วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทำนายความฝัน

ผู้รู้สนใจเรื่องความฝันมานาน ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย รวบรวมตำราเกี่ยวกับความฝันไว้ 474 เล่ม ทางพุทธศาสนาก็มีอยู่หลายคัมภีร์ สรุปมูลเหตุความฝันไว้ 4 ประการ ธาตุโขภ เกิดจากความกำเริบแห่งธาตุ 4 อนุภูติบุพพะ เกิดจากอารมณ์ซึ่งเคยเสวยมาแล้วในกาลก่อน เทวโตปสังหรณ์ เกิดจากเทวดาให้สังหรณ์และบุพพนิมิต เกิดจากลางที่บอกเหตุขึ้นก่อน เป็นส่วนดีส่วนชั่วประจักษ์ ประภาพิทยาการ เขียนไว้ในหนังสือ โลกของภาษาและวรรณคดี (โอเดียนสโตร์ จัดพิมพ์ พ.ศ.2522) ในหัวข้อ ทำไมคนเราจึงฝัน ว่า คติของลัทธิโยคะ เมื่อคนเราหลับเจตภูตจะออกท่องเที่ยว เจตภูตพบอะไรก็ทำให้ฝันไปมีเรื่องเล่า ชายสองคนเดินทางไปหยุดพักใต้ต้นไม้ คนหนึ่งหลับ อีกคนไม่หลับ เห็นแมลงออกจากจมูกเพื่อน แล้วคลานออกไป จึงตามไปดู ไม่นานแมลงตัวนั้นก็ตกลงไปในรอยเท้าโคที่มีน้ำขัง ตะเกียกตะกายปีนขึ้น ชายคนนั้นจึงเด็ดต้นหญ้าพาดเป็นสะพาน แมลงตัวน้อยก็ไต่ขึ้นไปได้ แล้วก็คลานกลับเข้าทางเดิม คือรูจมูกเพื่อนเมื่อเขาตื่นขึ้นก็เล่าให้ฟัง ตกน้ำเกือบตาย ดีที่มีชายคนหนึ่งเอาไม้หย่อนลงไปช่วยไว้ได้ทัน ชายคนไม่หลับจึงเชื่อว่า แมลงตัวนั้นคือเจตภูตความเชื่อคล้ายกัน พม่าเชื่อว่า คนเรามี “เลบยยา” เมื่อหลับ “เลบยยา” ก็จะออกไปเที่ยว และหากเลบยยากลับเข้าร่างไม่ได้ คนผู้นั้นก็จะตายเรื่องของความฝัน หลายคนฝันแล้วก็ลืม แต่บางคนเจอเหตุการณ์คล้ายความฝัน ก็เชื่อว่า “ฝันเป็นจริง” ที่บันทึกกันไว้และเล่าขานกันต่อๆมา ก็คือเรื่องประธานาธิบดีลินคอล์น ฝันว่าเดินไปในห้องต่างๆ ของทำเนียบขาว ได้ยินเสียงคร่ำครวญโศกเศร้า ขณะที่ เดินไปเห็นหีบศพมีทหารยืนเฝ้า ถามว่า “ศพใคร” ทหารรายงานว่า ศพท่านประธานาธิบดีลินคอล์นเล่าเรื่องนี้ให้คนในครอบครัวฟังอีกสองวันต่อมา เขาก็ถูกยิงตาย และศพก็ตั้งไว้ในทำเนียบขาวนั่นเองฝันที่ถูกบันทึกว่าเป็นจริง ในวงการศิลปะไทย ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าทรงพระสุบินว่า เสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นดวงจันทร์ลอยเฉพาะพระพักตร์ และทันใดนั้นก็ทรงสดับเสียงดนตรีทิพย์อันไพเราะ เมื่อดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยเลือนหาย ทิพยดนตรีก็ค่อยๆขาดสำเนียงตามพลันก็เสด็จตื่น แต่เสียงดนตรีทิพย์ยังกังวานอยู่ในพระโสต จึงโปรดให้พนักงานดนตรีมาต่อเพลงนั้นไว้ พระราชทานชื่อว่า” เพลงบุหลันลอยเลื่อน” นักดนตรีที่จำสืบต่อมาถึงวันนี้ เรียกว่า เพลงทรงพระสุบินข้อเขียนเรื่องความฝัน เขียนกันมากมายหลายสำนวน หลวงวิจิตรวาทการเขียนไว้สำนวนหนึ่งว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกต้องมาจากเหตุ และเหตุนั้นย่อมจะเกิดขึ้นแล้วนานๆ ก่อนจะผลิดอกออกผล สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกย่อมเป็นผลของเหตุอันหนึ่งทั้งนั้นแต่บางครั้งเราหาสาเหตุไม่ได้ชัด มองเห็นแต่ผล เช่น พอเราก้าวออกจากนอกประตูบ้าน ก็ถูกรถทับขาหัก เราเรียกว่าเคราะห์ร้าย หรืออยู่ดีๆ มีคนช่วยเหลืออย่างเกินคาด เราเรียกว่าเคราะห์ดี ความคิด แนวนี้ พระพุทธศาสนาปฏิเสธ พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักอริยสัจ ไม่ยอมให้ผลใดๆเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ย่อมมีเหตุอยู่ทั้งสิ้นเหตุอันนี้ ถูกเรียกอีกชื่อว่า “กรรม”กรรมมีในทางดีและทางร้าย กรรมบางทีก็ให้ผลทันที บางทีก็ต้องรอไปนาน จึงจะให้ผลเหมือนกัน ทั้งกรรมดีกรรมชั่วที่ยังไม่เกิดผล ก็คงจะล่องลอยไปอยู่ที่ไหนแห่งหนึ่ง จนกว่าจะลอยมาถึงตัวผู้ที่จะต้องรับเมื่อกรรมลอยเข้ามาใกล้ เงาของกรรมย่อมจะมีอยู่ และเงานี้ อาจจะมาปรากฏเป็นความฝันการที่เงาของกรรมเลื่อนลอยไป คงเป็นเหมือนคลื่นวิทยุ ซึ่งถ้าไปถูกเครื่องรับเข้าที่ไหน ก็เข้าไปปรากฏที่นั่นกรรมอันนี้ อาจไปปรากฏเป็นความฝันขึ้นแก่คนที่ไม่ใช่เจ้าของกรรมก็ได้ ความฝันของคนคนหนึ่งอาจบอกเหตุการณ์ที่จะมาถึงแก่อีกคนหนึ่ง ไม่ใช่แก่ตัวเองก็ได้เช่นกันแม้คัมภีร์พุทธศาสนาจะมีเรื่องพุทธพยากรณ์ สุบินของพระเจ้าปเสนทิแห่งแคว้นโกศล แต่หลวงวิจิตวาทการก็บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ถือเรื่องความฝันจริงจังนัก ในพระวินัย มีพุทธบัญญัติ กล่าวถึงความฝันว่า เจตนาใดๆ การกระทำใดๆ ของคนเราในความฝัน จัดเป็นโมฆะทั้งสิ้นเช่น ภิกษุฝันว่าเสพเมถุน หรือฝันว่าอสุจิเคลื่อน ถือว่าไม่จงใจ จึงไม่เป็นอาบัติ.

www.thairath.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม