วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ดรายเพอร์ส คอมพลีทแคร์ มุ่งเจาะตลาดผ้าอ้อมเด็ก

นายบรู๊ซ พินท์คอท ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย บริษัท เอสซีเอ ไฮยีน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปในประเทศไทย มีมูลค่า 8,000 ล้านบาท มีแนวโน้มการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักต่อปี ทั้งนี้ เมื่อเทียบตัวเลขการเติบโตของไทยกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเดียวกัน พบว่าอัตราการใช้ผ้าอ้อมของไทยอยู่ที่ 2 ชิ้นต่อวัน เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกันที่ใช้ 3-4 ชิ้นต่อวัน ทำให้เห็นว่าตลาดในประเทศยังมีช่องว่างและมีแนวโน้มการเติบโตได้อีก โดยเฉพาะตลาดรอบนอกพื้นที่กรุงเทพฯ ที่นิยมใช้ผ้าอ้อมแบบผ้า ขณะที่การแข่งขันของตลาดยังคงเน้นหนักในเรื่องการทำโปรโมชั่นราคาสินค้า

ทั้งนี้ บริษัทจะอาศัยความแตกต่างจากคู่แข่งโดยเฉพาะแบรนด์และตัวสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากราคาสินค้าเหมาะสมกับคุณภาพสินค้า โดยอาศัยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งอะโบฟเดอะไลน์ และบีโลว์เดอะไลน์ เพื่อสื่อสารไปยังผู้บริโภคผ่านทางสื่อและการจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมกันนี้จะอาศัยการขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ทั้งโรงพยาบาล และขายตรงมากขึ้น จากปัจจุบันที่จำหน่ายผ่านทางซูเปอร์มาร์เกต โมเดิร์นเทรด คอนวีเนียนสโตร์ เป็นต้น รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด

ล่าสุดได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ “ดรายเพอร์ส คอมพลีทแคร์” ประกอบด้วยผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป ดรายเพอร์ส ซอฟท์ ที่มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ สตูล ล็อก ซิสเต็ม หรือระบบกักเก็บอุจจาระ ที่ออกแบบพิเศษช่วยดูดซับและกักเก็บอุจจาระไม่ให้สัมผัสผิวลูกน้อย จับกลุ่มคุณแม่เด็กระหว่างแรกเกิดจนถึง 3 ปี ทั้งนี้ นับเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการอัพเกรดสินค้าคุณสมบัติของดรายเพอร์ส ดรายแพ้นท์ส ที่มีแอคทีฟ-คอร์ แผ่นซึมซับแกนกลางใหม่ เพื่อซึมซับที่แห้งเร็วกว่าเดิม และป้องกันการไหลย้อนกลับได้ดี รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเด็ก ดรายเพอร์ส สูตรอ่อนโยนสำหรับเด็ก ด้วยสารสกัด โอ๊ต เคอร์เนล เพิ่มความอ่อนละมุนและอ่อนโยนกับผิวและอารมณ์ และเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวด้วยวิตามินบี 5

ส่วนของการเปิดเสรีการค้า หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ที่ผ่านมาบริษัทมีฐานการผลิตที่ประเทศมาเลเซีย โดยได้รับสิทธิ์นำเข้าสินค้าในอัตราภาษี 0% อยู่ก่อนแล้ว ขณะเดียวกันยังมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ทั้งในตลาดมาเลเซียและสิงคโปร์ และประเทศไทยอยู่อันดับ 3 และยังตั้งเป้าขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของตลาดให้ได้ภายในปีนี้



www.banmuang.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม