถ แต่ขาดทักษะในการสื่อสารด้านภาษาอยู่มาก ฉะนั้นปัญหาของคนไทยที่ต้องปรับตัวและเตรียมความพร้อมเมื่อเราเปิดประตูสู่อาเซียนคือ เรื่องของภาษา เพื่อไม่ให้เสียเปรียบประเทศอื่น ส่วนเรื่องวิชาชีพ การพัฒนางานฝีมือ และค่าแรง เราต้องปรับให้ถูกว่าควรอยู่ระดับไหน ควรจะได้ค่าแรงเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวนี้คนไทยส่วนมาก ถ้าเป็นงานบริการจะไม่มีใครทำแล้ว เป็นชาวต่างชาติไปหมด ในอนาคตเราจะขาดแรงงาน เมื่อประตูอาเซียนเปิด เราจะยิ่งขาดแคลน เพราะแรงงานต่างชาติจะกลับไปทำงานที่ประเทศของตัวเองมากยิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่น่ากังวล" นายกสมาคมกล่าว
ส่วนโอกาสและข้อได้เปรียบเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวไทย ที่เห็นได้ชัดคือ การใช้ข้อได้เปรียบในการเป็นประตูสู่ภูมิภาค (Gateway to Asean) ของ AEC ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านที่ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยอย่าง พม่า และ กัมพูชา ก็มีนโยบายเปิดประเทศมากขึ้น นักท่องเที่ยวทั้งจากในและนอกภูมิภาค สนใจในการเดินทางและการลงทุนใน 2 ประเทศดังกล่าวมากขึ้นทุกวัน ทำให้ไทยยิ่งมีโอกาสจับกลุ่มนักท่องเที่ยวเชื่อมโยงมาไทยก่อนกระจายไปสู่เพื่อนบ้านได้
นายกสมาคมฯ กล่าวอีกว่า "เราได้เปรียบประเทศอื่นในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับไปทั่วโลก และเรายังเป็นเซ็นเตอร์ในการกระจายความเจริญ ความสะดวกในการเดินทาง เป็นศูนย์กลางของสายการบิน นักท่องเที่ยวนั่งเครื่องมาลงกรุงเทพฯ แล้วเดินทางไปทางรถออกมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียได้ ส่วนทางภาคอีสาน ทางเหนือก็สามารถออกไปกัมพูชา เวียดนาม จีน จนถึงธิเบตได้ ในเรื่องอาหารการกินก็สมบูรณ์ ผู้คนก็น่ารัก ใครมาก็ประทับใจตลอด นี่คือความได้เปรียบของเรา แต่ผมไม่อยากให้เราประมาท เราต้องเตรียมพร้อมและต้องดึงเพื่อนบ้านมาเป็นมิตรให้ได้ ต้องไม่แข่งกัน แต่ต้องสามัคคีและร่วมมือกันทำธุรกิจ นำตลาดตรงนี้ไปเสนออเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ ซึ่งในกลุ่มประเทศเหล่านี้เขาชอบประเทศไทยมากอยูแล้ว"
สำหรับทางด้านของผู้ประกอบการการท่องเที่ยวนั้น นายกสมาคมฯ กล่าวว่า "ต้องเปิดโลก เปิดตา และส่งเสริมพนักงานที่มีฝีมือไปศึกษาดูงานต่างประเทศ ให้ทุนการศึกษาต่อระดับสูง และจัดอบรมระยะสั้น เรียนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในการค้าเสรีอาเซียน ส่วนภาครัฐที่รับผิดชอบในด้านการท่องเที่ยว ก็ต้องเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องและให้ความรู้ในเรื่องอาเซียน ภาษา การตลาดอย่างเร่งด่วน สอนให้รู้ว่าผู้ประกอบการจะเจอกับอะไร และจะพัฒนาองค์กรอย่างไรบ้าง ที่สำคัญในเรื่องการตลาด ที่ต้องให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาเว็บไซต์และองค์กรให้ดียิ่งๆ ขึ้น เพราะในขณะนี้โลกเปลี่ยนเป็นโลกไซเบอร์ไปแล้ว นักท่องเที่ยวเปิดดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตได้จากทั่วโลก ฉะนั้น ทำการตลาดต้องทำในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง ในส่วนของพนักงาน คุณต้องมีความชอบในอาชีพ ต้องเรียนรู้และศึกษาตลอด เมื่อมาทำงานก็อย่าเอาเรื่องเงินมาเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีใจรัก มีความอดทน ใจเย็น เวลาที่เราบริการดีๆ นักท่องเที่ยวก็จะกลับมาใช้บริการเราอีก ทุกวันนี้ธุรกิจท่องเที่ยวขาดบุคลากรมาก เพราะคนไทยเลือกงาน จบมาแล้วทำอะไรไม่เป็น เช็ดกระจกไม่ได้ เสิร์ฟน้ำก็ไม่ได้ เงินเดือนน้อยก็ไม่เอา มาถึงก็ขอทำงานสบายๆ ไม่คิดที่จะเรียนรู้ ผมจึงอยากฝากถึงน้องๆ ที่อยากทำงานบริการ หรือด้านท่องเที่ยวว่าถ้าอยากทำงานด้านนี้ต้องปรับตัว ปรับทัศนคติ ไม่ใช่เพิ่งจบมาแต่ต้องอยู่ที่ดีๆ หรูๆ งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ก็จะหางานลำบาก อาชีพเหล่านี้ก็จะตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติหมด" นายกสมาคม กล่าว
ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวกลุ่มรัสเซีย อินเดีย ศรีลังกา และเนปาลเข้ามามากขึ้น นายกสมาคมฯ บอกว่า "นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ส่วนมากเข้ามาแล้วไม่ค่อยใช้จ่ายอะไร แต่เข้ามาแย่งอาชีพ มาใช้ทรัพยากรของคนไทย โดยการขายทัวร์เองแล้วนำเงินกลับประเทศ บางกลุ่มก็เข้ามาก่ออาชญากรรม จึงอยากให้หน่วยงานของรัฐตรวจตราและเข้มงวดให้มากขึ้น ขอนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ อย่าเอาแต่ปริมาณแล้วมาสร้างปัญหาให้คนไทย นอกจากนี้ปัญหาที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวยิ่งกว่าภัยธรรมชาติก็คือปัญหาทางการเมือง หากการเมืองยังเป็นเช่นนี้ ก็จะกลายเป็นปัจจัยที่ทำลายตัวเอง ทำลายศักยภาพในการแข่งขัน เรื่องการเมืองจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ หากต้องการสร้างโอกาสในเวลาที่ประชาคมอาเซียนเป็นหนึ่งเดียว การเมืองของประเทศไทยจะต้องก้าวเข้าสู่วิถีของการปรองดองเท่านั้น ทั้งหมดจึงมีคำตอบว่าโอกาสที่อาเซียนจะเป็นผลด้านบวกให้กับประเทศไทยในอนาคตข้างหน้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากแต่คนไทยต้องปรับตัวเองเกือบทุกด้าน ทั้งในด้านการเมือง ภาคเอกชน และคุณภาพของบุคลากรเพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกำลังจะล้ำหน้าประเทศไทยไปแล้ว ด้วยการหันหน้ามาสามัคคี ร่วมมือ ร่วมใจกันเพื่อให้ประเทศพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืนนั่นเอง
จรัส พิบูลย์ปุญญโชติ/ธนวันต์ บุตรแขก : เรื่อง-ภาพ
www.banmuang.co.th
สถานการณ์ความผันผวนของราคาและอัตราเงินเฟ้อเป็นประเด็นร้อนในประเทศไทยวันนี้ แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่า...
สถานการณ์ความผันผวนของราคาและอัตราเงินเฟ้อเป็นประเด็นร้อนในประเทศไทยวันนี้ แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.5 ปีในเดือนเมษายน 2555 จากร้อยละ 3.5 ในเดือนมีนาคม 2555 แต่ภาวะเงินเฟ้อของไทยยังมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำและราคาสินค้าทั่วไปที่มีแรงกดดันให้ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในเดือนเมษายน 2555 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานที่สูงของปีก่อนและการลดลงของราคาอาหารสดบางอย่างกลับสู่ระดับปกติ
จากมุมมองของภาครัฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เห็นว่า ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงปลายปีที่แล้วรัฐบาลจึงได้จัดการภาวะเงินเฟ้อ โดยควบคุมราคาพลังงานและค่าโดยสารขนส่ง ในความพยายามล่าสุดเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่อาจจะขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2555 คณะกรรมการนโยบายพลังงานของไทยตกลงที่จะชะลอการเพิ่มขึ้นตามแผนเดิมในส่วนของราคาของก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) และก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับภาคการขนส่ง (แอลพีจี) ไปอีก 3 เดือน
ข่าวล่าสุดจากกระทรวงการคลังยังไม่มีการระบุว่า รัฐบาลมีแผนในการจะเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในปีนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่า รัฐบาลจะยังคงขยายระยะเวลาการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่ดำเนินการโดยรัฐบาลก่อนหน้านี้ โดยมาตรการมีกำหนดจะหมดอายุในเดือนนี้ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมเรียกร้องให้ผู้ประกอบการรถไฟใต้ดินรถไฟฟ้ากรุงเทพชะลอการเพิ่มขึ้นของค่าโดยสารที่กำหนดในวันที่ 3 กรกฎาคม 2555
ผมคิดว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเดียวในการต่อสู้กับราคาที่สูงขึ้น ขณะนี้เป็นปรากฏการณ์ทั่วโลกที่มีผลต่อประเทศส่วนใหญ่ แม้จะมีความกังวลเรื่องทิศทางการชะลอตัวในตลาดส่งออก เนื่องจากปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรป
อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินเฟ้อที่อาจขับเคลื่อนด้วยราคาน้ำมันถือเป็นเรื่องปวดหัวที่สำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบาย เพราะก่อให้เกิดภาวะอัตราเงินเฟ้อในขณะที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าลดลง น้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นร้อยละ 18 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 อยู่ที่ USD 126.22 ต่อบาร์เรล ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2012 แต่ราคามีการปรับลดลงร้อยละ 7 จนถึงเดือนนี้เหลือ USD 110 ต่อบาร์เรล หรือร้อยละ 4 ต่ำกว่าระดับของปีที่ก่อนหน้านี้ ดังนั้นเราจะต้องรอและดูทิศทางของราคาพลังงานสำหรับในช่วงที่เหลือของปีต่อไป
แต่ผมคิดว่าราคาน้ำมันอาจจะไม่เพิ่มขึ้นมากนักจากในปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจยูโรโซนหลังจากผลการเลือกตั้งที่ออกมาจากประเทศยุโรปต่างๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละ 3 ในขณะนี้ แม้ในขณะที่ ธปท.จะได้ออกมาเตือนจากแรงกดดันจากเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องและยังคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง ผมคาดว่าธนาคารกลางของเราจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ก่อนที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในระยะต่อไป
ภายใต้ปัญหาเงินเฟ้อในขณะนี้ ผมยังไม่คิดว่ารัฐบาลจะเพิ่มอัตราภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 ร้อยละ 10 ตามกำหนดการที่จะเริ่มต้นมีผลในตุลาคม 2555 หรือเพิ่มขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ดังนั้นเราจะต้องดูว่ารัฐบาลจะจัดการกับอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปอย่างไร...เรื่องเงินเฟ้อเป็นหนังยาวครับ ในสัปดาห์หน้ามาว่ากันต่อครับ
......................................
(หนังซ้ำของไทย-ค่าครองชีพสูงขึ้นอีกแล้ว?(1) : คอลัมน์จับกระแสเศรษฐกิจและพลังงาน : โดย...ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่นโยบายและเศรษฐกิจพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) Chodechai.energyfact@gmail.com)
www.komchadluek.net
บทความที่ได้รับความนิยม
-
นายเปรมชัย ใจกว้าง ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจอิเล็กทรอนิคส์ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า กสท ได้พัฒนาการบริการรูปแบบใหม่ &quo...
-
ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี อนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน วุฒิสภา เปิดเผยในการเสวนาประชาชนสัญจรครั้งที่ 11 "ขุมทรัพย์น้ำมันไท...