ในวันที่ “ทหารดีๆ” กำลังถูกการเมืองรุกจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีที่ทหารถูกกล่าวหาว่า “ฆ่าประชาชน” ในเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ทั้งๆ ที่ทหารปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นคำสั่งที่ต้องออกมาเพื่อรักษาสิทธิ์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถูกลิดรอนสิทธิ์จากการชุมนุมยืดเยื้อของกลุ่ม นปช. ที่ถนนราชดำเนิน ต่อมาก็ย้ายไปที่ถนนราชประสงค์อีกจุดหนึ่ง รัฐบาลประชาธิปัตย์ขอให้ถอนจากถนนราชดำเนินไปก็ไม่ยอม คนทั้งประเทศรุมด่ารัฐบาลในเรื่องนี้ ทหารก็พลอยถูกด่าไปด้วย เท่านั้นไม่พอมีชายฉกรรจ์ใช้อาวุธสงครามยิงสถานที่ราชการ, วัดพระแก้ว, ระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งกรมทหารราบก็ยังถูกยิงด้วยอาร์พีจี เหตุการณ์มันเริ่มวิกฤติมากขึ้นตามลำดับ
ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ทหารจำเป็นต้องออกมาขอพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินคืนเพื่อให้การจราจรเชื่อมโยงกับฝั่งธนบุรีเป็นไปตามปกติ เพราะการปิดสี่แยกราชประสงค์ของกลุ่ม นปช. เพิ่มขึ้นมาอีกจุดหนึ่งนั้น ได้ให้ทำการจราจรในย่านใกล้เคียงโดยเฉพาะสะพานตากสินและสะพานกรุงเทพ เสียหายยับเยินไปด้วย นี่คือสาเหตุที่ทำให้ทหารต้องออกมา ออกมาด้วยความตั้งใจดี ไม่เคยคิดว่าประชาชนบางคนจะใช้อาวุธสงคราม ทหารถึงกับมีการตั้งกฎ 7 ข้อในการขอคืนพื้นที่การชุมนุม ข้อสุดท้ายที่ดูว่าแรงที่สุดคือการใช้กระสุนยาง ผลออกมาเป็นอย่างไรคงทราบกันอยู่แล้ว ลองอ่านดูจดหมายของหมอทหารคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ด้านบางลำพู “...การ์ด นปช.คนหนึ่งถูกยิงด้วยกระสุนยางที่ไหล่ เขาโมโห เขาพูดว่า “มึงยิงกูเหรอ” หลังจากนั้นก็ชักปืนพก 11 มม. ยิงใส่ทหาร ถูกนายสิบคนหนึ่งมีบาดแผลรูกระสุนที่ต้นขาซ้ายและถูกพลทหารอีกคนที่บริเวณขา ผมได้ทำการห้ามเลือดด้วยผ้าแต่งแผลและสายรัดห้ามเลือด (Tourniquet) ต่อไป ผมจำได้ติดตาเลยว่า ตอนนั้นมีระเบิดควันลูกหนึ่งโยนมาตกที่บริเวณแถวทหารหน้าสุด ซึ่งตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็นแก๊สน้ำตาจึงรีบนำผ้าพันคอปิดจมูก และเตรียมถอยกลับออก แต่ตอนนั้นทั้งทหารและผมก็โดนแก๊สน้ำตา 3-4 ครั้งแล้ว จึงรู้โดยทันทีว่านั่นไม่ใช่แก๊สน้ำตาเป็นระเบิดควันเฉยๆ ผมได้ยินเสียงผู้พันสั่งว่า “ไม่ใช่แก๊ส ไม่ต้องถอย ตั้งแนวต่อไป” แถวทหารก็เริ่มตั้งแนวและผลักดันต่อ ผมเองก็ค่อยๆ เดินตามหลังแถวทหารไป หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นบริเวณแถวหน้าทหาร (ห่างจากเท้าของทหารแถวแรกแค่ไม่กี่เมตร) ผมยอมรับตามตรงว่าทั้งชีวิตไม่เคยเห็นระเบิดเอ็ม 79 มาก่อน แต่สิ่งที่เห็นคล้ายกับประทัดยักษ์ระเบิดที่พื้นถนน แต่ปกติประทัดยักษ์ควรจะมีแต่เสียงดังกับควัน แต่สิ่งที่เห็นกลับมีประกายไฟกระจายออกมาด้วย ผมก็คิดอยู่ว่า “ทำไมประทัดมันมีประกายไฟด้วย” จุดที่ระเบิดตกห่างจากผมไปราวๆ 10 เมตร
หลังจากนั้นก็มีอีกลูกหนึ่งตกหลังผมไปทางหน้าแนวทหารที่ 2 ผมได้ยินเสียงผู้การสั่งว่า “มันเล่นของจริง ทุกคนถอย” หลังจากนั้นแถวของเราก็แตกถอยมาด้านหลัง นายสิบพยาบาลของผมคนหนึ่งดึงผมให้หลบออกมาทางฟุตบาท...” “...ผมเห็นทหารหลายๆ คนเจ็บ เห็นทหารที่เป็นลูกน้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ็บ ผมอาจจะโชคดีที่ไม่บาดเจ็บอะไร (แต่ตอนหลังมาคิดก็ยังคิดอยู่เลยว่ารอดมาได้ยังไงเนี่ย ^-^) แต่บาดแผลในจิตใจก็มีอยู่ในหัวใจทหารทุกๆ คน ผมน้ำตาซึมทุกวันที่ไปเยี่ยมลูกน้องที่เจ็บ ผมเห็นผู้การ ผู้พันของผมพยายามกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่เห็นลูกน้องตัวเองเจ็บ เฉพาะหน่วยของผม มีคนเจ็บที่ต้องนอนโรงพยาบาลเกือบ 80 คน บาดเจ็บเล็กน้อยที่ไม่ได้นอนโรงพยาบาลอีก 60 กว่าคน ผมขอเถอะครับ...มีประชาชนบางคนถามผมว่าผมโกรธเสื้อแดงมั้ย ผมแค้นเค้ามั้ย ผมตอบไปว่า แม้ผมจะรู้สึกโกรธ แต่ผมแยกแยะได้ ผมเคยเจอผู้ชุมนุมทั้งที่ราบ 11 ที่ลาดหลุมแก้ว คนส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่จะมาชักปืนยิงใส่หรือโยนระเบิดใส่ เกือบทั้งหมดเป็นคนธรรมดาที่เค้ามาเรียกร้องในสิ่งที่เค้าต้องการ แต่เราอย่าตกเป็นเครื่องมือของคนบางคน (จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบ แต่น่าจะคิดกันได้นะครับ) อย่าให้ใครบางคนใช้ทั้งคนเสื้อแดง ใช้ทหารเป็นเพียงหมากบนกระดาน ให้เราต่างฝ่ายต่างเจ็บต่างล้มตายเพื่อผลประโยชน์ของคนบางคน ประเทศเราจะล่มสลายอยู่แล้วนะครับ เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ประเทศชาติ อย่าให้ใครแค่ไม่กี่คนมาทำลายประเทศไทยของเราเลย...” อ่านมาถึงตรงนี้แล้วมีความรู้สึกว่าทหารจะออกไปฆ่าประชาชนบ้างหรือเปล่าครับ ลองอ่านคำให้การของแพทย์ทหารอีกคนหนึ่งที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้านโรงเรียนสตรีวิทยาตลอดเวลาจนจบเหตุการณ์ เป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทหารถูกรุมตีทั้งๆ ที่มีปืนก็ไม่กล้ายิง ตัวเองก็เจ็บแล้วถูกแย่งเอาปืนไป “...ยอดกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บเฉพาะบริเวณถนนดินสอ สูงถึง 218 นาย ซึ่งมากกว่าอัตราสูญเสียในสงครามเวียดนามหลายเท่า
แต่การสูญเสียที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 ไม่ใช่สูญเสียในสงคราม เป็นการสูญเสียของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่บริการประชาชน ทำหน้าที่ขอคืนสิทธิเสรีภาพในการเดินทางให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย เป็นการสูญเสียเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่คืนความสงบให้แก่ประชาชน และที่สำคัญเป็นการสูญเสียที่เกิดจากการที่คนไทยนำอาวุธสงครามมาห้ำหั่นทำร้ายกัน ความสูญเสียเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หากคนไทยรู้จักสิทธิของตน และเคารพสิทธิของผู้อื่น และความสูญเสียเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคนไทยปฏิบัติตามกฎหมาย” ยังมีเรื่องที่เป็นรายละเอียดอีกมากมายที่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่การสร้างเรื่องขึ้นมาเล่ากันเอาความสนุกสนาน มีหลักฐานพอเพียงที่จะบอกว่าฝ่ายไหน กลุ่มไหนคือฝ่ายที่ฆ่าประชาชน อย่ารุกให้ทหารจนมุมมากกว่านี้เลยครับ ต่อสู้กันไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นดีกว่า นึกถึงตอนน้ำท่วมบ้าง ทหารช่วยทุกคนไม่ว่าสีอะไร ในขณะที่ทุกข์ของประชาชนในขณะนั้นมากกว่าสายน้ำเสียอีก เป็นการช่วยเหลือที่เกินหน้าที่ แต่ทหารทุกคนก็เต็มใจทำ ฝนกำลังมาอีกแล้ว รัฐบาลก็ยังไม่พร้อม ก็สงสัยว่าทำไมต้องเอาทหารไปเป็นแพะด้วยครับ
www.komchadluek.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น