วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขุมทรัพย์น้ำมันไทย หนุนไทยแสดงสิทธิ์

ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี อนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน วุฒิสภา เปิดเผยในการเสวนาประชาชนสัญจรครั้งที่ 11 "ขุมทรัพย์น้ำมันไทย อยู่ในกระเป๋าใคร" จัดโดย สถาบันสหศวรรษและเครือข่ายผู้เดือดร้อนจากน้ำมันแพง วันนี้ (28 กรกฎาคม) ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจัดอันดับให้ประเทศไทยติดอันดับ 24 ของโลกใน การผลิตก๊าซจากธรรมชาติ นำประเทศในกลุ่มโอเปค เช่น ไนจีเรีย เวเนซูเอลา ลิเบีย และคูเวต ขณะที่พม่า ติดอันดับ 36 ของโลก และบรูไนอันดับ 38 ของโลก ขณะที่รายงานประจำปีของโอเปค พบว่าประเทศไทยติดอันดับ 5 ของโอเปคที่มีก๊าซธรรมชาติมากที่สุด จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีทรัพยากรด้านปิโตรเลียมเป็นจำนวนมาก ขณะที่ส่วนแบ่งผลประโยชน์ปิโตรเลียมทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ กลับพบว่าประเทศไทยเก็บน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในแถบอาเซียน ซึ่งข้อมูลนี้มาจากกระทรวงพลังงาน โดยในไทยเมื่อขุดเจอเรียกเก็บ 5-10% ส่วนแบ่งกำไร ไม่เก็บ เฉลี่ยแล้วประเทศไทยได้ผลประโยชน์เพียง 29% ด้านพม่า ขุดเจอแหล่งน้ำมันเรียกเก็บ 10% เฉลี่ยเรียกเก็บภาพรวม 80-90% และ กัมพูชา หากขุดเจอเรียกเก็บ 5-15% ส่วนแบ่งกำไร 60% ภาษีจากกำไร 30% ด้านกลุ่มประเทศโอเปค เช่น โบลิเวีย มีส่วนแบ่งผลประโยชน์จากปิโตรเลียมมากถึง 82% "โบลิเวียใช้เวลากว่า 3 ปีในการประท้วง เพื่อแสดงออกถึงสิทธิ์เรื่องก๊าซธรรมชาติและน้ำมันว่าเป็นของประชาชนโดยชอบธรรม เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องเอาคืน เราอย่าไปฝาก ความหวัง หรือฝากอนาคตได้กับนักการเมืองหรือคนอื่น" ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า ในประเทศคาซัคสถาน เรียกเก็บอัตราการจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 80% ของปริมาณน้ำมันที่ขุดเจาะได้ ไทยก็ควรจะนำมาใช้ เพราะที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้อ้างว่าไม่สามารถเรียก เก็บผลประโยชน์จากปิโตรเลียมได้แพง เพราะคุณภาพและปริมาณน้ำมันของประเทศไทยไม่มีคุณภาพมากเพียงพอ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน่าจะทำแบบคาซัคสถานน่าจะเหมาะที่สุด ทั้งนี้ประเทศไทยเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่มีปริมาณค่อนข้างมากและถือเป็นแหล่งน้ำมันที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะนี้มีแหล่งน้ำมันหลายแห่งทั้ง ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร มีปริมาณน้ำมันดิบปีละ 2 พันล้านลิตร แหล่งภูมิห้อมและน้ำพอง จ.อุดรธานีและขอนแก่น ปริมาณน้ำมันดิบปีละ 1 พันล้านลิตร แหล่งบงกช ปริมาณน้ำมันดิบปีละ 1 หมื่นล้านลิตร ซึ่งสัมปทานจะครบกำหนด 30 ปีเร็วๆ นี้ ซึ่งกำลังจะกลับมาเป็นของประเทศไทยอย่างเต็มตัว นอกจากนี้ ยังมีแหล่งปลาทอง ปริมาณน้ำมันดิบปีละ 3,700 ล้านลิตร แหล่งเอราวัณ ปริมาณน้ำมันดิบปีละ 3,300 ล้านลิตร แหล่งอาทิตย์ปริมาณน้ำมันดิบปีละ 3,200 ล้านลิตร และ แหล่งสงขลา ปริมาณน้ำมันดิบปีละ 1,250 ล้านลิตร ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าต่างชาติก็ให้ความสนใจแหล่งน้ำมันดิบในประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นน้ำมันที่ดีที่สุดในโลก เพราะมีมลภาวะต่ำ แต่ไทยกลับส่งออกไปจนหมด จนเกิดน้ำมันดิบในประเทศขาดแคลน ต้องนำเข้ามา สุดท้ายไทยก็ต้องใช้น้ำมันราคาแพง "ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานก็ออกมาพูดตลอดว่าแหล่งน้ำมันของบ้านเรามีน้อย ไม่เพียงพอ ต้องนำเข้า ตัวเลขการส่งออกของกระทรวงพลังงานเดือนกุมภาพันธ์ 2555 พบว่าส่งออกน้ำมัน ดิบกว่า 300 ล้านลิตร ส่งไปที่อเมริกา สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ และส่งต่อเนื่องไม่เคยขาด แล้วจะมาอ้างว่ามีน้อยได้อย่างไรในเมื่อส่งออกต่อเนื่อง

แต่ผลประโยชน์กลับไม่เคยตกถึงคนในชาติเลยแม้ แต่บาทเดียว ตอนนี้ราคาน้ำมันที่เราใช้อยู่ก็แพงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมจะย้อนไปเมื่อปี 2551 ที่ราคาน้ำมันมีปัญหา ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ลิตรนละ 30 บาท ราคาขายอยู่ที่ลิตรละ 42.50 บาท แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบปรับลดลงมาเหลือลิตรละ 20 บาท แต่เหตุใดราคาขายของประเทศไทยยังอยู่ที่ลิตรละ 42.50 บาท ส่วนต่างที่เกิดขึ้นผลประโยชน์ดังกล่าวไปใครได้ไป" ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับกำไรของธุรกิจพลังงาน ของปตท. ปี 2554 มีกำไรกว่า 125,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มีกำไร 100,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% ไทยออยล์ ปี 2554 มีกำไร 15,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มีกำไร 9,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 67% และบางจาก ปี 2554 มีกำร 5,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มีกำไร 2,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% ทั้งหมดนี้ถือเป็นตัวเลขมหาศาล ทั้งนี้ แหล่งปิโตรเลียมถือเป็นทรัพยากรของคนไทยทั้งประเทศแต่คนไทยกลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย

breakingnews.nationchannel.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม