วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตร. จริงใจ ตรวจหนักนักท่องเที่ยว เน้นภาพลักษณ์กลับคืนมา

เป็นเรื่องที่กระทบต่อภาพลักษณ์อย่างใหญ่หลวง คดีคนร้ายก่อเหตุชิงทรัพย์และแทง น.ส.สมิธ มิเชล อลิซซาเบท อายุ 59 ปี เจ้าของบริษัทนำเที่ยวใหญ่ของเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ที่สำรวจแหล่งท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต  จ.พังงา และ จ.กระบี่ จนเสียชีวิตมีผลต่อความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้าประสาน พล.ต.ท.สันติ เพ็ญสูตร ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ผบก.ทท. ชุดสืบสวนภาค 8 สืบสวน จ.ภูเก็ต ตำรวจท่องเที่ยว และกองปราบปราม ร่วมกันคลี่คลายทันควันจากเบาะแสและภาพวงจรปิดเป็นข้อมูลจับกุม นายสุรศักดิ์ หรือบอย สุวรรณโชติ ไอ้โหดมือมีดได้ที่สวนยางใกล้กับชายแดนไทย-พม่า อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร และ นายสุรินทร์ ทัศทอง คนขี่ จยย.ได้ที่บ้าน อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาครพล.ต.อ.เพรียวพันธ์  พล.ต.อ.ปานศิริ  พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่ารอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา ผบช.ปส. ได้ลงพื้นที่เพื่อหาวิธีวางระบบป้องกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวไม่ได้หยุดแค่การสืบสวนจับกุมคนร้ายที่เป็นเรื่องปลายเหตุเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวมีผลโดยตรงต่อธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้มองเห็นภาพรวมของปัญหาที่ต้องหาความร่วมมือผู้ประกอบการติดตั้งกล้องวงจรปิด ปรับตำรวจป้องกันความปลอดภัยชีวิตทรัพย์สิน จัดการผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองบางคนที่เข้ามาฉกฉวยหาประโยชน์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวไทยสวนนโยบาย น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ที่ประกาศผลักดันรายได้การท่องเที่ยวไทยให้เขยิบขึ้นเป็น 2 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปีเป็นเรื่องที่ไม่ได้ไกลเกินฝัน...แต่เป็นไปได้ยาก หากไม่คิดจัดระเบียบการท่องเที่ยวของประเทศทุกส่วนราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องลงมารับผิดชอบในสิ่งที่เป็นปัญหากระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจที่เอารัดเอาเปรียบ ขูดรีด ข่มขู่ รีดไถ่นักท่องเที่ยว งบประมาณมหาศาลของทุกรัฐบาลละลายไปแต่ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไม่มีคิดหาทางเยียวยาแก้ไขปัญหาที่เป็นรากเหง้าของความเสียหายของการท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มแท็กซี่ป้ายดำ เรียกค่าบริการแพงเกินจริง ที่มีอิทธิพลการเมืองพัวพันผลประโยชน์  ผู้ประกอบการเจ็ตสกี เรียกค่าเสียหายแพงเกินจริง การหลอกลวงซื้ออัญมณีราคาแพง การลักทรัพย์บนรถประจำทาง หรือ “ทัวร์ 30” ทัวร์เถื่อนการประกอบกิจการขนส่งทั้งรถและเรือไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ทำให้นักท่องเที่ยวเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากความที่ไร้ระเบียบของแหล่งท่องเที่ยวผู้ประกอบการคิดแค่ผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้มองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตพื้นที่ท่องเที่ยวเต็มไปด้วยอิทธิพล การเมืองท้องถิ่น เข้ามาเกี่ยวข้องธุรกิจการท่องเที่ยว ไม่มีใครคิดจัดระเบียบไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของตำรวจ แต่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เป็นคดีขึ้นมาย่อมไม่พ้นตำรวจคลี่คลายสถานการณ์ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พล.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้ามาร่วมกันจัดระเบียบเมืองท่องเที่ยวแล้วโดยยึดถือนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องบูรณาการทุกภาคส่วน ประชาสัมพันธ์ หาความร่วมมือของผู้ประกอบการ ชุมชน และประชาชน ในพื้นที่เพื่อคำนึงผลประโยชน์รายได้จากแหล่งท่องเที่ยวขณะนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยกับภัยที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวทุกประเภทหากจะทำให้การแก้ไขภาพรวมของการท่องเที่ยวอย่างมีระบบ น่าจะคิดหานายตำรวจที่มีประสบการณ์ในเรื่องการป้องกันปราบปราม มีแนวคิดในเรื่องชุมชนเข้ามาควบคุมดูแลใกล้ชิดไม่น่าจะเป็นปัญหาหากเสนอเปิดตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. หรือผู้ช่วย ผบ.ตร. เพื่อเสนอเลือกคนที่มีคุณสมบัติ ความเหมาะสมเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์โดยเฉพาะคนที่ให้ความสำคัญในเรื่องความร่วมมือของประชาชน และเข้าถึงในเรื่องชุมชนจากวิกฤติเหตุการณ์ เป็นเรื่องของคนทั้งเกาะภูเก็ตหวั่นวิตกในเรื่องการท่องเที่ยว ทุกคนตื่นตัวคิดหาทุกมาตรการเพื่อป้องกันเหตุที่จะเกิดกับนักท่องเที่ยว ที่เป็นรายได้หลักเมืองภูเก็ตพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ได้ใช้วิกฤติเป็นโอกาสประสานขอความร่วมมือจัดระเบียบ วางระบบที่ทันสมัยโดยเฉพาะในเรื่องทฤษฎี “ตำรวจผู้รับใช้ชุมชน” ที่น่าจะเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหายั่งยืนเพราะลำพังกำลังตำรวจเข้าไปทำให้ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวดีขึ้นไม่ได้ เพราะปัจจัยที่บั่นทอนความมั่นใจของนักท่องเที่ยวเป็นทั้งเรื่องกฎหมาย พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องการประกอบธุรกิจที่เป็นปัญหาต่อการท่องเที่ยว ซึ่ง พล.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ผบก.ทท. ได้เสนอต่อรัฐบาลเป็นเสมือนมะเร็งร้ายทำลายธุรกิจการท่องเที่ยวไทยจำเป็นต้องได้ความจริงจังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดระเบียบการท่องเที่ยว  ผู้ประกอบการ  ที่เป็นปัญหาต่อความมั่นใจของชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยช่วยกันสานต่อนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้เป็นจริงก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนเส้นทางใช้บริการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงบ้านเราพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ย้ำว่า “ได้สั่งกองการต่างประเทศประสานทุกสถานทูตทุกแห่งที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยภายใน 7 วันว่ามีเหตุกับนักท่องเที่ยวขณะที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเน้นเมืองท่องเที่ยว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงในเรื่องที่เป็นความเดือดร้อนของนักท่องเที่ยว สถานทูตทราบดีว่า มีเหตุอะไรเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ จะทำให้เป็นระบบและประสานตำรวจท้องที่และตำรวจท่องเที่ยวดำเนินการ หากมีหลักฐานที่ได้จากสถานทูตไม่ทำไม่ได้ ทุกคดีไม่ว่าคดีเล็กคดีน้อยที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว ต้องถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะมีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ”“ขอให้คดีฆ่านักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเป็นอุทาหรณ์ในการทำงานที่ปล่อยให้ผู้ต้องหาที่มีประวัติก่อเหตุลักทรัพย์นักท่องเที่ยวในพื้นที่ภูเก็ต 4 ครั้ง แต่ลอยนวลจนมาทำความเสียหายต่อเมืองภูเก็ต คงจะต้องมีการทำอะไรเพื่อให้เกิดปัญหาที่กระทบนักท่องเที่ยวน้อยที่สุด จะเสริมกำลังตำรวจในเมืองท่องเที่ยว และหาความร่วมมือจากชุมชนวางระบบป้องกันแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นพื้นที่เสี่ยงจุดเปราะบาง”“ได้สั่งให้ตำรวจที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวจัดทำประวัติผู้ที่เกี่ยวข้องธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบหากมีเหตุเกิดขึ้น กวาดล้างกลุ่มคนที่มีประวัติ กลุ่มมิจฉาชีพหากินกับนักท่องเที่ยว กดดันไม่ให้คิดก่อเหตุ เป็นหน้าที่หลักของตำรวจความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนในสิ่งที่เป็นปัญหากระทบต่อการท่องเที่ยว ไม่ได้อยู่ในอำนาจตำรวจ ทั้งเรื่องใบอนุญาต หรือ พ.ร.บ. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาและจัดระเบียบธุรกิจที่กระทบต่อนักท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เอาเปรียบ ข่มขู่ รีดไถนักท่องเที่ยว จะต้องหามาตรการเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจที่จะเดินทางเที่ยวในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทุกแห่งในประเทศไทย คิดว่าหากทำกันจริงจัง จะทำให้ปัญหาลดลง”เป็นนโยบายสำคัญของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่จะปัดฝุ่นเมืองท่องเที่ยวใหญ่ทุกแห่งเพื่อเรียกฟื้นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สานต่อนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ไม่อยากเห็นภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวของไทยเสียหายยับเยินมากไปกว่านี้.

www.thairath.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม