วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แก้กฎหมายฟอกเงินเรื่องด่วนที่ถูกลืม

โดย...ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์ ชลลดา อิงศรีสว่าง

เรื่องเล็กที่รัฐบาลมองข้าม แต่กำลังจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในเร็วๆ นี้ คือ เรื่องที่ประเทศไทยขึ้นแบล็กลิสต์ จัดอยู่กลุ่มประเทศ “สีเทา” ที่ The Financial Action Task Force (FATF) องค์กรต่อต้านการฟอกเงินโลก ได้เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่กฎหมายฟอกเงินยังไม่ดีพอ เพราะยังไม่ต่อต้านตัดทางการฟอกเงินจากการก่อการร้าย

เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ก.พ. 2555 แต่ไม่มีคนในรัฐบาลใส่ใจจะแก้ไข คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จึงไม่มีการติดตามแก้ไขในเรื่องนี้

ผ่านมา 3 เดือน เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศไปแล้ว เมื่อคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ทั้งสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย ออกมาบอกว่า ขณะนี้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายฟอกเงินที่นานาชาติไม่ยอมรับแล้ว

ผลกระทบที่ไทยสอบตกมาตรฐานการจัดการฟอกเงิน และการต่อต้านการก่อการร้าย เพราะขาดเครื่องมือด้านกฎหมายที่เป็นมาตรฐานระดับสากลเข้ามาที่จะจัดการ ทำให้เกิดการตอบโต้จากนานาชาติที่จะเข้มงวดการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน และรุนแรงถึงขั้นปฏิเสธการทำธุรกรรมด้านการเงิน

ธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีสถาบันการเงินในต่างประเทศบางแห่งสั่งระงับการทำธุรกรรมกับประเทศไทยแล้ว

อีกทั้งมีสถาบันการเงินในต่างประเทศบางแห่งเริ่มขอข้อมูลรายละเอียดในการทำธุรกรรมทางการเงินจากสถาบันการเงินไทยมากขึ้น และการติดต่อการทำค้าขายระหว่างประเทศผู้ค้าในต่างประเทศเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะส่งเงินเข้ามาชำระค่าสินค้าหรือไม่

ความพยายามเฮือกสุดท้าย “ไทย” ต้องแสดงความชัดเจนว่าให้ความสำคัญกับปัญหาการฟอกเงินและการต่อต้านการก่อการร้ายให้ชัดเจน ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 1 ปี ไทยต้องดิ้นให้หลุดจากการถูกขึ้นบัญชีสีเทา ภายในเดือน ก.พ. 2556 ที่คณะพิจารณา International Coope ration Review Group (IRCG) ซึ่งเป็นคณะทำงานย่อยของ FATF จะพิจารณาทบทวนฐานะประเทศไทยอีกครั้ง

หากรัฐสภาไม่ผ่านร่างกฎหมายฟอกเงินและต่อต้านการก่อการร้ายให้ทันเวลา นับว่าสัญญาณอันตรายที่ไทยเตรียมตัวได้ที่จะต้องก้าวสู่จากบัญชีสีเทาเป็นบัญชีสีดำ หรือแบล็กลิสต์ ขึ้นแท่นประเทศเสี่ยงฟอกเงินอย่างเต็มขั้น

นั่นหมายความว่านานาประเทศจะเพิ่มความเข้มงวดเป็นเท่าทวีคูณในการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน ทั้งด้านการค้า และการลงทุน ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล

ผลที่จะกระทบตามมาในอนาคตจะมีทั้งต่อการค้าระหว่างประเทศ ที่การทำมาค้าขายอาจจะไม่คล่องตัว ไม่สะดวกเหมือนก่อน โดยเฉพาะผู้ส่งออกและนำเข้าจะเจอปัญหาก่อน

และตามมาด้วยผลกระทบภาคประชาชน ที่จะทำให้คนไทยไม่สามารถใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศได้ เพราะสถาบันการเงินในต่างประเทศไม่รับทำธุรกรรมกับไทย ซึ่งมีความเสี่ยงกับการฟอกเงิน

ที่ผ่านมาภาคเอกชนรวมตัวในนาม กกร. ออกมาตอกย้ำให้รัฐบาลเห็นความสำคัญการออกกฎหมาย 2 ฉบับนี้

ในขณะที่รัฐบาลยังมองไม่เห็นภาพความสำคัญ แม้กระทั่งตัวนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กกร.ได้ยื่นหนังสือมาแล้วครั้งหนึ่งเรื่องก็ยังเงียบหาย และในเร็วๆ นี้ภาคเอกชนจะยื่นหนังสือให้ “ยิ่งลักษณ์” เพื่อกระทุ้งอีกครั้ง ให้ช่วยเร่งผลักดันและเห็นความสำคัญของกฎหมายสองฉบับนี้

ส่วนความคืบหน้าของกฎหมายฟอกเงินและต่อต้านการก่อการร้าย ตอนนี้ถือว่าได้ผ่านยังไม่ถึงครึ่งทาง อยู่ที่ 4 ขั้นจาก 9 ขั้นแล้ว โดยเป็นร่างที่เป็นที่ยอมรับทั้งของสากล ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หรือเอฟเอทีเอฟ ซึ่งคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีให้เห็นชอบได้ภายในเดือน มิ.ย. 2555 นี้ ก่อนเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรออกเป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเท่าใดแต่หวังว่ากฎหมายจะมีความคืบหน้าและใช้ได้ทันในเดือน ม.ค.2556 เพราะคณะทำงานอินเตอร์เนชั่นแนล โคโอเปอเรชั่น รีวิว กรุ๊ป (ไออาร์ซีจี) ซึ่งเป็นคณะทำงานย่อยของเอฟเอทีเอฟในการพิจารณาประเทศที่อยู่ในกลุ่มบัญชีสีเทาจะพิจารณาอีกครั้งในเดือน ก.พ.2556 นี้

ปัจจุบันในภาคของธนาคารไทยเองมีความพร้อมอยู่แล้วในการที่จะอายัด ระงับธุรกรรมการเงินของผู้ต้องสงสัยว่าก่อการร้าย แต่ที่ผ่านมา ไม่สามารถจะทำได้เพราะไม่มีกฎหมายรองรับตรงนี้ ทาง FATF เองก็ต้องการให้ทุกอย่างดำเนินไปได้เร็ว แต่ไทยทำไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ

ทั้งนี้ ประเทศที่ถูกขึ้นบัญชี 5 ประเทศ ได้แก่ ปากีสถาน อินโดนีเซีย กานา และแทนซาเนีย และไทย ในรายชื่อประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการสกัดการฟอกเงิน

สำหรับผลกระทบจากการถูกกำหนดรายชื่อให้เป็นประเทศที่มีข้อบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย จะทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศจะต้องมีขั้นตอน และมีการตรวจสอบเอกสารมากขึ้น ซึ่งส่งผลถึงระยะเวลาในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นในภาพรวมจะเป็นการลดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และอาจรวมถึงความยากลำบากของคนไทยในการทำธุรกรรมกับต่างประเทศ

และไม่สามารถมีกฎหมายออกมาได้ทันเดือน ก.พ. 2556 และไทยถูกประกาศขึ้น “บัญชีดำ” แล้วต้องถูกตัดขาดการทำธุรกรรมการเงินและการค้ากับนานาประเทศ ยิ่งสร้างความเสียหายมหาศาลทั้งธุรกิจเศรษฐกิจรวมทั้งภาพลักษณ์ของประเทศ

เรื่องนี้ยังมีเวลาให้รัฐบาลกลับตัวให้ทัน และรีบหยิบยกกฎหมายนี้ขึ้นมาพิจารณา อย่ามัวแต่ผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งช้ามากเท่าไหร่ความเสียหายต่อประเทศจะทวีมูลค่ามากขึ้นเท่านั้น

ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก คิดเป็น 60% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แค่เงินบาทอ่อนค่ารัฐบาลก็ไปกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลแก้ไขด่วน แต่เรื่องสำคัญมากขนาดนี้รัฐบาลกลับให้ความสนใจน้อยเกินไป





www.posttoday.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม