วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตั้งรางวัลนำจับ คนร้ายฆ่าสาวฝรั้ง 3 แสน

ตั้งค่าหัว 3 แสน 2 คนร้ายฆ่าแหม่มออสเตรเลีย “ปานศิริ” ระดมทุกหน่วยปูพรมล่าคนร้าย ตรวจสอบ จยย.ต้องสงสัยทั่วภูเก็ต เร่งสเกตซ์ภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิดและพยานที่เห็นเหตุการณ์ก่อนออกหมายจับ ขู่คนร้ายให้รีบเข้ามอบตัว หากคิดหนีและต่อสู้อาจถูกวิสามัญ ล่าสุดตำรวจพุ่งเป้าไปที่ “แก๊งสปาต้า” หลังพบประวัติชั่วโชกโชน ใช้ จยย.ก่อเหตุชิงทรัพย์ทำร้ายนักท่องเที่ยวบ่อยครั้ง ด้าน ส.ส.ภูเก็ต ซัดรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว ขอกำลังพลและเสนอตั้งโรงพักเพิ่มอีก 2 แห่งก็ไม่ให้ ทั้งๆ ที่รัฐบาลชุดที่แล้วอนุมัติแล้ว

 

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 มิ.ย.55 พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. (ปป.1) แถลงข่าวความคืบหน้า กรณีเหตุ 2 คนร้าย ก่อเหตุใช้รถ จยย.ฆ่าชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่บริเวณหาดกะตะน้อย ต.กะตะ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล และมอบนโยบายการทำงานในพื้นที่ภาค 8 และภาค 9 รวมถึงการติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าวว่ามีความคืบหน้าไปมาก โดยมีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่คนร้ายลงมือก่อเหตุ สามารถให้ตำหนิรูปพรรณคนร้ายได้ ประกอบกับฝ่ายสืบสวนของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ได้ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งหมด 6 จุด สามารถบันทึกภาพคนร้ายได้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ ได้สั่งการผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตกับพนักงานสอบสวนที่ตั้งขึ้น ไปทำการสเกตซ์ภาพคนร้าย ประกอบกับคำให้การของพยานและภาพที่ได้จากล้องวงจรปิดทั้งหมด เพื่อขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในวันที่ 23 มิ.ย.นี้

ขณะนี้ตำรวจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตำรวจภูธรภาค 8 และตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งในส่วนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจกองปราบปราม ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจทางหลวง และตำรวจน้ำ ร่วมกันสืบสวนคดีนี้เพื่อจับกุมคนร้ายในคดีนี้ให้ได้

รอง ผบ.ตร.ระบุอีกว่า จากการพิจารณารายละเอียด จากตำหนิรูปพรรณคนร้ายจากคำให้การของพยาน จากภาพที่เห็นในกล้องวงจรปิด ซึ่งคนร้ายทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ มีอายุประมาณ 20-25 ปี รูปร่างสูงประมาณ 170 เชนติเมตรขึ้นไป และจากการตรวจสอบรถจักรยานยนต์ที่ก่อเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ได้ไล่ตรวจสอบรถต้องสงสัยจำนวน 29 คัน ที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ต ในจำนวนดังกล่าวยังเหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 19 คัน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องคลี่คลายเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็ว ทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้ตั้งรางวัลนำจับคนร้าย จำนวน 1 แสนบาท ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ร่วมอีก 1 แสนบาท และนายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหารโรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ให้อีก 1 แสนบาท รวมเป็นรางวัลนำจับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน 3 แสนบาท ฉะนั้นจึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์ หรือสามารถให้เบาะแสจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ ก็จะได้รับรางวัลดังกล่าว ถือว่าทุกคนเป็นเจ้าภาพร่วมกันต้อนรับนักท่องเที่ยว เพราะเราจะปล่อยให้คนเพียง 2 คน มาสร้างความเสียหายเช่นนี้คงยอมไม่ได้ และขอให้คำมั่นสัญญาว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามจับกุมคนร้ายทั้ง 2 คน ให้ได้โดยเร็ว

นอกจากการหาตัวคนร้ายแล้ว ทางตำรวจภูธรภาค 8 จะไปไล่แผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เคยก่อเหตุมาแล้ว รวมถึงการไล่ความสัมพันธ์ต่างๆ ให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น เชื่อว่าตำรวจทุกฝ่ายทำงานกันอย่างเต็มที่ และคิดว่าจะจับกุมตัวคนร้ายได้ โดยตน และ พล.ต.อ.ฉัตรไชย จะติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ขณะนี้รองฯ พิษณุ ตรวจเส้นทางเข้าออก บริเวณท่าฉัตรไชยโดยละเอียด รวมถึงเส้นทางอื่นๆ ด้วย เพื่อที่ป้องกันการหลบหนี

จากนั้น พล.ต.อ.ปานศิริ ได้เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ โดยทางชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ได้ทำการจำลองเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ ทุกขั้นตอนว่าเป็นอย่างไร พร้อมกล่าวอีกว่า ใครที่เป็นญาติพี่น้องหรือพ่อแม่ ที่ทราบว่าบุคคลในครอบครัวท่านไปก่อเหตุในครั้งนี้ ขอให้นำมามอบตัวเสีย เพราะหากหลบหนีและมีการต่อสู้อาจถูกวิสามัญได้ และขณะนี้กำลังขอออกหมายจับจากศาลแล้ว

มีรายงานแจ้งว่า จากการสืบค้นทะเบียนประวัติอาชญากรรมของตำรวจภูเก็ต พบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะเป็น “แก๊งสปาต้า” ที่มีการใช้รถ จยย.ออกก่อเหตุชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวหลายครั้ง เป็นแก๊งที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนหลังตลาดภูเก็ต แต่ขณะนี้ยังไม่พบตัวผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด

ด้านนางอัญชลี วานิช เทพบุตร ส.ส.จังหวัดภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคดีสะเทือนขวัญ ทำลายชื่อเสียงประเทศไทยว่า ในฐานะของคนภูเก็ตและตัวแทนชาวภูเก็ตต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย และไม่อยากให้เหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเกิดกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใด เพราะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายให้กับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงอยากให้ตำรวจเร่งรัดจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว

“ในช่วงนี้นักท่องเที่ยวหลักจะเป็นตลาดระยะสั้น โดยเฉพาะตลาดออสเตรเลีย เนื่องจากมีเที่ยวบินตรงมาจากเมืองเพิร์ธ และตลาดดังกล่าวก็จะเข้ามาเติมเต็มในช่วงโลว์ซีซั่น ดังนั้นในด้านการท่องเที่ยวหากจะมีการขยายตลาดเพิ่ม เรื่องความปลอดภัยจะต้อง 100% เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมากลำดับต้นๆ และน่าจะมากกว่าเรื่องของการหลอกลวงหรือต้มตุ๋นนักท่องเที่ยวด้วยซ้ำไป” นางอัญชลี กล่าว

นางอัญชลี กล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการเฉพาะหน้าขณะนี้นอกจากการที่จะต้องเร่งจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้แล้ว ในส่วนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะต้องให้ชี้แจงรายละเอียดและข้อมูลที่ถูกต้องกับนักท่องเที่ยวในต่างประเทศ ที่มีความต้องการจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และจะต้องมีการวางแผนในระยะยาวในการสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัยด้วย

นอกจากนี้ยังมีปัญหากำลังของตำรวจไม่เพียงพอ รวมถึงเจ้าหน้าที่อื่นๆ ด้วย ที่ผ่านมาได้มีการร้องขอให้เพิ่มกำลังมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะในการจัดสรรกำลังเจ้าหน้าที่ตามรายหัวประชากรในทะเบียนราษฎร์ ซึ่งภูเก็ตมีเพียง 320,000 คนเท่านั้น ขณะที่มีประชากรแฝง แรงงานต่างด้าว และนักท่องเที่ยวอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ภารกิจของเจ้าหน้าที่ก็เพิ่มมากขึ้นและไม่ทั่วถึง จึงอยากให้มีการเปลี่ยนวิธีการในการจัดสรรเจ้าหน้าที่ลงมาทำงานให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่

ส่วนการขอเพิ่มสถานีตำรวจอีก 2 แห่ง คือ ต.กะรน กับ ต.วิชิต นั้น ในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ได้มีการดำเนินการในเรื่องนี้ไว้แล้ว เหลือเพียงการอนุมัติเท่านั้น และอยากเรียกร้องว่า หากจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาเพิ่มก็ขอให้เป็นผู้ที่มีฝีมือและทำงานจริงๆ ไม่ใช่มารอเพื่อเปลี่ยนผ่าน เพราะภูเก็ตไม่ใช่มีปัญหาอาชญากรรมเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของบ่อนพนัน ซึ่งมีการเปิดเพิ่มมากขึ้นและเริ่มมีการร้องเรียนเข้ามาแล้ว

ล่าสุด พล.ต.ต.ชนสิษฐ์ วัฒนวรางกูร ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวเปิดเผยว่า คดีนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมและถือเป็นพยานปากสำคัญ ซึ่งคงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก เนื่องจากเกรงว่าพยานจะได้รับอันตราย และอยู่ระหว่างการสเก็ตภาพคนร้ายจากการให้ปากคำของพยาน และข้อมูลจากภาพวงจรปิด เมื่อครบถ้วนชัดเจนแล้ว ก็จะได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ภายในคืนนี้( 23 มิ.ย.)

“ซึ่งหลังจากมีการออกหมายจับแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน บก.ป.,ชุดสืบสวน กก.สส.ภ.จว.ภูเก็ต,ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 และทีมงานทั้งหมดจะได้ลงพื้นที่ติดตามจับกุมตัวคนร้ายต่อไป เพราะขณะนี้รู้ตัวคนร้ายและแหล่งกบดานแล้ว แต่หากมีการเข้าจับกุมและมีการต่อสู้ขัดขืน เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นที่จะต้องป้องกันตัวเองและอาจจะถูกวิสามัญได้ จึงอยากให้ผู้ทำผิดติดต่อมามอบตัว” พล.ต.ต.ชนสิษฐ์ กล่าว

 

 

www.banmuang.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม