ผู้สื่อข่าว Mthai News รายงานจาก กองการบินกรมการขนส่งทหารบกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีทหารพม่าควบคมตัวคนไทย 49 คนที่เข้าไปบุกรุกพื้นที่ในพม่าว่า
ตนจะหารือกับ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.ต.นพวงศ์ สุรวงศ์ ผบ.กองกำลังเทพสตรีศรีสุนทร เกี่ยวกับเรื่องชายแดนทางด้าน จ.ระนอง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นความเข้าใจผิดของประชาชนที่เข้าไปทำกินในพื้นที่ของพม่า และไม่ถูกต้อง แต่ก็ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยและเจรจา ทั้งนี้การแก้ไขปัญหามีหลายระดับ คือระดับกองกำลังที่ดูแลแนวชายแดนร่วมกับทางส่วนราชการจังหวัดที่จะเข้าไปพูดคุย ต่อจากนั้นก็จะเข้าสู่กลไกของคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่น (ทีบีซี) ระหว่างไทย-พม่า และสุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต่อรัฐบาล
ขณะนี้การพูดคุยอยูในระดับกองกำลังและรับปากว่าจะดูแลคนไทยทั้ง 49 คนเป็นอย่างดี ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้มีการควบคุมตัว จับขัง หรือทำร้ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งยังอยู่ในสภาพที่ปกติ และทุกคนก็อยากกลับบ้าน ซึ่งขอให้เป็นอุทธาหรณ์ว่าการไปทำอะไรก็ตามในประเทศเพื่อนบ้านต้องเคารพกติกา
อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว และก็ได้มีการห้ามปราม รวมถึงการปักป้าย เพราะมีกลุ่มนายทุนไปแอบอ้างว่าได้ลิขสิทธิ์ในที่ดินทำกินฝั่งพม่าและให้ประชาชนเข้าไปเช่าพื้นที่ทำกิน ซึ่งมีอยู่หลายแปลง ส่วนแปลงที่ถูกต้องก็มี แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นแปลงที่ไม่ถูกต้อง
ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่าอยู่ในระดับที่ดี ที่ผ่านมาได้มีการร่วมกันจับอาวุธสงคราม พร้อมทั้งสนับสนุนมให้ประเทศพม่าก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตย รวมถึงความทัดเทียม ซึ่งทางกองทัพบกไทยและกองทัพบกพม่าได้มีความร่วมมือกันจัดชุดแพทย์ของพม่าเพื่อเข้ามาเรียนรู้งาน และเราก็จัดชุดแพทย์อุปกรณ์ไปแนะนำ
ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวันที่13กรกฎาคมนี้นั้นตนก็เคยดูแต่หนัง แต่ถือเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นดุลยพินิจ ประเทศทุกประเทศต้องมีกฎหมาย ต้องมีศาล มีความยุติธรรม ซึ่งในส่วนของตนคงไม่ไปละเมิดและไปคิดแทนศาล เป็นเรื่องของขบวนการยุติธรรม ทหารต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรม ส่วนคนอื่นก็ไปว่ากัน
ซึ่งมวลชนทั้งสองฝ่ายที่มาเผชิญหน้า ก็ต้องดูแลว่าอย่าให้มาทะเลาะกัน เพราะไม่เกิดประโยชน์ คนไทยด้วยกัน ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม ทะเลาะกันไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นหรือไม่ หรือมีอาชีพที่ดีขึ้น จากเกษตรกรได้เป็นนายทุนหรือไม่ ก็ไม่มีใครได้เป็นอะไร ก็อยากให้ไปหาทางกันเอาเองว่าทำอย่างไรไม่ให้เรื่องถึงศาล และไม่ให้ประชาชนมาทะเลาะกัน
ส่วนกรณีที่ทางกัมพูชาฟ้องศาลโลกว่าไทยละเมิดและไม่ดำเนินการตามคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก ว่า ไม่ทราบว่าทำไมทางกัมพูชาทำแบบนี้ ซึ่งอาจจะเกิดความขัดแย้งกันเอง เพราะตามแนวทางปฏิบัติหรือข้อตกลงเดิม เมื่อมีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวออกมา และทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือกัน และลงนามร่วมกันว่าจะแก้ไขปัญหาโดยคณะกรรมการร่วม (JWG)
ซึ่งได้มีการหารือร่วมกันมาสองครั้งแล้วก็จะใช้กลไกนี้ในการนำไปสู่การปฏิบัติตามมาตราการคุ้มครองชั้วคราวของศาลโลก นั้นคือการปรับกองกำลังทหารออก ซึ่งยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้จะต้องมีการเก็บกู้ทุ่นวัตถุระเบิดออกก่อนเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งต้องใช้เวลา ถ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะสู่ขั้นตอนการพูดคุยว่าจะปรับกำลังกันตรงไหนและปรับอย่างไร
เรายังยืนยันตามนี้อยู่ แต่ปรากฎว่าทางกัมพูชามีแนวทางสองทาง คือทางหนึ่งพูดอย่างนี้ แต่อีกทางหนึ่งพูดแบบอื่น ซึ่งเราจะยึดทางที่ถูกต้อง สิ่งที่พูดมาเป็นข่าว แต่ถ้าทางกัมพูชาดำเนินการตามนั้นจริงก็จะต้องมีการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ไม่เช่นนั้นการประชุมร่วมที่ผ่านมาก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลได้พูดคุยกันแล้ว ซึ่งผมไม่อยากให้เหตุการณ์รุกลามบานปลาย ที่ผ่านมาเราพยายามที่จะให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชนที่เดินทางข้ามไปมาระหว่างประเทศ ทางไทยก็ดูตลอดไม่เคยไปกีดกั้น ซึ่งไม่เคยที่จะไม่ให้ความเป็นธรรมกับเขาและทางกัมพูชาควรจะดูแลตรงนี้ด้วย อย่าลืมว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกันมหาศาล ช่องทางมีมาก
หากเราทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องเขตเขาพระวิหารเพียงอย่างเดียว ต่อไปจะอยู่กันไม่ได้ และทั้งสองประเทศก็จะเสียประโยชน์ ทั้งนี้อยากจะขอร้องว่าทำอย่างไรให้สถานการณ์เบาลงและทั้งสองฝ่ายจะได้มาหาทางออกร่วมกันว่าจะอยู่อย่างไรไม่ให้กดดันและไม่มีปัญหา ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างมีข้อผูกมัดที่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นประเทศไทยมีมาตรา 190 ที่จะต้องผ่านสภาฯ
ส่วนทางกัมพูชาเองก็ไม่ได้ผ่านอะไร เพราะฉะนั้นต้องเห็นใจกัน แต่เราก็พร้อมที่จะทำอย่างอื่นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะอยู่อย่างสันติ อย่างไรทางศาลโลกก็คอยดูเราอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องกลไกข้อกฎหมายและสังคมโลก เขากำลังดูอยู่ว่าเราจะทำอย่างไร
หากทั้งสองประเทศหาทางอยู่ร่วมกันได้โดยยอมกันบ้าง โดยไม่เสียอธิปไตย ไม่ผิดกฎหมาย ศาลก็น่าจะเห็นใจ เพราะสิ่งที่เราต้องการคือทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่มาแย่งกันเพียงยอดเขายอดเดียว ทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยกัน ไม่มาต่อสู้กัน
พร้อมกันนี้ทางกัมพูชาจะออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ นำโดยสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรี พ.อ.เตีย บัน รมว.กลาโหม และนายทหารระดับสูงของกัมพูชาว่า จะถอนทหารออกจากพื้นตามมาตราการชั่วคราวของศาลโลก จะเป็นการกดดันไทยหรือไม่นั้น ก็ต้องไปดูว่าเขาถอนจริงๆ หรือไม่ หรือว่าอะไร ซึ่งคิดว่าเป็นการปรับกำลังที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว และของเราเองก็มี ซึ่งก็รอฟังว่าเขาจะแถลงว่าอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าถ้าถอนทหารนั้นไม่ได้ ไม่มีถอน ผมไม่ถอน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องการปรับกำลังตามแผนการป้องกันประเทศ ก็ดำเนินการไป ผมขอย้ำว่า จะไม่มีคำว่าถอนทหาร และถ้าจะถอนหรือจะดำเนินการใดๆ ก็ต้องเป็นไปตามมาตราคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกเท่านั้น ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการประชุม JWG
ซึ่งการถอนทหารและการปรับกำลังเป็นคนละเรื่องกัน การปรับกำลังทหารจะปรับเมื่อไหร่ก็ได้ ว่านำใครมาดูแล บางจุดที่ไม่เครียดเราก็นำกองกำลังกึ่งทหารเข้ามาดูแลบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องของเรา ส่วนเขาก็ทำเรื่องของเขาจะมีการประชาสัมพันธ์ก็เรื่องของเขา เราก็ดู หากว่าเขาทำอย่างที่ว่า ก็เป็นเรื่องดี เราจะได้ไม่กดดัน
สำหรับ สิ่งก่อสร้างของกัมพูชา เช่นการสร้างถนนว่า หากอยู่ฝั่งเขาก็เป็นสิ่งที่สร้างได้ แต่หากสร้างขึ้นมาข้างบนเขาพระวิหารนั้นมันผิด จึงต้องไปฟ้องศาลโลก ทั้งนี้เราไม่อยากให้คำติดสินเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะจะเสียหายกันทั้งคู่ การพูดจากันให้รู้เรื่องก็น่าจะดี.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น