วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พ่อเมืองภูเก็ตไม่ห่วงปัญหาน้ำท่วม ชี้แค่ระบายไม่ทัน

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2555 นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากกรณีที่ในระยะนี้จะมีร่องมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยมีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณภาคใต้ จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ซึ่งได้มีการประกาศเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก รวมถึงยังมีคลื่นลมแรง มีความสูง 2-3 เมตร ประชาชนที่อาศัยตามบริเวณชายฝั่งระวังอันตรายจากคลื่นซัดฝั่ง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

"จากการที่ทางจังหวัดภูเก็ตได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ก็ได้มีการออกประกาศจังหวัดไปแล้ว โดยให้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นทั้งในส่วนของป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เบื้องต้นในเรื่องของน้ำท่วมนั้นไม่ค่อยน่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากจะเป็นลักษณะของน้ำท่วมขังเพียงช่วงสั้นๆ เนื่องจากน้ำระบายไม่ทัน โดยขณะนี้ได้มีการอนุมัติงบประมาณในส่วนของการป้องกันอุทกภัยจำนวน 60 ล้านบาท ให้แก่ 3 ท้องถิ่น คือ เทศบาลเมืองป่าตองในการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมมาใช้ในการระบายน้ำกรณีที่มีฝนตกหนัก จำนวน 16 จุด โดยเฉพาะบริเวณหน้าโรงพยาบาลป่าตองซึ่งเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก เทศบาลนครภูเก็ตและเทศบาลเมืองกะทู้ในการปรับปรุงคลองบางใหญ่ตลอดทั้งสายตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ท้องถิ่นละ 20 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ เมื่อแล้วเสร็จก็จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ "นายตรี กล่าว

นายตรี กล่าวด้วยว่า ภาพรวมของภูเก็ตในเรื่องของน้ำท่วมจึงไม่น่าเป็นห่วง แต่ที่ต้องระวังคือ เรื่องของดินสไลด์ เพราะเมื่อฝนตกติดต่อกันเป็นเวลานานก็จะก่อให้เกิดปัญหาดินอุ้มน้ำมีโอกาสที่จะสไลด์ลงได้ เพราะในหลายพื้นที่ซึ่งเป็นที่ลาดชันและมีการเปิดหน้าดิน ซึ่งก็ได้สั่งการให้แต่ละท้องถิ่นเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด



breakingnews.nationchannel.com

มาร์คแนะรัฐเร่งพัฒนาโลจิสติกส์รองรับAEC

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แนะ รัฐบาล จัดอันดับนโยบายยุทธศาสตร์ไทยใน AEC ให้ชัด เร่งพัฒนาโลจิสติกส์รองรับ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตประธานอาเซียน กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยใน AEC” ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ช่วงหนึ่งว่า ประเทศไทยถูกคาดหวังว่าจะมีบทบาทสำคัญใน AEC เนื่องจากสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป จนมีการคาดการณ์ว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะเป็นศูนย์กลางการเจริญเติบโตทางเศษฐกิจของโลก ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงต่างเอื้อต่อโอกาสของประเทศในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการปรับตัวของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่สำคัญ คือ การคมนาคม เช่น ถนน ทางรถไฟ ในการสร้างเครือข่ายการคมนาคม ดังนั้น การลงทุนในเรื่องโครงสร้างทางกายภาพ และเร่งรัดผ่อนคลายกฎระเบียบด้านคมนาคมขนส่ง จะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างศักยภาพของ AEC

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องเร่งกำหนดแนวทาง และจัดอันดับความสำคัญของนโยบายที่จะผลักดันยุทธศาสตร์ ให้ไทยเป็นศูนย์ด้าน AEC ให้ชัดเจน รวมทั้งหาแหล่งเงินทุน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รองรับคมนาคม ขนส่งสินค้าและการลงทุน นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องเร่งทำคือประเมินธุรกิจอะไรบ้างที่จะได้รับผลกระทบจากการรวมตัว และโอกาสที่เราจะได้ ต้องยอมรับว่ามีหลายสาขาที่เมื่อเปิดเสรีแล้วเราจะเสียเปรียบ ซึ่งต้องมีการปรับปรุง รัฐบาลต้องมีกองทุนที่ช่วยเหลือเพื่อช่วยเรื่องการปรับตัวด้วย



www.posttoday.com

โตโยต้าขนนักแข่ง บุกแดนเสือเหลือง

 

นายสุทธิพงษ์ สมติชาติ กรรมการผู้จัดการบริษัท ทีอาร์ดีไทยแลนด์ในฐานะ โปรโมเตอร์ผู้จัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ โตโยต้า มอเตอร์สปอร์ต เผยว่า ระหว่างวันที่ 8-10 มิ.ย.นี้ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้นำแข่งรถชาวไทยและรถยนต์ที่ใช้แข่งในประเทศไทยจำนวนมากกว่า 50 คัน เดินทางจากไทยสู่ประเทศมาเลเซียเพื่อแข่งขันแบบเก็บคะแนนสะสนามที่ 2 ประจำปี 2555 เนื่องจากต้องการให้นักแข่งไทยมีโอกาสได้รับประสบการณ์แข่งขันในสนามมาตรฐานโลกอย่างเซปังอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ที่เป็นสนามแข่งรถแบบฟอร์มูล่าวันมาตรฐานโลก ซึ่งจะทำให้นักแข่งไทยนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาพัฒนาตัวเองและพัฒนาวงการแข่งรถยนต์ในเมืองไทยในอนาคต กิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองโอกาสดำเนินกิจการในประเทศไทยครบ 50 ปีของโตโยต้า ซึ่งมีเจตนาจะพัฒนาพื้นฐานวงการกีฬายานยนต์ของไทยตั้งแต่ระดับเริ่มต้น ให้บุคลากรของชาติมีความพร้อมที่สุดสำหรับการเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในอนาคตของไทยด้วย

สำหรับความพิเศษของการแข่งขันครั้งนี้คือ การร่วมแข่งในรายการเดียวกับ ซูเปอร์จีทีของประเทศญี่ปุ่น ที่ยกการแข่งขันมาจัดในสนามนี้เช่นกัน ทำให้นักแข่งไทยได้รับโอกาสในการดูงานของทีมแข่งระดับโลก และการนำรถโตโยต้าจากไทยไปแข่ง ซึ่งแม้จะต้องใช้เงินมหาศาลในการนำรถไป เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์ที่ผลิตจากไทยทั้งรุ่นวีออส วันเมคเรซ รุ่นวีออส วันเมคเรซ เลดี้ และรุ่นยาริส วันเมคเรซ ว่า สามารถสู้กับรถยนต์ที่ผลิตจากนานาชาติได้แน่นอ



www.banmuang.co.th

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

บ๊อช (Bosch) เปิดแผนปี 2555 เดินหน้าลงทุนตั้งโรงงานผลิตเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์

บ๊อซ (Bosch)ประเทศไทย แถลงผลประกอบการปี 2554 ยอดขายเพิ่มขึ้น 25%ระบุประเทศไทยรักษาแชมป์ทำรายได้มากที่สุด ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ในสัดส่วน 40% ของยอดขายทั้งภูมิภาค ทุ่มทุน110 ล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์รองรับการเติบโตของตลาดในภูมิภาค สานต่อแผนส่งเสริมการคิดค้นนวัตกรรมและขยายไลน์สินค้า ผลักดันยอดขายโตตามเป้าหมาย เล็งใช้ไทยเป็นฐานขยายธุรกิจสู่ สปป.ลาวในปี2555

ในปีงบประมาณ 2554 กลุ่มบริษัทบ๊อช เติบโตทางธุรกิจอย่างเข้มแข็ง มากกว่าที่คาดไว้แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะอ่อนแอ ยอดขายของกลุ่มบริษัทบ๊อช ซึ่งทำธุรกิจจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลกเติบโตกว่า 9 % อยู่ที่ 2.163 ล้านล้านบาท (51.5 พันล้านยูโร) กำไรก่อนหักภาษีมีจำนวน 109 พันล้านบาท (2.6 พันล้านยูโร) คงความแข็งแกร่งทางตลาดในทั้งสามกลุ่มธุรกิจหลักของบ๊อช โดยมีกลุ่มเทคโนโลยียานยนต์ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดและทำยอดขายได้ 1.277 ล้านล้านบาท (30.4 พันล้านยูโร) ในปีที่แล้วและเติบโต 8.2% เทียบกับเวลาเดียวกันของปีก่อน

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เติบโตอย่างเข้มแข็งที่สุดถึง 21 %โดยทำยอดขายได้ 336 พันล้านบาท(8 พันล้านยูโร) กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีก่อสร้างและสินค้าอุปโภคบริโภค ทำยอดขายได้ 550 พันล้านบาท (13.1 พันล้านยูโร) ในปี 2554 ซึ่งเป็นการขยายตัว 4.4 % เนื่องจากการพัฒนาธุรกิจของบริษัทที่ดี จำนวนพนักงานของบริษัทเพิ่มขึ้นในปี 2554 อีก 19,000 คน รวมจำนวนพนักงานกลุ่มบริษัทบ๊อช ทั้งหมดที่ 302,500 คน ณ วันที่ 1 มกราคม 2555

ปี 2555 คาดว่ายอดขายทั่วโลกของกลุ่มบริษัทบ๊อช จะขยายตัวระหว่าง 3-5% และคงการลงทุนอยู่ในระดับสูง โดยรายจ่ายในการลงทุนจะมีจำนวนมากกว่า 126 พันล้านบาท (3 พันล้านยูโร) อีกครั้ง “ปี 2555 เราคาดว่าจะลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเป็นจำนวน 193 พันล้านบาท (4.6 พันล้านยูโร) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2554 เป็นจำนวน 16.8 พันล้านบาท (400 ล้านยูโร)” ดร. โวลค์มาร์ เดนเนอร์ (Dr. Volkmar Denner)หนึ่งในคณะกรรมการบริหารเพื่อการวิจัยและพัฒนาของบ๊อช ผู้ซึ่งจะเป็นประธานบริหารของกลุ่มบ๊อชแทนที่ นายฟรานซ์ เฟเรนบาค (Franz Fehrenbach) ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 กล่าวเมื่องานแถลงข่าวของกลุ่มบ๊อชเมื่อเร็วๆนี้

เอเชียแปซิฟิคยังคงเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตสูงสำหรับบ๊อช โดยธุรกิจของบ๊อชในภูมิภาคนี้มีการขยายตัว 8.9 % หรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 504 พันล้านบาท (12 พันล้านยูโร) ในปี 2554 และยังได้มีการลงทุนเพิ่มในภูมิภาคนี้ จำนวน 33.6 พันล้านบาท (800 ล้านยูโร) ในปีที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิคยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่จะสามารถทำยอดขายในสัดส่วน 30 % ของยอดขายทั่วโลกในปี 2558

สำหรับประเทศไทย ปี 2554 ที่ผ่านมา บ๊อชมีรายได้จากการขายรวม 8.9 พันล้านบาท (212 ล้านยูโร) ซึ่งเพิ่มขึ้น 25% เทียบกับปีก่อนหน้านี้ “ประเทศไทยสามารถทำยอดขายเติบโตสูงสุด สำหรับบ๊อชในเอเชียอาคเนย์ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40%ของยอดขายทั้งหมดของบ๊อชในภูมิภาคนี้ ที่มียอดขายรวมอยู่ประมาณ 23 พันล้านบาท (541 ล้านยูโร) จากการขยายตัวที่เข้มแข็งดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับบ๊อชในเอเชียอาคเนย์ต่อไป” นายมาร์ติน เฮยส์ ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการของบ๊อชในเอเชียอาคเนย์กล่าว

นายปีเตอร์ แวนดลิค (Peter Vandlik) กรรมการผู้จัดการของบ๊อชในประเทศไทยกล่าวเสริมถึงผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมของบ๊อชในประเทศไทย แม้ว่าจะประสบกับภาวะน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วว่า “การขยายตัวทางธุรกิจอย่างเข้มแข็งที่บ๊อชประสบความสำเร็จในปี 2554 เป็นผลมาจากการที่บริษัทพัฒนาความเข้มแข็งทางนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ และปี 2555 เราคงดำเนินกลยุทธ์ในการเพิ่มการลงทุนและขยายบทบาทของธุรกิจของบริษัทในตลาดในประเทศและเสริมรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย”

เพื่อสนับสนุนการเติบโตของตลาดเอเชียอาคเนย์ บ๊อชได้ตั้งโรงงานผลิตแห่งใหม่สำหรับเทคโนโลยีการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี เมื่อปลายปี 2554 โดยโรงงานจะสามารถเริ่มการผลิตได้ประมาณไตรมาส 3 ของปี 2555 โรงงานแห่งใหม่นี้เป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของบ๊อชในประเทศไทย ซึ่งอีก2 โรงงานทำการผลิตชิ้นส่วนประกอบรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยบ๊อชวางแผนใช้เงินลงทุนจนถึงปี 2557 รวมมูลค่า 110 ล้านบาท (2.6 ล้านยูโร) ในการวางสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสินทรัพย์ถาวรของโรงงานแห่งใหม่ “โรงงานผลิตแห่งใหม่จะเสริมความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในการเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายสำหรับตลาดในภูมิภาค นอกจากนี้ โรงงานใหม่จะทำให้เรามีความพร้อมต่อการเจริญเติบโตของตลาดในอนาคตโดยเฉพาะการรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558” นายแวนดลิค กล่าว

กลุ่มบริษัทบ๊อชได้บริจาคเงินเป็นจำนวน 8 ล้านบาท (188,000 ยูโร) เพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว เงินจำนวน 6.3 ล้านบาท (150,000 ยูโร) ได้ถูกมอบให้สภากาชาดไทยผ่านสภากาชาดสากล เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่มีความจำเป็นของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ บ๊อชประเทศไทยยังได้ร่วมมือกับบริษัทในเครือสนับสนุนความพยายามฟื้นฟูพื้นที่ในจังหวัดอ่างทองโดยบริจาคอุปกรณ์กีฬา เครื่องเขียน สมุด อุปกรณ์การเรียน และเงินบริจาคเพิ่มเติมให้กับโรงเรียนวัดจำปาหล่อ โรงเรียนวัดโพธิ์ทูลและโรงเรียนวัดป่ามุนี เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโรงเรียน โดยส่วนหนึ่งได้ใช้ในการจัดสร้างอาคารเรียนหลังใหม่สำหรับเด็กปฐมวัย โรงเรียนวัดป่ามุนี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการการป้องกันน้ำท่วมระยะยาว

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ของบ๊อชเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ชั้นนำรายหนึ่งของโลก ซึ่งได้พัฒนาและทำการผลิตเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมยา อาหารและขนมขบเคี้ยวในมากกว่า 15 ประเทศ บริการของบ๊อชสามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ โรงงานใหม่ในประเทศไทยมีพื้นที่ 1,700 ตารางเมตรและยังมีโอกาสขยายพื้นที่ในอาคารเดียวกันได้อีก 400 ตารางเมตร โรงงานจะผลิตเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยวและอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งจะเป็นการผลิตตามคำสั่งของลูกค้าในปี 2555 และกำลังการผลิตจะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบรับกับโอกาสทางธุรกิจจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ผลการดำเนินธุรกิจที่ดีของกลุ่มธุรกิจต่างๆของบ๊อชในไตรมาสแรกของปี 2555 เสริมความมั่นใจของบ๊อชในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต

หลังจากที่กลุ่มธุรกิจเครื่องมือไฟฟ้าบ๊อช ได้สร้างสถิติเติบโตถึง 36% ในปีงบประมาณ 2554 เทียบกับปี 2553 กลุ่มธุรกิจเครื่องมือไฟฟ้า ยังคงสามารถรักษาการเติบโตได้ในอัตราเดียวกันในไตรมาสแรกของปี 2555 และเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆมากกว่า 40 รายการออกสู่ตลาดในปี 2555 นี้ โดยมีกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั่วประเทศเพื่อให้เครื่องมือไฟฟ้าบ๊อชใกล้ชิดกับตลาดมากขึ้นและตอกย้ำตำแหน่งผู้นำของตลาด

ในไตรมาสแรกของปี 2555 กลุ่มธุรกิจระบบความปลอดภัยยังคงรักษายอดขายได้ในระดับที่เทียบเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ทำให้บริษัทยังรักษาตำแหน่งหนึ่งในสามผู้นำตลาดระบบรักษาความปลอดภัย โดยมีกลุ่มธุรกิจกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) กลุ่มอุปกรณ์สื่อสารและเสียงประกาศสาธารณะ เป็นกลุ่มธุรกิจหลักและเป็นส่วนสำคัญของผลการดำเนินงานอย่างยอดเยี่ยมของกลุ่ม ในปี 2555 กลุ่มธุรกิจนี้วางแผนเพิ่มบทบาททางธุรกิจโดยออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพภายใต้ชื่อ Bosch Security systems – Advantage line เพื่อขยายฐานการตลาดสู่ตลาดระดับกลาง รองรับความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งเป็นความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง ในการเสนอทางออกการรักษาความปลอดภัย ที่เชื่อถือได้และเป็นมืออาชีพให้กับตลาดนี้ด้วย นอกจากนี้ระบบรักษาความปลอดภัยบ๊อช ยังได้ตั้งหน่วยปฏิบัติงานในจังหวัดสำคัญอย่างจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดเชียงใหม่เพื่อสนับสนุนการขยายช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้น

กลุ่มธุรกิจอะไหล่รถยนต์บ๊อช ขยายตัวอย่างเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถเพิ่มรายได้จากการขายถึง 15 % ในปีงบประมาณ 2554 รายได้จากการขายยังคงเติบโตในอัตราเดียวกันในไตรมาสแรกของปี 2555 กลุ่มธุรกิจนี้กำลังวางแผนขยายธุรกิจต่อไปโดยเพิ่มอะไหล่ใหม่ๆเพื่อครอบคลุมรถยนต์ญี่ปุ่นมากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ เพื่อขยายตลาดไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น และการจัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

บ๊อชมีแผนจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) ในเดือนมิถุนายน 2555 โดยจะมีการบริหารงานจากบ๊อชในประเทศไทย การตั้งสำนักงานตัวแทนในสปป.ลาวจะช่วยให้บ๊อชขยายธุรกิจไปยังประเทศลาวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และช่วยยกระดับการบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยธุรกิจที่จะเข้าไปบุกเบิกใน สปป.ลาวคือ ธุรกิจอะไหล่รถยนต์ เครื่องมือไฟฟ้า และระบบความปลอดภัย

“เรามองเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจรถยนต์ ก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ความปลอดภัย พลังงานน้ำและเหมืองแร่ และยังเป็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ที่บ๊อชจะได้มีส่วนในการช่วยพัฒนาพื้นที่ ด้วยการแบ่งปันความรู้ประสบการณ์เพื่อพัฒนาความรู้ทางวิชาการกับคนในประเทศ รวมทั้งการนำเสนอเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์และนวัตกรรมใหม่ๆที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในสปป.ลาว” นายแวนดลิคกล่าว

คุณยุพารัตน์ เหล่าธนภัทร ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กร (ไทย, ลาว และ กัมพูชา)



www.newswit.com

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีทำคะแนนชนะเลิศ ใน

ในภาพยนตร์ยอดฮิตของฮอลลีวูดที่ออกฉายเมื่อเร็ว ๆนี้ หุ่นยนต์ทำสิ่งที่น่าตื่นเต้นต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่การต่อสู้ในสนามแข่งมวยจนถึงการช่วยโลกให้ปลอดภัยจากสัตว์ประหลาดที่มารุกราน บริษัทซีเกท เทคโนโลยีกำลังช่วยนิสิต นักศึกษาในประเทศไทย นำวิสัยทัศน์แห่งอนาคตนั้น ให้เข้าใกล้กับความเป็นจริงมากขึ้น โดยบริษัทได้สนับสนุนการจัดการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ชิงแชมป์ประเทศไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาออกแบบหุ่นยนต์ที่มีศักยภาพในการเล่นเกมฟุตบอล

ทีมหุ่นยนต์เตะฟุตบอลฮิวมานอยด์ “หนุมาน เอฟซี (Hanuman FC)” จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ชนะการแข่งขันในปีนี้ โดยได้รับรางวัลเงินสด 200,000 บาทและเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์โลก 2013 (World RoboCup 2013) ซึ่งจะจัดขึ้น ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นในช่วงกลางปีหน้า ทีมธัญบุรีต้นกล้า จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี รับรางวัลเงินสด 100,000 บาท ในฐานะรองชนะเลิศอันดับ 1

การแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2555 จัดขึ้นโดยบริษัทซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด สมาคมวิชาการหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในปีนี้ ทีมหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์จำนวน 11 ทีมจาก 8 มหาวิทยาลัยเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อได้รับโอกาสในการเป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์โลก 2013

“สมาคมวิชาการหุ่นยนต์แห่งประเทศไทยมีความเชื่อมั่นว่า การแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ชิงแชมป์ประเทศไทยจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ทางด้านเทคนิคจากการลงมือปฏิบัติจริงและส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกัน อันเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในโลกดิจิตอล” ดร. ถวิดา มณีวรรณ์ นายกสมาคมวิชาการหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย กล่าว “นิสิต นักศึกษาไทยได้แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์อันมีค่ากับผู้เข้าแข่งขันด้วยกัน เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและสังคมในที่สุด”

“เนคเทคมีความยินดีที่ได้สนับสนุนให้เด็กไทยได้ใช้ความรู้ที่ได้จากในห้องเรียนมาปรับใช้ในการแข่งขันที่สร้างสรรค์อย่างการแข่งขันที่จัดขึ้นในวันนี้” ดร. พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติหรือเนคเทค กล่าว “เราหวังว่าการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์จะเน้นหนักเกี่ยวกับความสำคัญของเทคโนโลยีในการช่วยพัฒนานวัตกรรมและเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวหน้า เนคเทคและเครือข่ายงานวิจัยซึ่งเป็นผู้จัดงานในวันนี้ จะช่วยกันผลักดันให้ความฝันของเยาวชนไทยเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป”

เราหวังว่าการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์จะเน้นหนักเกี่ยวกับความสำคัญของเทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ พร้อมส่งเสริมศักยภาพและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้แก่เยาวชนไทย”

ปีนี้เป็นปีที่สามที่บริษัทซีเกทเป็นผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ชิงแชมป์ประเทศไทยโดยซีเกทมอบงบประมาณสนับสนุนการแข่งขันในปีนี้ จำนวน 1.7 ล้านบาท

“ผู้คนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่ประกอบด้วย ความสนุกสนาน การแบ่งปันประสบการณ์ ความท้าทายและการพบกับสิ่งใหม่ ๆ” นายเจฟฟรี่ย์ ดี. ไนการ์ด รองประธานและผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายปฏิบัติการ ประเทศไทยและปีนัง บริษัทซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับผมคือการได้เห็นเยาวชนเหล่านี้ได้พัฒนาและปรับปรุงหุ่นยนต์ของพวกเขาหลังจากการแข่งขันแต่ละแมทช์ นั่นเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการมุ่งเน้นด้านคุณภาพซึ่งเป็นค่านิยมของบริษัทที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงทุกแห่ง”

บทสัมภาษณ์นายวิษณุ จูธารี นักศึกษาปริญญาโท ชั้นปีที่ 1 สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม สาขาวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมหุ่นยนต์เตะฟุตบอลฮิวมานอยด์ “หนุมาน เอฟซี (Hanuman FC)” จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ชนะการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2555

1. คิดว่าการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ในปีนี้ ช่วยพัฒนาทักษะของทีมหนุมาน เอฟซี ในด้านใดบ้าง

สมาชิกในทีมของเราในปีนี้เป็นสมาชิกใหม่ทั้งหมดที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการแข่งขันรายการนี้มาก่อน ดังนั้นอาจจะกล่าวเลยได้ว่าเป็นการพัฒนาทักษะแทบทุกด้านในการทำหุ่นยนต์ของสมาชิกในทีมเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกแบบโครงสร้างหุ่นยนต์ การออกแบบระบบอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมถึงทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการอบรมสั่งสอนมาจากคณาจารย์และรุ่นพี่ของทางสถาบัน

เวลาในการเตรียมตัวแบบจริงจังก็ประมาณหนึ่งเดือน เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่สมาชิกในทีมทุกคนยังมีภารกิจในห้องเรียนอยู่ครับ เรียนบ้าง ทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) บ้าง ส่ง Class Project บ้าง ก็อาศัยว่า ช่วงไหนพอมีเวลาก็ทำงานเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เรื่อยมา พอใกล้ช่วงแข่งก็เอามารวมกันแล้วทดสอบระบบ

ถ้าอธิบายแบบง่ายๆ สามารถมองระบบ ได้เป็น 3 ส่วนหลักๆครับ คือ 1.ส่วนของการมองเห็น 2.ส่วนสมอง 3.ส่วนของการควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ มาเริ่มกันที่ส่วนแรกส่วนของการมองเห็น ส่วนมากก็จะเป็นพวกกล้องเว็บแคม เพื่อใช้ในการจับภาพต่างๆรอบตัวของหุ่นยนต์ ซึ่งก็คล้ายกับตาของคนเราที่คอยมองว่ารอบตัวของเรามีอะไรอยู่บ้าง และจะส่งภาพที่บันทึกได้ไปประมวลผลที่ส่วนสมอง ซึ่งส่วนสมองก็จะเป็นพวกเครื่องพีซี ขนาดเล็ก ซึ่งจะคอยทำหน้าที่ประมวลผลต่างๆและตัดสินใจการทำงานทุกอย่างของหุ่นยนต์ และส่งคำสั่งไปยังส่วนสุดท้ายคือส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ เพื่อสั่งให้หุ่นยนต์เกิดการเคลื่อนไหว

มีเรื่องสำคัญอยู่สามเรื่องหลักๆที่เป็นหัวข้อในการพัฒนา เรื่องแรกเป็นเรื่องการพัฒนาเกี่ยวกับการเคลื่อนที่และการเข้าตำแหน่งของหุ่นยนต์ที่ต้องมีความเสถียรและรวดเร็วมากขึ้นถึงจะไปสู้กับทีมระดับโลกได้ เรื่องที่สองคือเรื่องการระบุตำแหน่งตัวเองของหุ่นยนต์ว่าที่เวลาปัจจุบันหุ่นยนต์อยู่ตำแหน่งไหนของสนาม และเรื่องสุดท้ายคือการที่หุ่นยนต์ทั้งสามตัวสามารถเล่นเป็นทีมได้ คือ หุ่นยนต์แต่ละตัวต้องรู้ว่าจังหวะไหนควรวิ่งเข้าไปเล่นบอล หรือวิ่งเข้าตำแหน่งเพื่อรอบอลจากเพื่อน

5.ทางทีมมีความคาดหวังมากน้อยเพียงใดสำหรับการเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์โลก ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงกลางปีหน้า

สองครั้งที่ผ่านมาที่ทางสถาบันเป็นตัวแทนประเทศไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์โลก เรายังทำได้ดีที่สุดแค่รอบแปดทีมสุดท้าย การที่จะผ่านเข้ารอบสี่ทีมสุดท้ายนั้นค่อยข้างยากมาก เนื่องจากทีมในระดับโลกที่ผ่านเข้ารอบสี่ทีมอยู่ตลอดนั้นเรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจทางหุ่นยนต์เตะฟุตบอลฮิวมานอยด์เลยก็ว่าได้ ทีมเหล่านี้มีศักยภาพที่สูงมากทั้งกำลังคนและกำลังทุนสนับสนุน ดังนั้นเป้าหมายที่เรายังคงมุ่งหวังอยู่ในปีที่สามก็คือการพยายามที่จะเข้าสู่รอบสี่ทีมสุดท้ายให้ได้

สำหรับการแข่งขันหุ่นยนต์เตะฟุตบอลฮิวมานอยด์ถือว่าเป็นการแข่งขันหุ่นยนต์ที่ยากมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ว่าในความยากมันก็มีสนุกและความภาคภูมิที่สูงพอๆกับความยากของมัน การที่เราเป็นนักพัฒนาหุ่นยนต์ แล้วได้เห็นหุ่นยนต์สามารถเคลื่อนที่ได้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของพวกเราแล้วล่ะครับ สิ่งที่สำคัญคือการให้เวลาและความทุ่มเทกับมันและการเก็บองค์ความรู้เพื่อถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไปได้พัฒนาต่อ การที่ทางสถาบันของผมเป็นทีมชนะเลิศได้เพราะว่าทางสถาบันได้ทำการพัฒนาอยู่หลายปีกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งไปท้อแท้ใจ ถ้ายังไม่เป็นอย่างที่เราหวัง ขอจงมีความเพียรพยายามและรักษาเป้าหมายของตนเองไว้ แล้วความสำเร็จจะเกิดขึ้นเอง

สมาคมวิชาการหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2543 โดยกลุ่มบุคคลที่มีความสนใจและดำเนินงาน เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมหุ่นยนต์อันประกอบไปด้วย นักวิชาการ นักวิจัย และนักอุตสาหกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจในวิทยาการด้านหุ่นยนต์ จัดกิจกรรมการปฏิบัติงานทางวิชาการเพื่อพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ เป็นศูนย์กลางทางด้านข่าวสารในวิทยาการใหม่ ๆ ของหุ่นยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และสร้างเครือข่ายนักวิจัยและนักวิชาการเพื่อส่งเสริมการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาในสาขาหุ่นยนต์และวิศวกรรมอัตโนมัติ ท่านสามารถติดต่อสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ได้ที่ โทร. 0-2889-2138 ต่อ 6446 หรือเว็บไซต์ www.trs.or.th

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นงานทางด้านการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรม (Research Development Design and Engineering : RDDE) ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจหลักที่สำคัญที่สุดของเนคเทค นอกเหลือไปจากภารกิจทางด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านนโยบาย กฎหมาย และโครงสร้างพื้นฐานทาง ICT ซึ่งเนคเทคได้ดำเนินภารกิจหลักนี้มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งองค์กรในปี พ.ศ. 2529 มาจนถึงปัจจุบัน มีผลงานจากโครงการวิจัยต่าง ๆ นำไปถ่ายทอดให้กับผู้ใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.nectec.or.th

ซีเกทคือผู้นำทั่วโลกในด้านฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และโซลูชั่นสำหรับจัดเก็บข้อมูล ท่านสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ seagate.com



www.newswit.com

ไพฑูรย์ ผบลุญ “ตัวเล็ก สำโรง” นักสนุกเกอร์มือ 20 ของไทย โชว์เพลงคิวสุดคมน็อกดาวรุ่งอย่าง ยุทธภพ...

ไพฑูรย์ ผบลุญ "ตัวเล็ก สำโรง" นักสนุกเกอร์มือ 20 ของไทย โชว์เพลงคิวสุดคมน็อกดาวรุ่งอย่าง ยุทธภพ ภาคพจน์ "นุ๊ก จันท์" ไปแบบสบาย 4-1 เฟรม หลังจากเข้าเบรกไม้เดียวถึง 3 เฟรม เข้าไปชน ประพฤติ ชัยธนสกุล "รมย์ สุรินทร์" อดีตแชมป์ประเทศไทย 5 สมัย ที่โค่น รัชโยธิน โยธารักษ์ "เชก นครนายก" 4-1 เฟรม โดย ตัวเล็ก และ รมย์ ต่างมั่นใจฟอร์มจะเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ในสนุกเกอร์แสงโสม สมุย คัพ 2012

การแข่งขันสนุกเกอร์อาชีพเก็บสะสมคะแนน ดิวิชั่น 1 รายการที่ 5 “แสงโสม สมุยคัพ” ที่ห้องคอนเวนชั่นโรงแรม สมุย ปาล์ม บีช รีสอร์ท จ.สุราษฏร์ธานี เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบ 16 คนสุดท้าย แข่งขันระบบ 4 ใน 7 เฟรม คู่แรกเป็นการพบกันระหว่าง ประพฤติ ชัยธนสกุล หรือ รมย์ สุรินทร์ อดีตแชมป์ประ เทศไทย 5 สมัย ปัจจุบันมือวางอันดับ 9 ลงเล่นกับนักสนุกเกอร์ดาวรุ่ง รัชโยธิน โยธารักษ์ หรือ เชก นครนายก รองแชมป์เยาวชนประเทศไทย ปี 2553

เปิดฉากเกมแข่งขัน ประพฤติ ชัยธนสกุล "รมย์ สุรินทร์" เป็นฝ่ายออกสตาร์ททำแต้มขึ้นนำไปก่อน 38-0 ก่อนที่จะถูก รัชโยธิน แทงไล่ตามมา 19-38 หลังจากที่พลาดลูกแดงหลุมกลาง ทำให้ รมย์ นั้นออกมาทิ่มปิดเกมชนะไป 71-22 ขึ้นนำ 1-0 เฟรมสอง รมย์ นั้นเครื่องสตาร์ทติดแทงสองไม้ 14 กับ 58 เอาชนะไป 72-14 รมย์ขึ้นนำเชก 2-0

เฟรม 3 รมย์ สุรินทร์ เปิดฉากด้วยการแทงไป 38 แต้ม ก่อนที่ เชก จะลุกขึ้นมาแทงสองไม้เช่นกัน 13 กับ 85 กลับมาเอาชนะ รมย์ ไป 98-38 ไล่ตามมา 1-2 เฟรม เข้าสู่เฟรมสี่และห้า รมย์ สุรินทร์ เจ้าของตำแหน่งแชมป์ประเทศไทย 5 สมัยไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย อาศัยความเก๋าเกมบีบให้ เชก นครนายก เล่นลูกยาก จนเข้าทางของ รมย์ และเอาชนะไป 85-28,68-8 สรุป รมย์ สุรินทร์ ชนะ เชก นครนายก 4-1 เฟรม 71-22, 72-14, 38-98(85), 85-28, 68-8 ทำให้รมย์ สุรินทร์ ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 คนสุดท้าย

หลังจากจบเกม รมย์ สุรินทร์ กล่าวว่า "วันนี้ช่วงแรกแทงไม่ค่อยดีนัก เพราะเริ่มเล่นเช้าไปหน่อยและสภาพอากาศชื้นเนื่องจากที่สมุยนั้นฝนตกแต่เช้า แต่ยังโชคดีที่ เชก นครนายก นั้นแทงไม่ออก เพราะหากเล่นได้อย่างเอาชนะ แซก โฟโซน ก็ต้องบอกว่าเหนื่อย ซึ่งความหวังในรายการนี้ยังมุ่งเป้าไปถึงรอบตัดเชือก และหากเป็นไปได้ก็อยากจะได้แชมป์ที่สมุยด้วย"

มาถึงคู่ที่สองในรอบ 16 คนสุดท้าย ไพฑูรย์ ผลบุญ "ตัวเล็ก สำโรง" นักสนุกเกอร์มือวางอันดับ 20 ของไทย พบกับ ยุทธภพ ภาคพจน์ "นุ๊ก จันท์" นักสนุกเกอร์เยาวชนวัย 23 ปี มืออันดับ 21 ของไทย เปิดฉากเฟรมแรก ตัวเล็ก สำโรง โชว์ความเหนือชั้นแทงสองไม้เอาชนะ นุ๊ก จันท์ ไป 72-0 หลังจกานั้นเฟรมสอง ตัวเล็ก ยังติดเครื่องแทงได้อย่างร้อนแรง เมื่อแทงขึ้นนำ นุ๊ก 38-9 ก่อนที่ ตัวเล็กจะออกมาแทงอีกไม้เบรกยาว 76 แต้มเอาชนะไป 114-9 ขึ้นนำ 2-0 เฟรม

เฟรมสาม เกมยังเป็นของตัวเล็ก สำโรง อย่างต่อเนื่อง หลังจากเล่นเกมบีบให้ นุ๊ก จันท์ นั้นแทงลูกยากตลอด สอยไม้แรก 4 ชุด 32 แต้มก่อนที่จะวางสนุ้ก และทาง นุ๊ก แก้โดนแต่ลูกมาตาย ถูก ตัวเล็ก แทงไม้เดียว 56 แต้มเอาชนะไป 88-0 ขึ้นนำห่าง 3-0 เฟรมสี่ นุ๊ก จันท์ เริ่มทำเฟรมคืนได้บ้าง หลังจากแทงได้ 1 ชุดชมพู และวางสนุ้กขาวหลังเขียว ตัวเล็ก แก้โดนแต่ก็เป็นจังหวะที่ นุ๊ก ออกมาเล่นได้และแทงเข้าเบรก 71 แต้มชนะไป ทำให้ นุ๊ก ไล่ตามมา 1-3 เฟรมห้า ตัวเล็ก สำโรง เครื่องร้อนอีกครั้งเข้าเบรกไม้เดียว 85 แต้ม ส่งผลให้ ตัวเล็ก สำโรง เอาชนะ นุ๊ก จันท์ ไป 4-1 เฟรม (72-0, 114(76)-9, 88(56)-0, 0-78(71), 85(85)-0) จากชัยชนะครั้งนี้ ทำให้ ตัวเล็ก สำโรง เข้าไปพบ รมย์ สุรินทร์ ในรอบ 8 คนสุดท้าย

หลังจากจบเกม ตัวเล็ก สำโรง เปิดเผยว่า "เกมวันนี้รู้สึกโชคดีในเฟรมแรกที่สามารถแทงนำไปก่อน หลังจากนั้นก็มีความมั่นใจพยายามบีบให้คู่ต่อสู้นั้นเล่นยาก และก็เป็นไปตามเกมแถมยังเข้าเบรกไม้ยาวๆได้ จึทำให้ชนะไปอย่างง่ายดาย ส่วนการเจอกับ พี่รมย์ สุรินทร์ ต้องยอมรับว่าเป็นนักกีฬาที่มีชั้นเชิงมาก ลูกแม่นยังมีลูกหนีก็สุดยอด แต่หากพลาดมาและแทงได้เหมือนกับนัดนุ๊ก จันท์ เจอใครก็ชนะทั้งนั้น และมีหวังถึงชิงชนะเลิศค่อนข้างชัวร์"



www.banmuang.co.th

ศิลปศาสตร์ มจธ.เผย ภาษาไทยฮิตไม่แพ้บาฮาซา

สายวิชาภาษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ไม่หนักใจภาษาบาฮาซาที่ใช้เป็นภาษาหลักภาษาหนึ่งในการสื่อสารกลุ่มประเทศอาเซียน เน้นเรียนรู้ขนบธรรมเนียมควบคู่ทักษะด้านภาษา เผยต่างชาติกำลังแห่เรียนภาษาไทยเช่นกัน ล่าสุดเตรียมเปิดสอนภาษาไทยเป็นวิชาหลักให้นักศึกษาชาวต่างชาติของมจธ.

ในอีก 2 ปีข้างหน้าประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การตื่นตัวและความสนใจของผู้ประกอบการไทยตลอดจนนักศึกษาในการเรียนรู้ภาษาของเพื่อนบ้านกำลังเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะ“บาฮาซา”bahasaที่ว่ากันว่า กำลังจะเป็นภาษาหลักภาษาหนึ่งในการสื่อสารของกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน

ผศ.วิลักษณา ศรีมาวิน ประธานสายวิชาภาษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า bahasaใช้ในการสื่อสารของหลายประเทศในอาเซียนได้แก่ มาเลเซียอินโดนีเซีย สิงคโปร์บูรไน และฟิลิปปินส์ รวมถึงทางภาคใต้ของไทย บางส่วนของพม่า และเวียดนามทั้งนี้เดิมทีbahasaเป็นภาษาในกลุ่มออสโตรนีเซียน ที่พูดโดยชนชาติมลายูซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของคาบสมุทรมลายู และบางส่วนของเกาะสุมาตรา ซึ่งประชากรในกลุ่มประเทศเหล่านี้มีจำนวนมากราว 230-245 ล้านคน มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาค และมากเป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งหากนักศึกษา ผู้ประกอบการ วิศวกรหรือแรงงานไทยสามารถใช้ภาษาดังกล่าวได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการติดต่อสื่อสารหรือทำธุรกิจร่วมกัน ดังนั้น มจธ.จึงได้เปิดสอนวิชาดังกล่าวขึ้น และมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจเข้าเรียน

“เราเปิดสอนภาษาต่างประเทศหลายภาษา ไม่เฉพาะบาฮาซาเท่านั้น ยังมีภาษาจีน ญี่ปุ่น พม่า เกาหลี ส่วนบาฮาซา มาเลย์ (Basic Malay Language) และภาษาเวียดนาม นั้นเพิ่งเปิดสอนได้เพียง 1 เทอม ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับคนที่กระตือรือร้นในการเรียนรู้ภาษาบาฮาซา เนื่องจากในอนาคตจะต้องทำงานในภูมิภาคนี้จะต้องมีการติดต่อสื่อสาร มีการประชุม ดูงานระหว่างกัน ดังนั้นการรู้ภาษาของประเทศใดก็ตามที่ทำธุรกิจด้วยย่อมเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่เราพยายามทำคือการสอนที่สอดแทรกเรื่องขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ให้เขาได้เกิดความระวังระไวว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด สิ่งใดควรปฏิบัติหรือไม่ควรปฏิบัติในแต่ละประเทศ ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะแม้จะพูดไม่คล่องแต่การปฏิบัติตนได้อย่างสอดคล้องเข้าใจวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมปฏิบัติของเพื่อนบ้านจะเป็นเสน่ห์ที่สำคัญในการสร้างรากฐานความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

ผศ.วิลักษณา กล่าวด้วยว่า ในความเป็นจริงไม่เพียงเฉพาะภาษาอังกฤษ หรือบาฮาซา เท่านั้นที่สำคัญยังมีภาษาอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน พม่า หรือ เวียดนาม ซึ่งปัจจุบันประชากรประเทศเหล่านี้มีความตื่นตัวอย่างมากในการเรียนรู้ภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งภาษาอังกฤษ บาฮาซา รวมถึงภาษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานการค้า หากผู้ประกอบการสามารถพูดได้อย่างน้อย 3 ภาษา (ภาษาประจำชาติ ภาษาอังกฤษ และภาษาเพื่อนบ้าน) ก็จะประสบความสำเร็จในอาชีพมากยิ่งขึ้น

ประธานสายวิชาภาษา มจธ. กล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตามแม้กระแสการตื่นตัวของผู้คนที่พุ่งเป้าไปที่การเรียนรู้บาฮาซา แต่ภาษาไทยก็มีความสำคัญมากในฐานะภาษาประจำชาติของไทย ณ ปัจจุบันมีชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ ลงทุน ติดต่อสื่อสาร รวมถึงเข้ามาศึกษาและท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีความสนใจที่จะศึกษาเรียนรู้ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีประจำชาติของไทยเช่นกัน

“ต่างชาติเขาสนใจภาษาไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยเหมือนกัน ประชากรในหลายๆ ประเทศก็ตื่นตัวที่จะเรียนรู้ภาษาไทย ทั้งภาพยนตร์ไทย ซีรีย์หนังไทยก็เป็นที่นิยม เขาดูโทรทัศน์ติดตามข่าวสารบ้านเรานั่นเพราะเขาก็ต้องการเข้าใจเราเพื่อการติดต่อค้าขายกับเราให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นอันที่จริงคณะศิลปศาสตร์ได้เปิดสอนภาษาไทยให้กับนักศึกษาชาวต่างชาติและผู้สนใจมาหลายปีแล้ว แต่ขณะนี้สายวิชาภาษากำลังจะเปิดสอนวิชาภาษาไทยเป็นวิชาหลักให้กับนักศึกษาชาวต่างชาติที่เรียนในหลักสูตรของมจธ.”



www.newswit.com

ชิเซโด้ เฉลิงฉลองครั้งใหญ่ครบรอบ 140 ปี ชิเซโด้ ประเทศญี่ปุ่นและครบรอบ 40 ปี ในประเทศไทย...

ชิเซโด้ เฉลิงฉลองครั้งใหญ่ครบรอบ 140 ปี ชิเซโด้ ประเทศญี่ปุ่นและครบรอบ 40 ปี ในประเทศไทย ประกาศชัดจุดยืนนวัตกรรมเครื่องสำอางค์เพื่อคนเอเชียโดยเฉพาะ พร้อมรุกหนักกิจกรรมการตลาด และเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง หวังโกยยอดสาวไทยเพิ่ม

นายมาซาโตะ ยามาดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 140 ปี ชิเซโด้ ประเทศญี่ปุ่นและครบรอบ 40 ปี ในประเทศไทย บริษัทได้ประกาศนโยบาย "Asian Breakthrough Strategy" หรือให้ความสำคัญกับการทำตลาดในแถบเอเชียให้มากที่สุด เพราะ ชิเซโด้ เป็นบริษัทเอเชียที่รู้ลึกรู้จริงถึงสภาพผิวของคนเอเชีย ประกอบกับประเทศในเอเชียเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน ดังนั้นเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปี ชิเซโด้ ในประเทศไทย จึงได้ประกาศแผนขึ้นแท่นผู้นำในกลุ่มอาเซียน หรือ "No. 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ตั้งแต่ปี 2554 ที่ผ่านมา

"ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) ต้องก้าวเป็นผู้นำในกลุ่มบริษัท ชิเซโด้ ในอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558 ทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ จึงได้เน้นการทำตลาดเชิงรุก ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพรสทีจ และแมสทีจ โดยชูจุดขาย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ สินค้าที่มีคุณค่าและมีคุณภาพสูง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากเทคโนโลยีระดับสูง และมีการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างดีเยี่ยม หรือการให้บริการจากใจที่เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า โอโมเทนาชิ"

ซึ่งหลังจากประกาศแผนเชิงรุกดังกล่าว จนถึงในครึ่งปีแรกของปี 2555 พบว่า ยอดขายของ ชิเซโด้ ประเทศไทย มีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งเหตุผลสำคัญมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Shiseido White Lucent Intensive Spot Targeting Serum+ ที่เริ่มวางจำหน่ายเมื่อต้นปี และในครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ Shiseido Revital, Shiseido Bio Performance และ Shiseido Make Up

สำหรับกลุ่ม แมสทีจ เริ่มทำตลาดในปี พ.ศ.2551 ตามนโยบายของบริษัทแม่ที่ต้องการรุกตลาดเอเชีย โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแมสทีจ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างมากในประเทศแถบเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเทศไทยได้นำเข้าผลิตภัณฑ์กลุ่มแมสทีจ จากประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ ซีเอ , มาจอลิกา มาจอร์กา, อควาเลเบล และซึบากิ โดยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์กลุ่มแมสทีจ คือโดดเด่นในด้านคุณภาพสินค้า เทคโนโลยีการผลิต การบริการ และภาพลักษณ์ที่บวกกับราคาที่เข้าถึงง่าย และการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ควบคู่กับการทำกิจกรรมการตลาดเชิงรุกตามจุดขาย โดยผลิตภัณฑ์ที่สร้างยอดขายสูงสุด ได้แก่ Za Total Hydration Amino Mineral Refreshing Gel ปัจจุบันได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสคุณภาพผลิตภัณฑ์ได้ง่าย และสะดวกยิ่งขึ้น



www.banmuang.co.th

ฉลอง ผลิตน้ำตาลทรายได้มากเป็นประวัติการณ์

ในวันจันทร์ที่ 11 มิถุนายนนี้ ณ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย สถาบันชาวไร่อ้อยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมจัดงาน “An Evening of Sweet Success” เพื่อเป็นการฉลองปีในโอกาสที่ประเทศไทยสามารถผลิตน้ำตาลทรายสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 10.2 ล้านตัน พร้อมทั้งฉลอง 70 ปีแห่งการสถาปนากระทรวงฯ  เพื่อประชาสัมพันธ์ศักยภาพและความสำเร็จของประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกน้ำตาลทรายสูงสุดอันดับ 2   โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายจากทั่วโลกที่เข้าร่วมงานกว่า 700 คน

นายวิฑูรย์ เผยว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลทรายรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากบราซิล แล้วที่สำคัญภาคอุตสาหกรรมนี้ยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศ โดยเป็นแหล่งสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยมากกว่า 200,000 ครอบครัว และแรงงานในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 1 ล้านคน อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมีบทบาทสำคัญ มากว่า 70 ปี ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งทางด้านการสนองต่อความต้องการบริโภคในประเทศและการส่งออกได้ถึงปีละ 6-7 ล้านตัน สามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายในประเทศและส่งออก รวมประมาณปีละ180,000-200,000 ล้านบาท

นายวิฑูรย์ กล่าวต่ออีกว่า “ ในปี 55 นับได้ว่าเป็นปีของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในไทย เนื่องจากเป็นปีแรกที่ประเทศไทยสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีผลผลิตอ้อยมากถึง 97.98 ล้านตัน ผลผลิตน้ำตาลทราย 10.2 ล้านตัน เชื่อว่าจะส่งออกได้กว่า 7 ล้านตัน อีกทั้งประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลทรายเพิ่มสูงขึ้นเป็น 104.59 กิโลกรัมต่อตันอ้อย และมีค่าความหวานเฉลี่ยเพิ่มเป็น 12.04 ซี.ซี.เอส. เป็นผลจากความร่วมมือในการดำเนินงานร่วมกันระหว่างโรงงานน้ำตาลทรายและชาวไร่อ้อย”

นายกำธร กิตติโชติทรัพย์ ประธานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ค้าของไทยเกิดความเชื่อมั่นผลผลิตน้ำตาลของไทยที่มีปริมาณส่งออกเป็น อันดับ 2 ของโลกอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเสริมสร้างความมั่นใจในการเป็นคู่ค้าของไทยต่อไป ไผลมาจากการพบปะกลุ่มธุรกิจการค้าน้ำตาลในตลาดโลกกระชับความร่วมมือกันใกล้ชิดยิ่งขึ้นและพบตัวแทนประเทศผู้ใช้น้ำตาลจริง ปกติพบแต่ตัวแทนการค้าน้ำตาลเท่านั้น ทำให้ แสดงถึงศักยภาพอ้อยของไทยที่มีปริมาณการผลิตจาก 10 ล้านกระสอบเป็น 100 ล้านกระสอบ และการพัฒนาให้มีคุณภาพความหวานในอ้อยที่สูงขึ้น ทำให้สามารถผลิตน้ำตาลได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

บราซิล ส่งออกอันดับ 1 ของโลกก็ขายในภูมิภาคของเขา ไทยไม่มีคู่แข่งในตลาดโลก เพราะ ไทยก็ขายในภูมิภาคที่ใกล้เคียงไทยไม่ได้แย่งตลาดซึ่งกันและกัน.


www.mcot.net

ไร้ยางอาย สภาล้ม

ไฮไลต์เด็ดๆ เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เรียกว่าขายหน้าทั้งแผ่นดินเลยทีเดียว แลดูขัดแย้งกับฉายาของประเทศว่า “สยามเมืองยิ้ม” เพราะเริ่มจะยิ้มกันไม่ออกเลยที่เดียว ขนาดใช้ชื่อ  พ.ร.บ.ปรองดอง  ก็มิได้แคร์สื่อหรือสายตานักลงทุนกว่า 600 คน ที่เดินทางเข้ามาร่วมงานการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออก หรือเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ภูมิภาคเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 21 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพปีแรก โดยการสร้างภาพฉาวด้วยการทะเลาะกันวุ่นวายกันทั้งในสภาฯ
ส่วนงาน เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ที่จัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ค.ถึง 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายใต้หัวข้อ "การกำหนดอนาคตภูมิภาคโดยการเชื่อมโยง" ถือเป็นงานที่มีความสำคัญกับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพื่อแสดงศักยภาพความสามารถของประเทศ รวมทั้งความพร้อมหลังเกิดปัญหาอุทกภัย ปี 54
รวมทั้ง เป็นเวทีในการรวมตัวของบุคคลสำคัญระดับโลก เพื่อร่วมหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ทั้งความปั่นป่วนทางการเงิน การบริหารจัดการภัยพิบัติ ความมั่นคงทางด้านอาหาร และความมั่นคงด้านพลังงานเป็นการผนึกพลังของอาเซียน ก่อนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอีก 3 ปี ในปี 2558

ภาพรวมภายในงาน ไม่รู้ว่าผลตอบรับจะกลับมาในแบบไหน ทั้งผลสรุปของผู้ประกอบการที่จะเข้ามาลงทุน หรือแม้แต่หัวข้อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่มีเวลาเพียง 3 ปี เพราะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพียงเท่านั้น ซึ่งหลายประเทศที่ออกมาบอกว่าพร้อมๆ แต่ก็ไม่สามารถวัดได้ว่าพร้อมมากน้อยเพียงใด มีอะไรมารองรับ หรือรับรองได้ว่าหากเปิดเออีซีแล้ว จะไม่มีวิกฤติใดๆ เกิดขึ้นเหมือนยุโรปในตอนนี้
ขณะที่งานดังกล่าว หากไม่มี นางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ที่เดินทางเข้าร่วมงานด้วย คงทำให้งานกร่อยไปเลยทีเดียว เพราะการเดินทางมาประเทศไทยของนางอองซาน ซูจี เป็นการออกนอกประเทศพม่าในรอบ 24 ปี ซึ่งเลือกไทยเป็นแห่งแรก ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง

การที่นางอองซาน ซูจี เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ ทั้งการที่เลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรกในการเยือน รวมถึงการโชว์ศักยภาพในการพูดจาที่บ่งบอกในด้านความคิดของการเป็นผู้นำ ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว ส่วนความสำเร็จของการจัดงาน เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม อาจมองไม่เห็นผลที่จะได้รับกลับมา ว่าจะตอบรับได้มากหรือน้อย
ในทางตรงข้ามกัน คือการล้มเหลวของรัฐสภาไทยในช่วงของการจัดงาน เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม คือ การแย่งเก้าอี้ประธาน ปาเอกสารใส่ประธาน ทะเลาะ ด่าทอ สื่อให้เห็นถึงความล้มเหลวในการปรองดอง แค่คนกลุ่มเล็กๆ ยังห้ำหั่นกัน แล้วจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ประชาชนได้เช่นไร
อีกทั้ง นอกสภาฯ ยังมีการปิดล้อมรัฐสภา ทำให้ ส.ส.ไม่สามารถเข้าไปประชุมกันได้ ต้องอาศัยตำรวจคุ้มกันกันจ้าละหวั่น บางรายถึงกับต้องมุดรั้วหนีกันเลยทีเดียว ผลมาจาก การชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีก วุ่นวายกันเป็นว่าเล่น
แค่เรื่องในสภาฯ ยังไม่พร้อมขนาดนี้ แล้วเออีซีจะพร้อมได้อย่างไร นี่หรือคือผู้แทนที่ประชาชนเลือกเข้ามาเพื่อเป็นกระบอกเสียง แต่ทำตัวได้แย่ยิ่งกว่าชาวบ้านตาดำๆ เสียอีกลองทบทวนกันดูให้ดี ก่อนจะขายหน้าต่างชาติไปมากกว่านี้.

www.thaipost.net

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อุตฯ เชื่อการเมืองไม่กระทบการลงทุน

 

ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ความวุ่นวายจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรของไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เชื่อว่านักลงทุนรายใหญ่ส่วนมาก มีความเข้าอกเข้าใจกับสถานการณ์การเมืองเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท โตโยต้า ในประเทศไทย เหตุการณ์นี้ยังไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน คาดการณ์ว่าสถานการณ์นจะมีทางออก และตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอปีนี้ ก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อยู่ที่ประมาณ 600,000 ล้านบาท แม้กระนั้น สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น ยังเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนและทุกคนจับตามองอย่างใกล้ชิด

โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิโด (UnitedNations) ที่มีวัตถุประสงค์เป้าหมายเพื่อให้โรงงานอุตสาหกรรมเกิดการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และเพื่อเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต ใน 6 อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมอาหาร เคมี พลาสติก ยาง อโลหะ และโลหะ เครื่องดื่ม สิ่งทอมูลฐาน ระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปี โดยมีงบประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้นำกลุ่มอาเซียน โดยตั้งเป้าสถานประกอบการเข้าร่วม 100 แห่ง เพื่อการลดใช้พลังงานในอนาคต


 

www.banmuang.co.th

 

ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ 3 แห่งที่

ฟิทช์ เรทติ้งส์ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์เอกชนไทยขนาดใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินตราต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign Currency (LTFC) Issuer Default Rating (IDR) ของธนาคารทั้ง 3 แห่ง ได้รับการคงอันดับที่ ‘BBB+’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ที่ ‘AA(tha)’ โดยมีแนวโน้มอับดับเครดิตมีเสถียรภาพ สำหรับรายละเอียดอันดับเครดิตอื่น แสดงไว้ในส่วนท้าย

อันดับเครดิตสากลของทั้ง 3 ธนาคารมีปัจจัยสนับสนุนจากอันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating หรือ VR) ของตัวธนาคารเอง ซึ่งพิจารณาถึงระดับเงินกองทุนและความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในระดับดี คุณภาพสินทรัพย์และสำรองหนี้สูญที่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และการมีเครือข่ายธุรกิจ (franchise) ในประเทศที่แข็งแกร่ง ฟิทช์เชื่อว่าฐานะทางการเงินโดยรวมของธนาคารทั้ง 3 แห่ง น่าจะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของคุณภาพสินเชื่อได้ ซึ่งสะท้อนอยู่ในแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวอาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับหากธนาคารมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ยั่งยืนในด้านความสามารถในการทำกำไรและคุณภาพสินทรัพย์ ในขณะที่สามารถรักษาเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งได้ อย่างไรก็ตามการปรับเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยในระยะสั้น เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากภาวะการดำเนินธุรกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวอ่อนแอลง ในทางกลับกันการปรับลดอันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงินและอันดับเครดิตสากล อาจเกิดขึ้นได้หากสินเชื่อมีการกระจุกตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในระดับที่อาจทำให้ระดับคุณภาพสินทรัพย์หรือสภาพคล่องมีการปรับตัวอ่อนแอลง การปรับลดเพดานอันดับเครดิต (Country Ceiling) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ ‘BBB+’ อาจส่งผลให้อันดับเครดิตสากลของธนาคารถูกปรับลดอันดับลง เนื่องจากอันดับเครดิตสากลของธนาคารทั้ง 3 แห่งถูกจำกัดโดยเพดานอันดับเครดิต การที่ธนาคารมีการถือครองพันธบัตรของรัฐบาลไทยในระดับที่ไม่สูงนักและการที่มีการถือหุ้นโดยรัฐบาลในจำนวนที่จำกัด ส่งผลให้อันดับเครดิตของธนาคารอยู่ในระดับที่สูงกว่าอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย แต่ไม่สูงกว่าเพดานอันดับเครดิต

ในระยะปานกลาง ผลการดำเนินงานของธนาคารทั้ง 3 แห่งน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับระบบธนาคารพาณิชย์ในประเทศ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง ต้นทุนการระดมทุนที่ต่ำกว่า และการปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นของความสามารถในการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม (fee incomes)

คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมของทั้ง 3 ธนาคารน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจไม่มีการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงจากผลกระทบจากปัญหาหนี้สินในทวีปยุโรป สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 แต่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ชั่วคราวในระยะ 6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในประเทศไทยและแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน

การระดมทุนของธนาคารทั้ง 3 แห่ง มุ่งเน้นที่จะระดมทุนจากผู้ฝากเงินรายย่อย โดยมีการพึ่งพาเงินทุนจากสถาบันรายใหญ่ (wholesale) และเงินทุนที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศในระดับที่จำกัด ซึ่งน่าจะช่วยลดความเสี่ยงในด้านสภาพคล่องและการระดมทุนภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ผันผวน ระดับเงินกองทุนคาดว่าน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพียงพอ โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ระดับเกินกว่า 9% - 10% ในระยะยาว ซึ่งหากรวมกับระดับสำรองหนี้สูญที่ได้มีการสะสมมาในระดับสูง ปัจจัยดังกล่าวน่าจะช่วยรองรับผลกระทบจากความเสี่ยงจากการขาดทุนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ลดลง หากสภาวะเศรษฐกิจปรับตัวอ่อนแอลง อัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ 193% สำหรับ BBL และประมาณ 130% สำหรับ SCB และ KBANK ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555

BBL เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในด้านสินทรัพย์รวม และมีการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคในสัดส่วนที่สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย SCB ซึ่งก่อตั้งโดยพระบรมราชานุญาตในปี 2447 เป็นธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดและมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 24% และกระทรวงการคลังมีสัดส่วนการถือหุ้นผ่านกองทุนวายุภักษ์ที่ 23% KBANK ก่อตั้งโดยตระกูลล่ำซำ และเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวคงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวคงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันคงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิคงอันดับเครดิตที่ ‘BBB’

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวคงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันคงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวคงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันคงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิคงอันดับเครดิตที่ ‘AA-(tha)’

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวคงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวคงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันคงอันดับเครดิตที่ ‘AA-(tha)’

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันคงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’



www.newswit.com

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์...

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ แนะธุรกิจไทยเร่งสร้างข้อได้เปรียบเตรียมตักตวงโอกาสทางธุรกิจจาก AEC และพร้อมรับการแข่งขัน เน้นโอกาสมาในหลายรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องรอถึงปี 2015 พร้อมเผยผลการศึกษา SCB Insight เจาะลึกโอกาสของธุรกิจบริการใน AEC

ดร. สุทธาภา อมรวิวัฒน์ Chief Economist และ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่า “ทาง EIC ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิเคราะห์และทำความเข้าใจประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC มาโดยตลอด โดยเฉพาะในแง่มุมโอกาสและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจไทย ซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญของธนาคาร และได้จัดทำเป็นรายงาน SCB Insight ที่เจาะลึกธุรกิจบริการหลากหลายขึ้นจากฉบับก่อนหน้าที่จัดทำและเผยแพร่ไปเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สำหรับ AEC ในเบื้องต้น เรามองว่าจะทำให้กฎเกณฑ์ ระเบียบและสภาวะแวดล้อมการดำเนินธุรกิจจะเปลี่ยนไปในทางที่สะดวกมากขึ้น ตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดในประเทศ 10 เท่า และมีความหลากหลายมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะมาพร้อมกับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นด้วย”

“โอกาสทางธุรกิจจะเกิดขึ้นทั้งจากตลาดและการใช้ปัจจัยการผลิตในต่างประเทศ และจากตลาดในประเทศที่จะขยายตัวจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจ โดยการตักตวงโอกาสในต่างประเทศในปัจจุบันสามารถทำได้แล้วจากทั้งการขยายตลาดสินค้าไปในอาเซียนและการมีทางเลือกใช้วัตถุดิบที่หลากหลายขึ้นจากอาเซียนด้วยการใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีนำเข้า 0% ในขณะที่ระยะต่อไปอาจจะเป็นการขยายการลงทุนไปยังอาเซียน ซึ่งรูปแบบการเข้าไปในประเทศอาเซียนคงขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไป บางธุรกิจอาจจะคุ้มค่าสำหรับการย้ายฐานการผลิตไป บางธุรกิจอาจจะเข้าไปลงทุนเพื่อครองตลาดในท้องถิ่น ซึ่งยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องพิจารณา เช่นว่าความสามารถในการเข้าถึงตลาดเป็นอย่างไร เช่น ความเป็นไปได้ในการเข้าถึงผู้บริโภคชาวมุสลิมที่เคร่งครัดหากบริษัทผู้ผลิตหรือเจ้าของธุรกิจไม่ได้เป็นศาสนาอิสลาม เป็นต้น” ดร. สุทธาภา กล่าวเสริม

ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กล่าวต่อว่า “ ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนด้านเกษตรกรรม ทั้งในลักษณะของ contract farming และการขอรับสัมปทานจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกจากรัฐบาลในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านแล้วหลายราย ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมน้ำตาลของไทยได้รับสัมปทานที่ดินปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลในลาวกว่า 60,000 ไร่ อุตสาหกรรมยางพาราเข้าไปทำสวนยางและเตรียมสร้างโรงงานผลิตยางสำเร็จรูป 3 แห่งในลาว อุตสาหกรรมการเกษตรเข้าไปสัมปทานปลูกข้าวโพดและพืชเลี้ยงสัตว์ในพม่าและลาว อุตสาหกรรมกระดาษเข้าไปลงทุนปลูกยูคาลิปตัสในลาว เป็นต้น โดยพบว่าการลงทุนเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา”

“ธุรกิจค้าปลีกเป็นอีกหนึ่งธุรกิจบริการที่มีโอกาสมากขึ้นได้ด้วยการเน้นสร้างความแตกต่างและเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยเฉพาะจากแนวโน้มการเติบโตของความเป็นเมืองในอินโดนีเซียและเวียดนาม ประกอบกับสัดส่วนผู้บริโภคในกลุ่ม middle income ที่เพิ่มขึ้น ที่ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาผู้บริโภคมีสัดส่วนการใช้จ่ายสินค้าประเภทอาหารสดลดลงและบริโภคอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น อีกทั้งเริ่มมีความต้องการสินค้าและบริการที่หลากหลายรวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินค้าประเภท non-grocery ซึ่งความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลต่อรูปแบบที่เหมาะสมในการเข้าไปลงทุน”

ในส่วนของโอกาสทางธุรกิจจากตลาดในประเทศไทยเองนั้น ดร. สุทธาภา มองว่า “AEC เอื้ออำนวยให้ตลาดในประเทศมีโอกาสขยายตัวมากขึ้นด้วย ทั้งในแง่ของขนาดตลาดและความหลากหลาย ซึ่งจะเป็นผลมาจากทั้งกิจกรรมการค้าการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นจากการกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางบกของไทย และการไหลเข้ามาของลูกค้าต่างประเทศเพื่อใช้รับบริการจากธุรกิจที่ไทยมีจุดเด่น ซึ่งตัวอย่างที่อาจจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนคือ ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพซึ่งเป็นธุรกิจที่ไทยมีข้อได้เปรียบอยู่แล้ว สังเกตได้ว่าคนไข้ต่างประเทศของไทยมีมากที่สุดหากเทียบคู่แข่งในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ โดยเรามีคนไข้ต่างประเทศต่อปีประมาณ 1.4 ล้านคน สิงคโปร์มีประมาณ 600,000 คน AEC จะเอื้อให้ไทยมีตลาดที่ใหญ่ขึ้นจากอาเซียนด้วยการเดินทางในภูมิภาคที่สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจากอินโดนีเซียที่ปัจจุบันกระจุกตัวใช้บริการอยู่ในมาเลเซียและสิงคโปร์มากกว่า ทั้งนี้ ความมีชื่อเสียงเฉพาะด้านของไทยเช่น จุดเด่นทางด้านศัลยกรรมพลาสติก และการดูแลสุขภาพช่องปาก ร่วมกับชื่อเสียงของแหล่งท่องเที่ยวอาจเป็นหมัดเด็ดในการขยายตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยในอาเซียนเพิ่มเติมจากกลุ่มตลาดคนไข้ต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง ซึ่งไทยเป็นผู้นำอยู่แล้วในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่ AEC ช่วยอำนวยให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานพยาบาลได้ง่ายขึ้น คาดว่าจะเป็นอีกหนทางในการช่วยลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ของไทย”

ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กล่าวต่อถึงความท้าทายที่จะมาพร้อมกับโอกาสทางธุรกิจที่กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า “อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทุกธุรกิจต้องไม่ทิ้งคือการเตรียมรับมือจากความท้าทายที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ต่างๆ และการเพิ่มขึ้นของคู่แข่งทางธุรกิจ เพราะธุรกิจจะต้องดำเนินธุรกิจภายใต้กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น อาจจะมีการกำหนดมาตรฐานสินค้าร่วมกันใหม่ซึ่งธุรกิจอาจจะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตการจัดส่งตาม กระบวนการศุลกากรที่สะดวกขึ้นแต่ธุรกิจก็จะต้องทำความเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์ได้ รวมไปถึงเรื่องการเปิดเสรีการลงทุนที่ทำให้มีคู่แข่งทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ศักยภาพการกลายเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของไทย ก็เปรียบเสมือนเค้กก้อนโตที่จะดึงดูดให้ธุรกิจจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนสนใจเข้ามาลงทุน จึงไม่ได้เป็นแค่โอกาสสำหรับเฉพาะธุรกิจไทยเท่านั้น”

“สิ่งที่ธุรกิจควรจะทำตั้งแต่ตอนนี้ควรจะเริ่มตั้งแต่สำรวจธุรกิจตนเอง ศึกษาโอกาสและคู่แข่ง ทำความเข้าใจและประเมินความเสี่ยง เพื่อที่จะหาอาวุธของธุรกิจให้พร้อมรับการแข่งขันเพราะการดำเนินธุรกิจบางเรื่องเราอาจจะได้เปรียบบางเรื่องเราอาจจะเสียเปรียบ หาโอกาสที่เหมาะสมด้วยการศึกษาหาข้อมูลในเรื่องของกฎ ระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไปจากข้อตกลงต่างๆ ของ AEC และการศึกษาตลาดและรากฐานการทำธุรกิจประเทศอาเซียนต่างๆ เพราะบางธุรกิจอาจจะจำเป็นต้องหาธุรกิจพันธมิตรในท้องถิ่นจึงจะสำเร็จ หรือศักยภาพแรงงานประเทศต่างๆ อาจจะยังไม่สอดคล้องความต้องการของธุรกิจ แม้จะมีราคาถูกกว่า เป็นต้น และสุดท้ายคือความจะเป็นที่จะต้องเข้าใจความเสี่ยงในด้านต่างๆ ทั้งในเรื่องของ credit risk และ country risk เพื่อสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร. สุทธาภา กล่าวสรุป

“SCB Insight ฉบับนี้ ทาง EIC ได้ศึกษาวิเคราะห์เจาะลึกโอกาสของธุรกิจบริการที่หลากหลายมากขึ้น ตามแนวคิดที่โอกาสจาก AEC จะมาในหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละธุรกิจจะมีแง่มุมโอกาสและผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ทางธนาคารไทยพาณิชย์ ยังจะมีการจัดสัมมนาในหัวข้อ “กลยุทธ์เหนือชั้นสู่ประตู AEC” เพื่อถ่ายทอดผลการศึกษาดังกล่าวให้เป็นองค์ความรู้และแนวคิดการเตรียมตัวทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากผู้บริหารจากธุรกิจชั้นนำของไทยที่จะมาแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์การดำเนินธุรกิจในการเข้าสู่ยุค AEC ให้กับลูกค้าของธนาคารในช่วงเดือนมิถุนายนอีกด้วย” ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กล่าวทิ้งท้าย



www.newswit.com

สนข จัดเสนอแผนแม่บท เพื่อลดภาวะโลกร้อน

5 มิ.ย ที่โรมแรมอมารี ประตูน้ำ นายชาญชัย สุวิสุทธะกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาแผนแม่บทในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนและลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 2 ว่า ในขณะนี้ การเดินทางและการขนส่งสินค้า เป็นการส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพภูมิอากาศ โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาอยู่ต่อเนื่อง จากการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย พบว่า ภาคขนส่ง อยู่ที่ร้อยละ 19.5 ของทุกภาคส่วนในไทย ซึ่งถือว่าสูงมาก ร้อยละ 97 มาจากการขนส่งทางถนน อีกร้อยละ 3 จากการขนส่งทางรถไฟ น้ำ และอากาศ ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อม สนข. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการพัฒนาระบบขนส่งของประเทศ จึงได้จัดทำนำแผนแม่บทในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืน และลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแบ่งเป็นแผนระยะสั้น พ.ศ. 2555-2560 และแผนระยะยาว พ.ศ. 2561-2573 โดยมีวัตถุประสงค์เป้าหมายเพื่อลดการระบายก๊าซเรือนกระจกในการขนส่งเป็นหลัก จากการศึกษาพบว่า ปี 54 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งในภาพรวมของประเทศประมาณ 58.5 ล้านตัน หรือเทียบเท่า หากปล่อยไว้จะเพิ่มขึ้นเป็น 70 และ 109 ล้านตันในปี 2560 และ 2573 ตามลำดับ ดังนั้นในแผนแม่บทฯ จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน ที่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 11-13 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 15-18 ในปี 2550 และประมาณ 29-33 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 27-30 ในปี 2573

นายวิจิตต์ นิมิตวานิช ผู้อำนวยการสำนักแผนความปลอดภัย สนข. กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น กว่า 40 โครงการ อาทิ การพัฒนาเสริมสร้างบุคลากรทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเฉพาะภาคประชาชนเพื่อให้มีความรู้ในเรื่องภาวะโลกร้อน การพัฒนาติดตามระบบจากแผนสู่การปฏิบัติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมพื้นที่ และการพัฒนาระบบขนส่งยั่งยืน โดยนำมาตรการต่าง ๆ มาใช้ เช่น เก็บเงินในการใช้ถนนเขตเมืองชั้นในพิเศษ เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว จัดเก็บค่าธรรมเนียมรถยนต์ตามน้ำหนัก เป็นเก็บตามระยะทางที่ใช้จริง การจำกัดอายุใช้งานของรถยนต์ รวมถึงการปฏิรูปรถเมล์เจากใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นใช้ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งในทุกๆ โครงการก็จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษารายละเอียด ความเหมาะสม ส่วนแผนระยะยาว เป็นเรื่องการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า ลดใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งได้ทำบ้างแล้วในปัจจุบัน สำหรับแผนแม่บทฯ ถือว่าเป็นแผนแม่บทฯฉบับแรกของไทย จะแล้วเสร็จพร้อมเสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาภายในสิ้นเดือน มิ.ย. ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเพื่อดำเนินการโดยให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป.

http://www.dailynews.co.th

วอลโว่ กรุ๊ปฯ จัดแข่งขัน “ฟิววอท์ช” เฟ้นตัวแทนไทย

วอลโว่ กรุ๊ปฯ จัดแข่งขัน “ฟิววอท์ช” เฟ้นตัวแทนไทย ชิงชัยสุดยอดนักขับประหยัดน้ำมันแห่งเอเชีย

บริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถ บรรทุกหนัก และรถโดยสารขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อวอลโว่ในประเทศไทย เตรียมจัดการแข่งขันรายการ ฟิววอท์ช คอมเพทิชั่น 2012 (Fuelwatch Competition 2012) ซึ่งเป็นการแข่งขันขับรถบรรทุกหัวลาก วอลโว่ประหยัดน้ำมัน เพื่อคัดเลือกผู้ชนะเลิศ ของประเทศไทยไปชิงชัยระดับภูมิภาคเอเชีย ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียเดือนกันยายนปีนี้

มร. ฌาคส์ มิเชล ประธานกรรมการ บริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ฟิววอท์ช คอมเพทิชั่น นี้เป็น กิจกรรมที่บริษัทวอลโว่ กรุ๊ป จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อค้นหานักขับรถบรรทุก หัวลากวอลโว่ ที่มีวินัยในการขับขี่ โดยเฉพาะการประหยัดเชื้อเพลิง อันเป็นการประหยัดต้นทุน สร้างผล กำไรกลับคืนสู่ผู้ประกอบการได้โดยตรง และที่สำคัญ คือเรื่องของความปลอดภัยในการขับขี่ และการรักษา สิ่งแวดล้อม โดยในประเทศไทยครั้งนี้นับเป็นการจัดติดต่อกันเป็นปีที่ 3

สำหรับกฎกติกาในการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน ฟิววอท์ช คอมเพทิชั่น ของประเทศไทยปีนี้ ได้มีการปรับจากปีที่แล้วให้ เข้มข้นขึ้น โดยจะกระจายการรับสมัครออกเป็น 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ทั้งนี้ ผู้สมัคร ทุกคนจะต้องสมัครโดยมีองค์กร หรือบริษัทที่ทำงานอยู่รับรอง ซึ่งแต่ละองค์กรหรือบริษัทจะสามารถส่งตัวแทนเข้าแข่งขัน ได้เพียง 1 คน หลังจากนั้นจะต้องผ่านการสอบข้อเขียน และการทดสอบขับรถบรรทุกเบื้องต้น โดยขั้นตอนดังกล่าวจะคัด เลือกจากผู้สมัครทั้งหมดให้เหลือเพียง 24 คน ที่จะมีสิทธิ์เข้าแข่งขันฟิววอท์ช คอมเพทิชั่นในรอบชิงชนะเลิศเพื่อชิง แชมป์สุดยอดนักขับประหยัดน้ำมันของไทย และเป็นตัวแทนของประเทศไปแข่งขันชิงแชมป์ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป

มร. มิเชล กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราต้องการให้ฟิววอท์ช เป็นแบบอย่างของการแข่งขันขับรถบรรทุกหนัก ที่ท้าทายความ สามารถอย่างแท้จริง การที่ผู้สมัครแข่งขันทุกคนจะต้องผ่านการสอบข้อเขียนด้วยคะแนนมากกว่า 85% นั้น จึงถือเป็น ขั้นตอนที่สำคัญ ก่อนที่ท่านจะเข้าแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทย”

สำหรับผลการแข่งขันทั้งในรอบคัดเลือกและรอบชิงแชมป์ประเทศไทยนั้น จะวัดจากอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำที่สุดภายใน เวลาที่กำหนดที่ผู้เข้าแข่งขันทำได้ในแต่ละสนาม โดยการแข่งขันรอบคัดเลือกในปีนี้จะแบ่งออกเป็น 4 สนาม ซึ่งทางบริษัทฯ ได้มีการจัดเตรียมพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการแข่งขันไว้ อันได้แก่ บางนา สระบุรี ระยอง และนครสวรรค์

กรณีที่ผลคะแนนเท่ากันในการแข่งขันแต่ละสนาม จะใช้เกณฑ์ของวันที่สมัครเข้าแข่งขันเป็นหลัก หากผู้ใดสมัครก่อน ก็จะได้สิทธิผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ซึ่งจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 นี้ ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ผู้ชนะเลิศนอกจากจะได้เป็นตัวแทนจากประเทศไทย เดินทางเข้าร่วมแข่งขันเพื่อชิงแชมป์นักขับประหยัดน้ำมันระดับ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว ยังจะได้รับรางวัลมูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท แพ็คเกจท่องเที่ยว ประเทศออสเตรเลีย และประกาศนียบัตรจากทางวอลโว่ กรุ๊ป และหากได้เป็นผู้ชนะเลิศในระดับภูมิภาคเอเชีย ก็จะได้รับแพ็คเกจ ท่องเที่ยวประเทศสวีเดน พร้อมทั้งได้ห้องพัก 1 คืน ที่โรงแรมน้ำแข็ง ICE HOTEL ส่วนรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จะได้รับ รางวัลรวมมูลค่า 80,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับที่ 2 จะได้รับรางวัลรวมมูลค่า 40,000 บาท นอกจากนี้ องค์กรหรือบริษัททั้ง 24 แห่งที่ส่งตัวแทนเข้าแข่งขัน ยังจะได้รับรางวัลสมนาคุณเป็นน้ำมันเครื่องจำนวน 120 ลิตร มูลค่า 139,000 บาท

การแข่งขัน ฟิววอท์ช คอมเพทิชั่น 2012 เปิดรับสมัครเข้าร่วมการแข่งขันแล้วตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 โดยผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมแข่งขันได้ที่โชว์รูมของวอลโว่ ทรัคส์ ทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใน การสมัคร หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 305 4432 และสำหรับผู้ที่สนใจยังสามารถ เข้าไปติดตามความคืบหน้า และดูผลการแข่งขันในแต่ละสนามได้ที่เฟสบุ๊ค www.facebook.com/FuelwatchThailand



www.newswit.com

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

'8ชอบ' อย่าผ่านเลย! 'อริยสัจ' การเมือง 'มีข้อ 4 ดีแน่'

ขนาดเป็นช่วงก่อนวัน “วิสาขบูชา” ครั้งสำคัญ ในปีสำคัญ “พุทธชยันตี” ครบ 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ขององค์ศาสดาแห่ง “ศาสนาพุทธ” ศาสนาที่ในประเทศไทยประชาชนส่วนใหญ่ในแทบจะทุกแวดวง รวมถึงการเมือง ’นักการเมือง“ บันทึกในประวัติว่า “นับถือ” ในช่วงนั้นการเมืองไทยก็ยังเกิดเหตุวุ่น ๆ แรง ๆ น่าหวั่นใจ

เลยวันวิสาขบูชามาแล้วก็น่าคิดว่าจะเป็นเช่นไร??

กระแสธรรมก่อนหน้านี้จะถูกทิ้งผ่านเลยหรือไม่??

ทั้งนี้ สถานการณ์การเมืองไทยที่วุ่นวายสลับกับความสูญเสียมาเนิ่นนานเกินครึ่งทศวรรษก็ยังไม่จบไม่สิ้นเสียทีนั้น นอกจาก “กฎหมายยุติธรรมอย่างเข้มแข็ง” “ความยุติธรรมอย่างเสมอภาค” น่าจะเป็นความหวังหนึ่งในการหยุดหรืออย่างน้อยก็ลดวิกฤติไฟการเมืองในไทยลงได้แล้ว...กับ ’หลักธรรม“ นี่ก็ ’ยิ่งน่าพิจารณา“

“ความอดทน...ทำคนให้เป็นคนดี อดทนถึงที่...ได้ดีทุกคน” …นี่เป็นคติธรรมที่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน ว.วชิรเมธี พระสงฆ์นักคิด-นักเขียน-นักเทศน์ สถาบันวิมุตตยาลัย ให้กับนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งใคร ฝ่ายใด จะคิดเห็นหรือจะวิพากษ์กันอย่างไร นั่นก็ย่อมสุดแท้แต่

แต่กับหนังสือ “อริยสัจ ทูเดย์” ซึ่งจัดพิมพ์ในโอกาสสมโภชพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ธรรม ที่ท่าน ว.วชิรเมธี มอบให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ด้วย ในหนังสือเล่มนี้มี ’ความจริงอันสำคัญ“ ที่ ’ไม่แบ่งฝักฝ่าย“

ความจริงอันสำคัญที่ว่านี้คือ ’อริยสัจ 4“ หลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าศาสดาแห่งศาสนาพุทธตรัสรู้ในคืนวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ ก่อนจะมี พ.ศ. หรือพุทธศักราช 45 ปี ซึ่งเวลาผ่านมา 2,600 ปี ก็ยัง “จริงแท้”

ในหนังสือ “อริยสัจ ทูเดย์” ระบุไว้ว่า...“อริยสัจ” เป็นหลักธรรมระดับ “หัวใจของพระพุทธศาสนา” เพราะเป็นศูนย์กลางแห่งธรรมทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มี 4 ประการ 4 ข้อ เรียกรวมว่า “อริยสัจ 4” ซึ่งถือว่า ’เป็นหลักธรรมสำหรับดับทุกข์หรือแก้ปัญหาชีวิตโดยตรง“ โดยอริยสัจ 4 นี้ ได้แก่...

1. ทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ 2. สมุทัย สาเหตุของทุกข์ คือตัณหา หรือความอยาก 3. นิโรธ ภาวะที่ปราศจากปัญหา หรือนิพพาน 4. มรรค วิธีดับทุกข์ หรือวิธีแก้ปัญหาอริยสัจประสาชาวบ้านเป็นอย่างไร? ก็มีการอุปมาไว้ให้เห็นภาพชัด ๆ ในหนังสือเล่มนี้ คือ...1. ทุกข์ เปรียบเหมือนของหนัก2. สมุทัย เปรียบเหมือนการแบกของหนักเอาไว้ 3. นิโรธ เปรียบเหมือนการวางของหนักลงได้ 4. มรรค เปรียบเหมือนอุบายวิธีที่จะวางของหนัก และอุปมาอีกแบบคือ...1. ทุกข์ เปรียบเหมือนโรค 2. สมุทัย เปรียบเหมือนสาเหตุของโรค 3. นิโรธ เปรียบเหมือนภาวะหายโรค4. มรรค เปรียบเหมือนยารักษาโรค

มาถึงตรงนี้หากจะถามว่า...แล้ว “ของหนัก” หรือ “โรค” หรือ “ทุกข์” นั้น มีอะไรบ้าง? บางส่วนในหนังสือ “อริยสัจ ทูเดย์” ระบุไว้ว่า...ในหนังสือปฐมเทศนาท่านระบุว่า ความทุกข์มี 11 ประการ ดังนี้คือ...1. ความเกิด 2. ความแก่ 3. ความตาย 4. ความโศก 5. ความคร่ำครวญหวนไห้ 6. ความทุกข์กาย 7. ความทุกข์ใจ 8. ความคับแค้นใจ 9. ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ 10. ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่ชอบใจ 11. ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้ในสิ่งนั้น (ผิดหวัง) นอกจากนี้ ยังมีอีกทุกข์ที่ถือเป็น “ทุกข์แท้ ๆ” ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่า 11 ทุกข์ที่ว่ามา ที่กัดกินใจคน ที่ทำให้ไม่อาจหลุดพ้น คือ...ทุกข์จากความยึดติดถือมั่นในขันธ์ 5 คือในร่างกายและจิตใจ ว่าเป็นตัวฉัน ของฉัน ตัวกู ของกู

ทั้งนี้ ว่ากันถึงแวดวงการเมือง ’นักการเมือง“ กับ ’อริยสัจ 4“ กับข้อ 1 ทุกข์ ข้อ 2 สมุทัย-สาเหตุของทุกข์ ส่วนใหญ่มีกันอยู่แล้ว ซึ่งหลายปีมานี้หลายคนก็ทำให้ประเทศไทย-ประชาชนคนไทยโดยรวมทุกข์และมีปัญหาด้วย ซึ่งประเทศไทย-ประชาชนคนไทยโดยรวมจะมีข้อ 3 นิโรธ-ภาวะที่ปราศจากทุกข์หรือปัญหาได้ ก็ต้องไม่มีสถานการณ์ที่นักการเมืองเป็นตัวทุกข์-เป็นสาเหตุแห่งทุกข์ และการจะเป็นเช่นนี้ได้ในยามนี้ ประชาชนคงมีข้อ 4 “มรรค” วิธีดับทุกข์ วิธีแก้ปัญหา ได้ไม่ง่าย ถ้านักการเมืองยังไม่มีข้อ 4 ในส่วนของนักการเมืองให้ดีก่อน

ข้อ 4 มรรค “มีองค์ 8” คือ...1. สัมมาทิฐิ 2. สัมมาสังกัปปะ3. สัมมาวาจา 4. สัมมากัมมันตะ 5. สัมมาอาชีวะ 6. สัมมาวายามะ7. สัมมาสติ 8. สัมมาสมาธิ ซึ่งแปลโดยมีคำว่า ’ชอบ“ ที่หมายถึง ’ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม“ ก็คือ...1. เห็นชอบ 2. คิดชอบ 3. พูดชอบ 4. กระทำชอบ 5. เลี้ยงชีวิตชอบ 6. เพียรชอบ 7. ระลึกชอบ
8. ตั้งจิตมั่นชอบ ซึ่งการที่ “ประเทศไทย-ประชาชนคนไทยโดยรวม คลายทุกข์คลายปัญหา” อย่างที่นักการเมืองทุกคนทุกฝ่ายพูดกันติดปากว่า “จะทำให้...” คงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หากนักการเมืองทุกฝ่ายในสถานการณ์ทุกข์-สถานการณ์ปัญหา มี “8 ชอบ” ตาม “มรรค” ตาม “ข้อ 4 ของอริยสัจ 4” กันมาก ๆ

ณ วันนี้ แม้เลยวันวิสาขบูชาครั้งสำคัญ ในปีสำคัญ พุทธชยันตี ครบ 2,600 ปีแล้ว แต่กระแสธรรมที่มีออกมานับแต่อดีต จนถึงก่อนหน้านี้ ไม่น่าจะปล่อยให้ผ่านแล้วผ่านเลย น่าจะมีการฉุกคิด...และปฏิบัติบ้าง...

โดยเฉพาะกับ ’อริยสัจ“ ธรรมสำคัญยิ่งที่มีอยู่ 4 ข้อ

โดยเฉพาะกับ ’นักการเมือง“ ถ้า ’มีข้อ 4 ดีแน่!!!“.

www.dailynews.co.th

การประชุมวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ “NET Medical Expert Forum”

 

น.พ.อาโพโทลอส ทะโซลากริส (Apostolos Tsolakis,MD,PhD) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอัพซาลา (Uppsala)ประเทศสวีเดนให้เกียรติเป็นวิทยากรรับเชิญในการบรรยายพิเศษด้านความก้าวหน้าวิทยาการของการวินิจฉัยและการรักษาโรคมะเร็ง NETs (Neuroendocrine tumors) ขั้นสูงให้กับบุคลากรแพทย์ด้านการแพทย์ของไทย

ภายในงาน NET Medical Expert Forum มีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย พ.ญ.สุดสวาท เลาหวินิจ หัวหน้างานโรคมะเร็ง กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ และนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ให้เกียรติกล่าวต้อนรับและเป็นผู้ดำเนินรายการตลอดงาน รวมทั้งคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษาโรคมะเร็งด้วยยาเคมีบำบัดของไทย ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยายร่วม อาทิ

ผศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าหน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผศ.นพ.วิเชียร ศรีมุนินทร์นิมิต หัวหน้าสาขาวิชาเคมีบำบัดภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และสุดท้าย น.พ.ธัช อธิวัทวัส อาจารย์ประจำหน่วยงานมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ณ โรงแรมพูลแมน กรุงเท

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
คุณปาริชาติ สุวรรณ์ (ปุ้ม) และคุณสิริพร สิรินิจศรีวงศ์
ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัท คอร์ แอนด์ พีค จำกัด
โทร.0-2439-4600 ต่อ 8203 อีเมล์: paricharts@corepeak.com



www.bangkokbiznews.com

ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ผนึก เอเอ็นเอ เชื่อมเส้นทาง ไทย –

การผนึกเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ผู้โดยสารในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้บริการเที่ยวบินจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านโตเกียวสู่สหรัฐอเมริกากว่า 220 เมือง

ผู้บริหารสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ชี้แจงว่าการร่วมดำเนินการในครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถให้บริการได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว คลอบคลุมทั้งด้านราคาตั๋วเครื่องบินและเที่ยวบินแก่ผู้โดยสารทั้งจากในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่างเช่น ผู้โดยสารสามารถบินกับสารการบินเอเอ็นเอไปยังสหรัฐอเมริกาและกลับโดยสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์

การผนึกความร่วมมือกับสายการบินเอเอ็นเอในครั้งนี้เป็นผลพวงมาจากการรวมกิจการกับสายการบินคอนติเนนตัล ในปี 2553 ซึ่งทำให้สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มร. เจมส์ มูเอลเลอร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการขายภูมิภาคแปซิฟิกของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวในงานสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ณ กรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ว่า “นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของยูไนเต็ดฯ และด้วยเครือข่ายเชื่อมโยงที่มากขึ้นจากการเป็นพันธมิตรกับเอเอ็นเอในภูมิภาคเอเชีย ยูไนเต็ดฯเล็งเห็นถึงความเติบโตในตลาดภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะ จีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นี่คือโอกาสที่สดใสของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ แผนการพัฒนาปรับปรุงอุปกรณ์ให้บริการบนเครื่องบินกว่า 550 ล้านเหรียญสหรัฐกำลังจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่สายการบินฯ โดยสายการบินยูไนเต็ดกำลังจะรับมอบเครื่องบินใหม่เพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารรวม 24 ลำ ในปีนี้ ในจำนวนนี้จะเป็นเครื่อง Dreamliners B787 จำนวน 5 ลำ ซึ่งเครี่องบินรุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงในการประหยัดน้ำมัน เสียงเบา ทันสมัยด้วยหน้าต่างที่ใหญ่ขึ้น และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในอย่างครบครัน พร้อมด้วยแผนการยกระดับที่นั่งให้ปรับเอนราบได้ทั้งหมดในชั้นเฟริสคลาสและชั้นธุรกิจ ที่นั่งใหม่สะดวกสบายขึ้นในชั้นประหยัด อีกทั้งยังให้บริการอินเตอร์เน็ต Wi-Fi ผ่านดาวเทียมบนเครื่อง ซึ่งทั้งหมดคาดว่าจะแล้วเสร็จเพื่อให้บริการได้ภายในปี 2556

“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มอบการบริการใหม่กับผู้โดยสารของสายการบินฯในเส้นทางเอเชีย-สหรัฐอเมริกา” มร. เดฟ ฮิลฟ์แมน รองประธานอาวุโสด้านการขายเวิลด์ไวด์ กล่าว “เครื่องบินรุ่น Dreamliners B787 ไม่เพียงแต่จะสามารถทำให้ผู้โดยสารได้สัมผัสกับประสบการที่มีคุณภาพ เครื่องบินรุ่นนี้ยังทำให้สายการบินยูไนเต็ดฯสามารถเพิ่มความถี่ในการให้บริการเที่ยวบิน เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น

ปัจจุบัน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ให้บริการวันละ 1 เที่ยวบินจาก กรุงเทพฯสู่โตเกียว และจากสนามบินนาริตะผู้โดยสารสามารถบินเข้าสู่ ซานฟรานซิสโก ลอสแองเจลิส ซีแอตเทิล ชิคาโก วอชิงตัน ดีซี ฮูสตัน นิวยอร์กและโฮโนลูลู กว่า 228 สนามบินในสหรัฐอเมริกา

มร. โจ แมนนิกซ์ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและเวียดนาม สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ กล่าวว่า สายการบินยูไนเต็ดเปิดให้บริการในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2529 ด้วยความรู้สึกรับผิดชอบต่อประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน และเชื่อมั่นว่าความสำเร็จจากการรวมกิจการกับสายการบินคอนติเนนตัลและความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับสายการบินเอเอ็นเอจะทำให้สายการบินยูไนเต็ดฯไม่มีใครสามารถแข่งข้นได้ในเส้นทางกรุงเทพฯ-อเมริกา

สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์และยูไนเต็ด เอ็กซ์เพรส ดำเนินงานให้บริการเที่ยวบินกว่า 5,605 เที่ยวบินต่อวัน สู่ 375 สนามบินใน 6 ทวีป จากศูนย์กลางการให้บริการใน ชิคาโก คลีฟแลนด์ เดนเวอร์ กวม ฮูสตัน ลอสแองเจลิส นิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก โตเกียวและวอชิงตันดีซี ในปี 2554 ยูไนเต็ดฯเป็นผู้ให้บริการเที่ยวบินมากที่สุดในโลก โดยดำเนินการเที่ยวบินมากกว่าสองล้านเที่ยวบินให้กับผู้โดยสารกว่า 142 ล้านคน ยูไนเต็ดฯกำลังยกระดับห้องโดยสารให้มีที่นั่งแบบปรับนอนได้ในชั้นเฟิร์สคลาสและชั้นธุรกิจ และเพิ่มพื้นที่ legroom ในชั้นประหยัดซึ่งจะสะดวกสบายกว่าสายการบินอื่นในทวีปอเมริกาเหนือ ปัจจุบันสายการบินยูไนเต็ดฯมีเครื่องบินให้บริการเกือบ 700 ลำ สำหรับเครื่องบินใหม่กว่า 125 ลำที่กำลังจะนำมาให้บริการภายในปี 2555 ถึง 2562 รวมถึงเครื่องบินรุ่งโบอิ้ง 787 รุ่น Dreamliners จำนวน 50 ลำ และแอร์บัส รุ่น A359XWBs จำนวน 25 ลำ สายการบินยูไนเต็ดฯถูกจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์จูนให้เป็นสายการบินที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุด นอกจากนี้ผู้อ่านนิตยสารนักเดินทางรอบโลกยังโวตให้โปรแกรมสมาชิกของสายการบินยูไนเต็ดฯอันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นเวลา 8 ปี สายการบินยูไนเต็ดฯเป็นสมาชิกกลุ่มสตาร์ อัลไลแอนซ์ ซึ่งให้บริการกว่า 190 ประเทศ โดย 25 สายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ มีพนักงานกว่า 85,000 คนในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก สามารถดูรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมของบริษัทได้ที่ united.com หรือติดตามข่าวสารของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ได้ที่ Twitter และ Facebook



www.newswit.com

คนพิการต้องไม่ใช่ภาระของสังคม

คุณสายแจ้ง รื่นกลิ่น นายกสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย วอนขอ ให้ช่วยประชาสัมพันธ์งาน "4 ปีสมาคมสหพันธ์คนพิการ" ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 9-10 มิถุนายน 2555 ณ ลานอเนกประสงค์โรงเรียนเคหะบางพลี 10 ปี สปช. ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ

คุณสายแจ้ง พิการทางสายตา เหตุเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุถึงสองครั้งสองครา จนดวงตาบอดสนิททั้งสองข้าง และช่วงเวลาที่เขายังมองเห็น คุณสายแจ้งมีลุงคนหนึ่งพิการเป็นภาระของญาติพี่น้องที่ต้องเลี้ยงดู จึงคิดว่า ถ้าให้คนอื่นดูแลกว่าเขาจะตายคงจะหมดข้าวสารไปหลายกระสอบ เธอจึงตัดสินใจขอข้าวสารจากญาติ 3 กระสอบ เพื่อเป็นค่ารถเดินทางไปกรุงเทพฯ เมือเขามีอายุ 17 ปี เพราะมีหน่วยงานสอนอาชีพให้คนบอด

เขาเริ่มใช้ชีวิตใหม่ที่ศูนย์ฝึกอาชีพคนตาบอดปากเกร็ด และวันนี้เขาได้กลายเป็นผู้นำคนพิการในฐานะนายกสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย และตลอดระยะเวลาที่เป็นผู้นำนั้น เขาได้พยายามหาทุนมาเพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับการประกอบอาชีพของคนพิการ ทั้งจักรเย็บผ้า รถเข็น และอื่น เพราะตั้งความหวังว่า "ต่อไปคนพิการต้องไม่ใช่ภาระของสังคม"

งานสมาคมสหพันธ์คนพิการครบ 4 ปีนี้ มีเป้าหมายเพื่อ พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการรอบด้าน อีกทั้งจะมีการนำเสนอผลการดำเนินงานของสมาคมในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาด้วย

โดยเเฉพาะเพื่อระดมทุนจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการบริหารจัดการของสมาคม ที่ต้องใช้งบประมาณถึง 3 แสนบาท และมีการมอบโล่เกียรติคุณ มอบทุน มอบอุปกรณ์สำหรับการประกอบอาชีพให้แก่คนพิการที่เข้าร่วมโครงการคนพิการน้อมใจเดินทางไกลเทิดพระเกียรติ 116 วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 12 สิงหาคม-5 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมาด้วย มีทั้งสิ้น 72 คน

ในงานมีการจัดนิทรรศการสาธิต การจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากฝีมือคนพิการทุกประเภท การจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน เปิดให้ประชาชนเช่าบูชาวัตถุมงคล กิจกรรมการสอยดาวเพื่อการกุศล การมอบโล่รางวัลแก่ผู้ให้การสนับสนุน

มีการแสดงดนตรีคนตาบอด พร้อมนักร้องรับเชิญ การแสดงความสามารถของเด็กนักเรียนในเขต อ.บางเสาธง การจัดซุ้มอาหารไทย 4 ภาคเพื่อบริการตลอดงาน และกิจกรรมอื่นๆ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานจากทุกภาคส่วนราว 4,000 คน

รายได้จากงานนี้ คุณสายแจ้ง จะมอบให้คนพิการ 72 คน คนละ 1 หมื่นบาท และอุปกรณ์สำหรับประกอบอาชีพ และอีกส่วนหนึ่งมอบให้เด็กนักเรียนบุตรหลานของสมาชิกคนพิการ จำนวน 10 ทุนอีกด้วย

สนใจสามารถเข้าร่วมงาน และร่วมบริจาค ติดต่อได้ที่ เลขที่ 5/214 ซอย ฝ.8 หมู่ 16 ถ.เทพารักษ์ ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ โทร.0-2705-4458, 08-1712-4276, 08-1665-5314 เว็บไซต์ www.aur-or.th

 

 

 

 

 



www.komchadluek.net

อีดีพี ส่งเสริมศักยภาพแม่พิมพ์ของชาติ

นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดโครงการสร้างเสริมศักยภาพแม่พิมพ์ของชาติ โดยมีกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่าเป็นที่น่ายินดีที่ได้เห็นการรวมพลังของผู้บริหารภาคเอชนที่เขาร่วมหลักสูตร TLCA Executive Development Program หรือ EDP จัดโดยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศให้การสนับสนุน รวมตัวจัดตั้งมูลนิธิอีดีพีขึ้น เพื่อมีเป้าหมายที่จะเข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ โดยเน้นประเด็นสำคัญในเรื่องการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศเป็นนโยบายหลัก เพราะในอนาคตต่อไป คนรวยจะอยู่ในสังคมที่ล้มเหลวไม่ได้ และการศึกษาจะช่วยยกระดับของสังคม รวมทั้งช่วยให้เกิดการพัฒนาประเทศ

ดร.มีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์ กล่าวบรรยายหัวข้อ "บทบาทของครูต่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ" ว่า ทุกคนในประเทศนี้ล้วนเป็นเจ้าของประเทศ ขณะที่รัฐบาลเป็นเพียงแค่ผู้เช่า ที่เข้ามาเช่า 4 ปี จากนั้นก็ทิ้งปัญหาไว้ให้เจ้าของประเทศต้องแก้ไขกันเอง เพราะฉนั้น ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาประเทศ และตอนนี้ถ้าอยากช่วยบ้านเมืองจริงๆ ต้องหันมาใส่ใจเรื่องการศึกษา ช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น อย่างปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาล อย่ามองว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น เพราะไม่มีประเทศใหนที่รัฐบาลทำทุกอย่างได้สมบูรณ์ ทุกคนต้องเข้ามาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูที่ต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา ต้องมีอารมณ์ขัน คือ ทำอย่างไรให้นักเรียนกับครู มีความสุข เห็นการเรียนเป็นเรื่องสนุก ควรมีเส้นทางความรู้สายใหม่ โรงเรียน ระบบการศึกษาเปรียบเสมือนร้านขายกาแฟ มีหลายอย่างให้เลือกมากมาย เพื่อตอบสนองคนกิน ต่อไปโรงเรียนต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะ ให้บริการหลายประเภทแก่คนมากกลุ่ม เป็นศูนย์กลางของชีวิต แหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนในชุมชน สังคม และเป็นแหล่งที่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ครู จะกลายเป็นสำคัญ ให้มองว่าครู เป็นอาชีพที่สามารถนำประเทศไทยก้าวหน้าได้ และจะทำอย่างไรให้คนรวยเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษา เพื่อสร้างอนาคตใหม่สำหรับคนไทย เพราะถ้าไม่สร้าง ประเทศไทยจะไม่อนาคต

"ถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับเปลี่ยนการศึกษา ไม่เช่นนั้นการศึกษาเราจะนั่งหลับ ซึ่งหลายรัฐบาลมองข้ามการศึกษา เพราะถ้าไม่มองข้าม คงเอาคนที่เก่งที่สุดในรัฐบาลมาเป็นรมว.ศึกษาธิการ แต่ที่ผ่านมาไม่ใช่ ผู้ถือบังเหียรไม่เก่ง ไม่คิดนอกกรอบ การศึกษาไม่ก้าวหน้า อีกทั้งระบบการศึกษาไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลย เพราะไม่ได้สนใจผลลัพธ์การเรียนของนักเรียน ซึ่งแม้ผลลัพธ์ของเด็กตกต่ำ อาจารย์ในมหาวิทยาลัย ครูในโรงเรียนกลับไม่สะทกสะท้าน ขณะที่สังคมยังนิ่งเฉยไม่ให้ความสำคัญกับคนที่เป็นครู" ดร.มีชัย กล่าว

ปัจจุบันในขณะนี้ ระบบการศึกษาไทยกำลังสอนผู้ตามมากกว่าผู้นำ ซึ่งการสอนแบบนี้อีกต่อไป ประเทศไทยจะสู้ประเทศไหนในโลกก็ไม่ได้ ดังนั้นระบบการศึกษาต้องการการเปลี่ยนแปลง จะมาเน้นการสอนอ่านออกเขียนได้ บวกลบคูณหารเป็นแต่ไม่ได้สอนให้มีทักษะคิด กระบวนการคิดใหม่ๆ หรือที่เรียกว่าจี้ให้จำแต่ไม่จี้ให้คิดไม่ได้ และต้องตระหนักกับครูรุ่นใหม่ ให้มีบทบาทเป็นผู้นำ ต้องคิดนอกกรอบ มีเส้นทางสายใหม่ในการพัฒนาการศึกษา สร้างความเข้มแข็งสมัครคีแก่ชุมชนและขจัดความยากจน



breakingnews.nationchannel.com

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

NComputing ผนึกกำลังสองพันธมิตรยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที ซินเน็ค (ประเทศไทย) และ

NComputing ผนึกกำลังสองพันธมิตรยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที ซินเน็ค (ประเทศไทย) และ พริซึ่ม โซลูชั่นส์ จำกัด เพิ่มศักยภาพการเป็นผู้จัดจำหน่ายเดสก์ท็อปเสมือนจริงในประเทศไทย

NComputing บริษัทชั้นนำด้านโซลูชั่นของระบบคอมพิวเตอร์เสมือนจริงแบบครบวงจร ประกาศการลงนามในสัญญาจัดจำหน่ายสินค้ากับพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทซินเน็ค (ประเทศไทย) และบริษัทในเครืออย่าง พริซึ่ม โซลูชั่นส์ จำกัด เพื่อรุกตลาดในประเทศไทย จากการร่วมมือกันในครั้งนี้ส่งผลให้ลูกค้าในประเทศไทย สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของ NComputing ได้มากยิ่งขึ้นผ่านเครือข่ายของซินเน็คและการบริการของ พริซึ่ม โซลูชั่นส์ นอกจากนี้ ภายใต้การร่วมมือดังกล่าว ซินเน็ค ยังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการใช้งานคอมพิวเตอร์เสมือนจริงไปพร้อมกับ NComputing บริษัทจัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ประเภท Enterprise Client Device ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งภูมิภาคเอเชียอีกด้วย NComputing ถือเป็นบริษัทชั้นนำในวงการไอทีโลกและผู้จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ประเภท Enterprise Client Device ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งภูมิภาคเอเชีย ด้วยแผนการขายและกระจายสินค้าที่ชาญฉลาดซึ่งปรากฏผลแล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยซินเน็คในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รายใหม่จะช่วยขับเคลื่อนให้ผลิตภัณฑ์ของ NComputing สามารถเจาะตลาดองค์กรการศึกษาและวิสาหกิจขนาดกลางไปจนถึงขนาดย่อมในประเทศไทยได้ มร. มานิช ชามา รองประธานบริษัท NComputing เอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า “NComputing มีจุดประสงค์ในการช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทย ได้เข้าถึงเทคโนโลยีเสมือนจริงสุดทันสมัยระดับโลก ผ่านเครือข่ายทางธุรกิจ และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ซินเน็ค (ประเทศไทย) และพริซึ่ม โซลูชั่นส์ ในฐานะตัวแทนจำหน่าย โดยการร่วมมือระหว่างเชิงกลยุทธ์นี้จะช่วยให้เราสามารถบริการลูกค้าทั่วประเทศไทยได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น” ซินเน็ค (ประเทศไทย) มีเครือข่ายทั้งหมดมากกว่า 5,000 รายและบริษัทฯ ยังเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตชั้นนำทั่วโลกมากกว่า 40 แบรนด์ ส่วนพริซึ่ม โซลูชั่นส์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโซลูชั่นส์ด้วยการมอบบริการเสริม เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เหล่าคู่ค้าและลูกค้ารายสำคัญ ทั้งนี้ คุณอนุชิต บุญญลักษณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส สายงานขายและการตลาด บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือทำธุรกิจกับบริษัท NComputing โดยระบบโซลูชั่นส์ของ NComputing ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งในประเทศไทย นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัท NComputing ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านการบริการให้แก่ซินเน็คและสนับสนุนการเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์เสมือนจริง”

NComputing นำเสนอโซลูชั่นส์ครบวงจรสำหรับลูกค้าจากหลากหลายภาคส่วนธุรกิจ บริษัทฯ วางแผนจำหน่ายผลงานนวัตกรรมเดสก์ท็อปเสมือนจริงรุ่นใหม่อย่าง vSpace Client และ Citrix HDX Clients ผ่านเครือข่ายของบริษัทซินเน็ค อย่างไรก็ตาม NComputing สร้างความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในตลาดไอทีประเทศไทยมาแล้วกับผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูง L-Series M- Seriesและ X-Series คุณภาคภูมิ สุกัญจนศิริ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทซินเน็ค (พริซึ่ม โซลูชั่นส์ จำกัด) กล่าวว่า “ระบบโซลูชั่นส์ของ NComputing ได้รับความนิยมอย่างมากในสถาบันการศึกษา วิสาหกิจขนาดกลางไปจนถึงขนาดย่อมและผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ การผนึกกำลังของบริษัทชั้นนำทั้งสองนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ประเทศไทย สามารถเข้าถึงโซลูชั่นส์ประสิทธิภาพสูงสุดในราคาประหยัดสมเหตุสมผล”

“แนวคิดด้านความร่วมมือ PartnerFirst ของ NComputing กับซินเน็คและพริซึ่ม โซลูชั่นส์ในประเทศไทยนั้นมีการวางแผนจัดการเพื่อเสริมความสำเร็จให้แก่เหล่าคู่ค้าและผู้ประกอบการระดับท้องถิ่น รวมถึงการมอบบริการด้านโซลูชั่นแก่องค์กรได้อย่างถูกต้องเหมาะสมซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าและยังช่วยสร้างความสำเร็จให้กับระบบเศรษฐกิจ” มร.ราเจช ซุนดาราราจาน ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาค บริษัท NComputing เอเชีย-แปซิฟิก กล่าวปิดท้าย

ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้แบ่งผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายออกเป็น 9 กลุ่ม โดยมีรายละเอียดของแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้



www.newswit.com

ฉลอง "พุทธชยันตี" หรือ สัมพุทธชยันตี...

  "พุทธชยันตี" หรือ สัมพุทธ คำคำนี้ไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยมาก่อนชยันตี แต่งที่มีความหมายเกี่ยวข้องโดยตรงกับวันวิสาขบูชา ซึ่งประเทศที่นับถือพุทธศาสนาเมื่อจัดงานกลับเรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น ศรีสัมพุทธชยันตี สัมพุทธชยันตี ในภาษาสันสกฤต พุทธชยันตีแปลว่า การครบรอบวันเกิดของพระพุทธเจ้า หรือวันครบรอบชัยชนะของพระพุทธเจ้า คือการจัดกิจกรรมเพื่อมุ่งหมายการถวายเป็นพุทธบูชาในปีที่ครบรอบวาระสำคัญของพระพุทธเจ้า

ในประเทศศรีลังกา อินเดีย พม่า และผู้นับถือพระพุทธศาสนาในประเทศอื่นๆ จัดงานเฉลิมฉลองนี้ก่อนประเทศไทย 1 ปี ซึ่งการจัดงานฉลองของไทยมีขึ้นครั้งแรกในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการจัดสร้างพุทธมณฑล การประกาศให้วันธรรมสวนะเป็นวันหยุดราชการ โดยจัดเป็นงานฉลองทางพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พระราชบัญญัติล้างมลทิน โดยใช้ชื่องานว่า "งานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ" ทำให้ พุทธชยันตี ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยทั่วไป นอกจากนี้ก็มีการยกเลิกให้วันธรรมสวนะเป็นวันหยุดราชการในรัฐบาลหลังจากนั้น

แม้ว่างานเฉลิมฉลองพุทธชยันตีจะล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆในปีนี้ แต่ก็ได้มีผู้นำศาสนาพุทธในหลายประเทศเดินทางมาร่วมงาน ขณะเดียวกันคนไทยทั้งประเทศก็ร่วมใจกันบำเพ็ญกุศล ชำระล้างใจให้คิดดี ทำดี เพราะวันนี้ประชาชนรับรู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่า คือ วันวิสาขบูชา วันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน จึงเป็นวันที่คิดดี ทำดี ไม่ให้ร้ายป้ายสีกัน กระทั่งหากอโหสิกรรมกัน และใช้โอกาสนี้ แต่ละฝ่ายได้เลิกแล้วต่อกัน รวมทั้งให้ชาติบ้านเมืองสงบปรองดอง

 นอกจากจะมีภาพประชาชนไปบำเพ็ญกุศล ทำบุญให้ทาน ก็ยังมีข่าวการเมืองที่ลดความรุนแรงลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้บ้านเมืองสงบ จงอย่าคิดเพียงแค่ว่า สิ่งที่ตนนำเสนอนั้นคือความถูกต้อง และเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ชาติบ้านเมืองไปข้างหน้าได้ทัดเทียมกับอารยประเทศซึ่งความเป็นจริงแล้วประเทศที่ยกย่องเทิดทูนนั้นเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำและมีความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรง

บางทีทุกคนในสังคม หากรู้จักละวาง รู้จักการให้อภัยอย่างจริงใจกันบ้าง ประเทศไทยก็คงจะเป็นประเทศที่น่าอยู่กว่านี้อีก เพราะผู้คนจะสมัครสมานสามัคคี ไม่ต้องคอยหวาดผวาว่า วันนี้พรุ่งนี้ คนสีนั้น สีนี้จะพากันมาปิดถนนหนทาง ไม่ต้องคอยไล่จับดูรัฐบาลว่าจะเล่นแร่แปรธาตุทำงานเพื่อคนบางคน หรือบางกลุ่มแล้วละเลยประชาชนคนทั้งประเทศ หาไม่แล้วต่อให้มีวันสำคัญทางศาสนามากแค่ไหนก็คงไม่มีผล

 



www.komchadluek.net

มนูญ ศิริวรรณ ตอบคำถาม ค่าภาคหลวงสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทยต่ำจริงหรือ?

ข้อกล่าวหาหนึ่งที่แพร่กระจายไปตามสื่อประเภท social media ต่างๆเกี่ยวกับปัญหาพลังงานของประเทศก็คือ ประเทศไทยเก็บค่าภาคหลวงจากบริษัทที่เข้ามาทำการสำรวจ ขุดเจาะและผลิตน้ำมันในประเทศในอัตราที่ต่ำมาก โดยตัวเลขที่มักจะนำมาอ้างถึงกันบ่อยๆก็คือตัวเลข 12.5% ของรายได้ของผู้รับสัมปทาน ซึ่งมีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าต่ำจนเกินไป ถ้านำไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น มาเลเซีย หรือ แม้แต่กัมพูชา (ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าผู้พูดเอาข้อมูลมาจากไหน และวันนี้กัมพูชาเริ่มขุดน้ำมันหรือยังก็ไม่รู้) และบางประเทศในอเมริกาใต้ อย่างเช่น โบลิเวียหรือเวเนซูเอล่าเป็นต้น ที่เขาเก็บค่าภาคหลวงหรือส่วนแบ่งผลกำไรสูงถึง 50-60% เป็นต้น

ข้อกล่าวหานี้ก็เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านพลังงานที่ปลิวว่อนอยู่ในอินเตอร์เนต คือฟังดูน่าเชื่อถือ มีการยกตัวอย่างและตัวเลขมาสนับสนุนความคิดเห็น และคนอ่านหรือคนฟังมีแนวโน้มที่จะเชื่อข้อมูลที่มาจากแหล่งที่ไม่ใช่ทางการอยู่แล้ว ยิ่งคนพูดหรือคนเผยแพร่ข้อมูลประกาศตัวว่าเป็น NGO หรือองค์กรอิสระ หรือเป็นฝ่ายที่จะมาทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ที่ทำให้น้ำมันมีราคาแพง ก็ยิ่งได้ใจประชาชน ทำให้เชื่อถือข้อมูลเหล่านี้มากขึ้นไปอีก ข้อมูลเหล่านี้จึงกระจายออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง และส่งต่อๆกันไปโดยเชื่อว่านี่คือความจริง ซึ่งมันก็คือข้อมูลจริง แต่เป็นข้อมูลที่เป็นความจริงที่ยังไม่ครบถ้วน และเป็นข้อมูลที่นำเอามาตีความเพื่อสนับสนุนความเชื่อของผู้เผยแพร่ข้อมูลเท่านั้น ยังไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์เปรียบเทียบอย่างเป็นกลางโดยปราศจากซึ่งอคติอย่างที่นักวิชาการพึงกระทำ

ก่อนอื่นผมอยากจะเรียนว่า การตั้งเงื่อนไขในการให้สัมปทานการสำรวจ ขุดเจาะและผลิตพลังงานในประเทศใดประเทศหนึ่งนั้นเป็นสิทธิเด็ดขาดของประเทศนั้นๆ จะตั้งเงื่อนไขอย่างไรก็ได้ จะขอค่าภาคหลวง หรือจะขอแบ่งปันผลกำไรอย่างไรก็ได้ สำคัญว่าตั้งแล้วจะดึงดูดใจให้เขามาลงทุนหรือเปล่า เพราะการลงทุนในธุรกิจนี้ต้องใช้เงินมหาศาลมีความเสี่ยงสูง ขุดหลุมสำรวจบนบกหนึ่งหลุมก็ใช้เงินเป็นหลักร้อยล้านบาทแล้ว และกว่าจะรู้ว่ามีน้ำมันหรือไม่ก็ต้องเจาะสำรวจหลายสิบหลุม ยิ่งเป็นการสำรวจและขุดเจาะในทะเลก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

ดังนั้นการตั้งเงื่อนไขในการให้สัมปทานรวมทั้งการแบ่งปันผลประโยชน์จึงขึ้นอยู่กับขนาดหรือลักษณะทางกายภาพของแหล่งพลังงานแต่ละแหล่ง ซึ่งจะมีปริมาณสำรองมากน้อยต่างกัน มีความยากง่ายในการขุดเจาะสำรวจและผลิตต่างกัน แหล่งใดเป็นแหล่งใหญ่ มีปริมาณสำรองเยอะ ขุดเจาะง่าย ต้นทุนในการขุดเจาะ สำรวจและผลิตต่ำ ก็จะเป็นที่สนใจของนักลงทุน และประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากรก็จะสามารถตั้งเงื่อนไขหรือเรียกร้องส่วนแบ่งได้มากอย่างนี้เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย ลักษณะทางกายภาพของแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศมีสักษณะกระจัดกระจายเป็นแหล่งเล็กๆอยู่เป็นบริเวณกว้าง ดังนั้นในกระบวนการผลิตจึงต้องทำการขุดเจาะหลุมผลิตหลายสิบหลุม โดยบางแปลงสัมปทานต้องขุดเจาะเป็นร้อยหลุม โดยแต่ละหลุมก็ผลิตน้ำมันดิบได้ในปริมาณไม่มากนัก ดังนั้นต้นทุนในการผลิตจึงสูงกว่าการผลิตน้ำมันดิบในแหล่งใหญ่ๆอย่างในตะวันออกกลางหรือในอเมริกาใต้ จึงทำให้การแบ่งปันผลประโยชน์ทำได้น้อยกว่า เพราะถ้าไปตั้งเงื่อนไขที่เข้มงวดจนเกินไป ก็จะไม่มีผู้สนใจมาลงทุนขุดเจาะและสำรวจน้ำมันในประเทศ ทำให้เราต้องลงทุนเอง ซึ่งนอกจากมีความเสี่ยงจากการที่อาจไม่พบแหล่งพลังงาน หรือพบแต่ไม่มีปริมาณมากพอในเชิงพาณิชย์แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องความเร่งด่วนที่เราต้องการพัฒนาพลังงานในประเทศขึ้นมาทดแทนการนำเข้าอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผมได้ตรวจสอบข้อมูลกับกระทรวงพลังงาน การเก็บค่าภาคหลวงจากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย ก็ไม่ได้กำหนดตายตัวอยู่ที่ 12.5% อย่างที่มีการสื่อสารกันในโลกของอินเตอร์เนต ที่สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนอยู่ในปัจจุบัน

ความจริงแล้วการเก็บค่าภาคหลวงและภาษ๊ปิโตรเลียมจากผู้ประกอบการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยมีดังนี้

1. ค่าภาคหลวง 5-15% ของรายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ผลิต ยิ่งผลิตมากยิ่งจ่ายในอัตราที่สูงขึ้น (progressive rate)

2. ภาษีรายได้ จ่าย 50% ของกำไรสุทธิ ในขณะที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอื่นๆจ่ายแค่ 30% และกำลังจะได้ลดลงเป็น 23%

3. ภาษีประเมินเพิ่มพิเศษ (windfall tax) ที่เรียกเก็บเพิ่มในกรณีที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ

จะเห็นว่าระบบภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ประกอบการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยก็ไม่ได้แตกต่างหรือล้าหลังไปจากประเทศอื่นๆเลย เพียงแต่สัดส่วนผลตอบแทนอาจน้อยกว่า เพราะแหล่งพลังงานของเราเป็นแหล่งเล็กๆ กระจายออกไปทั่วประเทศ ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นแหล่งใหญ่ๆเหมือนอย่างประเทศที่ร่ำรวยน้ำมัน ทำให้เราไม่มีอำนาจในการต่อรองมากนัก

อย่างไรก็ดี ตามข้อมูลล่าสุดของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ปีที่แล้วประเทศไทยก็สามารถเก็บค่าภาคหลวงรวมทั้งภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เป็นเงินทั้งสิ้น 147,000 ล้านบาท คิดเป็น 58% ของผลประโยชน์ทั้งหมดที่เอกชนได้จากธุรกิจนี้ (หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว)

ดังนั้นผมจึงเห็นว่าระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ในการให้สัมปทานการสำรวจและขุดเจาะหาพลังงานที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เหมาะสมกับปริมาณทรัพยากรที่เราค้นพบในขณะนี้ดีอยู่แล้ว เว้นแต่ว่าบ้านเราจะค้นพบแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ในอนาคตเทียบเคียงกับในต่างประเทศ ก็อาจปรับเงื่อนไขในการแบ่งปันผลประโยชน์ให้เข้มข้นมากกว่านี้ได้

ส่วนทางด้าน NGO และผุ้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่ชอบสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนก็เลิกอ้างตัวเลข 12.5% ได้แล้วนะครับ เดี๋ยวจะเชยไปเสียเปล่าๆ !!!

มนูญ ศิริวรรณ



www.dailynews.co.th

“เอเพ็กซ์ กรุ๊ป” ทุ่ม 20 ล้านบาท เปิดตัว “BASIC HOUSE”

 เกาะกระแสเกาหลี Fever ไม่หยุด “เอเพ็กซ์ กรุ๊ป” ทุ่ม 20 ล้านบาท เปิดตัว แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังจากประเทศเกาหลี “BASIC HOUSE”  เจาะตลาดทุกเพศทุกวัย สามารถ Mix & Match ได้ง่าย ด้วยการออกแบบเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา การตัดเย็บประณีต เนื้อผ้ามีคุณภาพดี  พร้อมปูพรมเปิดช็อปในห้างดังและ Stand Alone Store แล้วกว่า 16 แห่ง ปีนี้เตรียมเปิดเพิ่มที่เมกาบางนา และขยายเพิ่มทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัดอีก 10 แห่ง หวังปิดยอดขายปีนี้ 100 ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นเจ้าตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นเทรนด์เกาหลีก่อนใคร

 นายอรรถสิทธิ์ มงคลรัตนชาติ กรรมการผู้จัดการ แผนกบริหาร บริษัท เอเพ็กซ์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เอเพ็กซ์ กรุ๊ป จำกัด  มีบริษัทในเครือหลายแห่ง ก่อตั้งมานานกว่า 30 ปี ประกอบธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายของเด็กเล่นพลาสติกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ของเด็กเล่นที่มีลิขสิทธิ์ ทั้งผลิตสินค้าพลาสติกอุตสาหกรรม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และถังสีและหลอดซิลิโคลน อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยว ลูกกวาดและ Candy Toys รวมทั้งเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย เนื้อ เนย และอาหาร และเพื่อเป็นการขยายตลาดให้ครอบคลุมสินค้าอุปโภคและบริโภค บริษัทจึงนำเข้าเสื้อผ้าสไตล์เกาหลี แบรนด์ “BASIC HOUSE” เสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์ดังจากประเทศเกาหลี เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดเทรนด์เกาหลีที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้

จากกระแส K-POP ที่มาแรงไม่หยุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ Life Style ของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเทรนด์การแต่งกายที่มาแรง ประกอบกับ Apex Group เป็นผู้นำเข้าของเล่นรายใหญ่ของประเทศ มีการจัดการและบริหารสินค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งจัดจำหน่ายอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำอยู่แล้ว และที่ผ่านมา ยังไม่มีบริษัทไหนนำเข้าเสื้อผ้าเกาหลีที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเข้ามาในไทย เราจึงมีความสนใจที่จะนำเสื้อผ้าเกาหลีเข้ามาเป็นบริษัทแรก ซึ่ง BASIC HOUSE เป็นแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังของเกาหลีที่มีจำนวนสาขามากมาย และป้ายโฆษณาที่โดดเด่นสะดุดตาของ BASIC HOUSE โดยมีดาราชั้นแนวหน้าของเกาหลีอย่าง วอน บิน เป็น Presenter และเมื่อเล็งถึงรูปแบบและคุณภาพการใช้วัตถุดิบและกรรมวิธีในการผลิตของสินค้า จะเห็นว่าสินค้ามีคุณภาพดีและราคาเหมาะสมกับตลาดของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เราจึงได้เป็นผู้แทนจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

นายอรรถสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ลักษณ์เด่นของสินค้า BASIC HOUSE เป็นเสื้อผ้าที่ตอบสนองความต้องการผู้สวมใส่ทุกเพศ ทุกวัย เป้าหมายหลักจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน ด้วยการออกแบบที่เรียบง่าย สามารถนำไป Mix & Match ได้ง่าย สามารถสวมใส่ได้หลายโอกาส เนื้อผ้ามีคุณภาพดี การตัดเย็บประณีต และที่สำคัญคนเกาหลี และคนไทยเป็นชาวเอเชียเหมือนกัน จึงมีขนาดและรูปร่างที่มีความใกล้เคียงไม่แตกต่างกัน ทำให้รูปทรงของเสื้อผ้ามีความเหมาะสมกับสรีระของคนไทย แม้ BASIC HOUSE จะเป็นแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ แต่เนื่องจากเราต้องการให้ลูกค้าได้ใช้ของคุณภาพดี เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าของเราจึงมีราคาที่สมเหตุสมผล เหมาะสมกับคุณภาพไม่ต่างจากแบรนด์นำเข้าอื่นๆ และสินค้าบางประเภทยังถูกกว่าแบรนด์ที่ผลิตในไทยบางแบรนด์อีกด้วย

ขณะนี้ มูลค่าตลาดเสื้อผ้าสำเร็จรูปมีมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาท และด้วยกระแสเกาหลี Fever ในประเทศไทย ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปโดยเฉพาะแบรนด์เกาหลีมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นบริษัทจึงใช้กลยุทธ์ทางการตลาดในการแสนอสินค้าผ่านดารา นักร้อง และ Celebrities ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็น Idol ของกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นผู้สนับสนุนเสื้อผ้าให้กับสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง “ชอบกด Like ใช่กด Love” ที่มีคุณมอสเป็นผู้แสดงนำ รวมทั้งสนับสนุนละครเรื่องแววมยุรา และโฆษณาในวารสารต่างๆ และกิจกรรมที่จัดขึ้นในวันนี้ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เราจัดขึ้นเพื่อโปรโมท แบรนด์ BASIC HOUSE และหลังจากนี้เราจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัด Season Launch Collection อย่างต่อเนื่องทุกๆ 3 เดือนอีกด้วย

นายอรรถสิทธิ์ เชื่อว่า การทำตลาดในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้ใช้งบกว่า 20 ล้านบาท โดยปัจจุบันเรามีจุดจำหน่ายสินค้าทั้งในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์และเซ็นทรัล รวมถึงร้าน Stand Alone Store ทั้งสิ้น 16 แห่ง และในไม่ช้านี้ เรากำลังจะเปิดสาขาที่ เมกาบางนา และในอนาคตก็จะขยายสาขาเพิ่มทั้งในกรุงเทพและจังหวัดใหญ่ๆ อีกประมาณ 10 สาขา เช่น Central World , Siam Paragon , Siam Center คาดว่าในปีนี้บริษัทจะทำยอดขายได้กว่า 100 ล้านบาท

“ภาพรวมตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นในปัจจุบัน ผู้ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ และเขตตัวเมืองในต่างจังหวัด จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าถึงการสื่อสารในหลายรูปแบบ จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่นิยมทางแฟชั่น มีความเชื่อมั่นและกล้าสวมใส่เสื้อผ้าที่แตกต่างจากคนอื่น การแต่งตัวจะเป็นไปตามรสนิยมของตน ทำให้เกิดความหลากหลาย ซึ่งในกลุ่มวัยรุ่นจะสวมใส่ตามเทรนด์ ดาราหรือเพื่อนฝูงที่ตนชอบ เสื้อผ้าแฟชั่นของไทยจะมีการเติบโตอย่างมาก เพราะคนไทยพิถีพิถันในการแต่งตัว สถาบันการหลายแห่งก็มีการสอนการออกแบบเสื้อผ้า ทำให้ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นในแถบอาเซียนได้ อัตราการเติบโตของตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นจะเติบโตได้มากเป็นเท่าตัวได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า”

www.newswit.com

บทความที่ได้รับความนิยม