วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไสยศาสตร์การเมือง วิกฤติประเทศไทย

กลางแสงตะวันยามเย็นในไร่เชิญตะวัน  ตำบลห้วยสัก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี แสงธรรมดวงหนึ่งของไทยนั่งอยู่เรือนริมน้ำ

บนเรือนน้อยกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2555 คณะปฏิบัติธรรมในโครงการ เรียนรู้วิถีธรรมตามรอยท่านพุทธทาส ของ บริษัท อสมท จำกัด บางส่วนเข้ามากราบนมัสการ เสียงสนทนาธรรมบางช่วงสดใส บางช่วงเนิบนุ่ม เป็นไปตามเนื้อหาอันควรตริตรอง

ไร่เชิญตะวัน สถานธรรมที่จะเป็นสถาบันการศึกษาทางเลือกชื่อ มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ ถ้าสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จะกลายเป็นมหาวิชชาลัยที่สร้างคนให้ได้ความรู้จากการปฏิบัติแห่งแรกของประเทศไทย

ว.วชิรเมธี

มองไกลออกไป เบื้องหน้าเทือกเขาสูงทะมึน ยืนรับแสงสุดท้ายของวารวัน เงาทะมึนของขุนเขา ดูเหมือนจะไม่น่าเกรงขามเท่ากับการ "หลงทาง" ของพุทธศาสนิกชนไทยในปัจจุบัน เห็นได้จากหนังสือคาถาอาคม และเรื่องราวไสยศาสตร์เกลื่อนเมือง ซ้ำร้ายยังเป็นสถานที่ "ส่งออก" ซากทารกเพื่อไปทำกุมารทองอีก

ทำไมคนไทยถึงได้หลงเรื่องไสยศาสตร์นัก ทั้งๆที่ธรรมของพระพุทธองค์มิได้มุ่งเน้นแต่อย่างใด

"อาตมามองว่า การที่ไสยศาสตร์ และระบบความเชื่อเหนือระบบความรู้ในสังคมไทย มาจากหลายเหตุปัจจัย เป็นต้นว่า การศึกษาไม่ส่งเสริมให้คนวิเคราะห์วิจัย เกิดอะไรขึ้นมาก็สะเดาะเคราะห์ แม้แต่การรัฐประหารก็ทำบุญประเทศกัน วิธีการคิดแบบนี้ทำให้เราไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆ ซึ่งเป็นปัญหาโครงสร้างของชาติบ้านเมืองได้"

ตัวอย่างเช่น "ปัญหาคอรัปชัน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสมดุลทางอำนาจ เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง ปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา" แล้วจักแก้ปัญหาได้ด้วยสิ่งใด "ประการแรกเรื่องการศึกษา เราต้องนั่งลงศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ แล้วเอาความจริงนั้นมานำเสนอ โดยไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ถ้าไม่ยอมรับความจริง ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะก้าวพ้นความวิกฤติไปได้"

ประการที่สอง "คนไทยอิงอยู่กับผี ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอะไรเข้ามาไทยนับถือหมด เพราะฉะนั้นคนไทยจึงมีลักษณะพันทาง ทางจิตวิญญาณ ไม่ต้องไปดูอื่นไกล ดูที่หิ้งพระคนไทยมีพระพุทธรูป พระพิฆเนศวรก็มี นางกวักก็มี จตุคามก็มี บางคนศิวลึงค์ก็วางใกล้ๆกัน"

สิ่งนี้บอกอะไร "สิ่งเหล่านี้บอกว่า ไทยเราจะเป็นพุทธก็พุทธกลางๆ จะเป็นพราหมณ์ก็พราหมณ์กลางๆ จะเป็นผีก็ผีครึ่งๆกลางๆ ผสมปนเปกันไป

ในที่สุดกลายเป็นคนพุทธก็พุทธไม่จริง เป็นผีก็เป็นผีไม่แท้ เป็นพราหมณ์ก็พราหมณ์ไม่ถึงที่สุด เมื่อเราเป็นพันทางทางจิตวิญญาณพฤติกรรมของเราบางเรื่องก็ใช้ไสยศาสตร์ บางเรื่องก็ใช้พุทธศาสน์ บางเรื่องเราก็ใช้ผี เราเป็นอย่างนี้ สังคมไทยจึงไม่ค่อยถึงความรู้ ความจริง"

อย่างน้ำท่วม จริงหรือไม่ว่า เราฟังเด็กชายปลาบู่มากกว่าจะฟังจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์

"ทั้งๆที่บางปัญหาเราต้องฟังนักวิทยาศาสตร์ แต่เราฟังหมอดูมากกว่าฟังผู้รู้สายตรง ทำไมเราไม่ฟังผู้รู้ ทำไมเราไปฟังผู้เดาก็เพราะว่าเราเติบโตมาจากสังคมพันทาง ทำให้ความเชื่ออยู่เหนือความจริง"

ประการที่สาม "การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสังคมไทยค่อนข้างได้ผลน้อย เพราะเรามีพระธรรมทูตน้อยมาก และสิ่งที่เผยแผ่ไปส่วนใหญ่ก็เป็นคุณวิเศษเวทไสยของขลังขมังเวท รดน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก ธรรมขนานแท้ไม่มีโอกาสได้มาเป็นเข็มนำใจ เราจมอยู่กับเวทไสยทั้งๆที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ปัญญาชนทั่วโลกยอมรับ"

ปัญญาชนโลกยอมรับพุทธศาสนาอย่างไรนั้น ท่าน ว.ได้รับรู้มาจากประสบการณ์ตรง ขณะที่เดินทางไปแสดงธรรมต่างประเทศ คนเข้าฟังมีทั้งชาวไทยในต่างประเทศ และชาวต่างชาติ ท่านบอกว่า ธรรมะที่คนไทยต้องการแตกต่างจากคนต่างชาติ

"คนไทยต้องการความสุขในชีวิตครอบครัว เพราะเขาไปอยู่ต่างประเทศ ต้องพบกับสิ่งแปลกใหม่ทั้งหมด ทำให้ต้องการความรัก ความอบอุ่น ต้องการปรึกษาเรื่องครอบครัว พวกเขาเจอพระก็เหมือนเจอคนไทยทั้งประเทศ คนไทยต่างแดนจึงคิดถึงพุทธศาสนามาก"

ส่วนชาวต่างชาติทุกข์จิตวิญญาณ "พวกเขาทุกข์จากการไม่เป็นที่ยอมรับ ทุกข์จากการโดดเดี่ยวเปลี่ยวดาย เป็นโรคไข้ปืนกันมาก พวกเขามักมีความเครียด มีปัญหาด้านจิตใจ เขาจึงขอให้สอนสมาธิ เขาสนใจพุทธศาสนามาก เรื่องนี้ไอสไตน์เคยบอกไว้ว่า ศาสนาแห่งอนาคตคือศาสนาที่ก้าวพ้นจากเทววิทยา และถ้าหากจะมีศาสนาเช่นนี้ได้ก็แต่พุทธศาสนา โลกในอนาคตเป็นโลกแห่งศาสนาสากล เป็นเรื่องเหตุผล และสำคัญต้องไม่กลัวแต่การท้าทาย พุทธศาสนาเรามีครบ เพราะเป็นความจริงอยู่แล้ว

แต่ "คนไทยเราได้ประโยชน์จากพุทธศาสนาน้อยมาก บางครั้งนิมนต์พระไปที่บ้าน อาตมาเคยไปบ้านโยมคนหนึ่ง เขาบอกว่าพระอาจารย์ปัดรังควานได้ไหม อาตมาสะเทือนใจมาก เพราะจบถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค เราทำประโยชน์ได้มากกว่านั้นอีก แต่คนไทยต้องการแค่นิมนต์พระมาปัดรังควาน นี่คือเราเป็นกบเฒ่าที่นั่งเฝ้าดอกบัว"

ประเด็นสุดท้ายที่เราจะออกจากวิกฤติความงมงายได้คือ "เราขาดนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ เรามีนักการเมืองที่ทำเพื่อมีอำนาจ รักษาอำนาจ มองอำนาจว่าคือความสำเร็จในชีวิตทางการเมือง ดังนั้น นักการเมืองจำนวนมากจึงไม่วางวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศในระยะยาว คุณภาพของคนของเราจึงอ่อนปวกเปียก"

เพราะ "เราไม่มีรัฐบาลที่คิดอะไรสำหรับการวางรากฐานในระยะยาว ทุกสิ่งทุกอย่างเลยเต็มไปด้วยปัญหา เมื่อเกิดมาวิกฤติหนึ่ง ก็ทำให้เกิดอีกวิกฤติหนึ่ง เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ สุดท้ายประเทศก็ย่ำแย่ เดี๋ยวนี้ประเทศอื่นเข้าสู่ยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กกันหมดแล้ว แต่ไทยสามจียังไม่ได้ใช้ และเรายังทะเลาะกัน ด้วยใช้ความรู้สึกกว่าจะใช้ความรู้จริง ยังเป็นสังคมที่เปราะบาง ไม่ทนต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ยอมรับความคิด ความเห็นของคนที่พูดจริงทำจริง เรายังชอบคนปากหวาน ในสังคมที่ไม่ชอบความจริงอย่างนี้ ทำให้เราได้นักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพพอที่จะมองปัญหาบ้านเมือง เราอาจต้องใช้เวลาอีกสี่สิบห้าสิบปีข้างหน้า เรามีนักการเมืองมีคุณภาพ เราถึงจะออกจากวิกฤติได้เลย

การออกจากวิกฤติไสยศาสตร์ และการเมือง ว.วชิรเมธีบอกว่า ต้องส่งเสริมให้มีการศึกษาทางเลือกให้มากๆ เพราะการศึกษากระแสหลักทุกวันนี้ เป็นพาณิชยศึกษาไปแล้ว

"สถาบันประเภทจ่ายครบจบแน่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ก่อนใครจะเป็นด็อกเตอร์ต้องเก่งจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้เดินไปหัวมุมถนนก็เจอแต่ด็อกเตอร์ทั้งนั้นเลย แต่ว่าไม่มีผลงานที่โดดเด่นเห็นชัด เพราะพาณิชยศึกษาทำให้เราจบการศึกษา แต่ไม่มีคุณภาพ"

ท่าน ว.หวังว่า สถานศึกษาทางเลือก เป็นทางที่จะทำให้คนมีสมองปรองดองกับหัวใจ มีจิตสำนึกที่ดี มีวิสัยทัศน์ มีภาวะผู้นำที่ดี และมีความกล้าหาญ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้ารับผิดชอบ เมื่อการเมืองระดับสูงไม่เป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้อย่างแท้จริง การเมืองภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง คือมีความเข้มแข็งทางปัญญา อาจจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้มากกว่ารัฐบาล

นอกจากการศึกษาทางเลือก การเมืองภาคประชาชนแล้ว สื่อมวลชนก็เป็นอีกความหวังหนึ่งของสังคม แต่นั่นหมายความว่า สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสาร มีจรรยาวิชาชีพสื่อในการนำเสนอข่าวสารด้วย.

www.thairath.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม