วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รายงานจากกิจกรรม “มุมเศรษฐกิจกับซี.พี. ครั้งที่ 1/2555” ในหัวข้อ“อาเซียน – จีน : โอกาสประเทศไทย”...


รายงานจากกิจกรรม "มุมเศรษฐกิจกับซี.พี. ครั้งที่ 1/2555" ในหัวข้อ"อาเซียน – จีน : โอกาสประเทศไทย" ซึ่งจัดโดย สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม ชั้น 30 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม นายธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์และประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรม(จีน) ได้พูดคุยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน นโยบายการค้าและการลงทุนของจีนรวมถึงการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน-จีนได้ส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจประเทศไทย อย่างน่าสนใจและน่าติดตามอย่างยิ่ง


นายธนากร กล่าวว่า แม้สภาพเศรษฐกิจของโลกจะชะลอตัว แต่มีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจของจีนยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาที่คาดว่าขยายตัวประมาณ 7 % แต่อัตราการขยายตัวจริงทำได้ 8-9 % เป็นผลมาจากการเมืองในประเทศจีนนิ่ง ทำให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ต่างกับไทยที่การเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติแต่ละฉบับจึงไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้


ในขณะที่จีนประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพัฒนาคน เพราะจีนให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาบุคลากร สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ และประสบการณ์เข้ามาในระบบราชการ ทำให้เกิดวิสัยทัศน์ และการจัดการที่มีเสถียรภาพ สังเกตุได้จากผู้บริหารของจีนในปัจจุบันอายุค่อนข้างน้อย เพียง40 ปีต้นๆ เท่านั้นแล้วส่วนใหญ่จบปริญญาโท ปริญญาเอก


ดังนั้น เมื่อประชาคมอาเซียนหรือเออีซี มีผลบังคับใช้แล้วอาเซียนสามารถจับมือกับจีนได้ จะส่งผลให้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่มากและเป็นโอกาสการค้าการลงทุนของไทยในทุกด้าน เนื่องจากไทยมีข้อได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ และมีศักยภาพมากที่สุดด้านการวิจัยและพัฒนา


แล้ววันนี้จีนไม่เพียงส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศเท่านั้นแต่ยังมีนโยบายให้นักลงทุนจีนไปลงทุนในต่างประเทศ โดยสนับสนุนเงินกู้เพื่อการลงทุนถึง 500,000 ล้านหยวน ดังนั้นอะไรที่ร่วมมือกันได้ก็น่าจะร่วมมือกันพัฒนา เพราะจีนต้องการมิตรที่เป็นเพื่อนบ้านโดยรอบในการร่วมลงทุน


ประเทศจีนมีพื้นที่น่าลงทุนหลายแห่ง เช่น ภาคตะวันตกและภาคตะวันตกเฉียงใต้ เมืองซีอาน กุ้ยโจว และกวางสี ถือเป็นเมืองที่น่าสนใจมาก เนื่องจากยังมีการพัฒนาเมืองไม่มากนัก จึงทำให้ยังขยายตัวได้มาก ทั้งด้านการเกษตร และอุตสาหกรรม ฯลฯ
ประเทศไทยต้องหันกลับมาดูตัวเองว่าควรจะปรับตัวอย่างไร อะไรที่สู้เขาไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยน


ต่อไปมีความเป็นไปได้ที่หลังจากเปิดเออีซีแล้วไทยต้องยอมเสียแรงงานขั้นพื้นฐานให้กับประเทศเพื่อนบ้าน และหันมาพัฒนาฝีมือแรงงานไทยให้เป็นแรงงานขั้นสูงที่มีคุณภาพ เพื่อออกไปทำงานในต่างประเทศ


สำหรับซี.พี.ในปีนี้มีแผนที่จะลงทุนผลิตรถจักรยานยนต์ (รถมอเตอร์ไซค์) และรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งทางเครือซี.พี.ได้นำรถมอเตอร์ไซค์แบรนด์ต้าหยาง (Dayang) เข้ามาทดลองวิ่งแล้ว 8 คัน แต่ยังมีข้อบกพร่องจึงอยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ในประเทศไทย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเรื่องแผนการลงทุนในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้


อย่างไรก็ตาม เครือซี.พี.ตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 10% หรือประมาณ 2 แสนคัน จากกำลังการผลิตรวมในตลาดไทยที่มีอยู่กว่า 2 ล้านคัน ส่วนแบรนด์ที่จะขายในประเทศขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการคัดเลือก


นอกจากนี้ นายธนากร ยังบอกต่อไปว่า บริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโต้โมบิล อินดัสตรี้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(SAIC Group) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากประเทศจีน ยังให้ความสนใจที่จะร่วมทุนกับเครือซี.พี. ผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ MG ซึ่งเป็นที่รู้จักในประเทศไทย และน่าจะเหมาะกับคนไทย ที่ชื่นชอบความหรูหรา และสวยงาม โดยจะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา เพื่อเจาะตลาดอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะผลิตอย่างน้อยปีละ 5 หมื่นคัน


ขณะนี้ เครือซี.พี.และออโต้โมบิลอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการคาดว่าจะได้ข้อสรุปและความชัดเจนในการลงทุนภายในสิ้นปีนี้


"เครือซี.พี.มีการผลิตรถจักรยานยนต์ในจีนปีละ 1.6 ล้านคัน โดยเป็นการส่งออก 30-40% ของกำลังการผลิต มีอัตราเติบโตปีละ 10% ภายใต้แบรนด์ต้าหยาง ส่วนเซี่ยงไฮ้ ออโตโมบิล ผู้ผลิตรายใหญ่ มีกำลังการผลิตรถยนต์ 4 ล้านคันต่อปี ได้แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยมองว่าไทยและมาเลเซียจะได้เปรียบเมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 โดยตลาดจะขยายจาก 65 ล้านคนในประเทศไทย เพิ่มเป็น 600 ล้านคนในอาเซียน"


สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในประเทศจีน นายธนากร บอกว่า ปัจจุบันเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้พัฒนาโครงการ Chia tai International plaza civic center of luoyang ในเมืองลั่วหยาง บนพื้นที่ 120 ไร่ ประกอบด้วย ศูนย์ราชการ 8 ชั้น ห้างสรรพสินค้า 8 ชั้น คอนโดมิเนียม 12 ตึก สูง 40-55 ชั้น ภายใต้งบลงทุน 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม ระดับสูง ได้รับสิทธิการเช่า 70 ปี จำนวน 12 ตึก มีที่จอดรถ 7,000 คัน ตึกสูง 40 ชั้น จำนวน 2 ตึก และสูง 55 ชั้น จำนวน 2 ตึก เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มเปิดการขายได้ในเดือนกันยายนนี้


โครงการ Chia tai International plaza civic center of luoyang เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2554 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558 ในส่วนของคอนโดมิเนียมเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับสูง คาดว่าจะเปิดใด้จองได้ในเดือนกันยายน 2555 ขณะที่ศูนย์ราชการเมื่อก่อสร้างเสร็จจะขายให้กับทางการจีน


ในส่วนของธุรกิจค้าปลีกแบรนด์ "ซี.พี. โลตัส" ทางซี.พี.มีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีกทั้งในเมืองใหญ่และเมืองเล็ก จากปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 75 สาขา


นายธนากร กล่าวว่า การลงทุนของซี.พี.ในประเทศจีนจะเน้นการแปรรูปสินค้าเกษตร ทั้งเนื้อไก่ และสัตว์น้ำต่างๆ เป็นโปรดักต์ภายใต้แบรนด์ เจียไต๋ รวมถึงดำเนินการหมู่บ้านเกษตรกรรมสมัยใหม่ ในกวางตุ้ง ปักกิ่ง ซานตง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา 6-7 โครงการ ขนาดพื้นที่ 5,000-10,000 ไร่


ทั้งนี้ ซี.พี. ได้ร่วมมือรัฐบาลจีน พัฒนาโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมสมัยใหม่ครบวงจร ซินหนงชุน (Xin Nong Cun) ที่ "ผิงกู่" ใกล้ปักกิ่ง เป็นฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ทันสมัยที่สุดสามารถเลี้ยงไก่ได้ 3 ล้านตัว โดยเกษตรกรรวมตัวกันในรูปสหกรณ์ มีรัฐบาลจีนส่งเสริมและสนับสนุนทุน 15 % ซี.พี.สนับสนุนทุน 15 % ส่วนที่เหลืออีก 70 %ธนาคารเป็นผู้ให้สินเชื่อ และซี.พี.เป็นผู้เช่าพื้นที่บริหารจัดการโครงการเกษตรดังกล่าวเพื่อรับความเสี่ยงแทนเกษตรกร


ในช่วงสุดท้าย นายธนากร ได้ฝากข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลว่า ในอนาคตอันใกล้รัฐบาลควรส่งนักศึกษาไทยไปศึกษาในประเทศจีนเพื่อจะได้เรียนรู้ภาษาจีน ปีละ 5,000 คน เพียง 5 ปีประเทศไทยจะมีคนไทยที่รู้ภาษาจีน 25,000 คน หากรัฐบาลจีนส่งคนมาเรียนในประเทศไทยไปพร้อม ๆกันด้วยก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้มหาศาล



www.matichon.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม