หลังจากปิดสภาในวันที่ 19 มิ.ย 55เป็นที่สรรุปกันว่า สถานการณ์การเมืองคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากยืดเยื้อกันมานานพอสมควร ทั้งประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ปรองดอง
การยุติเพื่อให้ทุกฝ่ายกลับไปตั้งสติ ไปคิด ไปไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาที่จะทำให้บ้านเมืองสงบ ดีกว่าที่จะดึงดันกันต่อไปด้วยการใช้เสียงข้างมาก หรือพลังนอกสภาที่กดดัน
การที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ได้มีการตัดสินใจที่ไม่ให้มีการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 หรือไม่พิจารณา พ.ร.บ.ปรองดอง แม้มีการมองกันว่าจะมีผลโดยตรงตามมาภายหลัง หมายความว่าจะต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง
แต่ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีเพื่อปลดชนวน
เช่นกันรัฐบาลโดยนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องจัดการการแก้ปัญหาด้วยการตัดสินใจปิดสภาโดยไม่ยอมรับฟังเสียงหรือแรงกดดันจาก ส.ส.เพื่อไทย นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ นั่นแสดง การเป็นผู้นำที่ต้องคำหนึ่งถึงคนส่วนใหย่มากกว่า
การที่รัฐสภาให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐ-ธรรมนูญขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่สามารถเกิดปัญหาในส่วนของผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ก้ต้องขึ้นอยู่กับว่าผลการวินิจฉัยที่จะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาต่อไป
เพราะถ้ามองจากรูปการณ์ต่างๆแล้ว หากดึงดันหรือไม่ยอมรับก็พอจะมองเห็นแล้วว่าจะเกิดอะไร คนที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงคือประธานรัฐสภา นายกฯที่จะต้องนำร่างแก้ไขขึ้นทูลเกล้าฯถวาย นอกจากนั้น บรรดา ส.ส.ที่ลงมติก็หนีไม่พ้น
ดีไม่ดีจะต้องเสี่ยงกับการถูก “ยุบพรรค” ด้วย
เมื่อเห็นผลที่จะตามมาแล้วจึงต้องเล่นบทตีสองหน้า ในด้านหนึ่งก็ทำท่าจะดื้อดึงแข็งขืนเพื่อให้มวลชนเสื้อแดงเห็นว่าได้ทำอย่างถึงที่สุดแล้ว อีกด้านหนึ่งก็ยอมรับเพื่อให้สถานการณ์ต่างๆผ่านพ้นไปได้ ก็มองกันไป
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทยอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อมีความเห็นที่ต่างกันและนับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลจะต้องเป็นผู้บริหารอำนาจภายใต้การนำของนายกฯปู เพราะหากเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ก็ย่อมมีผลโดยตรงต่อรัฐบาลอย่างแยกไม่ออก ต่อให้มีเสียงข้างมาก ต่อให้มีพลังมวลชน มากแค่ไหนก็ตาม
สิ่งเหล่านี้ต้องมีการคุมคุมไม่ให้บานปลาย หรือ ไม่ใช่ปล่อยให้ใครต่อใครมาใหญ่เกินนายกฯไม่ได้ หรือให้ใครต่อใครแอบอ้างอำนาจด้วยการอ้างชื่อคนต่างประเทศมาดำเนินการจนเกิดปัญหา ซึ่งไม่เป็นผลต่อรัฐบาลเอง
หรือแม้กระทั่ง “พี่ชาย” ก็ไม่ควรจะมาสั่งการข้ามหัวโดยไม่ได้มองสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจนเป็นปัญหา โดยแทนที่จะเป็นผลดีแก่ “น้องสาว” กลับทำร้ายตัวเอง
ในวันนี้ชาวบ้านยังต้อประสบพบปัญหาอีกมากมาย และต้องการการแก้ไข ที่บอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นนั้นมันเป็นการคิดในส่วนที่เป็นเรื่องภายใน แต่เมื่อมองผลภายนอกก็เห็นกันอยู่แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น สหรัฐฯเศรษฐกิจก็หาใช่ว่าจะดี ยุโรปนั้นยังลูกผีลูกคนและทำท่าจะขยายไปอีกหลายประเทศ
สถานการณืเช่นนนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง อย่างน้อยวันนี้การส่งออกเจอเข้าไปเต็มๆ
ถ้ารัฐบาลไม่เตรียมการรับมือ ไม่มีแผนการรองรับที่ดี นั่นแหละจะเกิดมรสุมลูกใหญ่ ซึ่งยากที่จะแก้ไขหรือเยียวยาได้ง่ายๆ
ความเป็นตัวของตัวเองด้วยการแสดงภาวะผู้นำ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น