วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มานพ ปานสาคร ให้การเป็นเท็จ จริงหรึอ

เป็นที่ฮือฮาในวงการฟุตบอลหลังจากที่มีการนำเอาตัวผู้ตัดสิน นายมานพ ปานสาคร ผู้ตัดสินนัดอื้อฉาวที่ “นกใหญ่พิฆาต” ชัยนาท เอฟซี เปิดสนามเขาพลอง สเตเดียม เอาชนะ “มังกรไฟ” บีอีซี เทโรศาสน ไปได้ 2-1 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ไปเข้าเครื่องจับเท็จเป็นครั้งแรก และผลการตัดสินออกมาว่าผู้ตัดสินให้การเป็นเท็จ ซึ่งกรณีนี้หากเป็นผู้ต้องหาที่กระทำผิดและเข้าเครื่อตรวจจับเท็จ และผลออกมาว่าเป็นเท็จ หมายความว่าผู้ต้องหาคนนั้นกระทำผิดจริง แต่กรณีนี้ผู้ตัดสิน นายมานพถูกนำไปเข้าเครื่องจับเท็จ โดยคณะกรรมการฝ่ายป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอล (คปบ.) ซึ่งเชื่อว่าส่อแววไปในทางทุจริต อาจมีการรับสินบนล็อกผลการแข่งขัน ซึ่งการพิจารณามี พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ประธานกรรมการฯ เป็นประธาน, และนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร เป็นคณะกรรมการอีกหลายท่านร่วมพิจารณา

ภาพจากวิดีโอจังหวะปัญหาในการตัดสินของนายมานพ มีอยู่ 3 จังหวะหลักๆ ด้วยกันคือ 1. จังหวะที่ลูกเตะมุมของกรกช วิริยะอุดมศิริ เข้าประตูไปแล้ว แต่บอลเด้งออกมา ผู้ตัดสินปฏิเสธการให้ประตู 2.จังหวะที่สุรเชษฐ์ งามทิพย์ สไลด์เปิดปุ่มเข้าใส่คาเล็ด คารูบี ของบีอีซีฯ ซึ่งผู้ตัดสินให้เพียงใบเหลือง และ 3.จังหวะที่ณภัทร ทับเกตุแก้ว เตะอัดใส่กรกช วิริยะอุดมศิริ ของบีอีซี เทโรศาสน แล้วไม่โดนคาดโทษอะไรเลย ปัญหาเหล่านี้ในวงการฟุตบอลต้องให้คณะกรรมผู้ตัดสินพิจารณา ซึ่งหากมีความผิดก็จะมีโทษหนักเบาว่ากันไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดพิจารณา และตัดสินได้เลยว่านายมานพ ปานสาคร ผิดแน่นอน ผิดในการทำหน้าที่ แต่จะว่าผิดแบบไหน เจตนา หรือไม่เจตนา จังหวะที่ 1 การเตะมุมและลูกเข้าประตูไปแล้ว แต่เด้งออกมาเพราะตาข่ายประตูขาดนั้น

จังหวะนี้เป็นไปได้ที่นายมานพอยู่ในตำแหน่งที่ผิดจึงมองไม่เห็น และจังหวะนั้นถือว่าเร็วมาก เชื่อว่าหากนั่งดูทางหน้าจอโทรทัศน์และไม่มีภาพช้าให้ดูผู้ชมอาจจะมองไม่ทันก็ได้ แต่ผู้ตัดสิน นายมานพ จะปฏิเสธความผิดนี้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าเจตนาหรือไม่เท่านั้น ที่สำคัญ ทำไมไม่มองไปเรื่องของตาข่ายขาดด้วย จังหวะนี้มองอีกมุมหนึ่ง หากตาข่ายไม่ขาดก็คงไม่เกิดเรื่องแน่นอน ขณะที่จังหวะที่ 2 และ 3 ตัวนายมานพผิดเต็มๆ เพราะทั้ง 2 เหตุการณ์ถือว่านักเตะมีการกระทำผิดอย่างรุนแรงโทษคือ "ใบแดง" แต่หากมองภาพรวมในบ้านเรา ฟุตบอลอาชีพที่เราเรียกกันว่าเป็นอาชีพนั้น ทุกคนเป็นอาชีพเต็มตัวหรือยัง ที่สำคัญความปลอดภัยของผู้ตัดสินเวลาลงทำหน้าที่มีมากน้อยแค่ไหน ตัวนายมานพอาจจะกลัวว่าหากให้ใบแดงไปแล้วหลังจบเกมขณะเดินทางกลับบ้านจะไม่ปลอดภัยกับชีวิตของตัวเอง ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาครอบครัวจะเดือดร้อนจึงพยายามจะเอาตัวรอด ซึ่งประเด็นนี้ไม่ควรมองข้าม สำหรับการเข้าเครื่องจับเท็จที่ผ่านมามีการตั้งคำถามแบบตรงๆ ว่า “ท่านรับเงินค่าจ้างให้ทำหน้าที่ตัดสินช่วยเหลือให้ทีมชัยนาท เอฟซี ชนะจริงหรือไม่? ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นายมานพ ปานสาคร ผู้ตัดสินตอบว่า “ไม่จริง” ส่วนนายวราฤทธิ์ สุวรรณจิระ ผช.ผู้ตัดสินที่ 2 ถามด้วยคำถามเดียวกับ และตอบด้วยคำตอบเดียวกัน เบื้องต้นได้พิจารณาว่าอาจจะมีการประพฤติมิชอบ จึงได้เชิญตัวนายมานพ ปานสาคร เข้าเครื่องจับเท็จเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 18 มิ.ย. ถามด้วยคำถามเดียวกัน ผลจากการตรวจจากเครื่องจับเท็จปรากฏว่า นายมานพ ปานสาคร ให้การ “เป็นเท็จ” ส่วนนายวราฤทธิ์ สุวรรณจิระ ผลการตรวจจากเครื่องจับเท็จให้การ “เป็นจริง” ทาง พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ประธาน คปบ. ได้ชี้แจงว่า “โดยส่วนตัวเชื่อมั่นในเครื่องจับเท็จว่าค่อนข้างที่จะไว้ใจได้เกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าเราไม่มีหลักฐานทางด้านการเงินที่จะเอามามัดตัวเขาได้เท่านั้นเอง อีกทั้งกฎหมายล้มบอลเราก็ไม่มีรองรับ แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจถือว่าสิ้นสุดลงไปแล้ว ลำดับต่อมาก็คงจะให้ทางสมาคมฟุตบอลฯ พิจารณาลงโทษทางวินัย”

ด้านนายมานพ ปานสาคร ที่โดนกล่าวหาว่ารับสินบนเป็นคนแรกของวงการผู้ตัดสินฟุตบอล พร้อมจะแสดงความบริสุทธิ์ด้วยการท้าสาบานในความโปร่งใสต่อหน้าวัดพระแก้ว และยังพร้อมให้ความร่วมมือกับ คปบ.หากเรียกสอบ ซึ่งนายมานพกล่าวว่า บทลงโทษที่ออกมาดูจะรุนแรงและหนักเกินไป ซึ่งตนเองไม่มีโอกาสได้ชี้แจงแม้จะยอมรับว่าการทำหน้าที่ของตนเองมีความผิดพลาดก็ตาม ตนยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการล็อกผลการแข่งขันแน่นอน และขอท้าสาบานต่อหน้าวัดพระแก้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทย "ผมทำหน้าที่มาหลายนัด แต่กลับลงโทษแบนผมทั้งฤดูกาลเพียงเพราะความผิดพลาดแค่นัดเดียว ซึ่งผมไม่มีโอกาสได้ชี้แจงเลย โดยเกมดังกล่าวผมยอมรับว่าจังหวะที่บอลเข้าประตูและทะลักออกมาผมมองไม่เห็น แต่ก่อนลงสนามผมได้คุยกับผู้ช่วยผู้ตัดสินที่ 2 แล้วว่า หากเห็นลูกเข้าประตูให้ส่งสัญญาณ แต่หลังจากผมดูผู้ช่วยผู้ตัดสินเขาไม่ได้ส่งสัญญาณ ก็เลยเข้าใจว่าลูกยังไม่เข้าประตู ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการพนัน และพาผมไปสาบานต่อหน้าวัดพระแก้วก็ได้ ส่วนการจะเอาผมไปเข้าสืบสวนกับคณะกรรมการฝ่ายป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอล หรือ คปบ. ผมก็ยินดีให้ความร่วมมือ เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง" "ถามว่าท้อหรือไม่ บอกตามตรงเลยว่ารู้สึกท้อกับบทลงโทษที่ออกมา แต่ยังยืนยันว่าไม่คิดที่จะเลิกทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ซึ่งจะขอยื่นอุทธรณ์และจะขอกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่คณะกรรมการผู้ตัดสินจะพิจารณาต่อไป".

www.thaipost.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม