วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นายกฯยอมรับหวั่นวิกฤติยูโรโซนกระทบบางธุรกิจของไทย

เมื่อเวลา 15.00น. วันนี้ (20 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือจากวิกฤตยูโร ว่า ที่ประชุมได้ติดตามและศึกษาผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม และได้สั่งงานให้ ครม.ในกระทรวงเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องไปวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน และจุดเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น เรื่องของแรงงาน หรือผลประกอบการของแต่ละธุรกิจว่าที่ใดบ้างที่อาจได้รับผลกระทบ เพื่อที่รัฐจะได้มาทำความเข้าใจและเตรียมการป้องกัน ไม่ประมาท โดยจะติดตามเป็นระยะ รวมทั้งต้องทำความเข้าใจกับเรื่องของธุรกรรมที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ค้าที่อยู่ในกลุ่มของยูโรโซนทั้งหมด อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าจะได้รับผลกระทบกันทั้งหมด

“ ยอมรับว่าภาครัฐเป็นห่วงในหลายส่วนที่อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตยูโร และอาจชะลอตัวซึ่งเป็นสิ่งเร่งด่วนที่ต้องติดตามและแก้ไข เช่น ภาคการส่งออก อุตสาหกรรมสิ่งทอ และอีกหลายอุตสาหกรรม โดยจะเชิญประชุมกับหน่วยงานและภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะมาทำความเข้าใจร่วมกันและหารือว่าต้องการให้รัฐมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ถึงวันนี้เราต้องแก้ปัญหาของตัวเองก่อน อย่างแรกเราต้องดูความพร้อม โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี การส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้มากขึ้น สร้างความแข็งแรงของโรงงานอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง เราต้องทำแบบคู่ขนานต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อถามว่าปัญหาวิกฤตยูโรที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการตั้งเป้าตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถึงวันนี้ยังไม่ทราบ อาจต้องรอดูผลกระทบจากทางกลุ่มยูโรโซนก่อน รวมทั้งมาตรการแก้ปัญหาว่าจะเป็นอย่างไร โดยได้มอบหมายให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง ติดตามและประเมินอย่างใกล้ชิด ทั้งกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่าจะกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร หรือถ้าหากแก้ปัญหาได้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมทั้งต้องติดตามว่าทางกลุ่มยูโรโซนแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งเราต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท อย่างไรก็ตามเท่าที่ดูตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศไทยขณะนี้ก็เริ่มดีขึ้นหลังจากสถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายและตลาดต่างๆเริ่มกลับมา แต่เรายังไม่เห็นตัวเลขทั้งหมด จึงต้องลงไปทำรายละเอียดในเชิงลึกต่อไป อย่างไรก็ตามเราก็ยังอยากเห็นจีดีพีของประเทศในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 5-6 เหมือนเดิม แต่คงต้องขอประเมินก่อนแล้วจะชี้แจงให้ทราบอีกครั้ง.



www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม