วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ติดตามเมืองไทย หลังคำวินัยฉัย ศุกร์ 13

“ศุกร์ 13 ก.ค.” วันที่หน้าประวัติศาสตร์ต้องจารึก เมื่อศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291

หากวิเคราะห์ดูแล้ว คำวินิจฉัยของ “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” น่าจะมี 3 แนวทาง ทั้งดีที่สุดไปจนถึงเลวร้ายที่สุด เชื่อว่าหลายฝ่ายยังคงมีความวิตกกังวล สำหรับการปลุกระดมมวลชนเพื่อต่อต้าน หากคำวินิจฉัยที่ออกมาไม่เป็นไปตามความต้องการ

อย่างแนวทางแรกคือ “ดีที่สุด” ผลคำวินิจฉัยต้องออกมายกคำร้อง รัฐสภาสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ และลงมติวาระ 3 ได้ทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า คำร้องเป็นการ “จินตนาการ” ถึงการล้มล้างการปกครองฯ มากเกินไป

แนวทางนี้ถือว่าเรียบร้อยโรงเรียน “รัฐบาล” ซึ่งคาดว่า พรรคเพื่อไทยและลิ่วล้อผู้สนับสนุน จะต้องสวนกลับทันที โดยการดำเนินคดีกับผู้ใส่ร้ายป้ายสี ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็น “กบฏ” ซึ่งถือเป็นความร้ายแรงที่สุด ส่งผลให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่การเผชิญหน้าอีกครั้ง และฝ่ายต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแน่

ดังคำพูดของ “พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม” 1 ในผู้ยื่นคำร้อง ที่เชื่อว่าขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการยื่นคำร้องจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการล้มล้างการปกครองฯ ซึ่งเชื่อว่าหากมีการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ จะเกิดการปฏิวัติแน่นอน

ส่วนแนวทาง “สายกลาง” ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าไพ่ต้องออกหน้านี้แน่ คือ วินิจฉัยว่าไม่เป็นการล้มล้างการปกครองด้วยการกระทำยังไม่เกิด แต่ ติดปัญหาที่การแก้ตาม ม.291 กล่าวคือ หากแก้เช่นที่ทำมาก็ย่อมจะยังผลโดยอัตโนมัติให้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันต้องหายไป ศาลรัฐธรรมนูญจึงสั่งห้ามเพียงแค่หยุดการกระทำ และให้กลับไปแก้เป็นรายมาตรา แต่ไม่สั่งยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมือง

แนวทางนี้เชื่อว่าคงเป็นทางออกที่ลงตัวที่สุด ถือเป็นทางสายกลางที่ประนีประนอมให้แก่ทุกฝ่าย เพราะไม่ว่าฝ่าย “เพื่อไทย” เองก็รับได้และเตรียมมาตรการดังว่าไว้รองรับอยู่แล้ว ขณะที่ฝั่งผู้ร้องเองก็ไม่เสียหน้า

ถือเป็นทางกลางๆแบบไทยๆ ที่ซื้อเวลาเอาไว้ และไปต่อสู้หักเหลี่ยมเฉือนคมกันต่อในชั้น แก้ไขรัฐะธรรมนูญรายมาตรา ซึ่งมีระเบิดเวลาอีกหลายลูกรอคอยอยู่

และแนวทางสุดท้าย หากมองแบบ “เลวร้ายที่สุด” หวยคงออกว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ถือเป็นการล้มล้างการปกครองฯ เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 68 การกระทำดังกล่าวต้องหยุดลงทันที ส่งผลถึงขั้นยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมือง

ทว่าเป็นไปตามแนวทางนี้ กลุ่มมวลชนผู้สนับสนุนรัฐบาล อย่างกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ที่คอยเกื้อหนุนกันมาตลอด เพื่อให้ “นายห้างตราดูไบ” กลับสู่บ้านเกิดอย่างสง่างาม คงออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจตุลาการอย่างแน่นอน

ดูได้จากคำพูดของของแกนนำที่ตบเท้าออกมาขู่รายวัน หวังดิสเครดิตล็อบบี้ศาล เพื่อให้คำวินิจฉัยออกมาให้ตรงกับใจของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนเสื้อแดง ที่มีการปราศรัยก่อนหน้านี้ว่า อย่าทำให้คนเสื้อแดงโกรธ!!!

อย่าง “อำมาตย์เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ออกมายืนยันชัดเจนว่า ถ้าคำวินิจฉัยเป็นไปในทางลบแกนนำก็จะมีการหารือกันทันที และจะมีการประกาศมาตรการเคลื่อนไหว เพราะสิ่งที่ทำไม่ได้ทำเพื่อปกป้องรัฐบาล หรือปกป้องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการปกป้องหลักการที่ถูกต้องของระบอบประชาธิปไตย ปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจอธิปไตยของประชาชน เพราะบ้านเมืองนี้จะปล่อยให้อยู่สภาวะไร้รัฐธรรมนูญอย่างที่เป็นอยู่ไม่ได้

เช่นเดียวกับ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ยืนยันหนักแน่นว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการดำเนินการเพื่อล้มล้างการปกครองฯ ขอให้คนเสื้อแดงร่ำลาครอบครัวเอาไว้ได้เลย เพราะจะเป็นการต่อสู้ที่แตกหักอย่างแน่นอน

สอดรับกับคำพูดของ อย่าง “ขวัญชัย ไพรพนา” ที่ย้ำว่า จะไม่ก้มหัวให้กับความอยุติธรรม หากผลไม่เป็นมาในทางลบ แกนนำคนเสื้อแดงจะเข้าแจ้งความกับตำรวจในทุกโรงพัก เพื่อดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด ที่ตัดสินมาตรา 68 โดยไม่ชอบ เพราะนี่คือสิ่งที่เตรียมการเอาไว้

มิพักต้องพูดถึงแดงฮาร์ดคอร์อย่าง “วิทยุชุมชน” ที่นำโดย “ชินวัฒน์ หาบุญพาด” ซึ่งปักหลักรออยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และพร้อมจะเป็นกองกำลังหลักหากคำวินิจฉัยไม่เป็นไปอย่างใจ

ท้ายที่สุดไม่ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะมีผลคำวินิจฉัยในทิศทางใด วิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองคงไม่มีทางจบสิ้น แต่กลับเพิ่มอุณหภูมิมากยิ่งขึ้น เชื่อว่าปัญหานี้จะคลี่คลายได้ไม่ได้อยู่ที่คำวินิจฉัยของตุลาการ แต่อยู่ที่ว่าคนในชาติจะต้องหยั่งถึงว่า “ปรองดอง” มากกว่านี้!!



news.phuketindex.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม