ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค. เวลา 12.50 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ และ ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะนักธุรกิจ ได้เดินทางออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ โดยเครื่องบินของสายการบินไทย เที่ยวบินพิเศษ ทีจี 8800 ไปยังกรุงนามา ราชอาณาจักรบาห์เรน ทั้งนี้ คณะของนายกรัฐมนตรีจะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงนามา ในเวลา 16.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นที่ช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง โดยมีเชค คอลิฟะห์ บิน ซัลมาน อัล คอลิฟะห์ นายกรัฐมนตรีบาห์เรน จัดพิธีต้อนรับ จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปพระราชวังอัล โรว์ดาห์ เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีฮามัด บิน อิซา อัล คอลิฟะห์ แห่งราชอาณาจักรบาห์เรน และเจ้าชายซัลมาน บิน ฮามัด อัล คอลิฟะห์ มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ต่อมาในเวลา เวลา 20.00 น. สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี
จากนั้น ในวันที่ 14 พ.ค. นายกรัฐมนตรีบาห์เรนจะจัดพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการแก่นายกรัฐมนตรี และหารือข้อราชการร่วมกันที่พระราชวังอัล กูไดบิยา ก่อนจะร่วมกันเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลราชอาณาจักรบาห์เรน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว พร้อมทั้งพระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีจะได้มีโอกาสพบหารือนักธุรกิจและนักลงทุนชาวบาห์เรน เพื่อเชิญชวนนักลงบาห์เรนลงทุนในไทย ต่อมา ในวันที่ 15 พ.ค. นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินออกจากบาห์เรนเพื่อเดินทางเยือนประเทศกาตาร์อย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 15-17 พ.ค. ต่อไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการเยือนว่า บาห์เรนถือเป็นประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน อีกทั้งสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรน และนายกรัฐมนตรีบาห์เรนได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยก่อนหน้านี้ รวมถึงนักธุรกิจบาห์เรนต้องการที่จะลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม และมีความต้องการด้านความมั่นคงทางอาหารจึงเป็นประโยชน์ที่ไทยได้ไปหารือเกี่ยวกับข้อตกลงความต้องการทางอาหารกับบาห์เรน เพื่อที่ประเทศไทยจะได้เตรียมความพร้อมด้านการค้าและการผลิตให้สามารถรองรับความต้องการทางอาหารของบาห์เรนได้ อีกทั้งจะมีการหารือเรื่องของวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่จะมีการร่วมลงนามในด้านดังกล่าวร่วมกัน นอกจากนี้ขณะนี้บาห์เรนต้องการลงทุนเรื่องการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะไปร่วมลงทุนและรับงานด้านก่อสร้าง รวมถึงการส่งแรงงานไทยไปทำงาน
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า บาห์เรนเป็นประเทศที่มีศักยภาพพอสมควรในกลุ่มตะวันออกกลาง จึงถือเป็นการเปิดตลาดในกลุ่มตะวันออกกลาง ด้านตัวเลขเศรษฐกิจถือว่าไทยได้ประโยชน์ เพราะส่งออกมากกว่านำเข้า แต่ไทยมีความประสงค์ที่จะเจรจาข้อตกลงเรื่องของการค้าด้านอาหาร และความมั่นคงด้านอาหาร โดยไทยต้องการผลิตและส่งออกอาหาร รวมถึงวัตถุดิบการผลิตอาหารฮาลาลด้วย ถ้าไทยประสบความสำเร็จจากข้อตกลงนี้ จะมีโอกาสเป็นศูนย์การส่งออกอาหารไปยังประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง นอกจากนี้ บาห์เรนเป็นประเทศที่เข้าใจไทยเป็นอย่างดีในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มประเทศอิสลามที่ให้ความร่วมมือกับไทยด้วยดีมาตลอ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้เชิญนักธุรกิจไทยกว่า 50 ราย ร่วมเดินทางไปกับคณะ เพื่อเจรจาด้านการค้า การลงทุน การก่อสร้าง การเงิน และด้านพลังงานในอนาคต อีกทั้งจะมีโอกาสเยี่ยมชมศูนย์บัญชาการกองกำลังผสมทางทะเล ที่เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลด้านความปลอดภัยทางทะเล โดยสาเหตุที่เลือกเยือนบาห์เรนเป็นประเทศแรกในตะวันออกกลาง เพราะมีสัมพันธ์ดีต่อกัน จึงเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าการค้า การลงทุนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
www.dailynews.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น