ตลาดหุ้นไทยเด้งรับคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ ปิดตลาดบวก 17.16 จุด ขณะที่เอกชนหวังเสถียรภาพทางการเมือง ระบุ เป็นตัวชี้วัดการลงทุน ด้านสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ หวั่นความวุ่นวายการเมืองไม่ยุติลงง่ายๆ ขณะที่สมาคมแบงก์ไทยวอนทุกฝ่ายเคารพคำตัดสิน มองผลประโยชน์ชาติร่วมกัน เลิกคิดเอาชนะ-แพ้
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา “15 ปี วิกฤติ 2540 ประเทศไทยอยู่ตรงไหน” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังติดกับดัก 3 เรื่อง คือ 1.กับดักนโยบายประชานิยม ที่มาคู่กับระบบอุปถัมภ์ ซึ่งนโยบายประชานิยมเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นตามข้อเรียกร้องของชุมนุม แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่อันดับความสามารถทางการแข่งขันของไทยในต่างประเทศ ลดลงต่อเนื่อง 3 ปี ซึ่งหากคนไทยและรัฐบาลยังติดกับดักประชานิยมต่อเนื่อง อาจจะทำให้ประเทศขาดวินัยทางการคลัง เนื่องจากรัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อมาใช้ในโครงการประชานิยม และขาดงบประมาณในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสามารถของประเทศ
2.การที่ประเทศไทยผูกติดกับประชานิยม ทำให้ประเทศไทยไม่หลุดออกจากกับดักการเป็นประเทศรายได้ชั้นกลาง ในขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 เหมือนกับไทย มีรายได้ประชาชาติสูงกว่าไทยมาก ส่วนกับดักสุดท้าย คือ ปัญหาคอรัปชั่น ที่มีความรุนแรงมากขึ้น และเป็นปัญหาบั่นทอนการพัฒนาของประเทศ ซึ่งหากประเทศไทยยังติด 3 กับดัก จะทำให้เศรษฐกิจไทยขาดภูมิคุ้มกัน และประเทศไทยจะถอยหลังแย่กว่าบางประเทศ
ด้านนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เสถียรภาพทางการเมืองเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในแง่ของการลงทุน ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนต้องการมากที่สุด คือ ความแน่นอน เพราะความไม่มีเสถียรภาพ การเปลี่ยนนโยบายบ่อยๆ ทำให้เกิดความไม่แน่นอน กระทบต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งหากปัญหาการเมืองสร้างความขัดแย้ง แม้ไม่เกิดปัญหารุนแรงจนเกิดจลาจล ก็อาจทำให้การลงทุนหยุดชะงักได้ แต่หากปัญหาการเมืองรุนแรงจนถึงขั้นจลาจล จะมีผลกระทบมากขึ้น โดยเฉพาะต่อภาคการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนรายได้ถึง 15% ของรายได้ประชาชาติ และจะมีผลกระทบเป็นลูกโซ่มาถึงภาคการผลิตและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย (13 ก.ค.) ดัชนีปรับตัวในแดนบวกต่อเนื่อง ขานรับผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำสุดที่ 1,194.48 จุด และปรับตัวสูงสุดที่ 1,212.66 จุด ก่อนปิดตลาดที่ 1,210.29 จุด บวก 17.16 จุด หรือ 1.44%
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมากลาง โดยระบุว่า การแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยไม่ทำประชามติไม่ได้ แต่การแก้ของรัฐบาลก็ยังไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองนาย
นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ว่า เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามมาตรา 68 หรือไม่ และมีการแถลงผลวินิจฉัยวันนี้ (13 ก.ค.) ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเพิ่มเติมเข้ามาจากที่เพิ่งผ่านพ้นปัญหาน้ำท่วมและอยู่ระหว่างเผชิญปัญหาวิกฤติหนี้สหภาพยุโรปอยู่
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองที่เพิ่มเติมเข้ามา ทำให้นักธุรกิจกังวลต่อปัญหาที่จะตามมามากขึ้น เพราะกลุ่มต่างๆ มีการเรียกร้องโดยไม่เห็นผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ต้องการเพียงผลประโยชน์ตัวเองเท่านั้น ซึ่งในสายตานักลงทุนต่างประเทศที่อยู่ห่างจากสถานการณ์ในประเทศไทยจะมองมุมที่แตกต่างออกไป โดยจะพิจารณาจากประสบการณ์ที่มีกับประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และในที่สุดก็ทำให้นักธุรกิจที่จะเข้ามาเจรจาธุรกิจในประเทศไทย เช่น นักธุรกิจญี่ปุ่นชะลอการเดินทางเข้ามาโดยเลือกที่จะรอเพื่อให้มีความชัดเจนก่อน
ขณะที่นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เป็นห่วงเหตุการณ์วันนี้ว่าคนไทยจะไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาล และสร้างแรงกดดันขึ้นมา ขณะนี้ถึงเวลาที่คนไทยต้องมองประโยชน์ของประเทศร่วมกัน
“การเอาแพ้เอาชนะในที่สุดไม่มีใครได้ หรือเศรษฐกิจไทยควรไปไกลมากกว่านี้”
เลขาธิการสมาคมธนาคารไทยกล่าวอีกว่า ไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยอย่างไรก็ยอมรับได้ และทุกคนควรฟังคำพิพากษาศาล แม้เหตุผลจะออกมาได้หลายทาง เพราะเหตุผลของศาลละเอียดมากคงต้องติดตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น