วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผู้ว่าฯเชียงใหม่กำชับดูแลเด็กที่ป่วยจากอาหารเป็นพิษอย่างใกล้ชิด

จากกรณีเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมาได้มีเด็กนักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่ ตั้งอยู่เลขที่ 154 หมู่ที่ 4 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ได้ป่วยเป็นโรคอาหารเป็นพิษเกือบร้อยราย โดยสาเหตุมาจากการทานอาหารในช่วงเย็น ที่โรงเรียนก่อนเข้าหอนอนที่อยู่ภายในโรงเรียน ก่อนจะเกิดการอาการปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย และถูกหามส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลกันอย่างอลหม่าน ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 10 ก.ค. 55 หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายแพทย์วัฒนา กาญจนกามล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยแพทย์จากโรงพยาบาลนครพิงค์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ แพทย์จากสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และแพทย์สาธารณสุขตำบลดอนแก้ว ได้เข้าเยี่ยมดูอาการของเด็กที่ป่วยที่นอนพักรักษาตัวอยู่ภายในซิมเนเซี่ยมของโรงเรียน ซึ่งก็พบว่ามีการนำเตียงพยาบาลมาให้เด็กที่เจ็บป่วยนอนเรียงกันอยู่ภายในโรงยิมเป็นจำนวนมาก โดยมีแพทย์และพยาบาลคอยให้น้ำเกลือและดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งบางคนก็มีพ่อแม่และญาติพี่น้องมาดูแลอาการของลูกหลานที่เจ็บป่วยด้วย

นายแพทย์วัฒนา กาญจนกามล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากการสอบถามข้อมูลของเด็กที่เจ็บป่วยตั้งแต่วันที่เกิดเหตุคือช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ก็ครบ 48 ชั่วโมงแล้ว มีเด็กที่เจ็บป่วยและนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลทั้งสิ้น 125 ราย อาการสาหัส 8 ราย นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 2 ราย และโรงพยาบาลนครพิงค์ 6 ราย นอกจากนี้ก็มีเด็กที่ป่วยและนอนอยู่ภายในโรงยิมเนเซียมของโรงเรียนจำนวน 47 ราย รวมทั้งสิ้นขณะนี้ 172 ราย และมีเด็กที่มีอาการป่วยและทางแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้นั้นจำนวน 290 ราย รวมทั้งหมดจำนวน 462 ราย นอกเหนือจากโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่แล้ว ยังทราบว่าโรงเรียนที่ได้รับบริจาคไข่ต้มไปนั้น มีอีก 3 โรงเรียน คือโรงเรียนสอนคนตาบอด โรงเรียนสอนคนหูหนวก และศูนย์เด็กเล็กเวียงพิงค์ ซึ่งทางสาธารณสุขเชียงใหม่ก็ส่งทีมเคลื่อนที่เร็วลงไปตรวจสอบแล้ว และทราบว่าเด็กที่โรงเรียนสอนคนตาบอด ก็มีอาการป่วยประมาณ 6 ราย นอนพักรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 1 ราย ซึ่งสาเหตุทั้งหมดจากการทานอาหาร โดยช่วงเย็นของวันที่ 8 ก.ค. เด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนจำนวน 930 คนได้ทานอาหารที่โรงเรียน ทั้งแกงเผ็ดและไข่ต้มที่มีผู้นำบริจาค จากนั้นช่วงเวลา 23.00 น.ก็เริ่มมีอาการปวดท้อง พอมาถึงช่วงเช้าก็มีจำนวนเด็กที่ป่วยมากขึ้นและมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงมากขึ้น จึงได้ให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยช่วงแรกนั้นทางแพทย์ได้ให้ยาปฏิชีวะในการรักษา แต่ต่อมาเมื่อครบ 48 ชั่วโมงก็พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น และจากครั้งแรกที่ป่วยเป็นโรคอาหารเป็นพิษ แต่กลับกลายเป็นเชื้อไวรัสได้แพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ป่วยมากขึ้น โดยเป็นเชื้อ "ซาโมเดล่า" หรือโรคบิดอย่างรุนแรง ซึ่งเชื้อนี้มีความรุนแรงมากหากเกิดกับเด็กเล็กและผู้สูงอายุก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้ แต่โชคดีเด็กที่เจ็บป่วยครั้งนี้เป็นเด็กอายุระหว่าง 13 - 17 ปี จึงมีความแข็งแรงของร่างกายสูง ซึ่งตอนนี้ก็ได้ให้ยาปฏิชีวะขนาดแรง พร้อมกับเติมน้ำเกลือให้กับเด็กที่ป่วยด้วย เพื่อไม่ให้ขาดน้ำ แต่โดยภาพรวมขณะนี้อาการของเด็กก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ

นายแพทย์วัฒนา กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับเรื่องของอาหารที่เด็กรับประทานไปนั้น ขณะนี้ก็ได้นำตัวอย่างอาหารส่งไปตรวจแล้ว โดยอย่างเร็วที่สุดน่าจะทราบผลได้ในเย็นนี้ หากช้าที่สุดก็จะเป็นช่วงเย็นวันที่ 11 ก.ค. นี้ ส่วนที่ว่าจะเป็นแกงเผ็ดที่โรงเรียนทำขึ้น หรือเป็นเรื่องของไข่ที่นำบริจาคนั้นยังไม่สามารถบอกได้ แต่จะไประบุว่าเป็นไข่ที่มีการนำมาบริจาคเลยทีเดียวก็จะเป็นการไม่สมควร เพราะผู้บริจาคมีวัตถุประสงค์ที่ดี ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีอะไร และทราบว่าไข่ที่นำมาบริจาคนั้น เป็นไข่ที่ได้มีการเป็นหมื่นฟอง เริ่มต้มตั้งแต่ช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. จนถึงเช้าวันเสาร์ที่ 7 ก.ค. จากนั้นก็ได้นำไปไหว้เจ้า ก่อนจะนำมาบริจาคให้เด็กทานในวันที่ 8 ก.ค. ซึ่งก็ได้พูดคุยกับผู้ที่นำมาบริจาคแล้ว และเขาก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ สำหรับไข่นั้นทางวิทยาศาสตร์ก็ถือว่าเป็นแหล่งเพาะเชื้ออยู่แล้ว เพราะการจะเพาะเชื้อแบคทีเรีย ก็จะนำไปฝังไว้ในไข่ เพราะไข่จะเป็นแหล่งอาหารและทำให้เชื้อเจริญเติบโตได้เร็วที่สุด ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ได้กล่าวโทษอะไรกับใคร และไม่ได้เป็นความตั้งใจที่จะให้เกิดขึ้น ซึ่งทางสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่และทีมแพทย์ก็ได้เข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ด้านหม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ทางจังหวัดเชียงใหม่และทางทุกภาคส่วนก็มีความห่วงใยในลูกหลานเยาวชนเป็นอย่างมากในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งก็ทราบว่า เป็นเชื้อแบคทีเรีย "ซาโมเดล่า" ซึ่งก็ถือว่ารุนแรง และทราบว่าอาหารที่มีผู้นำมาบริจาคนั้นก็เป็นไข่ และมีการปรุงมาหลายวันก่อนนำมาบริจาค ซึ่งอาจจะมาจากสภาพอากาศ รวมถึงจำนวนไข่ที่มากด้วย ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณในความหวังดีกับผู้บริจาคด้วย แต่อยากจะให้เพิ่มความเข้มงวดในการบริจาคมากขึ้น และทราบว่าได้มีการนำไปบริจาคอีกหลายโรงเรียน ซึ่งตอนนี้ทางสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ก็ส่งทีมไปตรวจสอบแล้ว เพื่อสกัดไม่ให้เกิดการลุกลามในโรงเรียนอื่น แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าทางโรงเรียนควรจะเข้มงวดในการรับการบริจาค รวมถึงการปรุงอาหารให้ทุกสุขลักษณะก่อนจะให้เด็กนักเรียนภายในโรงเรียนรับประทาน รวมถึงร้านอาหารที่อยู่รอบๆ โรงเรียน ร้านอาหารจานเดียว และร้านอาหารที่อยู่ภายในโรงอาหารของสถานศึกษา ควรมีการปรุงให้สุขใหม่ๆ และมีโภชนาการที่ดี เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก และทางด้านผู้บริจาคก็เช่นกัน ก็อยากจะฝากให้ท่านช่วยตรวจสอบอาหารที่จะนำมาบริจาคด้วย ซึ่งรู้ว่าทุกท่านมีความประสงค์ดีไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรเช่นนี้ แต่ก็เพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ที่รับบริจาค ผู้ที่บริโภค รวมถึงตัวท่านที่เป็นผู้บริจาคเองแล้ว ว่าเมื่อทานไปจะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ต้องตามมาแก้กันแบบนี้ และก็อยากให้เป็นนโยบายของทางจังหวัดเชียงใหม่ไปเลย ว่าให้โรงเรียนต่างๆ ทั้ง 25 อำเภอ ไม่ว่าจะประถมศึกษา มัธยมศึกษา และสถาบันการศึกษาทั้งหมด ควรตรวจสอบและเข้มงวดด้านโภชนาการด้วย

นายอดิสรณ์ พวงทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่ กล่าวว่าขณะนี้ต้องดูแลอาการเด็ก ๆ อย่างใกล้ชิด โรงเรียนได้ประกาศหยุดเรียน 1 วันเพื่อให้เด็กที่ป่วยรักษาอาการนอกจากนี้ยังได้มีการสั่งให้ทำความสะอาดเรือนนอน ห้องน้ำ และพื้นที่ส่วนรวม สำหรับความคืบหน้านั้นยังต้องรอผลการตรวจอาหารที่แพทย์เก็บตัวอย่างไปว่าสาเหตุมาจากไหน โดยยืนยันว่าโรงครัวของโรงเรียนประกอบอาหารที่ถูกสุขอนามัยปรุงสุกสะอาด ทั้งนี้มีรายงานว่ายังมีการนำไข่ต้มแก้บนชุดดังกล่าวมีนับหมื่นฝอง กระจายไปแจกจ่ายให้กับอีกหลายโรงเรียนทั้งโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ บ้านเด็กอ่อนเวียงพิงค์ และบ้านเด็กชายเชียงใหม่ แต่โชคดีที่พบเด็กป่วยที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ก่อนจึงได้แจ้งไปตามโรงเรียนต่างๆ ให้งดนำไข่ดังกล่าวไปบริโภค



www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม