วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อนาคตคลังน้ำมันกลางกรุง ผู้คนเสี่ยง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คนกรุงเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกจากเหตุเพลิงไหม้บริเวณโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ซอยสุขุมวิท 64 โชคดีที่เหตุการณ์ไม่รุนแรงและควบคุมสถานการณ์ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่เรื่องนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างความหวั่นวิตกให้กับคนกรุงเทพฯ ไม่น้อยและคงไม่สามารถไว้วางใจในความปลอดภัยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ตราบใดที่ยังมีสถานที่จัดเก็บเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้บ้าน เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ตามปกติการใช้ชีวิตของผู้คนในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรหนาแน่นกว่า 10 ล้านคนบนพื้นที่ 1,500 ตารางกิโลเมตร การประกอบกิจการที่มีผลต่อสุขภาพของคนที่อยู่อาศัยใกล้เคียงเป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตและความปลอดภัยของผู้คนที่ต้องระมัดระวังมากกว่าในพื้นที่อื่น แม้กิจการขนาดไม่ใหญ่แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัตถุไวไฟอย่างร้านแก๊สหรือปั๊มน้ำมันก็สร้างความกังวลใจให้คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงอยู่แล้ว หากเป็นสถานที่เก็บขนาดใหญ่จุน้ำมันเป็นแสน ๆ ลิตรก็เป็นธรรมดาที่คนในชุมชนหรือพื้นที่ใกล้เคียงจะห่วงกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งจากการดำเนินการตามปกติที่อาจจะมีมลพิษทางน้ำทางอากาศและอันตรายร้ายแรงในกรณีที่อุบัติเหตุไม่คาดคิดขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีกิจการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 9 แห่งเป็นโรงกลั่น 1 แห่งที่เหลือเป็นคลังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เขต 5 เขต คือ 1. เขตพระโขนง 2. เขตคลองเตย 3. เขตยานนาวา 4. เขตราษฎร์บูรณะและ 5. เขตดอนเมือง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ว่า ถือเป็นบทเรียนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในด้านการป้องกันภัย รวมถึงการให้ความสำคัญต่อการเร่งแจ้งเตือนชุมชนที่อยู่บริเวณรอบอย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งครั้งนี้สาเหตุของความล่าช้าอาจจะมาจากการประเมินสถานการณ์ต่ำไปทำให้ชุมชนเกิดความตื่นตระหนก ทั้งนี้หลังจากนี้จะหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพูดคุยความเป็นไปได้ ในการจะย้ายโรงกลั่นน้ำมันหรือคลังแสงอาวุธออกจากพื้นที่ กทม. เนื่องจากขณะนี้พบว่าพื้นที่ที่มีการตั้งโรงงานดังกล่าว มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นมาก หากเกิดเหตุแล้วเกรงว่าผลกระทบจะสร้างความเสียหายอย่างมาก ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ทุกสำนักงานเขตเร่งจัดทำบัญชีรายชื่อชุมชนที่อยู่ใกล้กับโรงกลั่นน้ำมันหรือคลังแสง เพื่อจะได้เข้าช่วยเหลือกรณีที่เกิดเหตุได้ทันที ด้าน ม.ร.ว.เปรมศิริ เกษมสันต์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การประกอบกิจการคลังน้ำมันขนาดใหญ่หรือโรงกลั่นซึ่งถือเป็นกิจการที่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะเป็นภัยอันตรายต่อประชาชนจำนวนมากเนื่องจากจะกินพื้นที่ผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการประเภทนี้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต กิจการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนที่ได้ดำเนินการมาก่อนที่ผังเมืองได้ประกาศใช้ ซึ่งจุดที่ตั้งของคลังเก็บเชื้อเพลิงขนาดใหญ่แต่ละแห่งก็พบว่าจะอยู่โซนของพื้นที่ที่ผังเมืองกำหนดให้เป็นพื้นที่ประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้คงเป็นสิ่งที่หลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้ทบทวนว่าควรจะมีการกำหนดแผนให้มีการย้ายกิจการเหล่านี้ออกจากพื้นที่กรุงเทพฯ ที่กำหนดให้เป็นรูปธรรมหรือไม่ เพราะเมืองที่มีการขยายตัวและมีประชาชนมาอาศัยหนาแน่นมากขึ้นการลงทุนสาธารณูปโภคสาธารณูปการต่าง ๆ ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะเริ่มกำหนดแผนการย้ายกิจการอันตรายนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันกฎหมายจะไม่บังคับย้อนหลังกับการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้ดำเนินการมาก่อน แต่หากทุกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ก็ยังมีช่องทางที่จะดำเนินการได้ตามกฎหมาย ซึ่งตาม พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 27 ว่า ถ้าคณะกรรมการผังเมืองเห็นว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินนั้นต่อไปเป็นการขัดต่อนโยบายของผังเมืองรวมในสาระสำคัญที่เกี่ยวกับสุขลักษณะ ความปลอดภัยของประชาชนและสวัสดิภาพของสังคม คณะกรรมการผังเมืองมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือระงับการใช้ประโยชน์ที่ดินเช่นนั้นต่อไปภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร สำหรับการดูแลความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้คลังน้ำมันขนาดใหญ่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรุงเทพมหานคร จะมีการตรวจสอบโดยกองสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม สำนักอนามัย ซึ่งมีเกณฑ์มาตรฐานการตรวจและต่อใบอนุญาตแบบปีต่อปี เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งมลพิษทางน้ำ ทางเสียงและทางอากาศ ส่วนการป้องกันและเข้าแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น นายยุทธศักดิ์ ร่มฉัตรทอง ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. (สปภ.กทม.) กล่าวว่า กรณีเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในโรงกลั่นหรือคลังน้ำมันนั้น จะต้องประสานกับทางบริษัทเพื่อรับทราบสถานการณ์รวมทั้งความต้องการว่าจะให้สปภ.เข้าไปช่วยเหลือและแก้ไขสถานการณ์จำนวนเท่าไรและพื้นที่จุดใดบ้าง เนื่องจากพื้นที่ภายในโรงกลั่นน้ำมันนั้นเรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัยของเอกชน รวมทั้งมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดนั้นมหาศาลมาก กอปรกับทุกโรงกลั่นน้ำมันนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่มีความชำนาญการณ์โดยเฉพาะอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ของ กทม.จึงมีหน้าที่เข้าช่วยเหลือกรณีที่โรงกลั่นน้ำมันที่เกิดเหตุจะประสานความช่วยเหลือมา ซึ่งการดับเพลิงในกรณีของน้ำมันนี้ส่วนใหญ่จะต้องใช้โฟมที่มีออกซิเจนเพื่อช่วยให้เปลวไฟมอดลงอย่างรวดเร็วแทนน้ำที่ใช้ดับเพลิงกรณีบ้านเรือนหรืออาคารทั่วไป เนื่องจากการเกิดน้ำมันหรือก๊าซรั่วออกมาแล้วเกิดเปลวไฟนั้นอันตรายและลุกลามแพร่กระจายออกนอกพื้นที่ได้รวดเร็วมาก ซึ่ง สปภ.มีโฟมสำรองอยู่เพียงพอต่อกรณีเกิดเหตุไฟไหม้ตามโรงกลั่นน้ำมันต่าง ๆ ได้อยู่แล้ว ไม่รวมกับที่ตามโรงกลั่นน้ำมันทุกแห่งนั้นจะต้องมีการสำรองโฟมของตัวเองด้วย แม้ทุกวันนี้ยังมองไม่เห็นอนาคตที่จะมีการย้ายโรงกลั่นน้ำมันออกจากกรุงเทพฯ เพราะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มูลค่ามหาศาล ลำพังท้องถิ่นคงเกินกำลังจะผลักดันถือเป็นเรื่องระดับชาติที่รัฐบาลต้องเข้ามาดูแล แต่เหตุการณ์ครั้งนี้พอจะจุดประกายให้หน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนต้องเริ่มคิดและควรทำอะไรบ้าง อย่าปล่อยให้เกิดขึ้นและก็ผ่านเลยไป.

www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม