บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายลวดเหล็กแรงดึงสูงที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นผู้นำตลาดลวดเหล็กแรงดึงสูงในประเทศไทย ได้แถลงแผนการดำเนินงานธุรกิจ และกลยุทธ์ทางการตลาด โดยมี มร.โย ชุน กวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด เป็นผู้แถลง
บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด เป็นสมาชิกในกลุ่มบริษัท NatSteel Holding และบริษัทในเครือของ TATA STEEL เป็นหนึ่งในผู้ประกอบอุตสาหกรรมผลิตลวดเหล็กแรงดึงสูงสำหรับงานคอนกรีตอัดแรงและลวดเหล็กตีเกลียวที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสำหรับงานในอุตสาหกรรมการก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศ ด้วยจุดแข็งของสินค้าที่มีคุณภาพจากโรงงานที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในด้านการผลิตลวดลวดเหล็กแรงดึงสูงมามากกว่า 40 ปี และเป็นบริษัทผู้ผลิต ที่มีกำลังการผลิต 200,000 ตันต่อปี ผนวกกับการนำนวัตกรรม เทคโนโลยีการผลิต และเครื่องมือการทดสอบคุณภาพ ที่ทันสมัยตามมาตรฐานระดับโลก มาใช้ในการควบคุมการผลิตในทุกขั้นตอน เพื่อผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพ ตรงกับความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด รวมถึงเพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการใช้เหล็กสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการส่งออกของบริษัทที่มีมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเรามีสินค้าหลายประเภทสำหรับใช้ในงานก่อสร้างต่างๆ อาทิ ลวดเหล็กกล้าสำหรับคอนกรีตอัดแรง (PC Wire) ลวดเหล็กกล้าตีเกลียวสำหรับคอนกรีตอัดแรง (PC Strand) ลวดเหล็กกล้าตีเกลียวเคลือบโพลิเอททีลีน (PE Unbonded Strand) ตะแกรงเหล็กกล้า (Wire Mesh) และลวดเหล็กกล้าดึงเย็นเสริมคอนกรีต (Cold Drawn and Hard Drawn Wire) นอกจากนี้เรายังได้รับการรับรอง ISO 50001 รายแรกแห่งประเทศไทยในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทฯ กำหนดเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทมาตรฐานระดับโลก สำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก และเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดลวดเหล็กแรงดึงสูงสำหรับคอนกรีตอัดแรงและลวดเหล็กตีเกลียวในระดับโลก
มร.โย ชุน กวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่า “เราเป็นผู้ผลิตลวดเหล็กแรงดึงสูงที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นผู้นำตลาดลวดเหล็กแรงดึงสูงในประเทศไทย ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกนำไปใช้ในโครงการก่อสร้างสำคัญต่างๆ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ทางด่วน รถไฟฟ้า และอาคารสูงต่างๆ มากมายทั่วประเทศไทย บริษัทฯยังส่งออกสินค้าไปมากกกว่า 50 ประเทศทั่วทุกมุมโลก อาทิ กลุ่มประเทศยุโรป โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง อเมริกา แอฟริกา เอเชีย เป็นต้น โดยมีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการก่อสร้างในประเทศไทยจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 5-10% ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐบาล อาทิ โครงการก่อสร้างเพื่อรองรับปัญหาจราจร โครงการก่อสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วม โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ โครงการปรับปรุงเส้นทางรถไฟ เป็นต้น นอกจากนี้ ตลาดลวดเหล็กแรงดึงสูงของประเทศไทยในปัจจุบันมีความต้องการใช้งานประมาณ 200,000 ตันต่อปี ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมเหล็กทั้งในประเทศและต่างประเทศจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต”
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา “บริษัทฯให้ความสำคัญทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยแบ่งสัดส่วนการขายในตลาด 60% และต่างประเทศ 40% สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายของตลาดภายในประเทศ เป็นการขายตรงให้กับลูกค้าผู้ผลิต และการขาย ผ่านผู้แทนจำหน่าย ซึ่งเป็น ผู้กระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ สำหรับการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ บริษัทฯมุ่งเน้นไปยังตลาดยุโรป โอเซียเนีย และอาเซียน ซึ่งส่งผลให้ผลประกอบการตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับในปีงบประมาณ 2555-2556 บริษัท ตั้งเป้ารายได้กว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 8-10% โดยช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานเติบโตและขยายตัวสูงกว่าเป้าหมาย ซึ่งการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะส่งผลให้ตลาดเหล็กในภูมิภาคอาเซียนนี้ขยายตัวมากขึ้น“ มร.โย ชุน กวี กล่าว
นอกจากนี้ มร.โย ชุน กวี ยังได้กล่าวถึง แผนภายในระยะเวลา 5 ปี ว่า “บริษัทฯ ได้วางงบประมาณในการลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนใหม่ และการปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมที่ ผลิตได้ 200,000 ตันต่อปี เป็น 300,000 ตันต่อปี รวมถึงโครงการร่วมลงทุนกับบริษัท นิเชีย สตีล เวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมลวดเหล็กเคลือบสังกะสีในประเทศญี่ปุ่น และเป็นบริษัทในเครือ นิปปอน สตีล คอร์ปอเรชัน เพื่อการก่อตั้ง บริษัท ทีเอสเอ็น ไวร์ จำกัด ในการผลิตลวดเหล็กเคลือบสังกะสีในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับใช้ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การก่อสร้าง สายไฟฟ้า การเกษตรและชลประทาน ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งจะมีกำลังการผลิต 36,000 ตันต่อปี โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับโรงงานใหม่แห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ติดกับโรงงานสยามลวดเหล็กฯ จังหวัดระยอง ด้วยความโดดเด่นด้านผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การตลาด การขายและจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการเพิ่มไลน์การผลิตสินค้าเพื่อรองรับงานอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“ส่วนปัญหาวิกฤตการเงินยุโรปและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของบริษัทในตลาดยุโรป แต่บริษัทฯมีตลาดส่งออกอื่นๆรองรับ จึงสามารถทดแทนยอดการสั่งซื้อในตลาดยุโรปที่ลดลงได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าปีนี้ บริษัทจะยังรักษาระดับอัตราการส่งออกอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิต นอกจากนี้ การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง ทำให้บริษัทฯ มองหาตลาดส่งออกเพิ่มเติม โดยจะเน้นไปยังตลาดแถบแอฟริกา และอเมริกาใต้ ที่ยังมีความต้องการลวดเหล็กแรงดึงสูงอยู่” มร.โย ชุน กวี กล่าว
ในด้านการบริหารธุรกิจ มร.โย ชุน กวี กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัทฯ เน้นการบริหารงานในรูปแบบของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) คือ การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ การทำยอดขายให้เติบโตและ มีผลตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ถือหุ้น ควบคู่กับความเป็นบรรษัทพลเมือง (Corporate citizenship) กล่าวคือการให้ความสำคัญในเรื่องของการดูแลพนักงาน รวมถึงชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักแนวทางวัฒนธรรมองค์กร 5 ข้อ คือ การทำงานเป็นทีม (Teamwork) การมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Drive for Excellence) การปรับปรุงและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) การมุ่งเน้นให้ความสำคัญแก่ลูกค้า (Customer Focused) และการรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม จึงได้นำระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมมาประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นการป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบกับชุมชนโดยรอบ และเป็นบริษัทผู้ผลิตลวดเหล็กรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO14001 ในปี 2544 จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ รวมถึงติดตั้งระบบการล้างลวดแบบอุโมงค์ปิด (Closed-Tunnel Pickling Process) และระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันมลภาวะที่อาจเกิดขึ้น”
อีกทั้ง “บริษัทฯ ยังมีการจัดทำโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงานต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดีด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนภายในองค์กร อาทิ โครงการปลูกป่า โครงการธนาคารขยะ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในโรงงาน เป็นต้น รวมถึงมีการจัดทำโครงการช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆ เพื่อประโยชน์ของชุมชนโดยรอบ โดยจะมุ่งเน้นการสนับสนุนด้านการศึกษาเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของการเกิดปัญหาในสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับคุณมีชัย วีระไวทยะ ประธานมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ จัดทำโครงการ School – BIRD (School-Based Integrated Rural Development) นำร่องสร้าง 6 โรงเรียนให้เป็นต้นแบบ ที่อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยองขึ้น โดยวัตถุประสงค์ของ School –BIRD ต้องการส่งเสริม และปฎิรูปด้านการศึกษา สร้างโรงเรียนในชุมชนให้เป็นแหล่งพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิตและเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งถือเป็นโครงการแห่งความภาคภูมิใจของสยามลวดเหล็กฯ” มร.โย ชุน กวี กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น