วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อ่านข่าวเรื่องรถไฟตกรางที่อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จาก ไทยโพสต์ หน้า 3 วานนี้แล้ว...

อ่านข่าวเรื่องรถไฟตกรางที่อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จาก ไทยโพสต์ หน้า 3 วานนี้แล้ว อดนึกถึงข้อเขียนของ ป๋าเปลว สีเงิน ขึ้นมาไม่ได้ ที่อุตส่าห์พร่ำบ่น พร่ำสอน ให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง หันมาให้ความสนใจรถไฟธรรมดาๆ ให้จริงๆ จังๆ ซะก่อน ก่อนไปเพ้อ ไปบ้า กับความก้าวหน้า ทันสมัย ของรถไฟความเร็วสูง...
--------------------------------------------
สรุปทวนความโดยย่อๆ ก็คงประมาณว่า...เมื่อวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขบวนรถไฟหมายเลข 721 ซึ่งเป็นรถสินค้า เดินทางจากสุราษฎร์ธานีผ่านอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อจะวิ่งต่อไปยังอำเภอสุไหงโก-ลก ก่อนเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย เกิดมาพลิกคว่ำซะก่อน ช่วงระหว่างสถานีช่องเขา กับสถานีร่อนพิบูลย์ อันเนื่องมาจากความล้าสมัย และความชำรุดทรุดโทรมของระบบราง ส่งผลให้ตู้สินค้าบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ 34 ตู้ ที่อยู่บนโบกี้
17 โบกี้ บรรทุกยางพาราอัดแท่งรมควัน เพื่อจะนำไปส่งประเทศมาเลเซีย เกิดความเสียหายวอดวายตามไปด้วย...
--------------------------------------------
แต่สิ่งที่น่าสนใจในรายงานข่าวที่ว่านี้...ก็คือการออกมาแสดงความเห็นอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ของตัวแทนบริษัทการรถไฟของมาเลเซีย ที่เข้ามาร่วมสำรวจตรวจสอบความเสียหายถึงที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ชื่อว่า Mr.Chan
ซึ่งว่ากันว่าเป็นตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาการเชื่อมโยง ขนส่ง ระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย ที่เรียกกันว่าบริษัท TS. Trand Rail นายชาน หรือ Mr.Chan ที่ว่านี้ จะเป็นแฟนหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เพราะติดอกติดใจ ข้อเขียนของ ป๋าเปลว สีเงิน มาตลอด หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ แต่ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไทย
ในแนวเดียวกับที่ ป๋าเปลว ท่านเคยพร่ำบ่น พร่ำสอน การรถไฟแห่งประเทศไทย และผู้มีอำนาจในประเทศไทย ชนิดแทบจะถอดกันมาเป็นประโยคต่อประโยค คำต่อคำ เอาเลยก็ว่าได้...
------------------------------------------------
ในเนื้อข่าว ไทยโพสต์ ระบุเอาไว้ดังนี้...Mr.Chan ตัวแทน TS.Trand Rail บริษัทที่ปรึกษาการเชื่อมโยง ขนส่ง ระหว่างประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย ของการรถไฟมาเลเซีย เปิดเผยว่า..."ทุกคนเป็นห่วงการรถไฟของประเทศไทย เพราะฝ่ายการเมืองมัวแต่ไปวุ่นกับเรื่องรถไฟความเร็วสูง แต่ไม่เคยให้ความสำคัญกับเส้นทางการขนส่งระบบรางของภาคใต้ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆ ที่เป็นเส้นทางที่มีค่าใช้จ่ายถูกมาก สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมหาศาลแต่การขนส่งระบบรางมีแค่เส้นทางนี้ทางเดียว รัฐบาลไทยคงไม่ทราบว่ารัฐบาลมาเลเซียได้เปลี่ยนมาสร้างระบบรางคู่หมดแล้ว สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะระบบรางของประเทศไทยไม่ได้มาตรฐาน ชำรุด จึงสร้างความเสียหายให้มากมายขนาดนี้ ตนพยายามผลักดันเรื่องนี้มาเป็นสิบปีแล้ว แต่รัฐบาลไทยไม่เคยสนใจในเรื่องระบบการขนส่งในภาคใต้เลย...”
-----------------------------------------------
เรียกว่า...แม้จะไม่ถึงขั้นจิกหัวด่า เอาน้ำเกลือสาดซ้ำ ตามแบบฉบับลีลาของ ป๋าเปลว ก็เถอะ แต่ฟังแล้วเจ็บไปถึงกระดองใจ อดที่จะสลดหดหู่กับความเลอะเทอะ เลื่อนเปื้อน ของผู้มีอำนาจในรัฐบาล แต่ละรัฐบาลขึ้นมาไม่ได้ เพราะไอ้แบบนี้นี่แหละ...ที่เขาเรียกๆ กันมานานแล้วว่า ทันสมัย-แต่ไม่พัฒนา อยากจะเป็นนิกส์ เป็นนุ๊ก เป็นเสือตัวที่ 4 ตัวที่ 5 ชื่นชมกับความเป็นสัตว์เดียรัจฉานมาโดยตลอด จนลืมหันไปสำรวจ ตรวจสอบ ศักยภาพที่แท้จริง ของตัวเอง ว่าอะไรคือจุดแข็ง จุดอ่อน อะไรที่ควรส่งเสริม และอะไรที่ควรระงับๆ เอาไว้บ้าง การรถไฟที่เคยเป็นมรดกตกทอดมา ตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันถึงได้เจ๊งคามือของระบอบประชาธิปไตย กลายเป็นการทำลายจุดแข็งของตัวเอง ขณะที่พยายามดิ้นรนไปแสวงหาจุดอ่อน เอามายัดใส่ให้กับระบบแต่ละระบบในประเทศ เพียงเพื่อให้ตัวเองดูหรูหรา ทันสมัย เหมือนอย่างใครต่อใครเค้าบ้างเท่านั้นเอง...
---------------------------------------------
อันที่จริงอาการ ทันสมัย-แต่ไม่พัฒนา ของประเทศไทย มันคงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงสิบปี ยี่สิบปีเท่านั้น แต่สามารถย้อนไปไกลถึงยุค แผนพัฒนาฯฉบับที่ 1 เอาเลยก็ว่าได้ แผนที่อาจารย์ สุเมธ ตันติเวชกุล ท่านเรียกว่า แผนพัฒนาฯ แห่งความฉิบหาย นั่นแหละ กว่าจะเริ่มรู้ตัวขึ้นมาบ้าง ก็ล่วงพ้นจนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่พอคิดจะปรับทิศ ปรับทางกันใหม่ ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกไปอยู่ในมือของ นักการเมือง ที่ผ่านการเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย ชนิดยากซ์ซ์ซ์ ที่จะไปยื้ออ้อยออกมาจากปากช้างกันได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าแผนฯ 9 แผนฯ 10 แผนฯ 11 มันจึงกลายเป็นแค่ แผน แต่ไม่สามารถนำไปสู่ การปฏิบัติ แบบจริงๆ จังๆ ใดๆ ได้เลย คือแค่เอาไว้พูดกันในหมู่นักวิชาการ นักพัฒนา แบบเดียวกับอะไรต่อมิอะไร ที่อาจารย์หมอ ประเวศ ท่านชอบนำมาพูด นำมาบูรณาการ จนคนฟังอ้าปากหาว นอนหลับกันไปเป็นแถบๆ อะไรทำนองนั้น...
---------------------------------------
ยิ่งอำนาจนักการเมืองแผ่ซ่านไปสู่ระบบแทบทุกระบบ การปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามแผนฯ ยิ่งกลายเป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ความพยายามจะฉุดกระชากลากถูประเทศทั้งประเทศ ให้เลื่อนไถลไปตามอภิมหา โครงการเมกะโปรเจ็กต์ ตามแนวทางประชานิยมในแต่ละชนิด ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนจากหน้ามือไปสู่หลังตีน อย่างเห็นได้ชัด เป็นประเทศไทยที่ใครต่อใครเกือบจะจดจำประเทศตัวเองแทบไม่ได้ว่า อะไรมันจะพลิกผันไปสู่ความอยาก ความกระหายในทางวัตถุ ความลุ่มหลง มัวเมาในผลประโยชน์เงินๆ ทองๆ แม้แต่ระบอบการเมืองการปกครองอย่างระบอบประชาธิปไตยก็เถอะ ต้องถูกแปรสภาพไปเป็น ประชาธิปไตยที่กินได้-แดกได้ เท่านั้น ถึงจะได้รับการตอบสนอง ได้คะแนนนิยมแบบถล่มทลาย...
--------------------------------------------
การที่จะฉุดกระชาก ลากดึง ให้ประเทศกลับมาสู่หนทางแห่งการ พัฒนาที่เป็นจริง มันจึงไม่ถึงกับง่ายซักเท่าไหร่นัก หรืออย่างน้อย...มันอาจต้องใช้เวลาไม่น้อยไปกว่าแรงฉุดในด้านตรงกันข้าม ซึ่งได้เริ่มต้นสร้างความฉิบหายมาตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 แต่ก็นั่นแหละ...ภายใต้ความล่มสลายของ โลกที่พัฒนาแล้ว หรือโลกที่พยายามชักนำใครต่อใคร ให้เดินหน้าไปสู่ความฉิบหายเหมือนกับตัวเอง ซึ่งมันกำลังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งยุโรป และอเมริกา อย่างชนิดเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที ว่ายังไงๆ มันย่อมต้องฉิบหายแน่ๆ หรือถึงขั้นไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ในอีกไม่นานไม่ช้า...แนวโน้มแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ การพัฒนาที่เป็นจริง มันจึงมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ความชั่วในขั้นตอนสุดท้าย มันได้พลิกตกราง เหมือนดั่งขบวนรถไฟหมายเลข 721 นั่นแล...
----------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Peter Howard...คนในยุคปัจจุบันได้เติบโตกลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมและวิทยาการด้านเทคนิค แต่ในทางจริยธรรมหรือในทางจิตใจแล้ว เรายังเป็นได้แค่คนแคระ...
------------------------------------------------

www.thaipost.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม