วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ป๋าเปลว สีเงิน" เดินทางไปเมืองจีนครับ กลับมาก็วันอังคารสัปดาห์หน้าโน่นแหละ...

"ป๋าเปลว สีเงิน" เดินทางไปเมืองจีนครับ กลับมาก็วันอังคารสัปดาห์หน้าโน่นแหละ ระหว่างนี้ทางกองบรรณาธิการจะสลับผลัดเวียนกันเขียนแทน การใช้ภาษาอาจไม่ลื่นไหลและไม่ลุ่มลึกในประเด็นที่นำเสนอเท่ากับเจ้าของคอลัมน์ แต่ถ้าหากยังเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไทยโพสต์อยู่ ก็ฝืนทนอ่านกันไปก่อนแล้วกัน
รอป๋าเปลวท่านกลับมาครับ รับรองว่ามีเรื่องราวดีๆ ติดไม้ติดมือ มาเล่าสู่กันฟังด้วยแง่มุมของคนที่จัดเจนต่อโลกมานาน และมีประสบการณ์ด้วยการมองสรรพสิ่งอย่างละเมียดรอบลึก ดังที่ผู้อ่านสัมผัสได้จากคอลัมน์นี้แน่นอน
พูดถึงเรื่อง "ประสบการณ์” หรือความรู้อันเกิดจากการที่เราได้กระทำหรือได้พบเห็นบางสิ่งบางอย่างมาในชีวิตนั้น สำคัญมาก อย่าว่าแต่การขีดๆ เขียนๆ ที่ต้องขยันอ่านหมั่นฟังและฝึกเขียนอยู่บ่อยๆ เลย การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยปัจจุบันท่ามกลาง "ความเจริญ” ในแบบตัวใครตัวมัน มือใครยาวสาวได้สาวเอา ยิ่งต้องอาศัยประสบการณ์เพื่อความอยู่รอดของแต่ละผู้แต่ละคน
ไม่ใช่แค่เรื่องของปัจเจกบุคคล แต่รวมไปถึงความเป็น "องค์กร” ไม่ว่าจะองค์กรด้านธุรกิจ-ทางสังคม หากผู้นำไร้ซึ่ง "ประสบการณ์” การบริหารแล้วไซร้ ได้พังครืนเจ๊งระเนนระนาดกันเป็นแถบๆ
เช่นเดียวกัน องค์กรใหญ่ระดับประเทศที่เรียกกันว่า "รัฐบาล” หากผู้นำหรือนายกรัฐมนตรีไม่มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองล่ะก็ นอกจากจะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอนหรือไปก่อนครบวาระแล้ว ผู้คนในบ้านเมืองก็พลอยจะลำบากเดือดร้อนไปด้วย เพราะความไร้ประสบการณ์ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของผู้นำประประเทศ
แต่ถือเป็นความโชคดีของประเทศไทย ที่เราได้ผู้นำหรือนายกรัฐมนตรีชื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้เธอจะเป็นผู้หญิง แต่ในแง่ประสบการณ์ความรู้ความสามารถในการบริหารนั้นเหลือล้น ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่สามารถนำพาบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จนประสบผลสำเร็จ กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แถวหน้าของเมืองไทยได้หรอก
ด้วยเหตุนี้กระมัง ถึงทำให้บรรดาผู้มีอันจะกิน นักธุรกิจชั้นนำของประเทศทั้งหลาย ต่างฝากความหวังไว้กับเธอ และมีไม่น้อยที่อยากจะพบปะขอคำปรึกษา บ้างก็ขอทราบข้อมูลตรงไหนบ้างน้ำไม่ท่วมถึงจะได้ปลูกบ้านสร้างคอนโดฯ หรือพื้นที่ใดบ้างจะทำเป็นฟลัดเวย์ไว้ระบายน้ำ จะได้ไปกว้านซื้อไว้ก่อนแล้วค่อยขายต่อให้รัฐ?
แบบนี้มีหวังได้รวยถ้วนหน้า..รวยกันชนิดที่สามารถเอาเงินเทรอบกรุงเทพฯ เป็นคันกั้นน้ำได้อย่างสบาย และอาจไม่จำเป็นต้องใช้บริการคณะกรรมการอะไรต่อมิอะไร ที่ตั้งกันเอาไว้เพื่อป้องกันแก้ปัญหาน้ำท่วมทั้งระยะสั้น-ระยะยาวแต่อย่างใด ..ให้ท่านเหล่านั้นกลับบ้านไปเลี้ยงหลานดีกว่า?
แต่อีกด้านของความโชคดี กลับคือความโชคร้ายสุดๆ ของชาวไร่ ชาวนา กรรมกรผู้ใช้แรงงาน ข้าราชการชั้นผู้น้อย คนทำมาค้าขาย ซึ่งเป็นประชากรคนส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วยโชคชะตาฟ้าลิขิตหรืออย่างไรไม่ทราบ ต้องมาประสบพบเจอนายกรัฐมนตรีที่ "ไร้ประสบการณ์” มากที่สุดของประเทศไทย
โดยเฉพาะประสบการณ์ความทุกข์ความลำบากยากเข็ญ ของนางสาวยิ่งลักษณ์นั้น แทบจะไม่เคยประสบพบเจอด้วยตัวเอง เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลกแก้วแหวนเงินทองก็รายล้อมอยู่รอบตัวเธอแล้ว โตขึ้นมาหน่อยด้วยความชาญฉลาดของพี่ชายก็ช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล กลายเป็นตระกูลมหาเศรษฐีของประเทศโด่งดังขจรขจายไปทั่วโลก
แบบนี้จะเข้าใจและรู้จักหน้าตาของคนทุกข์ยากได้อย่างไร
ฉะนั้นเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาความทุกข์ความเดือดร้อนของผู้คน ด้วยความไร้ประสบการณ์ของผู้นำประเทศ จึงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ หรือบางทีอาจจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาด้วยซ้ำ
เอาง่ายๆ เรื่องสินค้าราคาแพง ผู้คนร้องระงมไปทั้งบ้านทั้งเมืองว่าแพงฉิบหายวายป่วง และสำนักวิจัยทางวิชาการแทบจะทุกสำนักต่างสำรวจตรวจสอบพบตรงกันว่า ชาวบ้านราษฎรได้รับความเดือดร้อนเพราะราคาสินค้าแพงขึ้น หรือแม้แต่ต่างบ้านต่างเมือง องค์กรระดับสากลเขาก็ไม่ได้เห็นแย้งแตกต่างกันแม้แต่น้อย
แต่ผู้นำประเทศไทยกลับคิดได้อย่างพิลึกพิลั่น บอกว่าเป็นความรู้สึกที่ "คิดไปเอง” ของพี่น้องประชาชน
ถูกนักข่าวไล่ซักถามก็พลิ้วปัดพัลวัน โยนความผิดโทษดินฟ้าอากาศหน้าตาเฉย
หาได้ยอมรับความจริงแต่อย่างใด
จวนจะจนมุมต่อหลักฐานข้อเท็จจริงและผลสำรวจทางวิชาการ ก็ทำได้แค่พิธีกรรมสร้างภาพ พารัฐมนตรีตีนแดงเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ยกโขยงลงพื้นสำรวจราคาสินค้าตามตลาดสด
แต่กลับเลือกสำรวจเฉพาะเขตเฉพาะจังหวัดที่เป็นฐานคะแนนเสียงของพรรคการเมืองตัวเอง เพียงหวังแค่จะกลบกระแส "แพงทั้งแผ่นดิน” ให้ลดลงได้บ้าง
กลับตาลปัตรเสียงระงม "แพงฉิบหายวายป่วง” ยิ่งดังมากกว่าเดิม
เพราะสำหรับชาวบ้านแล้ว ทุกข์ก็คือทุกข์ จะบอกว่าอยู่สุขสบาย กินอิ่มนอนอุ่นได้อย่างไร ก็ในเมื่อไหนๆ คนที่พวกเขาเลือกเข้าไปบริหารประเทศชาติบ้านเมือง แก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนลงพื้นที่ทั้งที ก็ต้องร้องทุกข์ตามข้อเท็จจริง ว่าสินค้ามันแพงฉิบหายวายป่วงจริงๆ เพื่อให้ผู้แทนฯ ไว้วางใจนำไปแก้ปัญหา
...แก้ปัญหาด้วยการผุดทั้งโครงการร้านถูกใจ ทั้งโครงการชุมชนธงฟ้า สารพัดไอเดียเก๋ไก๋ที่งัดออกมาใช้เป็นมาตรการเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตั้งแต่ต้นปีนั้น ไหนลองชี้ให้ดูหน่อยเถอะโครงการ 1 ร้านถูกใจ 1 ชุมชนธงฟ้า ที่บอกว่าจะผุดขึ้นเป็นหมื่นแห่งทั่วประเทศนั้น ถึงวันนี้มีที่ไหนบ้างและขายสินค้าอะไรบ้าง?
เห็นก็แต่ที่ อิมแพค เมืองทองธานี แห่งเดียวและครั้งเดียว ในการจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ โอ้โห เห็นผู้คนแห่เข้าร่วมโครงการเป็นแสน คุยซะคำโตจะประสบความสำเร็จล้นหลามจริงแท้แน่นอน แต่เอาเข้าจริงๆ กลับล้มไม่เป็นท่ายอดขายได้เพียง 190 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้สูงถึง 320 ล้านบาท
นั่นเพราะอะไร?
และหารู้ไม่ว่าคนนับแสนแห่ไปร่วมโครงการนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่ด่าขรม เพราะแทนที่จะได้ซื้อของถูกตามร้านถูกใจในชุมชนธงฟ้าที่บอกจะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาบริเวณชุมชนละแวกบ้านกลับไม่เห็นโผล่สักร้านเดียว
จริงอยู่แม้ราคาสินค้าที่นำมาจัดขายจะถูกกว่าราคาตามท้องตลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อบวกรวมกับค่าเดินทางเข้าร่วมโครงการแล้ว เดินเข้าร้านสะดวกซื้อดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากินด้วย
เอ๊ะ หรือว่าชาวบ้านราษฎร คนทำมาหาเช้ากินค่ำ กรรมกรผู้ใช้แรงงาน ข้าราชการชั้นผู้น้อย ต้องฝากความหวังไว้กับ "ไพร่” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้ซึ่งมีวาสนาและความสามารถ "พูดจาปราศรัย” จนได้ดิบได้ดียกระดับฐานะตัวเองเป็นถึง "รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ออกมากอบกู้สถานการณ์สินค้าราคาแพง
เพราะนอกจากประสบการณ์ในพูดจาปราศรัยแล้ว อย่างน้อยในความเป็นไพร่ของเขาก็น่าจะมีประสบการณ์ ผ่านความทุกข์ยากด้วยตัวเองมาบ้างไม่มากก็น้อย
แต่มิทันไร แทนที่จะใช้ประสบการณ์ของความเป็นไพร่ ด้วยความเข้าใจความทุกข์ยากแล้วหาแนวทางแก้ไขปัญหา กลับนำเอาประสบการณ์อีกด้านว่าด้วยวาทศิลป์ วาทกรรมจากฝีปาก เสนอทำโครงการ "ถูกทั้งแผ่นดิน” ป่าวประกาศไปทั่วบ้านทั่วเมือง
แทบคลื่นไส้! เพราะได้ยินแค่ว่า "ถูกทั้งแผ่นดิน” ก็บ่งบอกถึงเจตนาเจ้าของโครงการได้เป็นอย่างดีว่าไม่ได้มุ่งจะแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มากกว่ามุ่งแก้เกมการเมือง เอาชนะคะคานพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามที่ออกมาสำรวจตรวจสอบราคาสินค้าแล้วพบว่า "แพงทั้งแผ่นดิน” เท่านั้น
หรือท้ายที่สุด ต้องฝากความหวังไว้กับบรรดานักการเมืองบ้านเลขที่ 111 ซึ่งใกล้จะพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ แล้วเร่งวันเร่งคืนให้ปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นกลับเข้าไปมีตำแหน่งแห่งหนในรัฐบาล ด้วยเพราะได้รับการยอมรับยกย่องว่ามี "ประสบการณ์” เหลือล้น ในการบริหารจัดการกับปัญหาได้เป็นอย่างดี
แต่ถ้าหากเป็น "ประสบการณ์" เดียวกับที่พวกเขามีส่วนสำคัญ ในการฟูมฟักผลักดันจนทำให้ "ระบอบทักษิณ" เรืองอำนาจในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยแล้วนำกลับมาใช้อีกครั้ง ประเทศชาติบ้านเมืองได้เหลือแต่กระดูกแน่ครับ.
เสมอต้น (แทน)

www.thaipost.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม